ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unlovable

    ลำดับตอนที่ #7 : เอาเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 56







    “นี่คุณ หยุดแหกปากสักที ผมเบื่อ!!” เสียงใหญ่หนาของชายวัยกลางคนตวาดขึ้นดังๆ เมื่อก้าวออกจากห้องนอนของตัวเองได้สักพัก

     

     

    “ก็เพราะใครที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ คุณจะตายให้ได้ใช่ไหม ห๊ะ!! คุณดนัย ถ้าไม่ได้ไปนอนกับอี่พวกโสเภณีพวกนั้น!!

     

     

    “ใช่!! ผมคงจะลงแดงตาย เพราะผมอยู่แต่ความตายแห้ง ตายแล้งกับคุณไง!!

     

     

    “กรี๊ดๆๆ” เสียงแหลมๆกรีดร้องอย่างเหลืออด เมื่อโดนผู้เป็นสามีตอกกลับอย่างไม่เว้นหน้า ก่อนที่มือเรียวของวิมาลาจะหยิบจับทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวให้กลายเป็นอาวุธ เพื่อหวังจะมุ่งทำร้ายดนัยให้หายแค้น

     

     

    “แม่ครับ อย่าครับ!!” ภาคินร่วมทั้งเศรษฐพงศ์ยกมือห้ามทันที พร้อมทั้งรีบขว้าแขนผู้เป็นแม่ไว้ เมื่อเดินเข้ามาเห็นภาพดังกล่าวอยู่ต่อหน้า

     

    “พวกแกไม่ต้องมาห้ามฉันเลยนะ! ถ้าวันนี้ฉันเอาเลือดหัวของพ่อแกออกมาไม่ได้ ฉันขอยอมตาย!

     

     

    “ก็ชอบแต่ใช้กำลังอยู่แบบนี้ไง ผมถึงได้เบื่อ!!

     

     

    “ก็เพราะคุณทำเรื่องเลวๆก่อนไง ฉันถึงได้เป็นแบบนี้! ไอ้ผัวบ้า ฉันจะฆ่าคุณ!!”

     

     

    คุณแม่ครับใจเย็นๆนะครับ โมโหมากไปเดี๋ยวมันจะไม่ดีต่อสุขภาพ... คุณพ่อครับรีบออกไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง เศรษฐพงศ์หันไปพูดด้วยสีหน้าของร้อง

     

     

    เออ ยังไงก็ทำให้แม่แกหายบ้าให้ได้ก็แล้วกัน!!” ดนัยตัดสินใจเดินหนีทำตามอย่างที่ลูกชายคนเล็กบอก ไม่อยากให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้

     

     

    “ตาเต๋า! แกจะไปไล่พอแกทำไม ! หันหน้ามากระชากเสียงใส่คนทีเหลือ เหมือนเป็นการระบายความโมโห

     

     

    “ก็เพราะพวกเราไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกันไงครับ แล้วก็ลงไม้ลงมือเหมือนอย่างวันนั้น ถ้าคนอื่นมารู้เรื่องเข้า เดี๋ยวจะเอาข่าวไปเขียนตีไข่ใส่สี ทำให้คุณพ่อกับแม่เสียหายได้นะครับ” ภาคินรีบยกเหตุผลขึ้นมาอธิบาย พยายามทำตัวเองให้กลายน้ำเย็นลูปหลัง

     

     

    “ใช่ครับ ข่าวสมัยนี้ยิ่งแผล่ออกไปเร็ว ผมไม่อยากให้ครอบครัวเราตกเป็นข่าวแบบนั้นครับ” เศรษฐพงศ์ร่วมด้วยอีกคน

     

     

    “แต่พวกแกก็เห็นหนิ ว่าพ่อของพวกแกทำร้ายจิตใจฉันแค่ไหน”

     

     

    “ฟังผมนะครับคุณแม่ พวกผู้หญิงพวกนั้น เข้ามาแล้วก็ผ่านไป คุณแม่เคยนับได้ไหมว่าคุณพ่อเคยแอบเก็บใครไว้กี่คนแล้ว” ภาคินเอ่ยถาม

     

     

    “ไม่รู้ ฉันนับไม่ได้” เธอตอบแบบปัดๆ

     

     

    “แต่สุดท้ายพอก็กลับมาตายรังอยู่ดีเพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะว่าคุณพ่อยังรักคุณแม่อยู่ไง”

     

     

    “รักเหรอ หึ คนอย่างเขาไม่รู่จักคำว่ารักหรอก”

     

     

    “โหแม่ครับ คุณพ่อรักคุณแม่จริงๆ เพียงแค่พ่ออาจจะชู้บ้าง แต่ถามถึงความรู้สึกจากใจจริง คุณพ่อยังคงมีให้คุณแม่เต็มร้อยครับ” เศรษฐพงศ์พูดเพื่อหวังให้อามณ์ร้ายๆนั้นทุเลาลง และดูเหมือนจะพอได้ผลขึ้นมาบ้าง

     

     

    “หึ พวกแกเป็นผู้ชาย ก็ต้องเข้าข้างกันเป็นธรรมดา... ว่า แต่แกเหอะ ตาโน่ แกรู้ไหม หนูเบลเขาโทรมารายงานฉันว่า แกไปส่งเด็กในบริษัทคนหนึ่งที่บ้าน แถมยังบอกว่าเด็กคนนั้นเหมือนจะมีใจให้แกด้วย” เปลี่ยนประเด็นใหม่ไปถามลูกชายคนโต ก็ทำเอาจนเจ้าตัวเกือบตั้งตัวไม่ทัน เมื่อข่าวถึงหูของผู้เป็นแม่ได้เร็วอย่างไม่ทันคาดคิด

     

     

    “ใช่ครับ ผมไปส่งเขาจริงๆ เพราะเห็นว่าไม่มีรถกลับบ้าน อีกอย่างช่วงนี้มีข่าวคนร้ายชอบปล้นที่ป้ายรถเมล์ ผมเห็นเขายืนตากฝนคนเดียว กลัวว่าจะเป็นอันตรายได้ พอไปส่งเขาเสร็จผมก็กลับบ้านทันที” เขาอธิบายตามความจริง

     

     

    “จริงเหรอ” ถามเพื่อความแน่ใจ

     

     

    “จริงครับ” ร่างสูงจึงยืนยันด้วยเสียงที่หนักแน่น

     

     

    “งั้นก็ดีแล้ว แต่คราวหน้าแกห้ามไปส่งเด็กคนนั้นอีกเด็ดขาด เพราะหนูเบลจะเข้าใจผิด.. ส่วนแกตาเต๋า อาทิตย์หน้าฉันจะให้แกไปดูตัวลูกสาวของเพื่อนฉัน” คราวนี้หันหน้าไปทางลูกชายคนเล็กแทน

     

     

    “โห ไม่เอาหรอกครับ ผมยังไม่อยากมีใคร” ตอบออกไปแบบไม่ต้องคิด

     

     

    “นี่แกไม่ต้องมาปฏิเสธฉันเลยนะ คราวที่แล้วแกก็หนีนัดมาทีนึงแล้ว แกรู้ไหม แกทำให้ฉันอับอายขายขี้หน้ามากแค่ไหม”

     

     

    “ก็ผมบอกแล้วว่าผมไม่ต้องการอยากมีใครจริงๆหนิครับ ห๊าว ผมง่วงแล้ว ผมไปนอนก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็เดินตัดบทออกจากบริเวณนั้นไปทันที ไม่สนแล้วว่าผู้เป็นแม่จะร้องเรียกไล่หลัง

     

     

    “ตาเต๋า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ แกมันใช่ได้!!.. ตาโน่ แกเห็นน้องแกไหม ไม่ได้ดั่งใจฉันเลย เหมือนพ่อมันไม่มีผิด”

     

     

    “แม่ก็ปล่อยๆมันไปเถอะครับ”

     

     

    “แกก็เข้าข้างมันอยู่เรื่อย จนมันเคยตัวแบบนั้น.. วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ ทำไม่ถึงได้เจอแต่เรื่องปวดหัวตลอด.. ฮึย ฉันไปนอนก่อนดีกว่า ไม่อยากจะเป็นบ้าไปมากกว่านี้”

     

     

    เธอพูดทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินหนีออกจากบริเวณนั้นไป ปล่อยให้ภาคินยืนถอนหายใจเหนื่อยๆ เมื่อตามอารมณ์ของคนในบ้านแทบไม่ทัน แล้วจึงเรียกคนในบ้านออกมาทำมาความสะอาดให้เป็นระเบียบ



     



     

    เช้าของวันต่อมา

     

     

    กว่าที่นนทนันท์จะตะเกี่ยตะกายลุกขึ้นจากเตียงได้ แสงของแดดอ่อนๆยามเช้าก็ลอดซ่องผ่านหน้าต่างแล้วเรียบร้อย ปกติร่างบางจะตื่นตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่ขึ้นมาแยงตาซะด้วยซ้ำ... แต่ก็เป็นเพราะคนตัวโตเมื่อคืนนั้นแหละ เลยทำสภาพของนนทนันท์ยิ่งกว่าพึ่งผ่านจากการสู้รบมาหมาดๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปกินกระทิงมาแต่ไหน ถึงได้สนุกเพียงแต่คนเดียว ไม่คิดจะคำนึงถึงสังขานของคนบอบบางเลยสักนิด .. แต่จะทำไงได้ล่ะในเมื่อเป็นคนยอมให้เขาเองหนิ

     

     

    เมื่อผ่านไปสักพัก หลังจากลุกออกจากเตียงแล้วเรียบแล้ว นนทนันท์ค่อยๆพยุงพาตัวเองเดินเข้าไปห้องน้ำอย่างทุลักทุเล แค่ขยับข้าวก้าวเดียวก็ปวดร้าวจวนจะถึงไส้ติงอยูแล้ว โดยเฉพาะบริเวณช่องทางด้านหลัง

     

     

    เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกใสๆ รอยมารก็ผุดแดงขึ้นไปทั่วทั้งคอลามจนถึงหน้าอกขาวๆของตัวเอง... ถ้าคนที่ทำงานเห็นตนในสภาพแบบนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง หากจะหยุดหนึ่งวันก็เสียงานเปล่าๆ เพราะเอกสารก็กองจวนจะถ้วมหัวอยู่ทุกวัน ถ้ายังดองไว้แบบนั้น ก็ยิ่งหนักขึ้นกว่าเก่า แถมยังถูกตัดเงินเดือนด้วย ... พอละสายตาออกจากกระจก นทนันท์รีบเริ่มอาบน้ำ แปรงฟัน พอเสร็จก็เดินออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดทังาน แล้วก็ข้าวทานรองท้องไว้ ก่อนจะไปทำงานตามปกติ

     

     

    พอถึงที่ทำงานร่างบางก็สายไปเกือบสิบนาที เพราะช่วงเช้าการจราจรติดกันยาวเป็นแถว แล้วพอจะเดินแต่ละก้าวก็เสียเวลามากพอแล้วเมื่อสังขารของตัวเองมันไม่ค่อยจะอำนวย..... เมื่อผ่านไปสักพักเลขาของท่านประธานก็ฝากงานให้เจ้าของร่างเล็กทำ เมื่อหย่อนกายลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง... พอเรืองริทเห็นอาการแปลกๆไปของเพื่อนเหมือนคนกำลังไม่สบาย ทั้งยังเข้ามาทำงานสาย เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

     

     

    “ชาทำไมวันนี้มาช้าจัง”

     

     

    “เอ่อ ก็ รถมันติดน่ะ แล้ววันนี้ชาก็ตื่นสายด้วย พอดีเมื่อคืนดูทีวีดึกไปหน่อย” พยายามแกล้งเนียน และดูเหมือนว่าผู้เป็นเพื่อนจะเชื่ออยู่บ้าง

     

     

    “มาสายแบบนี้ไม่กลัวพี่เต๋าเขาจะว่าเหรอ เดี๋ยวชาก็ถูกตัดเงินเดือนเอานะ”

     

     

    “ก็ลองตัดดูสิจะเอาคืนให้สาสมเลย!” นนทนันท์เผลอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อกล่าวถึงบุคคลที่กำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก เลยทำให้เรื่องริทมีสีหน้างงๆกับคำพูดของเพื่อนตัวเอง

     

     

    “นี้ชาไม่กลัวพี่เต๋าเลยเหรอ ”

     

     

    “อะ เอ่อ ชาพูดเล่นเฉยๆ  ก็มีกลัวบ้างแหละหน่า เขาเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบุคคลแถมยังเป็นน้องชายของท่านประธาน ใครเขาก็เคารพเกรงกลัวเขาทั้งนั้นแหละ” รีบพูดแก้หน้าอย่างรวดเร็ว กลัวว่าเรืองริทจะสังสัยขึ้นมา

     

     

    “ว่าแต่ คอของชาไปโดนอะไรมาเหรอ ทำไมมีแต่รอยแดงๆ”  เอ่ยถามเพราะสังเกตเห็นมานานแล้ว ส่วนคนที่ถูกถามนั้นเอามือขึ้นปิดรอยหลักฐานทันที ก่อนจะรีบหาๆคำแก้ตัวมาอธิบายโดยเร็ว

     

     

    “เอ่อ คือ ยุ่งมันกัดน่ะ พอดีชาเกาแรงไปหน่อย มันก็เลยเป็นรอยแดงๆอย่างที่เห็น”

     

     

    เรืองริทพยักหน้ารับเป็นการเข้าใจเมื่อฟังคำอธิบายนั้น ถึงแม้เหตุมันจะไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่หนักก็ตาม แต่ยังไงนนทนันท์ก็ยังไม่มีใคร คงจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอกมั้ง

     

     

    “แหม พี่ต้นหอมครับ เลิกงานแล้ว เราไปสั่งผัดสะตอกินกันไหมครับ พอดีบุคโก๊ะพึ่งได้ยินคนบางคนพูดอะไรที่มันแบบว่า ตอแหลสุดๆเลยอ่ะ” อยู่ๆก็มีเสียงพูดจาลอยๆพลางเล่นหน้าเล่นตาจนโอเวอร์ เลยทำให้คนที่กลายเป็นประเด็นผินหน้าไปทางต้นเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

     

    “จริงด้วย ได้ยินแล้วอยากกินอยู่พอดี ส่วนอีกคนก็ไม่น่าโง่ถามเลยเนอะ ทั้งที่หลักฐานเต็มคาตาอยู่อย่างนั้นแล้ว”

     

     

    “ใช่ๆ... ทั้งที่ความจริงอ่ะ ตัวเองก็พึ่งโดนจิ้มมา ไม่รู้ไปหาหมอคนไหนมานะ สภาพเลยเป็นแบบนั้น เข็มของโรงบยาลคงจะใหญ่น่าดูเลยเนอะ” นุ้ยพูดเสริม เหมือนเป็นการประชดประชัน

     

     

    “พวกพี่ว่าใคร!!” นนทนันท์ถามอย่างข้องใจ เพราะอดไม่ได้ที่เห็นตัวเองต้องโดนรุ่นพี่พูดเสียดสีใส่แรงๆ

     

     

    “แล้วใครเป็นเหมือนอย่างที่ว่าล่ะ!!” บุคโก๊ะฉีกยิ้มที่มุมปากเหยียดๆ

     

     

    “เห็นเมื่อก่อนตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆก็แบบน่ารักใสๆอยู่นะ แต่เดี๋ยวทำตัวคล้ายๆกับสัตว์ชนิดหนึ่งซะแล้ว”

     

     

    “สัตว์อะไรเหรอครับพี่ต้นหอม”

     

     

    “ก็ แรด ไงนุ้ย ฮาๆๆๆ!!”

     

     

    พูดจบ ทั้งสามก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างจงใจ เอาจนคนถูกลากเข้าไปเป็นคนสำคัญของเรือง ถึงกับสติเกือบแตกเลยทีเดียว

     

     

    “เหรอครับ!... แต่ยังไงก็ยังดีกว่าพวกคนบางกลุ่มแหละ มักทำตัวเป็นเหมือนพวกสัตว์เร่ร่อนจรจัด ที่ชอบหากินชอบนอนตามข้างท่อน้ำเน่า! แถมยังชอบกัดคนอื่นเขาไปทั่ว! จริงไหมริท”

     

     

    “เอ่อ ไม่รู้สิ แล้วสัตว์ที่ชาหมายถึง มันคือสุนัขเหรอ” ถามกลับด้วยใบหน้าไร้เดียงสาตามฉบับ

     

     

    “ใช่จ๊ะ  แถมยังเป็นสุนักที่ยังไม่เคยโดนจิ้มด้วยนะ ไม่รู้ว่าหินปูนมันจะเกาะกรังจนรูมันตันไปหมดแล้วหรือเปล่า!

     

     

    “นี่ไอ่คชา! แกกำลังด่าฉันใช่ไหม!” ต้นหอมลุกขึ้นเต็มความสูง สายตาที่มองไปทางนนทนันท์กำลังเคียดแค้น ที่ทำให้ตนเป็นฝ่ายถูกต่อว่ากลับ

     

     

    “แล้วใครจะรับละครับว่าชอบทำตัวเหมือนพวกสัตว์จรจัด”

     

     

    “ไอ่คชา นี่แกกล้าด่าชั้นเหรอ!!” เธอชี้นิ้วพูดเสียงดังๆจนทำให้คนบริษัทต่างก็หันมามอง

     

     

    “ทำไมจะไม่กล้าละครับ ทีพวกพี่ยังพูดจาเสียดสีใส่คนอื่นอยู่ทุกวันได้เลย เจ้าของร่างเล็กลุกขึ้นเต็มความสูงถลึงตามองหน้าฝ่ายกรณีแบบไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

     

     

    “ถ้าแกพูดอย่างนี้แล้ว มาตบกันเลยดีกว่าไหม!!” ต้นหอมพูดออกไปอย่างท้าทาย


     

    “ก็เอาสิครับ ผมก็รอวันนี้มานานแล้ว!!

     

     

    .

    รอดูนะ ว่าจะตบกัน
    ได้เมามันแค่ไหน
    ฝากด้วยนะ

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×