ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unlovable

    ลำดับตอนที่ #5 : บังคับให้ขึ้นรถ

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 56






                 เมื่อเวลาร่วงเลยมาถึงเย็น ก็เป็นเวลาที่เลิกงานสักที เรืองริทรีบๆเก็บเอกาสารเข้าที่ก่อนจะปิดคอมเตรียมตัวพายกระเป๋าแล้วจึงลุกออกจากเก้าอี้ พอหันหน้าไปมองเพื่อนทำงานอีกคน รายนั้นยังคงขมักเขม้นกับกองเอกสารหนาๆของตัวเองอยู่

     

    “ชา ริทจะกลับแล้วนะ”

     

    “อืมๆ” นนทนันท์ตอบทั้งที่หน้ายังคงจ้องมองหน้าคอมอยู่เช่นเดิม พลางใช้นิ้วพิมส์ดีดรัวๆ

     

    “งานยังไม่เสร็จเหรอ”

     

    “ยังเลย งานเยอะมาก...”

     

    “ให้ริทช่วยไหม” เรืองริทอาสาด้วยความสมัครใจ

     

    “ไม่เป็นไหรหรอก ชาทำไม่เกินสามสิบนาทีก็เสร็จแล้วล่ะ ริทรีบๆกลับบ้านเหอะ” เงยหน้าขึ้นตอบปฏิเสธความปรารถานาดีของผู้เป็นเพื่อน เพราะความเกรงอกเกรงใจ ในเมื่อการทำงานของเรืองริทวันนี้ก็หนักหนามากพอแล้ว

     

    “งั้นริทกลับก่อนนะ บ๊าย”


    “บ๊าย แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ”

     

    ทั้งสองโบมือลากัน ก่อนที่เรืองริทจะเดินเลี่ยงออกจากที่แผนกไป.. วันแรกของการทำงานก็จบลงด้วยดีมั้งสำหรับคนตัวเล็ก... เพราะมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีปะปนกัน ถึงแม้จะมีใครบางคนไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่อย่างน้อยก็มีเพื่อนแสนดีอย่างนนทนันท์ คอยช่วยเหลือและแนะนำทุกอย่าง

     

    เมื่อเดินออกมาจากบริษัท เรืองริทยังต้องมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถเมล์หลังจากนั้น แต่พอไปถึงหน้าป้าย ทว่ารถเมล์กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ร่างบางจึงรีบๆเร่งฝีเท้าให้เร็ว หากยังมีผู้โดยสารหลายคนแย่งกันขึ้นรถจับจองที่นั่งอย่างคลับคลั่ง พลางเบียดเสียดเรืองริทจนปลิวกระเด็นออกมาอย่างรุนแรง ก่อนที่รถเมล์จะออกตัวไปในที่สุด

     

    “บ้าจริงๆเลย...” ร่างบางสบถออกมาอย่างหัวเสีย.. คงต้องรอรถเมล์อีกตั้งชั่วโมงกว่าที่จะวนกลับมาจุดเดิม.... แต่เมื่อผ่านไปสักพัก

     

    แม๊ะๆ อยู่ๆเม็ดฝนเม็ดเล็กๆกำลังตกลงกระทบใบหน้าเรียวหวาน ทีละเล็กจนค่อยๆเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เรืองริทรีบถอยเข้าไปที่ลบฝนในทันที พลางยกกระเป๋าขึ้นบังด้วยหน้าเซ็งๆ เมื่อท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดอยู่แล้วด้วย ถ้ามีเสื้อหนาๆไว้คลุมสักตัวให้หายหนาวก็คงจะดี

     

    แต่ไม่ทันไร อยู่ๆเสื้อสูทสีเท่าขนาดใหญ่ก็ถูกคลุมไหล่ของเรืองริทไว้ ร่างบางหันหน้าไปมองคนหน้าใหม่โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเสียงของหัวใจเต้นดังขึ้นถี่รัวจนผิดปกติ เมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นคือภาคิน

     

    “ขะ ขอบคุณนะครับ” เรืองริทพูดแข่งกับสายฝนด้วยเสียงสั่นๆ แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าจะเป็นเขา

     

    “ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ภาคินถามด้วยเสียงเรียบๆตามแบบฉบับ


    “เอ่อ ผมรอรถเมล์น่ะครับ แต่ก็ยังไม่ทันมา”

     

    “แล้วปกติรถเมล์มันจะมาตอนกี่โมง”

     

    “ก็ประมาณห้าโมงกว่าๆครับ แต่พอดีเมื่อกี้ผมขึ้นรถไม่ทัน เลยต้องรอแบบนี้อีกประมาณสักชั่วโมงครับ”

     

    “งั้นผมจะไปส่งคุณเอง ยืนตากฝนแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย” ภาคินเสนอ

     

    “เอ่อ ไม่เป็นไหรหรอกครับ สักพักรถเมล์ก็มา” เรืองริทปฏิเสธอย่างเกรงใจ ในเมื่อมันคงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมหากจะอาศัยขึ้นรถกับเขาไป อีกอย่างตนก็เป็นแค่พนักงานธรรมดาๆ ส่วนภาคินเป็นถึงท่านประธานบริษัท

     

    “ไม่ต้องเกรงใจผมก็ได้ พอดีผมมีเรื่องจะคุยกับคุณด้วย” ร่างสูงกำชับเสียงแข็งเหมือนเป็นการบังคับยอมไปกับเขาให้ได้. พอคนตัวเล็กเห็นอีกฝ่ายอยู่ในโหมดแบบนี้ ถ้าตอบปฏิเสธอีกครั้ง เขาคงไม่ยอมแน่ๆ เลยจำเป็นต้องพยักหน้ารับแทน

     

    “เอ่อ ก็ได้ครับ” เมื่อรับคำตกลง ภาคินจึงพาเรืองริทแข่งฝนเพื่อพาคนเล็กขึ้นรถไปเลยทำให้สองคนเปียกฝนนิดๆ

     

    ตั้งแต่เกิดมาเรืองริทพึ่งจะเคยนั่งรถราคาหลายล้านเป็นครั้งแรก มันเลยทำให้คนตัวเล็กนั้นทำตัวไม่ถูกตลอดทาง โดยที่มีเสียงฝนตกรวมทั้งเสียงฟ้าร้องดังๆข้างนอก....  

                ภายในรถก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบ... บรรยากาศไม่เชิงกับอึดอัด เพียงแต่เรืองริทไม่รู้จะขยับปากพูดคุยอะไรออกไปดี เพราะเห็นท่าทางของอีกฝ่ายยังคงเงียบขึมตามมาดของเขา

     

    “บ้านคุณอยู่ที่ไหน” ภาคินเปิดฉากถามเป็นคนแรก ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดเพลงในซีดีเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบๆลง

     

    “ผมเช่าหอพักอยู่นะครับ คุณขับตรงไปข้างหน้าอีกประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว” เรืองริทบอก เพราะคาดเดาจากการจราจรที่ไม่ค่อยติดสักเท่าไหร่ ใช่เวลาไม่นานก็คงจะถึง

     

    “แล้ววันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง”

     

    “ก็ดีครับ  มีเพื่อนทำงานใหม่เยอะเลย” เรืองริทพูดโกหกออกไป แต่ความจริงสำหรับเรืองริทมีสองคนในที่ทำงานเป็นเพื่อนด้วยก็ถือว่าเยอะมากแล้ว

     

    “คุณรู้จักน้องชายผมด้วยใช่ไหม” ถามต่อด้วยความสงสัย

     

    “ครับ คือผมกับพี่เต๋าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันนะครับ”

     

    “คงจะสนิทกันมากสินะถึงแทนตัวเองว่าพี่ว่าน้อง น้องชายของผมเองก็เอ่ยถึงคุณอยู่เหมือนกัน”

     

    “ก็ประมาณล่ะครับ” เรืองริทเริ่มรู้สึกอืดอัด เมื่อถูกภาคินถาถมเข้าหลายๆคำอย่างเคร่งเครียด แถมน้ำเสียงและใบหน้าของคนข้างๆยิ่งเรียบเฉย ไม่ต่างอะไรกับพวกตำรวจกำลังสอบสวนคนร้ายอยู่

     

    “ที่ผมชวนคุณขึ้นรถมาด้วย เพราะมีเรื่องสำคัญจะตกลงกับคุณ” เข้าประเด็นที่ต้องการจะพูดตั้งนาน

     

    “อะไรเหรอครับ”

     

    “ก็เรื่องที่ผมจูบกับคุณที่ผับนั้น ผมแค่อยากให้คุณลืมมันไปซะ แล้วก็ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครอีกเด็ดขาด เพราะผมคิดว่าคนในบริษัทยังไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่งั้นคงเอาไปนินทากันหนาหูแน่ มันจะทำให้เราสองคนเสียหาย อีกอย่างวันนั้นผมก็โดนเพื่อนบังคับด้วย หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ” ภาคินกำชับด้วยเสียงเรียบๆ แววตาคมคำนั้นกำลังจ้องมองเรืองริทเหมือนเป็นการบังคับ.. ร่างบางเริ่มมีสีหน้าหมองลง เมื่อเขาพูดเหมือนไม่พอใจที่จูบกันในวันนั้น...

     

    ก็อย่างว่า คนที่แต่งตัวเฉยเฉิ่ม ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคู่หมั้นของเขา ทำอะไรๆใครเขาก็รังเกียจเสมอ

     

    “ครับ ผมเข้าใจ” เรืองริทก้มหน้าตอบแผ่วเบา นึกเสียใจอยู่เหลือเกิน เมื่อเขาพูดอย่างไม่แคร์ความรู้สึกกันเลย

     

    “ก็ดีครับ ที่คุณยอมทำตามคำสั่งของผม” ภาคินหันหน้าไปมองถนนเช่นเดิม ปล่อยให้เรืองริทแอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเศร้าๆเป็นระยะ เพราะในใจลึกๆก็เริ่มแอบชอบเขาเข้าแล้ว

     

    ผมรู้สึกเจ็บแปลกขึ้นมาทันที ในเมื่อเขาตัดความหวังของผมไปจนหมด

     






     


    ส่วนทางด้านนนทนันท์... กะว่าจะทำงานให้เสร็จภายในสามสิบนาที แต่ที่ไหนได้ กว่าจะเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านเสร็จ ก็ปาไปเกือบร่วมชั่วโมง พนักงานทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับบ้านไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแค่ลุงยามเท่านั้นที่ยังคงทำงานต่อไป

     

    พอเดินออกจากตึกมา ฝนห่าใหญ่ก็ร่วงโรยลงมาแบบไม่เกรงใจกันเลย ร่างบางได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยๆคงต้องรอให้ฝนซาลงจึงจะเดินไปรอรถเมล์ที่หน้าป้ายรถเมล์เพราะไม่อยากจะวิ่งแข่งฝนในขณะที่ตัวเองไม่ได้ถือร่มมาด้วย เลยต้องยืนรอที่หน้าตึกอย่างเช็งจัด

     

    “ปิ๊กๆๆ” อยู่ๆเสียงแตรรถดังขึ้นพร้อมๆกับขณะที่รถเบนช์ราคาหลายล้านขับเคลื่อนมาหยุดอยู่ต่อหน้าร่างบาง ก่อนที่เขาขับรถจะเปิดประตูกางร่มมุ่งตรงมาหา

     

    “ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ให้ไปส่งไหม” เสียงคมเข้มเอ่ยถามหลังจากที่ยืนอยู่ข้างๆร่างบางแล้วเรียบร้อย

     

    “ไม่เป็นไหรหรอกครับ คุณเศรษฐพงศ์” โบกมือตอบเป็นการปฏิเสธ

     

    “ รีบขึ้นรถมาเหอะ เดี๋ยวจะพาไปส่ง”

     

    “ไม่เป็นไหรหรอกครับ ผมรอรถเมล์ดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี” เจ้าของร่างเล็กยังคงตอบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ อีกอย่างมันคงไม่เหมาะสมที่ตัวเองต้องขึ้นรถไปกับเขาสองคนแบบนี้

     

    “มาเหอะหน่า... ไม่มีใครเห็นหรอก แล้วยืนอยู่แบบนี้มันอันตรายนี่ไม่ไกล้จะมืดแล้วด้วย” ร่างสูงคะยั้นคะยอ พยายามทำให้ร่างบางยอมตกลงให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะได้ผลตามคาด เมื่อนนทนันท์ เปลี่ยนใจไปกับเขาแทน เพราะเห็นว่าบรรยากาศเริ่มน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

     

    “ก็ได้ครับ”  นนทนันท์เดินไปเปิดประตูรถเบนซ์สีขาวคู่ใจของร่างสูงก่อนจะหย่อนกายตัวเองบนเบาะข้างๆคนขับ

     

    ไม่นานจากนั้นรถเบนซ์ของเศรษพงศ์ เคลื่อนตัวออกจากบริเวณนี้ไป แต่พอผ่านไปสักพัก อยู่ๆก็มาเจอสภาวะรถติดแบบกระทันหัน ร่างสูงแอบลอบมองคนตัวเล็กตลอดระยะทาง ใบหน้าเรียวเล็กนั้น ช่างตราตรึงหัวใจของเขาได้อย่างง่ายๆ เลยเผลอเลื่อนมือไปกุมมือของอีกฝ่าย

     

    “นี่คุณทำอะไร” ร่างบางถลึงตาพูดท้วงอย่างหัว พลางสบัดมือหนาๆทิ้งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังชะรอจอดรถรอไฟเขียว

     

    “ก็จับมือไง” ร่างสูงตอบหน้าตาเฉย

     

    “คุณนี่ มันคนฉวยโอกาสจริงๆเลย” นนทนันท์มุ่ยหน้าตอบ

     

    “ก็แค่กับชาเท่านั้นแหละ อยู่กันแค่สองคนไม่ต้องเรียกคุณแบบนั้นได้ไหม มันห่างเหีนจนเกินไป”

     

    “รู้แล้วหน่า”



    “รู้ไว้ก็ดีแล้ว  แล้วตอนนี้พี่ก็มีอะไรจะพูดด้วย...”

     

    “อะไร” ทำเสียงห้วนๆใส่

     

    “คือพี่ทนไม่ไหวแล้วนะ!! วันไหนจะให้พี่เปิดเผยให้คนอื่นเขารู้สักที ว่าเราเป็นแฟนกัน!!” เศรษฐพงศ์แทบจะตะโกนออกไป เพราะเรื่องระหว่างทั้งสองมันอึดอัดมาก อยากจะระบายมันออกมาให้ทุกคนรู้ แต่คนตัวเล็กกลับไม่ยอมให้ทำแบบนั้น

     

    “ก็ชาไม่อยากให้คนอื่นคนมองว่าพี่เป็นสมภารกินไก่วัดหนิ เพราะมันจะเสียการปกครอง”

     

    “มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกันเลย แล้วถ้าชากลัวที่คนอื่นเขาจะว่าแบบนั้น ชาก็ยื่นใบลาออกจากงานได้เลย เดี๋ยวพี่หาเลี้ยงเอง ลำพังเงินเดือนพี่คนเดียวเลิ้ยงชาได้สบาย”

     

    “จ้า พ่อคนรวย แต่ที่ชาไม่อยากให้คนอื่นรู้ เพราะกลัวว่าจะมีคนคาบข่าวไปบอกแม่ของพี่นะสิ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องกันพอดี”

     

    “เรื่องนี้พี่จัดการเองหน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

     

    “คงจะไม่ได้ผลหรอกครับ... พี่ก็รู้ว่าแม่พี่คงไม่มีทางยอมรับในตัวชา เพราะชามันจน ไม่ใช่ลูกเจ้าหลานเธอเหมือนที่แม่พี่หมายหมั้นจะให้แต่งด้วย.... ที่เราคบกันอยู่ทุกวันนี้ชาก็มีความสุขแล้ว ชาไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆครับ”

     

    นนทนันท์บอกไปทั้งความรู้สึกที่ตนมี  ถึงแม้จะคบกันได้ไม่นาน แต่ร่างก็สามารถบอกได้ ว่ารักเขามากเหลือเกิน ในเมื่อเขาเป็นทั้งพี่ชายทั้งเพื่อนที่แสนดี คอยช่วยเหลือกันมาตลอด เพราะเหตุนี้แหละที่นนทนันท์ได้ยอมแอบคบกับเขา ถึงแม้ว่าความรักจะถูกกีดกันเหมือนละครน้ำเน่าหลังข่าวก็ตามที

     

    “งั้นก็ตามใจก็แล้วกัน ชาขออะไรพี่ก็ทำให้ได้หมดนั้นและ.. ไม่รู้ว่าคบแฟนหรือคบชู้อ่ะ ต้องคอยหลบๆซ่อนๆตลอดเวลา เฮย...”

     

    เศรษพงศ์ถอนหายใจเหนื่อยๆ ก่อนที่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ร่างสูงจึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปในขณะที่ฝนก็ยังตกอยู่เชนเดิม

     

    ความรักของผมมันช่างน้ำเน่าจริงๆ แต่ยังไงผมก็ยอมทำตามที่เขาพูดไว้ เพียงเพราะคำว่ารักคำเดีย


    .
    .
    .

    หักมุมนิดๆ คู่สุดท้ายอิๆๆ 
    คาดไม่ถึงเลยสิ ว่าจะแอบคบกัน
    สงสารตัวเล็กคู่แรกนะ ที่ตัดความหวังไปจนหมด
    แอบรักถึงท่านประธาน ก็เจ็บอย่างที่เห็น

    ฝากคนที่ทำโปสเตอร์เป็น
    ฝากทำให้ด้วยนะค่ะ โปสเตอร์เรื่องนี้
    อยากเอาไปแปะค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×