คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter : 8
Chapter : 8
Fandom : Produce 101
Pairing : 2Kang [Baekho x Daniel]
Note : ครบ 100% ล่ะน้าาา
⚠ : มีคำหยาบพอสมควรแต่ก็เพื่ออรรถรสจ้ะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเคยคิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
แต่ตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ทั้งหมดนั้น
ผมกลับชอบมันหมดเลย
ขายาวเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างๆประตูรถ หยุดยืนเพื่อเก็บใบสลิปค่าใช้จ่ายเข้ากระเป๋าที่เพิ่งไปเสียมาอยู่สักพักถึงได้ก้มลงมองผ่านกระจกรถเข้าไปภายใน เพ่งมองอยู่พักใหญ่จนแดเนียลต้องขมวดคิ้ว ทั้งที่สมควรจะมีคนๆนึงอยู่ในรถสิ คนที่ดื้อด้านจะมาส่งเขาทำธุระให้ได้ บอกให้กลับบ้านไปซะก็ไม่ยอมฟังบอกว่าจะปล่อยให้คนมือพิการออกมาข้างนอกคนเดียวได้ยังไง กวนตีนชะมัด
คังแบคโฮ ไอ้เพื่อนร่วมงานที่ชอบกวนตีนเขาเมื่อมีโอกาสทุกที ยกเว้นเวลาที่อยู่บนเตียงด้วยกันน่ะนะ ก็แค่เจ็บมือมั้ยวะ แต่กับมาคอยประกบตลอด ประคบประงมทำเหมือนเขาเป็นเด็กอมมือยังไงยังงั้น ไม่รู้ว่าเป็นห่วงจริงๆหรือแค่อยากกวนตีนกันแน่ ถ้าไม่ติดว่าเพราะเฝือกที่มือนี่ทำให้ขับรถลำบาก เขาคงไม่ยอมให้มันตามมาด้วยหรอก จริงๆแล้วแดเนียลก็แค่อยากให้แบคโฮกลับไปที่ร้าน ไปหาซอนโฮซะบ้างเพราะเจ้าตัวก็ไม่ยอมติดต่อหรือไปช่วยเหลืออะไรน้องที่ร้านเลยตั้งหลายวันแล้ว แค่ไม่อยากให้แบคโฮทำตัวติดกับตนมากจนเกินไป
รอบข้างที่เต็มไปด้วยรถยนต์หลายรุ่นหลายคันจอดเรียงรายกันเต็มไปหมด บรรยากาศในลานจอดรถแคบๆปกคลุมไปด้วยแสงไฟสีส้มสลัวๆ ส่งผลให้บรรยากาศดูสยองแปลกๆในความคิดของแดเนียล บรรยากาศอย่างกับหนังผี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปรานเลยสักนิด เขาไม่ชอบหลายอย่างในโลกใบนี้และนอกจากตัวเองแล้ว ก็มีความมืด ที่แคบ แล้วก็ผีนี่แหละที่เขาโคตรจะไม่ชอบและไม่อยากเจอเลย แดเนียลล่ะสายตาจากบรรยากาศโดยรอบแล้วหันหน้าเข้าหาตัวรถพยายามไม่มองออกไปรอบข้างให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี ในใจก็บ่นไปร้อยแปดพันเก้าถึงไอ้เพื่อนร่วมงานตัวดีที่ไม่ยอมอยู่เฝ้ารถ หายไปไหนไม่บอกไม่กล่าวนั่นไปหลายรอบ
“หายไปไหนของมัน” ผ่านไปหลายนาที แดเนียลจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกำลังจะกดโทรหาคนขับรถชั่วคราวของเขา แต่อยู่ๆเสียงฝีเท้าหนักๆก็ดังก้องขึ้นแทรกความเงียบกริบในลานจอดรถแห่งนี้ ทั้งที่เขาก็เพ่งมองไปรอบๆแล้วนะแต่กลับไม่เห็นใครสักคน ยิ่งนานเข้าเสียงฝีเท้านั่นยิ่งดังขึ้นเหมือนกับมีอะไรหรือใครสักคนเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แดเนียลพยายามคิดว่าน่าจะหูฟาดไปเอง แล้วรีบกดเบอร์โทรออก...
“เห้ย!”
เขาสะดุ้งเฮือก เพราะจดจ่อกับโทรศัพท์มากไปจึงไม่ทันเห็นว่ามีใครก้าวเข้ามาประชิดตัวจากทางด้านหลัง สองแขนของเพื่อนร่วมงานกอดเข้าที่เอว ดึงให้เซเข้ามาแนบชิดตัวเอง ความสูงที่พอดีกันทำให้ฝ่ายที่อยู่ด้านหลังเอาคางเกยไหล่กว้างเพื่อต้องการจะสูดดมกลิ่นแก้มของอีกคนได้อย่างง่ายดาย
“สะดุ้งซะ อย่าบอกนะว่ามึงกลัว”
“ไอ้สัดนี่ ออกไปเลยอึดอัด” ถอนหายใจใส่ซะเลย
คอนโดแบคโฮ
“พี่ฮังนยอนตามสบายเลยนะครับ”
“ขอบใจนะที่พามาทั้งที่เราก็เหนื่อยกับงานที่ร้านอยู่แล้ว” ฮังนยอนพูดพลางหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา หันซ้ายหันขวาไปสำรวจห้องไปเสียทุกซอกทุกมุม
“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องแค่นี้เองยังไงซะผมก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้วด้วย” ซอนโฮเดินเลี่ยงจากฮังนยอนไปวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมากดส่งข้อความไปหาพี่ชายในสายเลือดว่าเขามาหาที่นี่ ถึงแม้ว่าปกติแล้วซอนโฮจะเข้าออกที่คอนโดของพี่ชายของตัวเองเป็นปกติเพราะมีคีย์การ์ดสำรองที่แบคโฮทำไว้ให้ก็เถอะ แต่ครั้งนี้มีฮังนยอนที่ขอตามมาด้วยเพราะอยากเจอพี่แบคโฮ เขาเลยจำต้องส่งข้อความไปบอกพี่ชายไว้ก่อนเพราะถ้าเกิดพี่มาเจอทีหลังแล้วไม่พอใจที่พาคนอื่นเข้ามาในห้องของเขาสุ่มสี่สุ่มห้ากลัวจะโดนแตะเอา แต่สำหรับพี่ฮังนยอนแล้วก็ไม่น่าจะใช่คนอื่นคนไกลนี่นะ เพราะก่อนหน้านี้ก็ดูสนิทสนมกันกับพี่แบคโฮขนาดนั้น...
“แล้วก็ยังไม่อยู่เหมือนเดิมเลยนะพี่ชายนายเนี่ย”
“เขาอาจจะยังไม่กลับก็ได้มั่งครับ พี่แบคโฮก็เป็นแบบนี้บ่อยติดต่อไม่ค่อยได้อยู่แล้วเลยไม่ค่อยอยากจะใส่ใจอะไร...แต่ครั้งนี้ตั้งสามวันติดผมก็ชักจะเริ่มเป็นห่วงแล้วเหมือนกันแฮะ” ซอนโฮพูดจบแล้วก้มลงไปมองโทรศัพท์เพราะคิดว่าแบคโฮตอบกลับมา แต่กลับเป็นข้อความจากรูมเมจของเขาส่งมาแทน พอเขาจับใจความข้อความนั้นได้ก็รีบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินดิ่งมาหาฮังนยอนทันที
“พี่ฮังนยอนครับคือผมขอลงไปหาเพื่อนแถวนี้แป้ปนึงนะครับ มันเอางานมาให้น่ะ”
“อ่า ได้สิไม่เป็นไรหรอกนายไปเถอะ”
“เดี๋ยวผมมานะพี่” หลังจากฮังนยอนพยักหน้ารับซอนโฮก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที
9 PM
รถยนต์เปิดประทุนสีดำสนิทวิ่งบนถนนที่แทบจะปราศจากรถคันอื่นๆร่วมทางมา ทั้งสองข้างทางมีเพียงแสงไฟสีส้มและแสงจากด้านหน้าของรถเท่านั้นที่ให้ความสว่างส่องลงบนพื้นถนนเป็นตัวนำทาง และด้วยความชำนาญทางของเจ้าของรถ แบคโฮจึงกล้าที่จะประคองพวงมาลัยด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็วางพาดกับประตูรถ ลมเย็นสดชื่นผสมความชื้นจากไอน้ำค้างพัดเข้ามาปะทะคนทั้งคู่
“แดน” น้ำเสียงโทนต่ำเรียกชื่อของอีกคน โดยที่สายตายังไม่ล่ะออกไปจากถนนข้างหน้า
“...”
“แดน...”
เงียบสนิทจนต้องหันหน้าไปมอง เพื่อนร่วมงานของเขาหลับสนิทไปซะแล้วทั้งที่เขาขับรถออกมาจากห้างนั่นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ...หลับง่ายเหมือนเดิมเลย
ใบหน้าคมมองออกไปยังทางข้างหน้า เขาลดความเร็วลงเรื่อยๆก่อนจะเหงนมองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่ดูเหมือนจะมืดมิดแต่ก็ยังมีแสงสว่าง นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้มองพวกมันแบบนี้ ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงดาวพวกนั้น แสงสว่างที่สวยงามกำลังส่องแสงลงมามากกว่าทุกวันอย่างน่าเป็นประหลาด หรือเป็นเพราะความจริงแล้วดวงดาวพวกนั้นมันส่องแสงอยู่แล้ว มีตัวตนอยู่ไกล้เขามาโดยตลอด แต่เป็นเขาเองที่ไม่เคยมองมันกันแน่นะ เหมือนกับคนข้างกายของเขาตอนนี้...
ถ้าวันนั้น ถ้าเกิดได้ล่วงรู้ว่าอนาคตจะรู้สึกกับมันมากมายขนาดนี้ เขาก็คงไม่มีทางรับปากความสัมพันธ์แบบนั้นกับมันแน่
“ถ้ากูลืมมึงได้ มันจะทำให้มึงจดจำกูได้บ้างไหมนะ”
อากาศในยามค่ำคืนและสายลมปะทะเข้ากับตัวรถที่พัดเข้ามาทำให้รู้สึกดีกว่าที่เคย ผมหน้าม้าซอยสั้นสีอ่อนปลิวสไหวอยู่บนใบหน้าหวานของคนข้างๆที่ยังหลับ แดเนียลเริ่มเอียงหัวลงมาด้านข้างเรื่อยจนแบคโฮต้องเอื้อมมืออีกข้างไปประคองหัวทุยเอาไว้ เขาลอบมองเพื่อนร่วมงานสลับกับมองทางข้างหน้าเป็นระยะ แต่กลับไม่ยอมปลุกให้อีกคนตื่นขึ้นมาทั้งที่มันก็ทำให้ตนเริ่มขับรถลำบาก แต่ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ แบคโฮกำลังหัวเราะ...
แสงจันทร์บนฟ้ามันส่องแสงลงมาบนตัวของคุณ ทำให้คุณหลับไหล ทำให้ผมได้เห็นคุณเป็นเพียงแค่เด็กไร้เดียงสา...ที่ผมหัวเราะออกมาก็เพราะเหตุผลนี้แหละ
ไม่นานนักก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งนึง ไม่ค่อยมีรถผ่านนักเพราะห่างไกลจากตัวเมืองไม่น้อย แบคโฮจอดรถใกล้ๆกับสะพานก่อนจะดับเครื่องลง แดเนียลที่หลับอยู่เบาะข้างกันมาตั้งแต่ครึ่งทาง ค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาหยีเหมือนไม่ได้ลืมขึ้นเลยนั้นพยายามเพ่งมองไปตรงหน้า
“ถึงคอนโดแล้ว?”
คนขับรถชั่วคราวยังไม่ยอมตอบกลับอะไรกลับมา แต่พอเขาลองขยี้ตาแล้วเพ่งมองบรรยากาศโดยรอบที่ไม่คุ้นเคยแดเนียลถึงกับตื่นเต็มตาในทันที
“ที่ไหนวะ?” ขมวดคิ้วมองอีกรอบ
“แม่น้ำ มึงไม่เคยเห็นหรือไง?” แบคโฮพูดด้วยน้ำเสียงยียวน
“เคย แล้วพามาทำไม?ไหนบอกจะกลับคอนโด”
“ก็กลับไง แต่ไว้ทีหลังมีอะไรมั้ย?” แบคโฮยักไหล่ให้กับความขี้บ่นของเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็เรื่องของมึงแล้วกัน”
แดเนียลหันไปมองแรงใส่แล้วเลิกสนใจกับอารมณ์แปลกๆของมันที่อยู่ๆก็อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศกินลมชมวิวทั้งที่ปกติเข้าแต่ผับออกแต่โรงแรม แดเนียลปรับเบาะลงไปจนราบสุด เอาแขนสองข้างรองไว้ใต้ท้ายทอยแล้วเอนตัวลงไป ดวงตาเรียวสะท้อนเงาของดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ทำให้นัยน์ตาคู่นั้นดูเป็นประกายกว่าเดิมหลายเท่าตัว สีหน้าที่เคยคาดเดาได้ยากและมีอะไรบางอย่างในใจตลอดเวลาดูผ่อนคลายลงไปไม่น้อย แบคโฮที่เห็นท่าทางมีความสุขของเพื่อนตัวเองก็เผลอระบายยิ้มบางๆออกมาอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับปรับเบาะให้ลงไปอนยู่ในระดับเดียวกันกับอีกคนและสายตาทอดยาวมองขึ้นไปด้านบน
ที่ๆดาวดูสวยขนาดนี้ไม่ใช่มีแค่ในหนังสินะ
ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งบริเวณแต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัด ทั้งสองคนเลือกที่จะปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไปตามสายลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ยามค่ำคืน ทุกสิ่งรอบตัวชวนให้รู้สึกผ่อนคลายโดยที่แทบจะไม่ต้องทำอะไร ที่เขาว่าการรับพลังจากธรรมชาติจะช่วยปลอบประโลมทุกความเศร้าในใจได้มันคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยที่ทั้งสองคนก็ยังคงนอนมองดูดาวเงียบๆไม่พูดอะไรขึ้นมา แดเนียลหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดสูบ จังหวะเดียวกับที่แบคโฮคว้ากระป๋องเบียร์จากที่วางแก้วที่ยังดื่มไม่หมดไปดื่มต่อ กลิ่นแอลกอลฮอลลอยละล่องผสมกับกลิ่นนิโคตินที่จุดไฟสีแดง กลายเป็นกลิ่นขมในแบบลูกผู้ชาย ชวนให้เวียนหัวแต่ก็รู้สึกดีไปพร้อมๆกัน
“เอามั้ย?” แดเนียลยื่นบุหรี่ไปทางอีกคน แต่เป็นไปตามคาดอีกฝ่ายส่ายหัวปฎิเสธ
“มึงก็รู้ว่ากูไม่สูบ”
“เออรู้ แค่อยากกวนตีน” แดเนียลหัวเราะก่อนจะสูดควันเข้าปอดอีกครั้งแล้ววางแขนไว้บนประตูรถ
“จะเลิกสูบเมื่อไหร่?”
“ทำไมกลัวกูตายหรือไง?”
“เออดิ กูกลัวผี” แบคโฮขำ อีกฝ่ายไหวไหล่ไม่สนใจกับคำตอบกวนๆนั่น ก่อนจะอัดควันบุหรี่เข้าปอดไปอีกรอบแล้ววางแขนไว้บนขอบประตูรถ
แบคโฮนั่งมองอีกฝ่ายสูบบุหรี่ไปจนถึงครึ่งมวน ชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพูดสิ่งที่คิดไว้อยู่ตอนนี้ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พูดออกไป
“แดนกูว่าเมื่อกี้มึงถามผิดไปหน่อยนะ”
“ถามผิด? ยังไง?” แดเนียลขมวดคิ้ว เขายังคงอัดควันเข้าปอดอยู่เรื่อยๆสายตามองตรงไปยังบรรยากาศริมแม่น้ำข้างหน้าเพื่อรอคำตอบ
“มึงต้องถามว่ากูเป็นห่วงใช่มั้ย แล้วกูจะตอบว่าใช่...กูเป็นห่วงมึงจนอยากจะดูแลอยู่ตลอด แล้วอยากให้มีแค่กูคนเดียว ที่ได้เป็นคนดูแลมึง”
แดเนียลเงียบลงอีกครั้ง นิ้วที่คีบอยู่ปลายก้นบุหรี่ค้างอยู่ที่เดิม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกโหวงๆในใจแบบนี้ สั่งให้ตัวเองหัวเราะออกมาสักครั้งก็ยังดี
“แดน”
“....”
“ในโลกนี้น่ะไม่มีใครดูแลมึงได้ดีเท่ากูหรอก”
“หลงตัวเองว่ะ” แดเนียลหลุดขำออกมาเบาๆ มองรถที่แล่นส่องแสงไฟอยู่บนถนน แบคโฮหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มต่อบ้าง และเมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุมบทสนทนาอีกครั้งเขาจึงพูดขึ้น
“เหลือแต่มึงแล้ว”
“...”
“ให้เป็นกูได้มั้ย คนที่จะได้ดูแลมึง...แค่กูคนเดียว” แดเนียลชะงักไปเล็กน้อยคล้ายกำลังทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ต่างจากอีกคนที่กำลังเม้มปาก แทบจะกลั้นหายใจไปกับการรอคอยคำตอบ ซึ่งแบคโฮก็รู้ดีว่ามันยาก แต่เขาแค่อยากจะลองเสี่ยงดูแค่นั้น... แม้สายตาและท่าทางของอีกฝ่ายบ่งบอกไม่ได้จริงๆว่ารู้สึกยังไง
“มึงเป็นเพื่อนกูนะ...”
“ตอนนี้กูก็ยังอยากให้เป็นแบบนั้น แบบที่มึงเคยรับปากกับกูไว้...ได้มั้ย?” แดเนียลผ่อนลมหายใจ ความเงียบทำให้บรรยากาศมันเริ่มอึดอัดขึ้นมาทำให้เขาเอียงคอมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ เรียกชื่อของเพื่อนร่วมงานออกไปอีกครั้ง
“แบคโฮ...”
“กูเข้าใจน่ะ” แบคโฮใช้กระป๋องเบียร์เคาะหน้าผากแดเนียลเบาๆแล้วกระดกดื่มพร้อมขำแห้งๆออกมา หันไปยิ้มให้คนหน้าหวานที่ยังทำสีหน้าในแบบที่เขาไม่เคยเข้าใจ ไม่เลยสักนิด...
“ไม่ว่ามึงจะพูดยังไง”
“...”
มันลำบากแม้กระทั่งจะหายใจ ผมยื่นมือออกไป แต่ไม่มีใครสักคนที่คว้ามันไว้
“กูอยู่ตรงนี้เสมอนั่นแหละแดน”
ผมมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ที่แกล้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่มีแต่ความเจ็บปวด คุณไม่ต้องเมตตาผมหรอก
ซอนโฮเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนคนทั่วไปที่อายุเท่าๆกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต่างออกไปหน่อยคือเขาเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่ไม่ค่อยได้มีเวลาว่างมากเท่าเพื่อนๆวัยเดียวกัน เพราะครอบครัวที่ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ทั้งชีวิตของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ที่มีเพียงพี่ชายคนเดียวคอยดูแล ด้วยความที่เขาไม่อยากให้พี่ชายเหนื่อยเพื่อตนเองอยู่ฝ่ายเดียว ซอนโฮจึงมักจะมาเป็นบาริสต้าประจำร้านกาแฟเล็กๆที่ถูกสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่ชายอยู่แทบจะบ่อยครั้ง เพื่ออยากแบ่งเบาภาระได้บ้างสักนิด
ถึงแม้แบคโฮจะไม่ได้อยากให้เขามาหมกตัวอยู่แต่ในร้าน อยากให้น้องชายมีเวลาว่างไปหาความสุขของตัวเองบ้างเพราะไหนจะเรียนหนักอีก แต่พอจะจ้างคนมาให้ช่วย ซอนโฮก็ไม่เอาอยู่ดี เหตุผลหลักๆก็เพราะเขามีความสุขที่ได้ทำอะไรสักอย่างด้วยใจรัก ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองนั่นแหละ แต่เหตุผลที่รองลงมาจากนั้นน่ะเหรอ...ก็เพราะคนตรงหน้านี่ยังไงล่ะ
“ซอโน ไม่ได้ยินที่เราพูดเหรอ?...ซอโน!!!” เจ้าของชื่อล่ะสายตาจากใบหน้าหวานของคนที่กำลังเงยหน้าขมวดคิ้วใส่เขา จมูกโด่งรั้นนั่นกำลังหายใจฟึดฟัดอารมณ์ไม่ค่อยจอยเท่าไหร่นักแต่กลับดูน่ารักน่าหยิกให้แดงช้ำซะจริงในสายตาของซอนโฮ
“ได้ยินครับได้ยิน หูยังใช้ได้อยู่เนี่ยดูสิ” เคาะหูตัวเองให้ดูเป็นภาพประกอบ คนตัวเล็กตรงหน้าย่นจมูกใส่ทันที
“นี่กวนเราหรอซอโน?”
“ไม่กล้าครับคุณแดฮวีอย่าเพิ่งขึ้นดิ ไม่เจอกันตั้งหลายวันอ่ะยิ้มให้ดูหน่อยสิ นะครับ นะๆ” ซอนโฮทนความหมั่นเขี้ยวไม่ไหวจับแก้มนุ่มนั่นยืดเล่นไปมาซะเลย
“เพราะใครล่ะเลิกเรียนแล้วก็ทำแต่งานอ่ะ” แดฮวีเท้าเอวใส่ตีมือคนเอาแต่ใจที่ยังบีบแก้มของเขาไม่ยอมปล่อย
“แดฮวีก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำพารท์ไทม์อะไรทุกเย็นอ่ะไม่เคยมาที่ทำงานซอโนได้สักที”
“...ขอโทษนะ เราเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องเลยเนอะ” แดฮวีพูดเสียงอ่อนลง ก้มหน้ามองพื้นทันทีจนซอนโฮแทบไปไม่เป็น
“เห้ย ไม่ใช่แบบนั้นนะแดฮวีอ่า” ทำเอาคนตัวสูงใจเสียตกลงไปอยู่ตาตุ่มรีบดึงแขนของคนตัวเล็กมาโอบรอบเอวแล้วกอดเอาไว้จนใบหน้าหวานจมอก มืออีกข้างยกขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ โยกไปโยกมาราวกับกล่อมเด็กเสียอย่างนั้น
“ซอโนผิดเองต่างหาก เนี่ยทำแต่งานเวลาจะให้แฟนก็ไม่มีเนี่ยแย่มากๆเลยทั้งที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้ แย่จริงๆเลย”
“ใช่! แย่มาก” แดฮวีดันอีกคนออกจากตัวก่อนจะทุบไหล่ไปซะเต็มแรง “คิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์แมนหรือไงทำงานอยู่ได้ไม่พักผ่อนอ่ะ คนบ้างาน!”
“เอ้า นี่ไม่ได้เศร้าจริงหรอครับ คนเราอ่ะ” เกาหัวอย่างงงๆแล้วก็ต้องหัวเราะออกมากับคำตอบของแฟนสุดที่รัก
“ซอโนก็ไม่มีเวลาให้เราเหมือนกันเพราะงั้นเราไม่ยอมเศร้าฝ่ายเดียวหรอก ซอโนก็ต้องเศร้าด้วย” เท้าเอวใส่ซะเลย
“โถ่ ก็ไม่ได้บอกเลยว่าไม่เศร้า รู้สึกแย่เหมือนกันที่ไม่ค่อยได้เจอแดฮวีเลย แต่พอคิดว่าต้องทำเพื่ออนาคตของเราแล้วก็เพื่อแดฮวีเลยหยุดทำไม่ได้สักทีอ่ะ”
แดฮวีอึ้งค้างไปเลยกับประโยคนั้นของคนรัก ก็ไม่ใช่ว่าซอนโฮจะไม่เคยพูดทำนองนี้กับเขาเวลาไม่ค่อยได้เจอกันหรอกนะ ถึงจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆแต่ฟังทีไรมันก็ยังรู้สึกเขินๆอยู่ดี ก็มันไม่ชินอ่ะ!
“พูดไรเล่า อนาคตของเราอะไรเอาตอนนี้ก็พอแล้ว” แล้วคนตัวสูงกว่าก้มมองคนที่ไม่กล้าเงยขึ้นมาสบตาแล้วลอบยิ้ม
“อีกปีก็เรียนจบแล้วไง อนาคตเผื่อได้แต่งก็ต้องทำงานเก็บเงิน..” ยังพูดไม่ทันจบก็โดนทุบไหล่เข้าไปอีกหลายที จนซอนโฮต้องรีบคว้าข้อมือบางของคนดื้อเอาไว้แล้วลูบไหล่ตัวเองปอยๆ
“เจ็บนะเนี่ย ตัวหน่อยนึงแต่แรงเยอะจังเลยแฟนใคร”
“ไม่ต้องมาขี้โม้เลยยย แค่ครอบครัวซอโนเรายังไม่รู้จักเวลายังไม่ค่อยมีเลยจะมาขอแต่งอะไรเล่า”
“พาไปเดี๋ยวนี้เลยอ่ะ เอามั้ยล่ะครับ”
“ขี้โม้! พอเลยไม่ต้องพูดด้วย” แดฮวีขึ้นเสียงใส่ แต่คนตรงหน้ากลับยิ้มสู้ ทำท่ารูดซบปากไม่พูดเป็นภาพประกอบอีก เลยโดนทุบไหล่ไปอีกรอบ ไม่ต้องสืบเลยว่าไหล่ซอนโฮจะระบมไปแค่ไหนแล้ว
“จริงๆเลย ซอโนเราต้องกลับแล้วอ้ะ อย่าลืมตรวจรายงานที่เราให้ไปนะ อีกอย่างพักงานมั่งรู้เปล่า”
“แดฮวียังไม่ยอมพักเลย แล้วทำไมรีบกลับจังยังไม่หายคิดถึงเลยนะครับ” ซอนโฮรีบคว้าตัวแฟนมากอดไว้ คนในอ้อมแขนดิ้นน้อยๆ เพราะเริ่มมีคนเดินมาทางที่ทั้งคู่คุยกัน เป็นลานน้ำพุข้างหน้าคอนโด ยามคนนึงมองมาที่พวกเขาแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อยทำเอาแดฮวีอายเข้าไปใหญ่
“เราต้องเข้ากะดึกอ่ะซอโนก็รู้”
“ให้เราไปส่งมั้ย?” แดฮวีเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหัวเป็นพลันวัน
“ไม่เป็นไรๆ ซอโนกลับไปทำรายงานต่อเถอะไป” แดฮวีรีบดันแฟนหนุ่มออกจากตัวแล้วดันหลังให้เดินกลับไปคอนโด “กลับได้แล้วน่าาา” เพราะเจ้าตัวทำท่าจะไม่ยอมไปลูกเดียว ใช้เวลาอยู่นานแดฮวีเลยต้องทำหน้าจริงจังใส่อยู่หลายรอบซอนโฮถึงจะยอมโปกมือลาไปจนได้
ใช่ ความจริงแล้วแดฮวีไม่ได้ทำพาร์ทไทม์อย่างที่ว่าไว้ และงานที่ทำให้เจ้าตัวยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับแฟนหนุ่มนั่นก็ไม่ใช่งานที่ซอนโฮคิดแต่อย่างใด ก็อย่างที่รู้นั่นแหละ...แดฮวีเป็นโฮสต์
แต่คนที่ไม่รู้มีเพียงแค่ซอนโฮแฟนหนุ่มของเขาที่คบกันมาได้เกือบปีนึงแล้วเท่านั้น แดฮวีไม่มีครอบครัวเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก จนเรียนมหาลัยจำต้องแยกตัวออกมาจากสถานรับเลี้ยงแล้วมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แดฮวีไม่มีใครอีกครั้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ไม่นานก็มีงานๆนึงที่ทำให้เขามีรายได้จนสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ เรียนไปด้วยได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครอีก...นั่นคือการเป็นโฮสต์
ไม่ใช่ว่าแดฮวีอายหรือกลัวว่าซอนโฮจะรับไม่ได้กับงานโฮสต์ที่เขาทำหรอกนะ เพราะการเป็นโฮสต์ไม่ใช่การขายตัว แต่เป็นการใช้ร่างกาย คำพูด และเสน่ห์เพื่อเอนเตอร์เทนให้กับคนที่มีเงินจ่ายก็เท่านั้น แต่เพราะไม่เคยมีโอกาสเหมาะๆบอกออกไปสักที และไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดีด้วย จนนานๆเข้าก็ต้องกลายมาเป็นการปิดบังไปโดยปริยาย แต่การที่ซอนโฮยังไม่รู้เรื่องนั่นแดฮวีคิดน่าจะเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะหลังจากที่ได้นอนคิดเรื่องนี้มาหลายคืน หลังจากจบทริปปูซานครั้งนี้ แดฮวีตั้งใจจะลาออกอยู่แล้ว...
เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยที่ทั้งสองคนก็ยังคงนอนมองดูดาวเงียบๆไม่พูดอะไรขึ้นมา ที่ต่างไปจากตอนแรกก็คงจะมีแค่มือของพวกเขากอบกุมกันและกันไว้เบาๆ แดเนียลหันไปมองนาฬิกาดิจิตัลที่อยู่ตรงคอนโซลหน้ารถเพื่อเช็คเวลาให้แน่ใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่มีมาเกือบชั่วโมง
“กลับเหอะ ดึกแล้ว” แดเนียลล่ะสายตาจากท้องฟ้ามืดสนิทที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาวแล้วหันไปถามอีกคน ซึ่งพบว่าตัวเองถูกมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาที่ดูอ่อนโยนลงมาพอสมควร คนถูกจับได้รีบเฉหน้ามองไปทางอื่น มืออีกข้างปัดไปถูกกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ข้างประตูรถจนเกือบหก แบคโฮรีบจับไว้ได้ทันอย่างทุลักทุเล แดเนียลหันหน้าหลบไปหัวเราะกับความซุ่มซ่ามของเขา ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนักหรอก…ตลกดี
“กระป๋องนี่ก็ขวางทางกูจริง" สบทกลบเลื่อนไปซะงั้น
“โอ๋ๆไม่เป็นไรๆ ไม่ร้องนะอีหนู” แดเนียลยกมือข้างนึงขึ้นมาวางบนกลุ่มผมแบคโฮขยับลูบเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงกระเซ้า ต่างกับอีกคนที่มองเพื่อนร่วมงานด้วยหางตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอ เมื่อเห็นว่าเจแดเนียลยังไม่หยุดเล่นผมของเขา ด้วยความหมั่นใส้แบคโฮจับมือเรียวบนหัวออกกระชากแขนอีกคนให้เข้ามาไกล้ เอียงใบหน้ากดจูบย้ำๆลงบนริมฝีปากและไม่ยอมให้ถอนริมฝีปากหวานนั้นออกไปได้ง่ายๆ แต่เมื่อแดเนียลเริ่มประท้วงเพื่อที่จำพูดอะไรบางอย่างต่อด้วยการกัดลิ้นของเขาเบาๆจึงยอมผละออกมาอย่างเสียดาย
“เป็นเหี้ยอะไรของมึง จูบอยู่ได้ทั้งวันอดอยากนักหรือไง?”
“คงงั้นมั่ง เห็นมึงทีไรแล้วหิวทุกที” แบคโฮหัวเราะร่วนที่ได้เอาคืน ไม่รอฟังคำด่าที่กำลังจะตามมาเขารีบสตาท์รถ แล้วขับออกไปในทันที
คอนโดแบคโฮ
แบคโฮแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเข้ามาในห้องพักของตนเอง ไม่ได้เอะใจเลยว่าไฟในห้องเปิดอยู่ เขาเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้วกลับได้ยินเสียงแปลกๆที่มั่นใจว่าไม่ใช่เสียงจากห้องอื่นแน่ๆ แต่มันดังมาจากฝั่งโซนห้องครัว แดเนียลเดินตามเพื่อนร่วมงานเข้ามา พลางกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างไม่คุ้นชินมากนักเพราะไม่ได้มาค้างที่นี่นานพอควร แต่สิ่งที่ไม่ต่างไปจากเดิมเลยก็คือความรกเนี่ยแหละ “เคยรกยังไงก็รกยังงั้น” แดเนียลได้แต่สายหัว
“ก็มาอยู่กับกูมาดูแลกูสิ” แบคโฮหัวเราะ
“เรื่องอะไร รีบไปเอาของอะไรของมึงได้แล้วจะได้รีบไปส่งกูสักที ง่วงนอน”
“ค้างนี่ไหมล่ะ?”
“ไม่ กูต้องกลับไปเก็บของเตรียมไปทริปมึงก็สมควรเตรียมตัวบ้างไม่ใช่มาเก็บตอนคาบเส้นแล้วได้แต่กางเกงไปตัวเดียวเหมือนครั้งที่แล้วอีก ลำบากกูตลอด” แดเนียลเอ่ยขณะที่หยิบบุหรี่จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดไฟ แล้วเดินไปเปิดประตูระเบียงห้อง ยืนรับลมเย็นที่พัดเอื่อยเข้ามาไปพร้อมๆกับพ่นควัน
“ขี้บ่นยิ่งกว่าน้องกูอีก” พลางยักไหล่ไม่ใส่ใจ แบคโฮเดินไปที่ครัวเพื่อที่จะดูให้แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินตอนแรกเป็นเสียงอะไร แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครหรือใคร บางทีเขาอาจจะหูฟาดไปเองนั่นแหละนะ แบคโฮถอนหายใจ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว...เขาเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วคว้าเบียร์กระป๋องที่ซื้อมาแช่ติดตู้เย็นไว้เป็นลังตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่แปลกที่อาหารสดยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ แสดงว่าซอนโฮไม่ได้มาคอนโดของเขาเลยงั้นเหรอ
ในขณะที่แบคโฮกำลังคิดว่ามันแปลก เพราะซอนโฮน่ะหลังจากเลิกเรียนหรือปิดร้านกาแฟเสร็จบางวันก็ชอบมาหาอะไรกินที่คอนโดของเขา ถ้าวันไหนเหนื่อยมากจนขี้เกียจกลับหอก็ค้างที่นี่เลยก็มี
“โทรหามันหน่อยดีกว่า” แบคโฮกำลังจะหันหลัง อยู่ๆก็มีมือของใครบางคนแตะลงบนบ่า เขาเผลอสะดุ้งรีบหันมามองทันทีเกือบจะผลั้งมือต่อยออกไปแต่โชคดีที่มองเห็นหน้าอีกฝ่ายซะก่อน
“ใจเย็นพี่ ผมเอง”
“ซอนโฮเองเรอะ โว้ะ!ไอ้นี่ มาทำไมไม่บอก” แบคโฮเขกหน้าผากน้องชายไปทีนึงแล้วกระดกเบียร์ขึ้นดื่ม ซอนลูบหน้าผากตัวเองปอยๆแตะหน้าแข้งพี่ชายคืนอย่างไม่ยอมกัน
“ส่งข้อความไปบอกแล้วเหอะ หัดอ่านซะมั่งหายไปตั้งหลายวันผมก็นึกว่าตายล่ะ คนยิ่งกลัวๆผีอยู่”
“ไอ้นี่นิ” อยากจะเคาะกระโหลกมันอีกสักรอบ แต่เปลี่ยนใจหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูข้อความที่ไอ้น้องชายตัวดีนี่บอกว่าส่งมาแทน ถ้าไม่มีนะเขาจะเขกมันอีกรอบเลยคอยดู
สักพักแบคโฮก็ึงกับขมวดคิ้วเมื่ออ่านข้อความนั้นจนเข้าใจ
“ฮังนยอนมาหาพี่งั้นเหรอ...?”
“อ่าว พี่ยังไม่เจออีกเหรอไงอ่ะ”
“สูบบุหรี่หนักขนาดนี้ ผมเป็นห่วงปอดคุณจังเลยคุณโฮสต์แดเนียล”
“คุณจูฮังนยอน...” แค่เสียงก็ทำให้เขาจำได้ทันที แดเนียลหันมาเผชิญหน้ากับคนข้างหลัง สีหน้าดูจะตกใจไม่น้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือเขากำลังคิดว่าจูฮังนยอนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงมากกว่า แถมยังที่คอนโดของแบคโฮ...
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
“สงสัยเหรอ? แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะครับ” ฮังนยอนยิ้มน้อยๆก่อนจะหัวเราะออกมา จ้องหน้าเขาแล้วเอียงคอมองตอบ ในความคิดของแดเนียลท่าทางแบบนั้นราวกับต้องการจะกวนประสาทยังไงยังงั้น เวลาที่ได้เจอกับคุณลูกค้าคนพิเศษคนนี้ของไอ้แบคโฮทีไรแดเนียลรู้สึกแปลกๆทุกที เหมือนกับคนๆนี้ไม่ชอบหน้าเขาเลย ตั้งใจจะเล่นสงครามประสาท ราวกับอยากจะเอาชนะเขาให้ได้อยู่ตลอด เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าจูฮังนยอนต้องการอะไร แต่ที่รู้ๆคงไม่ต้องการจะญาติดีหรือเป็นเพื่อนกับเขาเป็นแน่
“ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ผมจะกลับล่ะ” พูดจบแดเนียลก็หันไปบี้ก้นบุหรี่กับขอบระเบียง กำลังจะเดินเลี่ยงคนตัวเล็กออกไปแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นแหวนเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายของฮังนยอนเสียก่อน แดเนียลหยุดชะงัก เขากระชากแขนอีกคนขึ้นมาในทันทีจนฮังนยอนแทบเซ ความไม่พอใจปรากฎอยู่บนใบหน้า ดูออกเลยว่าพยายามกลั้นมันเอาไว้ขนาดไหนแต่ก็แทบไม่มิดเอาซะเลย
“นี่มันแหวนของผม คุณเอาไปได้ยังไง?ใครอนุญาต!!?” แดเนียลแทบจะขึ้นเสียงสั่น แต่ฮังนยอนกับยังพยายามยิ้มอยู่เช่นเดิมทั้งที่แรงดึงเมื่อครู่นั้นทำให้เขาแทบกระเด็น “ผมถามว่าใครอนุญาต!!?”
“อย่าเพิ่งโมโหขนาดนั้นสิโฮสต์แดเนียล ผมเจ็บนะ...” ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ฮังนยอนไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่แดเนียลพูดเลยสักนิดยิ่งทำให้คนตัวสูงกว่าทวีคูณความไม่พอใจ
“ถอดแหวนผมออกมา” แดเนียลพูดเสียงแข็ง
“คุณอย่าเข้าใจผิดสิ ผมก็เพิ่งรู้ว่าเป็นแหวนของคุณน่ะ เจอมันอยู่ที่ที่ทำงานของคุณเมื่ออาทิตย์ก่อนเห็นสวยดีก็เลยเอามาใส่ไม่คิดว่าจะมีเจ้าของ...”
แดเนียลยังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยและไม่ว่าจูฮังนยอนจะตั้งใจเอามันไปหรือแค่บังเอิญเจอจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะถามอะไรให้มากความกับคนๆนี้อีกแล้ว เขาหามันมาทั้งอาทิตย์แต่กลับอยู่กับคนๆนี้งั้นเหรอ...จูฮังนยอนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิผมจะคืนให้คุณอยู่แล้ว ถ้ามันเป็นของคุณน่ะนะ” แดเนียลปล่อยแขนอีกคนให้เป็นอิสระแล้วพยายามถอนหายใจให้ใจเย็นลง
“แหวนนั่นเป็นของผม”
“ดูคุณมั่นใจดีนะ แหวนนี่คงจะสำคัญกับคุณมากล่ะสิ”
จะว่าสำคัญก็คงใช่ เพราะตั้งแต่ได้มันมาเมื่อสองปีที่แล้วเขาก็ยังเก็บรักษามันเอาไว้ ถึงมันจะเป็นแหวนที่สวยมากวงนึง แต่พอมองมันทีไรกลับทำให้เขาทั้งรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกดีและคิดถึง ไปได้ในเวลาเดียวกัน แม้แดเนียลจะไม่กล้าใส่มันอีกเลยตั้งแต่เหตุการ์ณครั้งนั้นก็เถอะ...
“มันเป็นเรื่องของผม ขอแหวนผมคืนด้วย”
ฮังนยอนไหวไหล่ เขาค่อยๆถอดแหวนออกก่อนจะคว้ามือแดเนียลขึ้นมาแล้ววางมันไว้ให้บนฝ่ามือของเขา กุมมือนิ่มนั่นเบาๆ “อ่ะ ถ้าเป็นของสำคัญน่ะก็รักษาดีๆหน่อยสิครับ แต่ระวังหน่อยก็ดีนะ"
"..."
"เพราะอะไรก็ตามแต่ คุณเก็บมันไว้กับตัวตลอดไปไม่ได้หรอก...”
“หมายความว่ายังไง?”
“คุณรู้ดีกว่าผม” ฮังนยอนอมยิ้มที่ดูราวกับฝืนพร้อมๆกับบีบมือของแดเนียลจนเขารู้สึกได้
“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ฮังนยอน มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” แบคโฮมายืนอยู่ข้างหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ บทสนทนาทุกอย่างเงียบลงไปเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่มองหน้ากันไปมาเพียงเท่านั้น แดเนียลเลยใช้จังหวะนี้ชักมือกลับแล้วเก็บแหวนไว้ในกระเป๋ากางเกงทันทีแล้วเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา
“กูกลับล่ะ” ขายาวๆกำลังจะก้าวเดินออกไปจากบรรยากาศที่เริ่มจะอึดอัดตรงนี้ แต่ถูกเพื่อนร่วมงานเรียกไว้ซะก่อน
“แดน เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่ต้อง!”
“...”
“คุยธุระกับลูกค้ามึงไปเถอะ กูกลับเองได้” แดเนียลกระแทกเท้าเดินตรงดิ่งไปยังประตูก่อนจะออกจากห้องไปในทันที โดยที่คราวนี้ไม่มีเสียงเรียกจากแบคโฮอีกแล้ว แดเนียลไม่ได้โกรธ ไม่ได้เอาแต่ใจหรืออะไรนะ เขาก็แค่ไม่อยากอยู่ในห้องรกๆนั่นอีกแล้ว ก็แค่นั้น แค่ไม่ชอบและไม่อยากจะคิดด้วยว่าจูฮังนยอนจะมีแหวนของเขาได้ยังไงหรือจะมาคอนโดแบคโฮตอนดึกๆดื่นๆเพื่ออะไร...เขาไม่เคยคิดจะสนใจอยู่แล้ว
อยากทำอะไรก็ทำเลย เรื่องของมึงเลยแบคโฮ
ทูบีคอนตินิววววววววว
-TALK-
ฝาก #แชทฟิคแหกกฎ ในจอยละดาด้วยนะค้าาา
http://www.joylada.com/story/59f29e42051dc20001e3f401
ปล.ก็ใกล้ปมมาเรื่อยๆแล้วนะคะคิดว่าทุกคนพอจะเดาทางได้
ถ้ามันไม่มีอะไรพีคนะ...เอ๊ะ ???”คอมเม้นกันหน่อยคิดถึงงง
ตอนนี้เราต้องพิมพ์ใหม่หมด ฉากเรียกเลือดเอาไว้ตอนหน้าเนอะ5555
ว่าแต่ชอบซอนฮวีมั้ยเอาองมินหรือเปล่า
หรือจะบาเทรนเดอร์ยองมินxแดเนียล 5555555
ความคิดเห็น