ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ PRODUCE 101 ] #ฟิคแหกกฎ 2

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter : 5

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 63


     

    Chapter : 5

    Fandom : Produce 101

    Pairing : 2Kang [Baekho x Daniel]

    : มีคำหยาบพอสมควรแต่ก็เพื่ออรรถรสจ้ะ

     

    ***เรามาอัพตอนเก่าที่เคยโดนแบนนะคะ ส่วนตอนที่ 15 เร็วๆนี้ค่ะ สัญญาเลยT-T***

     

     

     

     

     

    ‘มึงเป็นของกูไม่ได้ใช่ไหม…’

     

    คำพูดของเพื่อนร่วมงานกำลังเป็นเหมือนฝุ่นละอองล่องลอยไปทั่วอากาศ ฝุ่นละอองเล่านั้นที่ยังคงปลิวอยู่รอบๆ เป็นฝุ่นที่ไม่สามารถปัดให้หายไปได้หมดจด

     

    สิ่งที่คุณได้ตอบแทนความเชื่อใจ ขอโทษที่ผมเป็นคนไร้หัวใจ ความทรมาณที่คุณได้รับไป

     

    จำไว้...ไม่เลยสักนิดที่ผมจะเสียใจ

     

    ยอมรับว่าเขามันเห็นแก่ตัว มองแค่ตัวเองเท่านั้น มันอาจจะบ้าไปสักหน่อยแต่นี่แหละคนอย่างเขา...คนอย่างคังแดเนียล

     

    ทั้งโง่เง่าและอ่อนหัด

     

    เขาเป็นแค่ไอ้งั่งคนนึงที่ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ มันเจ็บสาหัสเลยล่ะ ไม่สามารถมีใครได้อีกเพราะความรู้สึกผิดของตัวเองกับสิ่งที่เคยทำ อะไรที่ปิดซ่อนมันเอาไว้ถูกปล่อยให้ฝังอยู่เงียบๆ และเอาแต่ผลักไสคนอื่นออกไปให้พ้นทาง

     

    ผมมันเป็นคนโง่

     

    มือเรียวถือภาพใบหนึ่งเอาไว้ เขาจ้องมองมันด้วยแววตาเย็นชาปลายนิ้วโป้งเกลี่ยใบหน้าหญิงสาวในรูปเบามือ เธอกลายเป็นรอยแตกร้าวในอดีตที่คอยเป็นเศษกระจกทิ่มแทงจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา

     

    แต่แดเนียลไม่ได้เจ็บปวดเพราะยังรักเธออยู่หรอก ไม่ได้รู้สึกถึงความรักโง่ๆนั่นแล้วสักนิด แต่กำลังจมอยู่กับบางสิ่งที่เคยทำพลาดเอาไว้ต่างหาก ถึงเขาไม่อยากทนกับมันอีกแล้วก็เถอะ

     

    แต่อย่างไรก็ตามพอมันเริ่มจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาเขาก็ทนไม่ไหวอยู่ดี การปิดกั้นตัวเองจึงเป็นสิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน...

     

    ทำไมคนที่แสนเปราะบางอย่างเธอ กลับต้องมารับตราบาปนี้แทนเขากันนะ

     

    “ผมขอโทษจริงๆ”

     

    ผมรู้มาตลอดว่าทั้งหมดมันคือความผิดของผม คุณคนที่เคยส่องสว่าง ได้ไกลออกไปเพราะฝีมือของผม

     

    แม้แต่ฉกฉวยความทรงจำดีๆในอดีตที่แตกกระจายเอาไว้ยังทำไม่ได้เลย ทุกๆวันผมใช้ชีวิตอยู่อย่างรู้สึกผิดและเอาแต่เกลียดตัวเอง

     

    หยดลือดสีแดงสดที่กำลังไหลรินหยั่งลึกลงไปในบาดแผลนี้

     

    มันคงสายไปแล้วที่จะเปิดใจให้ใคร จะสามารถมีความรักอีกครั้งได้ไหมนะ ไม่รู้เลยว่ากฎของตนที่ได้สร้างขึ้นไว้เป็นกำแพงมันดีต่อตัวเองแล้วหรือเปล่า

     

    เขามันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดที่กลัวว่าความรู้สึกดีๆ หรือความผูกพันที่คนสองคนมีให้กันมันจะไม่สามารถคงอยู่ยั่งยืน เส้นทางที่หวังเอาไว้ว่าจะได้เดินด้วยกันไปตลอดชีวิตที่เหลือ มันไม่มีจริงหรอก

     

    ยังมีอีกนับพันสิ่งที่เราต้องเผชิญ

     

    หัวใจของแดเนียลไร้วิญญาณไปแล้ว ถึงอย่างนั้นแววตาเจ็บปวดงี่เง่าของแบคโฮก็เริ่มรบกวนจิตใจของเขา ราวกับว่ากำลังถูกปลุกความรู้สึกอะไรสักอย่างในใจขึ้นมาอีกครั้ง…

     

    “คนอย่างผมมันไม่สมควรได้รับความรู้สึกแบบนั้นหรอก ถ้าคุณยังอยู่ในตอนนี้คุณคงไม่มีทางปล่อยให้ผมไปมีชีวิตใหม่แน่ใช่ไหมล่ะ? คุณมันเป็นคนอย่างนั้นแหละ...จูฮันนา”

    .

    .

    .

    .

    .

    เขากำลังเดินผ่านรุ่งสาง บนถนนสะพานแขวนที่ยังมีแสงไฟส่องสว่างทั้งสองข้างทางในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆของค่ำคืน แบคโฮไม่ได้กลับไปที่ร้านหรือคอนโดและยังไม่ได้นอนทั้งคืน เขาเดินไปเรื่อยๆตั้งแต่ออกมาจากคอนโดของแดเนียล

     

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วจนมาถึงที่นี่ หัวใจที่ปั่นป่วนราวกับว่าจะสามารถระเบิดได้ตลอดเวลาที่เหลือของวันนี้

     

    ท้องฟ้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดและความมืดมิดในยามค่ำคืน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็รู้สึกว่าสัมผัสมันได้ แต่ก็ได้แค่รู้สึก...เพราะท้องฟ้านั่นอยู่ไกลจนเกินไป

     

    พยายามอดทนกับทุกอย่างด้วยการถอนหายใจ เรียกว่าความผิดพลาดได้หรือเปล่านะ เขาเผลอไปทำในสิ่งโง่ๆ โดยการปล่อยความรู้สึกตัวเองไปกับคำพูดงี่เง่าที่ไม่มีใครรับฟังนั่น อยากจะบอกออกไปว่าไม่...แต่ภายในใจกลับสั่งให้บอกออกไปว่า ใช่

     

    ไม่เคยคิดว่าเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมา มันจะเป็นวันที่ผมต้องการคุณมากเหลือเกิน

     

    ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะกลิ่นของคุณนั่นแหละ มันแพร่กระจายไปเรื่อยๆจนต้านทานไม่ได้

     

    สุดท้ายก็เสพติดมันในที่สุด

     

    ป๊อปอัพแจ้งเตือนคาทกที่เป็นชื่อของซอนโฮเด้งขึ้น ใจความในข้อความนั้นส่วนมากก็จะเป็นคำถามที่เอาแต่ถามว่าเขาอยู่ที่ไหน แบคโฮกดพิมพ์ตอบกลับไป ถึงจะโกหกว่านอนอยู่คอนโดก็เถอะ

     

    แค่ไม่ต้องการให้น้องชายเป็นห่วงอีก เมื่อกดปิดแชทเจ้าน้องชายลงแล้ว สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นแชทของเพื่อนร่วมงานที่อยู่ถัดไป ในขณะนั้นภายในใจสั่งให้พิมพ์บางอย่าง แบคโฮเลื่อนนิ้วโป้งกดเข้าไปในช่องแชท…

     

    ‘อยากเจอ’

     

    เป็นเพียงคำสั้นๆ แต่กลับต้องพิมพ์และลบอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายนาที จนท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจลบมันทิ้งทั้งหมดแล้วกดปิดหน้าจอ

     

    ได้แต่ถอนหายใจแล้วเหม่อมองไปยังถนนข้างหน้าอีกครั้ง

     

    คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่คุณไม่เคยอยู่เคียงข้างผม ผมถึงต้องเป็นแบบนี้

     

    รู้ว่ากุหลาบทุกดอกมีหนามคมแต่ก็ยังอยากครอบครอง ถูกทิ่มแทงจนปวดร้าว ระหว่างความรักและความเจ็บปวด เพราะคำสองคำนี้...

     

    “ทำให้กูกำลังจะกลายเป็นบ้าอยู่รอมร่อ มึงนี่น่ากลัวไม่เบาเลยนะ”

    .

    .

    .

    .

    .

    สามวันต่อมา ร้านกาแฟ

     

    “คาลาเมลมัคคิอาโตใส่วิปครีมเยอะๆ นะครับคุณแบคริสต้า”

     

    แบคโฮยิ้มให้กับลูกค้าคนล่าสุดที่เพิ่งสั่งเครื่องดื่ม คนตัวเล็กมีใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคยให้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า “คุณคงชอบกินอะไรหวานๆสินะฮังนยอน นี่ก็ครั้งที่สามแล้วที่คุณสั่งเมนูเดิม”

     

    “ไม่คิดว่าคุณจะสังเกตผมด้วยนะ” ฮังนยอนหัวเราะ เท้าแขนไว้กับเคาท์เตอร์จ้องมองใบหน้าของโฮสต์ระดับสูงในคราบบาริสต้าตรงหน้าไม่วางตา ร่างหนากับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทรงผมอันเดอร์คัตตัดกับแว่นตาทรงกลมที่สวมใส่ ผิดไปเป็นคนล่ะคนกับที่เขาเคยได้เห็นในโฮสต์คลับเลย ดูไม่ใช่คนร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหมือนรูปลักษณ์ในที่ทำงานสักนิด

     

    “ผมสังเกตคุณทุกครั้งที่เจอนั่นแหละครับจริงๆ แล้ว”

     

    “พูดแบบนี้มันทำให้ผมใจเต้นนะ” แบคโฮหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในขณะที่จัดการทำกาแฟจนเสร็จเขาก็ยื่นมันให้ฮังนยอน คนตัวเล็กรับมาดื่มได้คำเดียวก็พูดขึ้น

     

    “ได้ข่าวว่าคุณไม่รับงานเลยตั้งแต่วันนั้น ทำไม?”

     

    แบคโฮนิ่งงันไปชั่วขณะ “ผมแค่อยากมาช่วยน้องชายน่ะครับ ช่วงนี้มันมีงานที่มหาลัยต้องทำดูจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนเลย”

    ตอบตามความเป็นจริงไปส่วนหนึ่ง ส่วนความจริงที่เหลือนั้นเขาก็แค่ยังไม่พร้อมที่จะต้องไปเจอแดเนียล ถึงจะยังไม่ได้คืนดีหรือคุยกันก็เถอะ แต่ถ้าเขาเห็นมันอยู่กับไอ้มือกลองนั่นอีกล่ะก็ คงควบคุมตัวเองไม่ได้แน่

     

    “ถ้าอย่างนั้นผมมาหาคุณที่นี่บ่อยๆได้ไหม? อาจจะเป็นการรบกวน แต่…”

     

    “ผมอยากเห็นหน้าคุณนะ” แบคโฮตอบกลับในทันที น้ำเสียงหนักแน่นแต่ฟังดูอ่อนโยนของเขาทำเอาฮังนยอนใจกระตุก “มองรอยยิ้มคุณแล้วมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น”

    ถ่อยคำที่ทำให้ใจเต้น...แบคโฮพูดออกไปจากใจจริง ไม่ได้ใช้คำพูดของโฮสต์เพื่อหยอดคำหวาน เพราะตั้งแต่ที่เขาทะเลาะกับแดเนียล คนที่ได้เข้ามาหา ชวนพูดคุย ไถ่ถามและมอบรอยยิ้มให้ก็คือฮังนยอน ทุกๆวันที่มืดมนก็เหมือนกับมีแสงสว่าง

     

    “วิปครีมเยอะเกินไปแล้วแบคโฮ ใจดีจัง” คนตัวเล็กพูดไปก็หัวเราะไป แววตาเหมือนเด็กที่กำลังตื่นเต้นกับของหวาน เมื่อเห็นวิปครีมที่ชอบพูนอยู่เต็มแก้ว

     

    ถ้าคุณคือแสงสว่างอันอบอุ่น ผมจะเป็นดอกไม้ที่คอยรับแสง

     

    “กาแฟอร่อยมากเลยอ่ะ ผมไม่ได้ยอหรอกนะแต่คุณเก่งมากจริงๆ อิจฉาชะมัด” ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงสดใสทำให้แบคโฮยิ้มตามได้ไม่ยากเลยสักนิด

     

    ครั้งเดียวยังไม่พอ ยิ้มให้ผมแบบนั้นอีกทีนะ

     

    เขาชอบรอยยิ้มของฮังนยอน รู้สึกเบาใจทุกครั้งที่ได้เห็น ทำให้เขาอยากจะล่ะทิ้งทุกอย่างไปให้หมดแล้วใช้เวลาจดจ่ออยู่กับแสงสว่างตรงหน้า แต่ดวงตาก็เหมือนจะเริ่มมืดบอดลงไปทุกครั้งเมื่อภาพของเพื่อนร่วมงานซ้อนทับรอยยิ้มนั้นขึ้นมา…

     

    มันอาจดูแย่และเห็นแก่ตัวแต่แบคโฮก็ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ความคิดเลวๆที่ว่าเขากำลังใช้รอยยิ้มของฮังนยอนทดแทนรอยยิ้มของใครบางคนที่กลายเป็นเพียงความฝัน เพราะเมื่อไหร่ที่เขาตื่นรอยยิ้มนั้นก็จะจางหายไป 

     

    รู้สึกเจ็บปวดข้างในแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะเห็นมันอยู่ดี ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้นะ

     

    ต้องทำยังไง แค่ได้มองรอยยิ้มของคังแดเนียล อีกสักครั้ง...

     

    แสงอาทิตย์เริ่มล้า ท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อน ลูกค้าในร้านเบาบางลงแล้ว ผู้ชายร่างใหญ่ในคราบบาริสต้าถอดผ้ากันเปื้อนออกโยนทิ้งไว้หลังเคาท์เตอร์ก่อนจะคว้าเสื้อสูทที่วางไว้ข้างๆขึ้นมาสวม

     

    เมื่อครู่แบคโฮได้รับข้อความจากพี่จีซองว่ามีประชุมด่วน ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ไป เพราะช่วงนี้เขาไม่อยากรับงานอะไรทั้งนั้น ไม่อยากเหยียบไปที่นั่นเพราะกลัวจะเจอใครบางคน แต่ก็โดนสวนมาว่าบอสสั่งเลยได้แต่จำใจ

     

    “พี่!!!! มาแล้วๆ ขอโทษษษ ผมติดกิจกรรมสีขยับไปไหนไม่ได้เลยอ่ะ โอ้ย! เหนื่อยชิบหาย” น้องชายขายาววิ่งหน้าตั้งเข้ามาแล้วโยนกระเป๋าที่สะพายไว้เข้าไปหลังเคาท์เตอร์อย่างชำนาญก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งลงเก้าอี้ใกล้ๆ สูดหาอากาศเข้าปอด

     

    “ใจเย็นๆ หายใจก่อนก็ได้ซอนโฮ”

     

    “โหยแค่นี้สบาย พี่จะไปประชุมเลยมั้ยอ่ะ?”

     

    “อืม ว่าจะไปเลยไม่นานคงกลับวันนี้ปิดร้านไวก็ได้พี่ไม่ว่า” ว่าพลางล้วงมือหยิบมือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท แต่กลับได้บางอย่างติดมือออกมาด้วย…โชกเกอร์?

     

    ความจริงแล้วมันเป็นของแดเนียล จำได้ว่าเก็บได้เมื่อครั้งที่มันมาค้างที่คอนโดของเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไรถึงเก็บเอาไว้ แต่นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ยังเหลือจากตัวของมันที่เขาสามารถสัมผัสได้…ในตอนนี้น่ะนะ

     

    “เอ้อ แล้วพี่แดเนียลอ่ะ?” แบคโฮชะงัก หันไปมองหน้าน้องชายทันที

     

    “ทำไม?”

     

    “เอ้า ก็เมื่อเช้าพี่แดเนียลทักมาถามผมว่าพี่อยู่ที่ร้านใช่ไหม ผมก็นึกว่ามาหาพี่แล้วซะอีกดีกันเมื่อไหร่ไม่บอก” แบคโฮใจชาวาบไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสายตาถึงได้กวาดมองรอบข้างไปเอง

     

    แต่มันก็วางเปล่าอยู่ดี...ไม่มีใคร

     

    ก้มลงมองโชกเกอร์ที่อยู่ในมือของตน สัมผัสเนื้อผ้าแผ่วเบาราวกับว่าต้องการส่งผ่านความรู้สึกในใจตอนนี้ทั้งหมดไปถึงเจ้าของของมัน

     

    “พี่! ได้ยินที่พูดหรือเปล่าเนี่ย?”

     

    ไม่ยอมตอบคำถาม แบคโฮสวมโชกเกอร์สีดำสนิทนั่นไว้บนลำคอ แล้วยิ้มให้น้องชายตรงหน้าทั้งที่แววตาเศร้าขนาดนั้น แล้วพี่ชายของเขาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปที่รถก่อนจะขับออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงซอนโฮและใบหน้าที่มีแต่คำถาม

    .

    .

    .

    .

    .

    “ซองอูนายเห็นแหวนฉันบ้างไหม?”

     

    “แหวนอะไร?” ซองอูเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ในมือ ช้อนสายตามองเพื่อนสนิทที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการรื้อโต๊ะเครื่องแป้งในห้องพักพนักงานที่มีแค่พวกเขาสองคน

     

    “แหวนรูปผีเสื้อสีเงิน จำได้ว่าเก็บไว้ในลิ้นชักตลอดนะแต่แม่งหายไปเฉยๆ” ท่าทีที่ดูกระวนกระวายและการตั้งใจหาของที่ว่าจนเกินไปทำให้ซองอูสงสัยจนต้องเอ่ยถาม

     

    “แหวนนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเลย?” แดเนียลชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ยอมตอบแล้วก้มหน้าหาต่อ ซองอูเห็นปฎิกิริยาแบบนั้นเลยวางโทรศัพท์ลงก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปซ้อนหลังแดเนียล

     

    “ถ้านายไม่ถือ ฉันซื้อให้ใหม่ก็ได้นะ” กระซิบอยู่ข้างใบหู อกแกร่งบดเบียดแผ่นหลังกว้างของเขาเข้ามาเรื่อยๆ ทำเอาแดเนียลแทบขนลุกแต่ก็ไม่ได้ขยับออกไป อาจเพราะว่าช่วงนี้โดนบ่อยจนเริ่มชินไปแล้ว องซองอูชอบถึงเนื้อถึงตัวเขาได้ทุกทีที่มีโอกาส

     

    “ของบางอย่างก็ใช่ว่าจะหาอะไรมาแทนที่กันได้หรอกนะซองอู”

     

    “แล้วเป็นฉันได้มั้ยล่ะที่จะแทนที่…”

     

    “พูดอะไร? นายไม่ใช่สิ่งของนะ” ตอบกลับไปทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง

     

    “นายไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งกันเนี่ย?” คราวนี้แดเนียลเลือกไม่ตอบ มือเรียวยังรื้อหาแหวนในลิ้นชัก ทำคนข้างหลังรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ

     

    ซองอูใช้สองแขนโอบเอวแดเนียลจากด้านหลัง แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนสนิทเลยใช้คางเกยไหล่อีกคน ซุกปลายจมูกลงไปบนลำคอขาว สูดกลิ่นเฉพาะตัวของแดเนียลอย่างถือวิสาสะ ขบฟันลงไปอย่างหมั่นเขี้ยว…

     

    ได้ผล แดเนียลหยุดการกระทำแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา

     

    “เป็นหมาหรือไง?”

     

    “คงงั้น” เขายิ้มร้าย

     

    “แล้วฉันก็ไม่ได้หมายความถึงสิ่งของ ฉันหมายถึงฉัน องซองอูคนนี้จะแทนที่อะไรก็ตามที่นายทำหายไปได้ไหม?”

     

    “พูดอะไร? แล้วจะกอดเอวไปถึงไหนไม่ร้อนหรือไงกัน”

     

    “…”

     

    “นายนี่โคตรใจร้ายเลยจริงๆ ”

     

    “อะไรที่ว่าใจร้าย?”

     

    มันชัดเจนแต่ทำไมคุณถึงไม่เห็นนะ ทำไมคุณถึงไม่รับรู้ถึงความรักที่ผมมีให้คุณ

     

    “ไม่มีอะไรหรอก”

     

    ทำไมมีแค่คุณที่ไม่รู้

    .

    .

    .

    .

    .

    “อ้าวแบคโฮ หายหัวไปเลยนะ” เสียงเรียกจากด้านข้างทำให้เจ้าของชื่อหยุดเดิน มือข้างนึงที่ใช้ล้วงกระเป๋ากางเกงยกขึ้นมาโบกมือทักทายจีซอง ผู้จัดการร้านคนสนิท

     

    “สบายดีไหมพี่?”

     

    “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่นายเหอะไม่รับงานเลยเป็นอะไร?” จีซองขมวดคิ้วใส่ แบคโฮยิ้มรับไม่ได้สนใจอะไร

     

    “ก็แค่พักงานน่ะพี่ ช่วยน้องชายที่ร้านช่วงนี้มันยุ่ง แล้วบอสเรียกมาทำไมมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า?”

     

    “เรื่องทริปของลูกค้ารายใหม่น่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเป็นเรื่องดีน่า” แบคโฮสงสัยกับคำพูดจีซองไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ สายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยกำลังเดินออกมาจากห้องพักพนักงาน

     

    คนที่เขาไม่ได้พบหน้า ไม่ได้ยินเสียงมาเกือบสองอาทิตย์ คนที่ทำให้เขาแทบเป็นบ้า คนที่เขากำลัง…คิดถึงอยู่ตลอดเวลา

     

    เพราะก่อนหน้านี้ซอนโฮบอกว่าแดเนียลถามถึงเขา ไม่รู้สิ ก็แค่กำลังคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันอาจจะไปหาเขาจริงๆก็ได้ แต่คงไม่ใช่อยู่ดีเพราะไม่อย่างนั้นมันคงไม่อยู่ที่นี่หรอก

     

    ดวงตาคู่สวยไม่รู้สึกถึงการถูกจ้องมอง ยังคงยืนเฉยอยู่หน้าประตูห้องพัก และเหมือนการกระทำไวกว่าความคิดแบคโฮกำลังจะส่งเสียงเรียกชื่อคนตรงหน้า แต่มันก็กลายเป็นดังแผ่วไปในลำคอเมื่อมีใครอีกคนเดินตามแดเนียลออกมา...

     

    “ช่วงนี้สองคนนั้นตัวติดกันบ่อยนะ เพื่อนสนิทแดเนียลเหรอ?”

     

    “ผมไม่รู้”

     

    องซองอูจะเป็นอะไรกับแดเนียลเขาไม่รู้หรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกอย่างที่ทำมานั่นเพื่ออะไร ต้องการแค่คู่นอนงั้นเหรอ? หรือแค่เพื่อนโง่เง่าคนนึง

     

    ไม่นานดวงตาคู่สวยหันมาสบตากับเขา ดูจะตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉย

     

    แม้ระยะห่างจะใกล้กันแค่เอื้อม ก็ยังไม่อาจบอกได้ถึงความสัมพันธ์ของเรา

     

    “นี่แบคโฮ” เสียงเรียกของยุนจีซองกลายเป็นลมผ่าน ในขณะที่มือของใครอีกคนเลื่อนลงมากุมมือแดเนียลเอาไว้ แววตาที่เฉมองออกไปทางอื่นราวกับหลบเลี่ยงแล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน

     

    ที่ผ่านมาผมได้แต่สงสัย ว่าทำไมผมเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เหมือนที่คุณทำมันอย่างได้ง่ายดาย

     

    “แบคโฮ! ไปเถอะบอสเรียกแล้ว” ขึ้นเสียงเรียกจนทำให้แบคโฮได้สติเขาพยักหน้ารับ พยายามขจัดความคิดบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นมาด้วยการส่งความเจ็บปวดทั้งหมดไปไว้ในมือที่กำลังกำหมัดเข้าหากันแน่น แล้วเดินตามจีซองไปที่ห้องประชุมอย่างเลี่ยงไม่ได้...

     

    เราจะไม่คุยกันอีกแล้วหรือไง เหมือนที่เคยทำ

     

     

    “บอสมีโปรเจคใหม่ให้พวกเราทำเหรอครับ?”

     

    “ก็ไม่เชิงหรอกจินยอง”

     

    “มีลูกค้ารายใหญ่ติดต่อให้เราไปทำอีเว้นท์นอกสถานที่ ผมก็เลยรับงานนี้มาเพราะคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ปล่อยให้พวกคุณได้เที่ยวไปในตัว จะได้ไม่ต้องลางานหนีเที่ยวกันอีก”

     

    สิ้นเสียงบอสใหญ่ เสียงโห่ร้องดีใจดังสวนขึ้นภายในห้องประชุม เหล่าโฮสต์หนุ่มหล่อกว่าสิบคนแสดงอาการตื่นเต้นกันยกใหญ่ แดฮวียกไม้ยกมือเพื่อจะถามต่อ เขาดูตื่นเต้นมากกว่าใครเมื่อรู้ว่าจะได้เที่ยวในรอบครึ่งปืที่ได้แต่ทำงานอุดอู้อยู่ในโปรดิวซ์โอสต์คลับ

     

    “ที่ไหนอ่ะครับบอส เชจู? แทกู? โซล?”

     

    “นี่เราก็อยู่โซลนะยังจะเที่ยวโซลอีกหรือไง” จีฮุนพูดขัด

     

    “ก็แค่ถามดูไหมล่ะ? ตกลงที่ไหนครับบอสผมตื่นเต้นจะแย่ล่ะ” แววตาเป็นประกาย เพื่อนๆก็ได้แต่หัวเราะกับท่าทางเหล่านั้น บรรยากาศในห้องประชุมตอนนี้ไม่ได้มีความตึงเครียดเลย บอสผู้ใจดียิ้มรับกับทุกคำถามของลูกน้องทุกคนแม้จะเป็นการประชุมเรื่องงาน

     

    แต่ถึงอย่างนั้นโฮสต์ระดับสูงทั้งสองคนของคลับ กลับนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงข้ามกัน ซองอูถึงจะนั่งอยู่ข้างๆแดเนียลก็เถอะแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกอึดอัดแทนสายตานั่น ไอ้หมาหวงก้างก็ยังจ้องแดเนียลไม่เลิก ถึงเจ้าตัวดูจะไม่ได้สนใจหันไปมองเพื่อนๆและยิ้มไปกับพวกเขาก็เถอะ ยังไงซองอูก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

     

    “อีเว้นท์ครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรมากผมจะให้จีซองบรีพงานให้อีกที งานมีแค่คืนเดียวส่วนอีกสองคืนผมยกให้พวกคุณได้เที่ยวถือว่าเป็นโบนัสจากผมแล้วกัน”

     

    “คุณบอสของแดฮวีอ่า ตกลงไปเชจูใช่มั้ยครับ!?” ส่งสายตาวิงวอนเป็นลูกหมาน้อย จนบอสได้แต่ยิ้มขำ

     

    “ไปปูซานครับ”

     

    แดเนียลจากที่มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่มันก็จางหายไป หัวใจของเขากระตุกวาบเมื่อได้ยิน ความทรงจำเก่าๆ แล่นเข้ามาในหัวจนมันเริ่มชา

     

    ที่ที่เขาไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว

     

    ความกังวลปรากฏอยู่บนสีหน้าชัดเจนจนซองอูสังเกตได้และรู้ทันทีว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดอะไร ขยับเก้าอี้ไปไกล้เลื่อนมือไปวางไว้บนหน้าตักแดเนียล เจ้าตัวหันมาพยักหน้าเชิงว่าไม่เป็น แต่สายตากลับไม่ใช่แบบนั้นเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    “นายโอเคไหม? จะไปหรือเปล่า” ซองอูแตะมือข้างหนึ่งลงไปบนบ่าของเพื่อนสนิทเบาๆ แดเนียลเงยขึ้นมาจากอ่างล้างหน้า มือเรียวลูบใบหน้าคมของตนที่เกาะพราวไปด้วยน้ำ จ้องมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา

     

    “ไม่รู้ว่ะ” สีหน้าไม่สู้ดี แดเนียลไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไง ไม่ได้กลับไปที่นั่นหลายปีแล้วและไม่คิดจะไปด้วย แต่ครั้งนี้มันเป็นงานนอกที่นานๆจะมีสักครั้ง ถ้าปฎิเสธบอสคงไม่พอใจแน่

     

    “ไปเถอะ ฉันอยากให้นายได้ไปสัมผัสบรรยากาศดีๆที่นายเคยชอบนะ”

     

    “ฉันไม่อยากเจอใครที่นั่น”

     

    “นายคงไม่ได้ลืมว่าปูซานออกจะกว้างขวาง อีกอย่างเราก็พักโรงแรมกันไม่ใช่เหรอ? ไปเถอะน่าแดเนียล ไม่งั้นบอสกับโอสต์คนอื่นๆคงจะสงสัย”

     

    “ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

     

    “ฉันไม่ได้อยากจะเร่งรัดอะไรนายเลย แต่การเผชิญหน้ามันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะแดเนียล”

     

    “...”

     

    “เดี๋ยวไปรอข้างนอกแล้วกัน พี่จีซองชวนกินข้าวข้างล่างตามลงไปล่ะ ไม่ต้องรีบแต่อยากให้คิดดีๆ ฉันเป็นห่วงนายนะ”

     

    “อืม ขอบใจ” หลังจากซองอูเดินออกไปจากห้องน้ำได้ไม่นาน หยาดน้ำใสกำลังไหลลงมาบนฝ่ามือของเขาที่รองรับมันเอาไว้ แดเนียลยกมันขึ้นลูบใบหน้าของตนอีกครั้ง ได้แต่จ้องมองแววตาของตัวเองในกระจกอยู่อย่างนั้น เสียงน้ำไหลกระทบผิวกระเบื้องยิ่งเพิ่มความสับสนในหัว...

     

    หรือเขาควรจะเผชิญหน้ากับมันจริงๆ

     

    เสียงปลดล็อคประตูห้องน้ำดังขึ้น แดเนียลชะงักงันหันไปมองด้านหลังในทันที ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หลังประตูเปรยสายตามองแล้วเดินเข้ามาหา

     

    อยู่ในห้องน้ำตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วงั้นเหรอ? คงได้ยินที่เขาพูดกับซองอูไปหมดแล้วสินะ

     

    “ทำไมถึงไม่อยากไปปูซาน มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูใช่ไหม?”

     

    “ก็แค่ไม่อยากไป กูจะกลับแล้ว” ทำท่าจะเดินหนี แบคโฮคว้ามือเแดเนียลเอาไว้ ออกแรงดึงให้เข้ามาใกล้แต่กลับถูกสะบัดมือออก ทำอีกคนเริ่มไม่สบอารมณ์ ไหล่กว้างถูกดันให้เข้าไปในห้องน้ำก่อนที่แบคโฮจะยืนขวางไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้

     

    ผมไม่สามารถลืมกลิ่นเฉพาะตัวของคุณได้ รอยลิปทิ้นสีแดงที่อยู่บนเสื้อของผม แม้ว่าจะลบมันทิ้งไปทั้งหมด แต่สุดท้ายผมก็กลับมาหาคุณอีกครั้ง…

     

    “แดน มึงจะโกรธกูไปถึงไหน?”

     

    ร่างหนาของคนทั้งคู่บดเบียดเข้าหากันอยู่ในห้องน้ำแคบๆ แบคโฮเอื้อมมือไปปิดประตูก่อนจะหันใบหน้าดุดันมาหาแดเนียล

     

    “มึงจะต่อยกูเลยก็ได้ แต่ช่วยอย่าเป็นแบบนี้ มองหน้ากู หายโกรธกูสักที...” เหมือนน้ำเสียงถูกกลืนหาย แดเนียลตอบกลับไปด้วยสายตานิ่งเฉยทั้งที่พยายามขบกรามข่มอารมณ์ของตน ใจของเขากำลังสั่นมันจุกไปหมดแต่กลับต้องแสดงใบหน้าสายตาเย็นชาออกไป

     

    “กูไม่ได้โกรธ”

     

    “มึงหลบหน้ากู แต่ไปอยู่กับไอ้เหี้ยนั่น!” ถามกลับไปเสียงเข้มแต่น้ำเสียงกับสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้ แดเนียลถอนหายใจ

     

    “แบคโฮ มึงเคยรับปากอะไรกับกูไว้มึงจำได้ไหม?”

     

    กฎของเขา

    ไม่สิกฎของเราทั้งคู่ที่ได้ตกลงกันไว้แล้วก่อนหน้าไงล่ะ เขาต้องพูดออกไปก่อนที่มันจะมากไปกว่านี้

     

    ภายในใจลึกๆ เขาแค่ต้องการต่อต้านสายตาอ้อนวอนงี่เง่านั่นและความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะทนกดมันไม่ไหว

     

    ความรู้สึก? อย่ามาเหลวไหลกันหน่อยเลย

     

    รักน่ะเหรอ? เป็นเพียงความหลงไหลของเพื่อนที่แสนดีก็เท่านั้น

     

    “แค่มึงเป็นเหมือนเดิมแล้วกูจะเป็นเหมือนเดิม...ระหว่างกูกับมึงจะไม่เป็นมากกว่าเพื่อน

     

    “...”

     

    ยอมรับความจริงสักทีเถอะ ว่ากุหลาบเหล่านั้นมันสวยแค่ภายนอก 

    ที่สุดแล้วหนามแหลมคมจะคอยทิ่มแทงให้เธอเป็นแผล…

     

     

     

     


     

     

     

    ฉากคัทตอนที่ห้าและตอนอื่นๆ สามารถหาอ่านได้ที่

    ReadAwrite #ฟิคแหกกฎ

     

    หรือติดต่อไรท์เตอร์ค่ะ

    ทวิตเตอร์ : @2kshipper_


     


     

     

     

     

     

    10 PM

    คอนโดแดเนียล

     

    ร่างสูงโปร่งของเจ้าของห้องยืนเปลือยท่อนบนอยู่หน้ากระจก ทั้งลาดไหล่และรอบลำคอขาวถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยแดงจางๆ เขาหยิบเสื้อยืดที่แขวนไว้ใกล้ๆมาสวมแล้วติดกระดุมกางเกงยีนส์ของตน ดวงตาคู่สวยเปรยมองไปยังร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนร่วมงานที่ยังหลับสนิทอยู่บนที่นอน

     

    ความรู้สึกโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามผลักใสแบคโฮออกไปยังไง แต่สุดท้ายก็กลับรู้สึกดีที่มันอยู่ตรงนี้อีกครั้ง กลับมาเป็นเหมือนเดิม...

     

    เป็นแค่เพื่อน

     

    ใช่...

     

    มันก็ดีแล้ว แค่ทำทุกอย่างให้เหมือนเมื่อก่อนมันจะยากอะไร ไม่มีการครอบครองหรือเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มีอิสระโดยไม่ต้องรู้สึกผูกพันกับใคร

     

    ไม่จำเป็นต้องรักเหมือนคนรัก...

     

    มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแบบนี้กันนะ...เจ็บปวด

     

    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แบคโฮมีอิทธิพลต่อเขาได้มากขนาดนี้ แววตาของมันทำให้ใขว้เขวได้แทบทุกครั้งจนเกือบใจอ่อน

     

    แต่พอรู้สึกอย่างนั้นเมื่อไหร่ ความทรงจำเก่าๆ ก็จะคอยตอกย้ำให้เขาไม่สามารถฝืนกฎของตัวเองได้อีก

    สักวันทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิตของเขามันจะต้องดีขึ้นได้ใช่ไหม...

     

    แดเนียลได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้น

     

     

    11 PM

     

    แสงแดดสาดส่องลงมากระทบพื้น ลมยามสายพัดผ่านร่างกายไปเบาๆ แดเนียลนั่งเหยียดขายาวชันเข่าข้างนึงขึ้นมา แผ่นหลังพิงไว้กับขอบระเบียง เพลงสากลที่ชอบถูกส่งผ่านออกมาจากหูฟัง เขาหลับตาพริ้มลงอย่างผ่อนคลาย...

     

    เหมือนไม่ได้รู้สึกดีอย่างนี้มานานเลย

     

    จนสักพักก็รู้สึกได้ถึงเสียงรบกวนบางอย่างดังอยู่ไม่ไกล ลืมตาขึ้นเพื่อเหงี่ยหูฟังให้ได้ยินมากกว่าเดิม

     

    “เหมียววว”

     

    เสียงแมว? เขาถอดหูฟังออกแล้ววางมือถือไว้กับพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืน มองไปตามเสียงที่ได้ยิน

     

    แมวสีส้มอ่อนตัวหนึ่ง นอนอยู่บนขอบระเบียงห้องข้างๆ ดูเหมือนว่ามันจะบาดเจ็บ ที่ต้นขามีเลือดออกแถมมันยังร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆไม่ยอมหยุดเลย ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้นไม่เจ็บแผลจนตายมันก็คงตกตึกตายก่อนแน่ ขึ้นมาบนชั้น 10 ทั้งที่มีแผลแบบนั้นได้ยังไงกัน

     

    ไม่รอช้าแดเนียลค่อยๆปีนขึ้นไปยืนบนขอบระเบียงที่มีความกว้างพอสมควร กางแขนออกเพื่อให้ทรงตัวยืนได้ แต่แล้วสายตาก็ดันเหลือบมองลงไปข้างล่าง ท้องใส้รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา...

     

    ให้ตาย เขาไม่เคยรู้เลยว่าห้องของตัวเองจะอยู่สูงอะไรขนาดนี้

     

    “เหมียววว” เจ้าแมวตัวปัญหาร้องประท้วง

     

    “เออน่า อย่าเพิ่งด่าสิกำลังไปนี่ไง” ค่อยๆขยับเท้าแล้วก้าวเดินไปเชื่องช้าจนไปหยุดอยู่ข้างขอบกำแพงกั้น เขานั่งลงแล้วใช้มือข้างนึงยึดเสาใกล้ๆ เอาไว้ ยื่นมืออีกข้างไปอุ้มเจ้าแมวที่ยังนอนอยู่ที่เดิม โชคดีที่มันไม่ได้อยู่ไกลมากนัก แต่ไม่รู้จะเรียกว่าโชคร้ายดีมั้ย อยู่ๆข้อเท้าก็ดันเกิดพลิกซะอย่างนั้น...

     

    “เห้ย!!! ”

     

    ชั่วขณะนั้นแดเนียลคิดว่าเขาจะต้องร่วงลงไปแล้วแน่ๆ แต่แขนของใครบางคนก็คว้าเอวเขาเอาไว้ เจ้าแมวในมือก็เกือบร่วงลงไปเหมือนกันดีที่เขาคว้ามันได้ทัน ทั้งคนทั้งแมวยังคงค้างเติ่งอยู่บนระเบียงโดยมีแขนแกร่งทั้งสองข้างยึดเอวไว้

     

    “มึงจะฆ่าตัวตายหรือไง?”

     

    “อย่าเพิ่งกวนตีนดึงกูขึ้นไปสักที! ”

     

    “ใจเย็นสิวะ คิดว่าตัวเองเบามากมั่งเนี่ยแล้วใครใช้ให้ทำอะไรผาดโผนแบบนี้?!”

     

    ถูกเพื่อนตะคอกเสียงดังเจ้าตัวรีบเถียงกลับทันทีทันใด “กูกลัวว่าแมวจะตกตึกลงไปก่อนนี่ ผิดตรงไหน” แต่คิดๆดูก็ถูกของมัน ความจริงแล้วไปเคาะห้องข้างๆให้ช่วยก็ได้ นี่เขาทำอะไรลงไป เกือบทิ้งชีวิตตัวเองแล้วให้ตายสิ

     

    แบคโฮได้แต่ส่ายหัว กว่าเขาจะพาทั้งคนทั้งแมวลงมาจากระเบียงได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แดเนียลรีบพาเจ้าแมวสีส้มอ่อนเข้าไปในห้องแล้วทำแผลให้เบื้องต้น ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่แผลถลอกแต่เลือดออกมากไปหน่อยเท่านั้นเอง

     

    “แมวใครวะ?” แบคโฮถามขึ้นหลังจากแดเนียลทำแผลให้มันเสร็จ แล้วพามานั่งบนโซฟาข้างๆเขา เจ้าแมวตัวเล็กดูท่าทางจะเชื่องน่าดูเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนตัก หัวทุยมุดหน้าท้องแดเนียลอยู่อย่างนั้นจนบางทีแบคโฮก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาหน่อยๆ

     

    “ไม่รู้เหมือนกันอาจจะของห้องข้างๆ เดี๋ยวค่อยไปถามดู แต่ปลอกคอไม่มีคิดว่าคงไม่มีเจ้าของ” พูดพลางลูบขนแมวอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มพอใจจนตาหยีไปหมด เมื่อมันใช้อุ้งมือนุ่มๆนั่นเขี่ยมือของตัวเองกลับมา

     

    แบคโฮลอบมองอยู่ตลอด รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างแมวตัวเล็กบนตักกับคนข้างๆอะไรน่ารักกว่ากัน อาจจะเป็นแมว

     

    แมวตัวโตน่ะนะ

     

    “ดูมึงจะชอบนะแมวตัวนี้”

     

    “ก็น่ารักดี”

     

    “ไม่เลี้ยงไว้ล่ะ?”

     

    “ถ้าไม่มีเจ้าของก็อยากเลี้ยงอยู่เหมือนกัน” แบคโฮพยักหน้ารับรู้พลางหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม

     

    “ก็ดีนะ แมวตัวนี้เหมือนมึงดี” หัวเราะในลำคอแดเนียลหันหน้ามาขมวดคิ้วใส่ “เหมือนห่าอะไรล่ะ หลอกด่ากูหรือไง” พูดแล้วก็หันไปลูบขนแมวต่อ

     

    “ใครด่า กูจะบอกว่าแมวมันน่ารักต่างหาก”

     

    คำพูดนั้นทำเอาแดเนียลชะงัก ถึงเขาจะเข้าใจความหมายที่มันต้องการจะสื่อออกมาจากประโยคนั้นก็เถอะ แต่ก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป

     

    แม้ในใจจะกำลังยิ้มอยู่ก็ตามที

     

    แบคโฮยักไหล่อย่างไม่ยีระ เขาวางแก้วกาแฟไว้ที่เดิมก่อนจะนั่งหันข้างเอียงเอาหลังพิงไหล่ของเพื่อนร่วมงาน ยกขาทั้งสองข้างพาดไว้บนที่วางแขนของโซฟา หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหูเอาไว้แล้วส่งอีกข้างนึงให้แดเนียล เจ้าตัวหยิบมาใส่หูอย่างว่าง่ายโดยไม่ได้หันไปมอง

     

    เสียงเพลงดังขึ้น จังหวะฟังสบายๆทำให้แบคโฮหลับตาลงได้ง่ายๆ แดเนียลก็รู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างมือเรียวยังคงลูบหัวเจ้าแมวบนตักอย่างเบามือ

     

    닿을 수 있다면 얼마나 좋을까

    ถ้าผมไปหาคุณได้มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ

     

    꿈에서라도 if I could stay one more night

    ถ้าผมสามารถจะอยู่ได้ต่ออีกสักคืน แม้แต่ในความฝันก็เถอะ

     

    소설처럼 아니 거짓말처럼 널

    มันเหมือนกับเรื่องเล่า เหมือนเป็นเรื่องโกหกเลย

     

    다시 만나 활짝 웃을 수 있다면

    ถ้าเราสามารถที่จะมาเจอ และยิ้มให้กันได้อีกครั้งหนึ่ง

     

     

    ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงาน และเสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ในหูฟังคนล่ะข้าง ถึงอย่างนั้นบรรยากาศในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด อยู่ๆแบคโฮก็รู้สึกได้ถึงความนิ่มบนศีรษะ คนข้างๆกำลังเอนหัวพิงเขาลงมาเช่นกัน

     

    เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงได้สามารถปลดปล่อยความรู้สึกผ่อนคลายออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเกือบทุกครั้งที่อยู่กับแดเนียล หรืออาจเป็นเพราะความเคยชิน

     

    แต่ในใจลึกๆ แบคโฮก็หวังว่ามันจะเป็นความเคยชินที่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป

     

    แม้เขาจะไม่มีสถานะอะไรเลยก็ตาม

     

     

    있다면 돌릴 수 있다면

    ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าทำได้ล่ะก็นะ

     

    마치 영화처럼 다시 처음 그 자리로

    เหมือนในหนังจะกลับไปที่ที่คุณเคยอยู่

     

    있다면 내 옆에 있다면

    ถ้าคุณอยู่ตรงนั้น ข้างๆ ผม

     

    마치 이 모든 게 아픈 꿈처럼

    เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงความฝัน ที่แสนเจ็บปวดเพียงเท่านั้น

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ทูบีคอนตินิวววววววววววววววว

     


     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×