ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ PRODUCE 101 ] #ฟิคแหกกฎ 2

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter : 11

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 61



              Chapter : 11

                    Fandom : Produce 101

    Pairing : 2Kang [Baekho x Daniel]

    Note : 100% แรกๆจะหน่วงๆหน่อยท้ายๆเลยแถมCUTให้นะคะ ㅋㅋ 

     มีคำหยาบพอสมควรแต่ก็เพื่ออรรถรสจ้ะ

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




    ᴵˢ ᴵᵗ ʷʳᵒᶰᵍ ʷʰᵉᶰ ᶤ ᵖᵘᵗ ᵐʸ ʰᵃᶰᵈˢ ᵘᵖ ᵒᶰ ʸᵒᵘʳ ᵇᵒᵈʸ


    ❞ 





    ที่ผมยังอยู่ทุกวันนี้ 

    เพราะอยากเป็นวันพรุ่งนี้ของคุณ

    อยากสัมผัสเรือนร่างของคุณ

    อยากเป็นเจ้าของคุณ...เพียงคนเดียว








    ขอบตาร้อนผ่าว เพราะน้ำตาที่คลอน้อยๆนั่นทำท่าจะไหลออกมาไม่หยุด เขาพยายามเงยหน้าเพื่อไม่ให้มันไหลลงมาได้ มือที่กำหมัดเอาไว้จนเหงื่อไหล่ซึมออกจากแทบทุกส่วนของร่างกาย บ่งบอกได้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้ว่ามันย่ำแย่แค่ไหน แย่จนรู้สึกสมเพชตัวเอง...



    แค่อยากจะมีความสุขสักครั้งหนึ่ง


    เบื่อกับการที่ต้องกลั้นใจห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ ราวกับยืนอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง บางครั้งก็แทบอยากจะทิ้งตัวลง แล้วเอ่ยคำล่า...




    ซองอูลอบมองเพื่อนสนิทเป็นระยะเปลี่ยนกับมองถนนข้างหน้า ใช้มือขวาข้างเดียวบังคับพวงมาลัยรถไปมาอย่างชำนาญ 


    แดเนียลนั่งเงียบทั้งที่ตัวสั่น สองมือบนหน้าตักกำหมัดเข้าหากันแน่นราวกับส่งผ่านความรู้สึกหลายๆอย่างที่กำลังฟาดฟันกันในตอนนี้ไปไว้ที่มือของตนให้มันรู้สึกเจ็บไปที่มือมากกว่าจะรู้สึกปวดเจ็บที่ใจ...



    ได้แต่หลังว่าสักวันเมื่อไปจนสุดถนนของเส้นทางสายนี้ ฉันจะสามารถหลับตาลงได้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกอะไร...



    พยายามเงยหน้าหลับตาลงทั้งที่ขอบตานั้นแดงก่ำ หวังจะห้ามน้ำตาที่ทำท่าจะไหลลงมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งไม่ยอมพูดกับเขามาได้สักพักแล้วตั้งแต่ออกมาจากคลีนิกรักษาสัตว์ 


    รูนี่ย์อาการสาหัสโอกาสไม่รอดมีสูง แต่หมอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการให้ยาเบื้องต้นและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดเท่านั้น แดเนียลในตอนนี้ย่ำแย่ไม่ต่างจากแมวของเจ้าตัวเลยสักนิด บอกตามตรงซองอูไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทมีอาการราวกับคนใจสลายขนาดนี้มาก่อนเลย...


    แดเนียลไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ทำไมต้องพบเจอแต่เรื่องแย่ๆได้มากถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เรื่องในอดีตนั่นจนถึงเรื่องในตอนนี้ มันถาโถมเข้ามาหาแดเนียลพร้อมๆกันจนมากกว่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรับมันไหว

    ในฐานะคนที่เป็นได้แค่เพื่อนอย่างเขา องซองอูเจ็บปวดและใจสลายไปไม่น้อยกว่าเพื่อนสนิทของตนเลย ไม่อยากทนมองแดเนียลที่เป็นแบบนี้ แต่เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นี่แม่งโคตรรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการไม่ได้เป็นคนที่ใช่ของมันเสียอีก


    ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเขานี่มัน โคตรหน้าโง่เลยว่ะ 





    “ฉันอยากลาออก”

    อยู่ๆแดเนียลก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาแต่รู้สึกได้ถึงความสั่นเทา ซองอูตกใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ได้ในทันทีว่าเหตุผลมันจะมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่พักนี้แดเนียลโดนแกล้งสารพัดและนักข้อขึ้นทุกวัน หรือไม่ก็คงเพราะไอ้หมาหวงก้างนั่น...


    “ถ้านายไม่อยู่ฉันก็ไม่อยู่” แดเนียลเอียงใบหน้า แล้วมองเข้าไปในแววตาของเพื่อนสนิท ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่จริงจังแบบนั้น เขารู้ดีว่าซองอูคงไม่ได้พูดเล่นแต่ก็ถามออกไปให้แน่ใจอีกครั้ง

    “พูดอะไร นายเพิ่งย้ายเข้ามาทำงาน” 

    “ใครสนล่ะ ถ้านายไม่อยากกลับปูซานจะไปที่ไหนก็ได้ ฉันจะไปกับนาย”

    .

    .

    .

    “อย่าเลย” ลอบถอนหายใจ แม้จะรู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น ไม่ทำให้มันเปลี่ยนใจได้หรอก เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม

     

    ถ้าเป็นเรื่องของแดเนียล องซองอูไม่เคยมีความรู้สึกลังเลเลยสักครั้ง 


    “นายห้ามฉันไม่ได้แดเนียล” ฝ่ามือของเพื่อนสนิทกอบกุมฝ่ามือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ บีบเบาๆเพื่อให้รู้สึกได้ถึงสัมผัสของเขา ความหวังดีของเขา และทุกความรู้สึกของเขา 

    และถึงแม้ว่าองซองอูจะเป็นมากกว่าที่ต้องการไม่ได้ เป็นได้แค่คนที่คังแดเนียลอยากให้เป็น อยู่ได้เท่าที่แดเนียลขีดเส้นพื้นที่ให้เขาอยู่ 


    แม้จะแคบเพียงเท่านี้ เส้นแบ่งกั้นของคำว่าเพื่อนสนิท เขาก็จะอยู่ข้างๆแดเนียลไม่ว่าที่ไหน 

    แน่นอน 

    เขาทำอย่างนี้มาตลอดและจะไม่เปลี่ยนไป ถึงแม้แดเนียลจะไม่ได้รักเขาหรือรู้สึกเกินคำว่าเพื่อนเลยก็ตาม

    “แดเนียล...”

    “…”

    “ไปกับฉันนะ”








    โฮสต์คลับ



    “ไงแดฮวี” เจ้าของชื่อหันหน้ามาตามเสียงเรียก คนที่ยืนอยู่ด้านหลังส่งยิ้มมาให้ก่อนจะยืนกอดอกมองเขา กระดิกเท้าเบาๆตามสไตส์ 


    แต่ทั้งสายตา ท่าทางแบบนั้นของพี่ร่วมงานคนนี้บอกตามตรงเลยว่าแดฮวีรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นักหรอก คนภายนอกอาจจะมองว่ามันเป็นแค่นิสัยกวนๆตามปกติของเขาที่ดูไม่แปลกอะไร แต่สำหรับแดฮวีที่พักหลังได้เริ่มมารู้จักตัวตนอีกด้านของพี่เขาทีล่ะนิด ทำให้ยิ่งรู้สึกว่ามันดู...น่ากลัวยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก 


    “ลืมของหรือไงเรา?”

    “ครับ ก็นิดหน่อยพี่ยังไม่กลับ?” เดินมาหาคู่สนทนาที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าแล้วชะงักไปนิดหน่อยเมื่อถูกถามด้วยประโยคถัดไป 

    “พี่มีเรื่องจะคุยกับเราหน่อย”

    “…”

    “เรื่องแผน”

    “คุยกันตรงนี้จะดีเหรอครับ พี่ค่อยทักไลน์ผมมาเหมือนเดิมดีกว่าไหมถ้าอยากจะคุยกันเรื่องนั้น” แดฮวีหันซ้ายขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครเดินมาแถวนี้หรือเปล่า จนอีกคนจับสังเกตุได้ เขายักไหล่ให้กับท่าทีน่าตลกนั่น


    แดฮวีก็ยังคงเป็นแดฮวี เป็นแค่เด็กอ่อนต่อโลกตามใครไม่ทันหรอก โดยเฉพาะคนอย่างเขา


    “ขี้กลัวนะเรา” เขาหัวเราะในลำคอ แดฮวีขมวดคิ้วเป็นคำตอบ ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างแรง 

    ทำไมคนๆนี้ชอบทำให้เรื่องทุกอย่างดูเป็นเรื่องเล่นสนุกไปเสียหมด ทั้งที่เรื่องบางเรื่องไม่ได้น่าสนุกเลยสักนิด อย่างกับคนโรคจิต...


    “มีอะไรน่าขำ?”

    “แค่ไม่อยากให้เราเครียด อย่ากลัวไปเลยมีพี่ช่วยทั้งคน” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปตบไหล่น้องร่วมงานท่าทีเหมือนต้องการให้กำลังใจ แต่จริงๆแล้วเขาก็แค่ต้องการจะกวนประสาทเท่านั้นแหละ แดฮวีรู้ดีอยู่แล้ว 


    “พี่ยองมิน!!!” แดฮวีกดเสียงใส่เขา ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาว่าจะมีใครแอบมาได้ยินหรือเปล่า ท่าทีลุกลี้ลุกลนนั่นทำให้ยองมินอยากจะขำออกมาไม่น้อย แต่ก็พยายามไม่หัวเราะเยาะ 

    แดฮวีกัดฟันกรอดใส่สีหน้ากวนตีนของเขาที่ยังไม่ยอมหยุดเล่น แล้วดันอีกฝ่ายหลบไปยืนกันในซอกแคบๆที่ไม่น่าจะมีผ่านมาหรือสังเกตุเห็นได้ 


    “พี่ระวังตัวหน่อยสิ ผมบอกว่าให้คุยกันในไลน์ไงจะได้ไม่มีใครมาได้ยิน”

    “รู้ครับบบ รู้แล้วน่าเดี๋ยวทักไปไง” เขาหัวเราะเบาๆอย่างไม่ยีระแล้วเลิกคิ้วราวกับจะบอกว่าเข้าใจนะ แต่จะกวนตีน 


    แดฮวีถอนหายใจพูดขึ้นอย่างหมดอารมณ์ “ผมจะกลับล่ะ” ทำท่าจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากตรงนั้น แต่ขายาวๆของยองมินก้าวตามมาก่อนจะคว้าไหล่บางเอาไว้ คอยๆขยับหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย ที่หยุดยืนอยู่กับที่พอดี


    “ผู้ว่าจ้างเขาฝากมา เรื่องทริปคราวนี้ให้เล่นให้หนักกว่าเดิม และแผนใหม่เขาจะบอกมาอีกที” กระซิบเสียงอ่อน ค่อยๆจับไหล่บางของแดฮวีให้ขยับหันมากลับมาช้าๆเพื่อเผชิญหน้ากับตน

    “พี่จะบอกในไลน์ให้ก็ได้ถ้าแดฮวีกลัว” ยองมินทำท่าจะหัวเราะอีกรอบแดฮวีรีบดันยองมินออกแล้วจ้องเขาตาเขม็ง 

    “แต่อย่าอ่านแล้วจับใจความไม่เข้าใจจนเกือบทำพลาดแบบคราวก่อนอีกล่ะ พี่ไม่ช่วยแล้วนะ”

    คนถูกกล่าวถึงเท้าเอวใส่ทันควัน “ก็ยังไม่พลาดสักนิด พี่อย่าพูดเหมือนผมทำงานนี้คนเดียวต้องรับผิดชอบคนเดียวได้ไหม ถ้าพี่ก็รับเงินเหมือนกัน” 


    จริงๆแล้วที่มันเกือบพลาดไม่ใช่เพราะแดฮวีอ่านมาผิดหรอก แต่เพราะเขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ต่างหาก 

    แต่ก็นะ 

    แม้จะมาอยากรู้ผิดในตอนนั้น ตอนที่เกือบจะขับรถทับคนๆนึงตาย คนที่เป็นเพื่อนร่วม คนที่ทำงานที่เดียวกันแต่ก็ทำไม่ลงจนยองมินต้องเปลี่ยนมาขับแทน...


    แต่ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงมันก็ทันแล้วอยู่ดี


    “พี่ก็แค่บอก เราแบ่งแผนกันแล้วเราก็ต้องทำส่วนของเราให้ดีก็แค่นั้น ส่วนเรื่องเงินเราสองคนก็ได้เท่าๆกันนะครับ อย่าว่าพี่นักสิ”


    “พอได้แล้วพี่ยองมิน!” น้ำเสียงดุของแดฮวีไม่ได้ทำให้ยองมินกลัวหรือเลิกกวนประสาทได้เลยสักนิด เด็กน้อยอย่างแดฮวีนี่แหละที่น่าแกล้งที่สุด รองลงมาจากคุณโฮสต์แดเนียลคนโปรดของเขาน่ะนะ

    “ไม่มีใครมาได้ยินหรอกน่ะ คนในโฮสต์คลับแต่ล่ะคนมันหูหนวกตาบอดกันหมดนั่นแหละไม่งั้นมันจะโง่กันได้ขนาดนี้หรือไง” เขาหัวเราะอีกครั้ง 

    “ผมจะบอกให้นะ ทุกอย่างที่ผมทำก็เพราะต้องการเงินเท่านั้นไม่ได้อยากทำร้ายหรือยุ่งเกี่ยวกับใครสักนิด...”

    “แล้วที่พี่ทำเพราะไม่อยากได้เงินตรงไหนหืม?” เลิกคิ้วเป็นคำถาม

    “พี่ไม่ได้ต้องการแค่เงินหรอกพี่ยองมิน ผมรู้ว่าพี่ต้องการมากกว่านั้น” ยองมินยกยิ้มมุมปาก ยักไหล่ยอมรับอย่างไม่ยีระต่อคำปรามาสนั้น 

    “ฉลาดไม่เบานะเรา” 


    จริงอยู่ที่ว่าเขาถูกจ้างให้ไปทำร้ายโฮสต์ระดับสูงอย่างคุณคังแดเนียล และแน่นอนว่าที่ทำทั้งหมดนั่นก็เพื่อเงินที่ถูกยัดมาไม่อั้นและเพื่อผลพลอยได้อันคุ้มค่าให้น่าลองเสี่ยงตาย 


    ผลตอบแทนที่ได้แถมมาพร้อมกับเงินอันมหาสารศาลขนาดนั้นก็น่าจะรู้ๆกันอยู่แล้วนะว่ามันคืออะไร:)


    “พี่มัน อย่างกับคนโรคจิตถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนผมคงกลัวพี่ไปแล้วอ่ะ”

    “ดูพูดเข้าดิ คนเรามันมีหลายด้านอยู่ที่ว่าจะแสดงด้านไหนออกมาให้ใครได้เห็น ก็แค่นั้นเอง” 

    “ดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นะ”

    “เราก็พอกันนั่นแหละ ถึงกับกล้าโยนกระถางต้นไม้ใส่หัวคนได้ก็คงจะโรคจิตพอๆกับพี่...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ แดฮวีผลักไหล่หนาของอีกคนเพื่อให้หยุดคำพูดบ้าๆออกมาจากปากหมาๆนั่น ไม่รู้จะแกล้งกวนประสาทอะไรเขานักหนา

    “พี่ยองมิน!!!”

    “ขอโทษๆพี่ไม่แกล้งล่ะ” 

    ยกมือข้างขึ้นเป็นการยอมแพ้ แล้วหัวเราะกวนตบท้ายตามสเต็บ แดฮวีถอนหายใจใส่อีกครั้ง เขาควรจะเลิกใส่ใจกับท่าทีกวนประสาทหน้าตาย เอะอะอะไรก็หัวเราะแกล้ง ของผู้ชายคนนี้ได้แล้ว ไม่งั้นคงได้โรคจิตไปจริงๆอย่างว่าแน่

    “ผมจะกลับแล้ว”

    “ไว้เจอกันครับน้องแดฮวี อย่าลืมอ่านไลน์พี่ล่ะ”

    “รู้แล้วน่า” แดฮวีหันหลังให้และกำลังจะก้าวออกจากตรงนั้น แต่อยู่ๆก็ถอยกลับเข้าไปที่เดิมทันทีจนยองมินต้องถอยหลบเข้าไปอีกทั้งที่พื้นที่ก็แคบขนาดนี้อยู่แล้ว


    ยังไม่ทันที่เขาจะถามคนตัวเล็กว่าเป็นอะไรสายตาก็สอดส่ายไปมองข้างนอกจนเห็นใครบางคนที่เพิ่งพูดถึงได้ไม่นานเดินเข้ามาในโฮสต์คลับ แล้วเดินผ่านพวกเขาไปโดยที่ไม่สังเกตุเห็นเลยสักนิด


    “นั่นใครมาเอ่ย~” 

    หลังจากนั้นได้ไม่นานยองมินก็พูดขึ้นด้วยท่าทีลั่นล้าขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แดฮวีเดินออกมามองตามเจ้าของร่างสูงที่ได้เดินผ่านพวกเขาไปเมื่อครูไม่วางตา

    “รีบไปหาซะสิ เหยื่อของพี่มาถึงนี่แล้ว” พยักพเยิดสายตาไปตามร่างสูงที่ไม่ว่าจะตอนไหนเวลาใดก็ยังดูดีไม่น้อย แม้สีหน้าในตอนนี้จะตรงกันข้ามกันเลยก็เถอะ 


    สมกับเป็นโฮสต์ระดับสูงค่าตัวมหาศาล แค่มองยังรู้สึกว่าน่าอิจฉาเลย...


    “หึ ของมันแน่อยู่แล้ว ต้องไปทักทายสักหน่อย” แดฮวีสายหัวพร้อมๆกับที่ยองมินกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาโฮสต์แดเนียลของเขา


    หลังจากที่กำลังเดินออกจากคลับได้ไม่นาน แต่แล้วสีหน้าของแดฮวีก็ต้องเครียดลงอีกครั้งเมื่อมีสายเข้าจากใครบางคน ชั่งใจอยู่นิดหน่อยเขาก็กดรับ


    “ครับ...เรียบร้อยดีครับ”

    “ได้ครับ พี่ยองมินจะรับหน้าที่ทำตามแผนนั้นเอง”

    .

    .

    “ครับ ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้ว ทริปครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำงานที่นี่ต่อ และเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะรับงานของคุณ...”





    "อ่าว โฮสต์แดน ยังไม่ถึงเวลานัดเลยนะ ทำไมรีบมาซะก่อนล่ะครับ คิดถึงผมเหรอไงหืม?" ยองมินพูดติดตลกแต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ยอมเล่นด้วย เลยหุบยิ้มลงโดยอัตโนมัติ

    "ก็คิดถึงนะ" แดเนียลคลายสีหน้าตึงแล้วยิ้มขึ้นมาน้อยๆแต่สว่างไสวเสียจนยองมินต้องยิ้มตาม คิดว่าจะแป้กเสียแล้ว... 

    "หน้าบึ้งอีกแล้ว ยิ้มหน่อยสิครับ" ขโมยดึงแก้มอีกคนเล่นอย่างหยอกล้อ แต่แดเนียลก็ไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะหัวเราะให้กับการกระทำของเขา เสียงหัวเราะเบาๆที่ไม่ได้ปล่อยออกมาเลยแบบนี้ มันตั้งแต่ตอนไหนกันนะ

    "แล้วทำไมรีบมาก่อนเวลาออกรถ? แล้วกระเป๋าเดินทางล่ะครับ?"

    .

    .

    "ฉันมาลาออกน่ะ"

    "พูดเล่น?" ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก

    "แล้วมันตลกไหมล่ะ"

    "จะตลกอยู่หรอกครับถ้าโฮสต์แดเนียลไม่ทำหน้าตาจริงจังซะขนาดนั้น" ยองมินหัวเราะเบาๆแต่ก็ต้องเงียบไปอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าจริงจัง


    ไม่สิ 

    ดูคล้ายคนกำลังจะร้องไห้มากกว่า 

    จะผิดไหมถ้าเขาชอบสีหน้าของโฮสต์แดเนียลในแบบนี้ โคตรน่าแกล้งเลยว่ะ...แกล้งให้ตายไปข้าง

    "ขอตัวก่อนนะ"

    "จะไปคุยกับบอสเหรอครับ?"

    "อืม ไว้เจอกันนะยองมิน...ถ้ามีโอกาส" แดเนียลยิ้มบางก่อนจะเดินเลี่ยงยองมินแล้วตรงไปหาบอสอย่างที่บอก ยองมินหันไปมองตามร่างสูงโปร่งไม่วางตา เขายกยิ้มก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋า กระดิกเท้าราวกับคิดอะไรอยู่ในหัว


    "โอกาสงั้นเหรอ..."

    เขาเดาะลิ้นในปากเมื่อคังแดเนียลเปิดประตูห้องทำงานบอสแล้วเดินหายเข้าไป


    'คิดว่าจะหนีทุกอย่างได้ด้วยการลาออกไปเฉยๆอย่างงั้นเหรอครับคุณโฮสต์ระดับสูง มันออกจะง่ายไปหน่อยมั่ง...'


    "หึ อย่างงี้ก็ไม่สนุกน่ะสิคุณโฮสต์แดเนียลของผม"







    100%







    'กูไม่อยากเห็นหน้ามึงอีกแล้ว'



    คังแบคโฮไม่รู้เลยว่าคนที่คาดเดาอะไรได้ยากอย่างคังแดเนียล จะรับรู้ได้ถึงหัวใจ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขาบ้างหรือเปล่า ว่าตอนนี้มันเจ็บปวดมากมายขนาดไหน


    ไม่เคยมีความเจ็บแบบไหน ตรงที่ใด ที่จะเท่าความเจ็บปวดในหัวใจของเขาในตอนนี้ได้เลย แบคโฮไม่ได้คิด ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะต้องมารับมือกับความรู้สึกย่ำแย่มากมายเหลือรับขนาดนี้ เขาต้องทำยังไง เขาทำอะไรได้บ้างวะ…



    'ขอร้อง ปล่อยกูไปเถอะ กูเหนื่อย…'



    น้ำเสียงปวดร้าวที่เอ่ยขอร้อง เป็นครั้งแรกที่เพื่อนร่วมงานขอร้องต่อเขา ที่ผ่านมาแดเนียลไม่เคยขออะไรจากเขาเลย ไม่เคยสักครั้ง มีแต่คนเห็นแก่ตัวอย่างเขานี่แหละ ที่ขอทุกอย่างกับมัน ตามใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...


    ความเจ็บปวดทรมาณยิ่งกว่าบาดแผลทางกายก็คือบาดแผลทางใจ มันเป็นแบบนี้เองสินะ อาการอกหัก…หรืออาจจะยิ่งกว่านั้น


    แต่น่าแปลกนะ แปลกที่ใจดวงนี้ของเขา ไม่ว่าจะถูกปฎิเสธสักแค่ไหน มันจะยังเหลือที่ว่างไว้เสมอ ที่ว่างที่รอคอยวันที่เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเขาจะเข้ามาเติมเต็มมันร่วมกัน



    อยากจะร้องระบายน้ำตาน้ำตาสักหยดก็ไม่มีให้ไหล สิ่งเดียวที่รู้ดีคือตอนนี้แทบทนไม่ไหว ได้แต่ฝืนมันไปให้ฉันไม่ขาดใจอยู่ตรงนี้…  









    ร้านกาแฟ


    คังแบคโฮพาร่างหนาของตนลงมาจากรถยนต์ส่วนตัว ที่ในตอนนี้ราวกับมีแค่ร่างที่ไร้ความรู้สึก สายตาอันว่างเปล่าได้แต่มองตรงไปข้างหน้า สั่งสมองของตนให้ควบคุมร่างกายเพื่อจะเดินต่อไปให้ได้ ขายาวเดินตรงเข้าไปเปิดประตูร้าน เขาหยุดยืนสักพักแล้วกวาดมองไปรอบๆร้าน มีลูกค้าเพียงคนสองคน และน้องชายบาริสต้า ที่ยืนเช็ดแก้วอยู่หลังเคาเตอร์ 


    น้องชายในใส้ยืนมองอาการของพี่ชายที่กำลังเดินเอื่อยเข้ามาหาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกได้ว่าทั้งสีหน้า ท่าทาง แสดงอารมณ์ที่ดูราวกับว่าเพิ่งผ่านสมรภูมินรกมายังไงยังงั้น เอาแต่ขมวดคิ้ว เม้มปากเหมือนกับคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา


    “มีวันไหนบ้างที่พี่จะไม่หน้าบูดเดินเข้ามาในร้าน”

    “…” 

    ไม่มีเสียงเถียงกลับนอกจากสีหน้านิ่งเรียบแต่แฝงความหงุดหงิดอยู่ในนั้น

    “อ่ะ ไม่เถียงอีก” 

    พอแบคโฮเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเคาเตอร์ ซอนโฮก็ต้องเบิกตาโตแล้วยื่นหน้าไปสำรวจหน้าตาพี่ชายของตนแทบจะทันที

    ข้างแก้มของแบคโฮถูกทาบทับไปด้วยรอยแดงจัด ปลายคิ้วบวมอย่างเห็นได้ชัด แถมข้างมุมปากยังเลือดซิบเป็นจุดๆ ไม่ต้องบอกอะไรซอนโฮก็พอจะเดาได้เลยว่าพี่ชายของเขาไปโดนอะไรมา

    “อย่าบอกนะว่าพี่ทะเลาะกับพี่แดเนียลมาอีก…”

    “ซอนโฮ” คนพี่รีบพูดขัดเพราะรู้ว่าซอนโฮจะพูดถึงเรื่องอะไร หรือใคร

    “…หือ?”

    “พี่จะไม่อยู่สักสามสี่วันนะ” ซอนโฮย่นคิ้วเข้าหากัน รู้สึกแปลกใจไม่น้อย พี่ชายที่ชอบทำตัวเป็นนินจา หายตัวไปไหนไม่เคยบอก วันนี้อยู่ๆก็มารายงานกับเขาเสียอย่างนั้น 

    แปลกคน 

    จริงๆก็แปลกตั้งแต่ทำหน้าบูดเป็นตูดเข้ามาในร้านแล้วแหละ

    “ผีเข้าพี่หรือไง อยู่ๆมาบอกผม ปกตินี่หายไปเป็นเดือนยังไม่เคยรู้ข่าวคราวขนาดแค่นกพิราบยังไม่ส่งมาบอกเลย”

    “ตลกรึไง” แล้วซอนโฮก็โดนเคาะหัวไปหนึ่งทีโทษฐานกวนตีนไม่รู้เวล่ำเวลา 

    “โอ๊ย! ก็มันจริงนี่หว่า” คนน้องก็ชกไหล่พี่กลับเบาๆอย่างไม่ยอมกัน “เออ ถามหน่อยเถอะพี่ หน้าตาแบบนี้ไปทะเลาะกับพี่แดเนียลมาอีกแล้วดิ?”

    “…”

    “คราวนี้ดูจะสาหัสเลยสินะ”

    “อย่ารู้มากนัก” ผลักหัวคนน้องไปพร้อมกับยิ้มบาง ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆหายออกไปจากใบหน้าคม หลงเหลือไว้เพียงแววตาที่ดูเจ็บปวดจนรู้สึกได้

    .

    .

    “แต่ก็คงจะสาหัสจริงๆนั่นแหละ…”

    “อาการเป็นไงไหนบอกหมอ”

    .

    .

    “พี่ไม่รู้จะสู้ยังไงแล้วว่ะซอนโฮ มันไม่เคยเปิดใจให้พี่เลย...” พูดกับคนตรงหน้าแต่สายตามองออกไปอย่างไม่รู้จุดหมาย ทั้งที่คู่สนทนายืนย่นคิ้วจ้องอยู่ไม่วางตา


    สมองของแบคโฮคิดนั่นคิดนี่ปนกันมั่วไปหมด และยังไม่รู้เลยสักนิดว่าจะสามารถจัดการกับทุกอย่างได้ยังไง


    “บางทีที่มันเป็นอย่างนี้อาจจะไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรต่อกันก็ได้นะ แค่ไม่เข้าใจกันมากกว่า พี่คุยกับพี่แดเนียลดีๆรึยัง?”

    “...พี่แพ้แล้ว และคงไม่มีทางจะชนะได้ด้วย เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ทำให้ตายยังไงพี่ก็ชนะใจมันไม่ได้อยู่ดี”

    “พี่ยอมแพ้แล้วงั้นเหรอวะ?”

    “…”

    “ไม่คิดจะสู้ต่อเลยเหรอไง? นั่นหัวใจของพี่เลยนะ” หัวใจของแบคโฮกระตุกวาบเมื่อได้ยินประโยคหลัง

    หัวใจของเขางั้นเหรอ...

    ไม่อาจรู้ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ในทุกวันนี้คังแดเนียลก็ได้กลายมาเป็นหัวใจของเขาไปแล้ว

    .

    .

    “พี่ทำอะไรได้วะ...มันไม่ทันแล้วซอนโฮ มันหมดความอดทนในตัวพี่ไปแล้ว…ไม่ใช่สิ มันไม่เคยเปิดใจให้พี่เลยต่างหาก”

    “ได้ดิพี่ พี่ทำได้เว้ย! อย่างน้อยก็แค่ทำให้เขามั่นใจในตัวพี่ให้ได้ ทำทุกอย่างให้ชัดเจน ทั้งคนที่พี่รักและไม่ได้รัก...”

    .

    .

    “ไม่ได้รัก?” แบคโฮมองหน้าน้องชายคิดทวนประโยคที่มันบอกด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก จนกระทั่งซอนโฮเบนสายตามองเข้าไปด้านในหลังร้าน แบคโฮถึงได้เข้าใจขึ้นมาเมื่อมองตามสายตาน้องชายไปแล้วเห็นจูฮังนยอนนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา…

    คงจะมาหาเขาสินะ

    คนๆนี้ คนที่เป็นดังพระอาทิตย์ส่องแสงในยามที่ตัวของเขามืดมน จูฮังนยอนทำให้เขารู้สึกดี ทำให้เขายิ้มได้ และเป็นคนแรกที่เข้ามาเติมเต็มแสงสว่างให้เสมอเลย 

    แบคโฮยอมรับว่าในครั้งแรกที่เจอนั้นหลุ่มหลงคนตัวเล็กคนนี้มากขนาดไหน แต่ในความหลงไหลและเผลอไผลไปกับรอยยิ้มหวานอันน่าลิ้มลองนั้นมันก็กลายเป็นชนวน ทำให้เขาได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว หัวใจของเขาอยู่ที่ใครกันแน่ 


    ในตอนนี้ คนแรกที่เขานึกถึงได้ตลอดเวลา ถึงบางครั้งจะหายใจได้อย่างเจ็บปวดและยากลำบากเพราะคนๆนี้ก็เถอะ แต่ในหัวใจของแบคโฮก็มีเพียงแค่คังแดเนียลเพียงคนเดียวอย่างถอนตัวไม่ได้ไปแล้ว


    จริงอย่างที่ซอนโฮว่า เขาควรจะทำทุกเรื่องให้ชัดเจนได้สักที

    .

    .

    .

    “ถ้าพี่ยังจัดการกับความลังเลของตัวเองไม่ได้ แล้วจะมีใครมามั่นใจกับหัวใจของพี่ล่ะ ถึงแม้ว่าความรู้สึกของพี่ที่มีให้เขาจะเป็นของจริง แต่ใครๆก็อยากได้ความมั่นคงพอที่จะยอมเปิดใจให้กันทั้งนั้นแหละ ยิ่งเป็นพี่แดเนียลแล้วด้วย...

    “งานยากเลย” 

    “…”

    “ลองจัดการเคลียร์ตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นหัวใจพี่ก็จะมีพื้นที่ว่างพอให้กับความพยายามเพื่อคนที่พี่รักจริงๆ พี่จะไม่รู้สึกท้อได้สักนิดเลยล่ะเมื่อพี่มั่นใจและมั่นคงกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว ถึงตอนสุดท้ายมันจะเป็นทางตันหรือทางออก ผมเชื่อว่าพี่จะไม่มานั่งเสียดายทีหลัง เพราะอย่างน้อยพี่ก็ได้พยายามเต็มที่เพื่อค้นหาหนทางแล้ว”

    “…”

    “พี่แบค”

    .

    .

    “ถ้าหากพี่คิดว่านั่นเป็นแค่อากาศพี่ก็แค่ปล่อยไป แต่ถ้านั่นคือลมหายใจของพี่ล่ะก็นะ...ไปรักษามันเอาไว้ให้ดี”


    “...มันเป็นมากกว่าลมหายใจซะอีก” แบคโฮหายใจเข้าอย่างยากลำบากเหลือเกิน เมื่อนึกถึงใบหน้าหวานของคนที่ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

    “ถ้ามั่นใจตัวเองแล้วก็ไปเอาคืนมาให้ได้ แค่นั้น”

    .

    .

    .

    “อินกว่าพี่อีกว่ะซอนโฮ” แบคโฮพยายามหัวเราะออกไป ให้ได้สักนิดก็ยังดี

    “ผมก็แค่อยากให้พี่สู้อีกสักหนดีกว่ามานั่งฟูมฟาย ระหว่างปล่อยเขาไปง่ายๆกับการลองพยายามให้สุดกำลังที่มี ผมรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพี่จะเลือกอะไร…ใช่ไหมล่ะ?”


    นั่นสินะ

    ถึงจะรู้สึกว่าเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่ถ้าจะให้คนอย่างคังแบคโฮเลือกจริงๆ เขาก็ขอเลือกอย่างหลังเสียดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจฟูมฟายเป็นแค่ไอ้โง่เง่า อย่างน้อยเขาอาจจะทำอะไรได้บ้างก็ได้ 


    เพราะไม่ว่าจะรู้สึกแบบไหน เขาก็ปล่อยคังแดเนียลไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

    .

    .

    “แน่นอนดิวะ นี่พี่ชายคนเก่งของนายไง” ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่อยากทำให้น้องชายต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดตาม

    “อยากจะอ้วกข้าวเช้าก็เสียดาย”

    “กวนตีนนักนะ”

    แล้วมือหนาที่กำลังจะเขกกะโหลกน้องชายจอมกวนก็หยุดชะงักลง เมื่อจูฮังนยอนเดินออกมาจากหลังร้าน มาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา

    .

    .

    “คุณจูฮังนยอน”

    “ผมบอกแล้วไง เรียกฮังนยอนเฉยๆดีกว่า เราสนิทกันมากกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ” คนตัวเล็กยิ้มให้ แบคโฮยิ้มตอบไปเล็กน้อย ถึงรู้ว่าจะต้องทำอะไร แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปแบบไหนอยู่ดี ได้แต่ยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

    “แบคโฮ”

    “…”

    “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?” พูดจบก็ยิ้มให้เหมือนเดิมที่เจอทุกครั้ง แบคโฮพยักหน้าเบาๆก่อนจะเดินนำเข้าไปหลังร้าน ซอนโฮมองตามจนแทบจะกลั้นหายใจ หวังว่าพี่ชายของเขาจะรู้ได้แล้วนะว่าควรจัดการยังไงกับความรู้สึกตัวเองสักที






    .

    .

    .

    .

    .


    “ถ้าคุณยืนยันอยากจะลาออกจริงๆ ให้ทริปนี้เป็นทริปสุดท้ายในการทำงานของคุณได้ไหม?”


    “แต่บอสครับ…”


    “คังแดเนียล ในฐานะที่ผมยังเป็นบอสของคุณอยู่ ถือว่าผมขอแล้วกัน แค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”







    องซองอูเหลือบมองคนที่นอนอยู่บนโซฟาไกล้ๆ เสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าคังแนียลน่าจะหลับไปแล้ว 


    ตั้งแต่พาเพื่อนสนิทกลับมาพักที่ห้องของเขาเพราะสภาพห้องของแดเนียลตอนนี้แค่จะเดินเข้าไปยังลำบากเลย เจ้าตัวก็ยังนอนอยู่บนโซฟาไม่ยอมขยับไปไหน ไม่ยอมพูดอะไร พอเขาคาดคั้นถามว่าได้ไปลาออกมาแล้วจริงๆใช่ไหม เจ้าตัวก็ตอบเพียงสั้นๆ



    'อืม แต่ต้องไปทริปนี้ทริปสุดท้าย บอสขอร้องมา'



    จากใจเลยนะเขาไม่อยากให้แดเนียลไปไหนทั้งนั้น ความรู้สึกก็ยังไม่หายดี อาการทางข้อมือก็เพิ่งดีขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ ไหนจะเรื่องที่แดเนียลโดนแกล้งสารพัดแถมนักข้อขึ้นทุกวันนั่นอีก 

    ทั้งที่ยังจับตัวคนร้าย หรือแม้จะจับต้นชนปลายเรื่องราวที่มันเป็นชนวนเหตุก็ยังไม่ได้ จับทางอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง แล้วแบบนี้ซองอูจะไว้ใจให้อยู่ที่นี่ต่อไปได้ยังไง


    แต่ก็นั่นแหละ แดเนียลตอบตกลงกับบอสไปแล้วให้ทำได้ล่ะ


    บอสเป็นหนึ่งในคนที่แดเนียลไว้ใจและนับถือเป็นเหมือนกับพี่ชายที่แดเนียลไม่เคยมี และยังเป็นคนที่ช่วยเหลือแดเนียลมาโดยตลอด ก็ไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะทำตามคำขอให้บอสเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไม่กล้าปฎิเสธ



    แตกต่างจากซองอู จากที่เขารู้สึกว่าคลายความสงสัยในตัวบอสไปแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ๆก็มีความรู้สึกแปลกๆสั่งให้กลับมาสงสัยอีกรอบจนได้ ทั้งที่รู้ทุกอย่างว่าแดเนียลต้องเจอกับอะไรมาบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าทั้งสภาพจิตใจและร่างกายลูกน้องของตนก็ยังไม่ได้พร้อมไปทำงานขนาดนั้น แต่ทำไมยังขอร้องให้ไปอีก


    ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายหรอกนะ แต่มันอดไม่ได้เลยจริงๆ


    หรือเพราะว่าแดเนียลเป็นโฮสต์ระดับสูง เป็นตัวท็อปของร้านงั้นรึไง กลัวลูกค้าจะไม่พอใจจนต้องดึงไปให้ได้สินะ แค่คิดได้เท่านี้ก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวแดเนียลจะเอาตัวไปเสี่ยงเรื่องอันตรายอะไรอีกไหม 


    หรือหงุดหงิดที่ความเชื่อใจของเขานอกจากแดเนียลก็มีแค่บอสที่ซองอูได้ให้ไปแล้ว มันกำลังสั่นคลอน มันร้อนรุ่มใจไปหมด ถ้าเกิดเป็นบอสเป็นคนร้ายขึ้นมาจริงๆ 

    เขาไม่รู้เลยว่าควรจะต้องรู้สึกยังไง…











    ร้านกาแฟ



    หลังจากที่ฮังนยอนเดินตามแบคโฮเข้ามาหลังร้าน มือเล็กก็เอื้อมไปปิดประตู ก่อนที่คนตัวบางจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยืนรออยู่แล้ว ความเงียบเข้าแทรกกลาง ยังไม่มีใครปริปากเริ่มพูดอะไรขึ้นมา จนฮังนยอนลอบยิ้มแล้วเอียงหน้ามองใบหน้าคมของคนที่ไม่แม้แต้จะยิ้มออกมาให้เขาอีก


    “แบคโฮ…”

    .

    .

    “มันอาจจะไม่ถูกเวลาแต่ผมแค่อยากบอกกับคุณตอนนี้ได้ไหม?” 

    เป็นฮังนยอนที่เอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมาก่อน แบคโฮยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขาไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันพอเห็นสายตาคู่นั้นของฮังนยอน เขาไม่อยากให้คนที่ดีต่อเขา คนที่ยิ้มให้เขามาโดยตลอดต้องเสียความรู้สึกหรือแม้แต่เสียใจก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น


    สายตาคมมองตอบกับสายตาเว้าวอนแต่ก็ยังยิ้มให้เขาอยู่เสมอ คนตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก้าวเท้าเข้ามาไกล้ สองแขนยกขึ้นคลองคอแล้วซุกใบหน้าลงบนลาดไหล่กว้าง กระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู

    “แบคโฮ...ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ รู้ไหม ผมเคยคิดนะ ว่าคุณก็รู้สึกไม่ต่างจากผมเหมือนกัน ใช่ไหม…?”


    ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง แต่นั่นมันก็คือคำตอบแล้ว 


    ไม่นานนักฮังนยอนก็คลายวงแขนของตนออกจากคนที่ยังยืนนิ่ง แล้วถอยออกมายืนอยู่เบื้องหน้า แล้วถอนหายใจ

    แต่ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาเลยเจ้าตัวก็ยังคงยิ้มให้คนตรงหน้าเสมอ รอยยิ้มที่ดูพยายามมากเกินไปจนสองมือบางกำหมัดเข้าหากันแน่นโดยทันไม่รู้ตัว

    “ผมทายไม่ผิดจริงๆสินะ ว่าคุณ…”

    “ผมรักคังแดเนียล”

    “…”

    “ที่ผ่านมาผมอาจจะทำให้คุณ…ผมอาจจะล่วงเกินคุณ ผมยอมรับนะว่าครั้งแรกที่เจอกันผมชอบคุณมากจริงๆ แต่ผมเพิ่งได้เข้าใจว่าความจริงแล้วผมไม่ได้คิดกับคุณมากกว่าเพื่อนคนนึงเลย”

    “…”

    แบคโฮทำท่าจะพูดออกมาอีกครั้งแต่ฮังนยอนยื่นมือของตนไปกอบกุมมือหนาเอาไว้แผ่วเบา คนตรงหน้าจ้องมองเข้าไปในแววตาของเขา เขามองตอบ แล้วยิ้มให้อีกครั้ง 

    ไม่รู้ว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ฮังนยอนยิ้มให้อีกฝ่ายแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ ข้างในใจของเขากำลังรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลยต่างหาก

    แต่เพราะฮังนยอนไม่ต้องการจะแสดงความรู้สึกออกไปให้เห็น ถึงแม้ว่าลมหายใจดูเหมือนจะขาดห้วงลงไป จนรู้สึกว่าจะขาดใจลงตรงนี้ให้ได้เลยก็เถอะ 


    เพราะมันยังไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลา...



    “คุณไม่ต้องพูดแล้ว ผมเข้าใจ”

    “ฮังนยอน…”

    “ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไว้เจอกันนะ” มือบางผละออกไปแทบจะทันทีที่พูดจบ รอยยิ้มที่เขาชอบ ถูกส่งมาให้อีกครั้ง 


    รอยยิ้มเยือกเย็นที่มีแต่ความปวดร้าว


    ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นภาพแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินห่างออกไปเข้ามาแทนที่ สองมือบางกำหมัดเข้าหากันราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่ไหล่บางกลับสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน แล้วประตูก็ปิดลง

    .

    .

    .

    แบคโฮถอยหลังไปนั่งลงบนโซฟา แล้วกุมหัวตัวเองอย่างคนคิดไม่ตก อย่างน้อยถ้าฮังนยอนด่าว่าเขาสักนิด ไม่ใช่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาทั้งที่สีหน้าของเจ้าตัวมันไม่ใช่แบบนั้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำดีกับเขา แบบที่เคยทำเสมอมา...

    คงจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้


    เขาแม่งทำพลาดทุกอย่าง ทำทุกอย่างพังก็เพราะตัวเอง ทำร้ายจิตใจคนอื่นไม่พอ เพราะความโง่เง่ายังทำให้เสียคนที่รักไปอีก…แต่ก็สมควรแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ไปโทษใครเลยด้วยซ้ำ เพราะทำตัวเองทั้งนั้น…


    ทำผิดซ้ำๆกับแทบทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต 

    ความพอใจอันแสนเห็นแก่ตัวนั้นสร้างความปวดร้าวให้กับคนอื่นอย่างไม่ทันคิด 

    และท้ายที่สุด

    มันก็ได้ทำลายทุกความรู้สึก...




    “พี่แบค”

    “หืม มีอะไรซอนโฮ” แบคโฮหันหน้าไปมองตามเสียงเรียกทันที พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

    “พี่โอเคหรือเปล่า?” 

    “นายมีอะไร” ไม่ตอบคำถามน้องชาย ก่อนจะเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างในมือของซอนโฮ 

    “ก็มีกล่องวางอยู่หน้าร้าน มันเขียนชื่อพี่ ขอโทษทีแต่เมื่อกี้ผมแอบเปิดดูข้างใน...” แบคโฮตีหน้าดุใส่น้องชายแล้วคว้ามันมาไว้กับมือตัวเองแทนในทันที

    “คำว่ามารยาท”

    “ด่าขนาดนี้ ตีกันไหมพี่!!!” ซอนโฮเอาไม้ขนไก่ที่ถืออยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาชี้หน้าข่มขู่พี่ชาย จนแบคโฮอดขำไม่ได้

    “พี่เปิดดูดิ ข้างในมีอัลบั้มรูปอ่ะ ไปถ่ายอะไรที่ไหนมาเหรอ?”










    ราวกับมีโลกที่ว่างเปล่าลึกลงไปข้างในใจ…

    ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่ แต่กาลเวลาไม่ได้ใจดีขนาดนั้น แววตาที่อ้างว้างติดอยู่ในความมืดมิด เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะหยุดหมุนไป ผมทำได้เพียงแค่มองมันพังทะลายลงมาต่อหน้าทีล่ะอย่าง เพียงเท่านั้น


    ร่างสูงโปรงที่ดูเหมือนจะนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา แขนข้างขวายกขึ้นก่ายหน้าผาก เปลือกตาปิดลงสนิท แต่เปล่าเลยคังแดเนียลไม่ได้หลับ เขาหลับไม่ลงเลยสักนิด เพียงแค่ทิ้งร่างกายให้ได้พักผ่อน แต่สมองและความรู้สึกนึกคิดยังทำงานอยู่ตลอดเวลา และมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเรื่องหลายๆอย่างกำลังเรียงแถวเข้ามาในหัวของเขาไม่หยุดหย่อน

    เขาหยุดคิดไม่ได้ แม้แต่จะหลับไปสักนาทียังทำไม่ได้เลย เกลียดความรู้สึกแบบนี้แต่ก็ไม่สามารถที่จะห้ามตัวเอง…มีแต่ความมืดมนเต็มไปหมด


    ไม่มีใครจะมาเข้าใจหรือรู้ความหมายของคำว่าเจ็บปวดมากแค่ไหนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา และคนอย่างคังแดเนียลก็ไม่เคยขอให้ใครมาก้มมองด้วย

    ได้แต่ไล่ทุกคนให้ห่างออกไป เป็นเพราะตัวของเขาเองที่เป็นคนไม่ยอมเปิดใจให้ใครได้เข้ามาข้างใน จนวันนึงที่หัวใจของเขากำลังจะกล้าพอ 

    กลับมีแต่ความผิดหวัง…

    ยิ่งก้าวเข้าไกล้กันเท่าไหร่ยิ่งมีแต่ความเจ็บปวด…


    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าทำได้น่ะนะ แดเนียลเพียงจะขออยู่กับอดีตอันย่ำแย่ของตนเพียงคนเดียว ไม่เปิดทางให้ใครก็ตามเดินเข้ามาในชีวิต ในพื้นที่ของเขา...แม้แต่แบคโฮเขาก็ไม่ต้องการ 


    เซ็กซ์หวานหอมชั่วข้ามคืน และจากลากันตอนรุ่งสาง


    ถ้ารู้ว่าผลสุดท้ายมันจะลงเอยแบบนี้ เขาไม่ขอรู้จักกับแบคโฮเลยซะยังดีกว่า…

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    สองปีก่อน



    สิ้นเสียงโห่ร้องของพนักงานโปรดิวซ์โฮสต์คลับร่วมสิบกว่าชีวิต เป็นสัญญานการจบงานเลี้ยงสิ้นปีฝั่งพีธีการ ทันทีที่บอสหนุ่มไฟแรงก้าวลงจากเวที หญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเกือบสิบคนก็เดินเข้ามาในงาน หลายคนใส่บิกินี่เพื่อให้เข้ากับตรีมงานที่จัดข้างสระว่ายน้ำบนยอดตึกระฟ้าขนาดย่อม


    บรรดาหญิงสาวเป็นของขวัญปีใหม่ของบอสที่จะมาทำให้โฮสต์หนุ่มโสดทุกคนสนุกยิ่งขึ้น เพื่อเป็นโบนัสให้ทุกคนที่ทำงานหนักและทำตามกฏอย่างเคร่งครัดมาตลอดทั้งปี 


    สายตาคมมองจากจุดที่นั่งไกลออกมาจากสระน้ำ มองเห็นหญิงสาวเข้าไปควงแขนเพื่อนโฮสต์ของเขาคนแล้วคนเล่าอย่างไม่อิดออด จนเหลือเพียงไม่กี่คนแล้วแต่แบคโฮกลับไม่ได้สนใจอะไรนัก

    ขยับใบหน้าเชยชมทิวทัศน์ของเขตเศรษฐกิจบนตึกระฟ้า ที่เต็มไปด้วยแสงไฟบนยอดตึกนับหมื่นพัน ความมืดมิดบนท้องฟ้าช่างน่าดึงดูดไม่เบา


    หลังจากยกแก้วบรั่นดีขึ้นดื่มครั้งที่สาม แบคโฮเงยหน้ามองตรงออกไป… 


    เรือนผมซอยสั้นสีอ่อน โครงหน้าเรียวได้รูปรับกับเมคอัพคมเข้มแต่ไม่ได้ดูมากมาย เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ชอบปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผ่นอกขาวเนียน แขนเรียวยาวข้างนึงถูกเสื้อสูทที่เจ้าตัวถอดออกมาพาดเอาไว้ 

    ดวงตากลม ใบหน้าหวานเปื้อนยิ้ม กำลังเดินตรงมาหาเขา จนหยุดลงนั่งที่้เก้าฝั่งตรงข้าม


    แบคโฮเผลอมองไปไม่วาง จนลืมว่าต้องละสายตา…


    “แบคโฮ”

    “…”

    “แบคโฮ!”

    “อะไรของมึงวะแดน” พอรู้สึกตัวก็ทำขมวดคิ้วใส่เพื่อนร่วมงาน ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เรียกไม่ยอมได้ยิน มัวแต่จ้องอีกฝ่าย...

    “มึงนั่นแหละอะไร กูเรียกหลายทีแล้วเหม่ออยู่ได้”

    “กูแค่เบื่อๆ”

    “…อืม กูก็เหมือนกัน” น้ำเสียงฟังงึมงัมบ่งบอกว่ารู้สึกเบื่อจริงๆ 

    “ผู้หญิงที่บอสเอามาไง มึงไม่ไปควงมาสักคนล่ะ”

    “คนแย่งไปหมดแล้ว” พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะไปควงไม่ทัน แต่เขาไม่ได้อยากได้ตั้งแต่แรก 

    เมื่อเย็นเขาต้องรับลูกค้าทั้งที่เป็นวันหยุดและกำลังจะมีงานเลี้ยงตอนกลางคืนอยู่ร่อมร่อ เลยรู้สึกเพลียๆมาตั้งแต่นั้น ถึงงานในการเป็นโฮสต์ของเขาจะไม่ได้ดูยากเย็น แค่ใช้หน้าตาและความเอนเตอร์เทรนเข้าช่วย แต่การที่ต้องมานั่งเอาอกเอาใจคนอื่นทั้งวันมันก็แสนน่าอึดอัดและเหนื่อยหน่ายไม่น้อย 

    แต่นั่นแหละ ทุกอย่างก็เพื่องานและเงิน


    “ถึงได้เดินมาหากูได้สินะ” แบคโฮหัวเราะ

    แดเนียลยักไหล่ไม่ตอบอะไร เขาหยิบแก้วของอีกคนไปดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันดื่มและพูดถึงเรื่องราวสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยกันอยู่สองคน 

    เวลาล่วงผ่านไปเกือบชั่วโมงพวกเขายังดื่มกันอยู่เหมือนเดิมอย่างเรื่อยๆ


    จนกระทั่ง…


    บทสนทนาที่เลื่อนลอยลงไป


    กลิ่นหอมราวกับกลิ่นที่เขาคุ้นชิน


    เตียงนอนในห้องของเขา…


    กับใครอีกคนงั้นเหรอ?


    เสียงหวานคุ้นเคยดังแว่วอยู่ข้างหู…

    .

    .

    .

    .

    .

    ชายหนุ่มร่างหนากระพริบตาลืมขึ้น เมื่อแสงยามเช้าจากนอกหน้าต่างส่องลอดผ่านช่องเข้ามา ปลายนิ้วนวดขมับเบาๆ 


    หืม...

    ดวงตาคมลืมตื่นขึ้นเต็มตา เมื่อคืนคงจะดื่มมากไป…

    มากไปจนเขาคิดว่าตัวเองอาจจะเบลอหรือแฮงค์ เพราะอยู่ๆก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่บนแผ่นอกกว้างของตัวเอง…

    .

    .

    .

    แต่ไม่ใช่ เขาไม่ได้เบลอ…


    เรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายอีกคนคุดคู้เข้าหาร่างเปลือยของเขา ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นพอกัน


    นี่เขาหิ้วใครก็ไม่รู้ขึ้นคอนโดมาอีกแล้วเหรอวะ


    แบคโฮไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะกลัวอีกคนตื่น เหลือบมองก็เห็นเพียงหัวทุยๆผมสีอ่อนคุ้นตากำลังหนุนแขนของเขาแทนหมอน ใบหน้ามุดอยู่กับแผ่นอกจนแทบมองไม่เห็น 

    สักพักชายคนนั้นก็ขยับตัวบิดร่างกายเล็กน้อย ตากลมกระพริบช้าๆมึนงงอยู่สักครู่ก่อนจะค่อยๆลืมตามองตรงหน้า


    อะไรวะ…

    แผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยขนหน้าอก...

    มือเรียวข้างนึงยกขึ้นมาลูบปลายขนหน้าอกนั่นเบามือ อย่างมึนๆงงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคู่นอนที่มองตนอยู่แล้ว ด้วยสายตาที่คาดเดาได้ยากเย็น...


    “แบคโฮ…”

    .

    .

    “แดน”








    “มึงไม่ต้องคิดไรมากขนาดนั้น กูไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอะไรกับเรื่องแค่นี้” แดเนียลพูดอย่างไม่ใส่ใจนักในขณะที่กำลังยืนล้างจานข้าวเช้าของตน โดยมีเพื่อนร่วมงานอย่างแบคโฮยืนจ้องด้วยสายตาขอโทษอยู่ไม่ห่าง

    “มึงแน่ใจนะ?”

    ถามรอบที่สามแล้ว แต่แดเนียลก็ยังตอบกลับมาเหมือน ท่าทางนิ่งๆแบบนั้นไม่รู้ว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆหรือเพราะโกรธแต่ไม่ยอมแสดงออกกันแน่วะ

    .

    .

    .

    หลังจากที่มองหน้ากันอึ้งๆอยู่บนเตียงนานหลายนาที ก็เป็นแบคโฮที่เด้งตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะอ้ำๆอึ้งๆแล้วพูดขอโทษออกไปหลายรอบอย่างลนๆ เพราะเขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอยู่ๆจะหิ้วเพื่อนร่วมมานอนด้วย ยิ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ชื่อคังแดเนียลคนนี้ด้วยแล้ว ไม่ได้หวังด้วยซ้ำ…

    ((แม้อาจจะเคยบ้างบางครั้งที่เปลี่ยวๆ...))


    ก็กฎของที่ทำงานมันเคร่งครัดนักล่ะ 

    ไหนจะคังแดเนียลที่เป็นคนนิ่งๆไม่ได้สนใจใคร ไม่มีแฟน ไม่เที่ยวเสเพล  คนที่ใครๆก็รู้ดี เรื่องที่เจ้าตัวทำงานไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนเป็นคนโปรดของบอส แถมยังรักษากฏไว้ได้อย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด 

    ที่พูดมานี่ตรงข้ามกับเขาสิ้นเชิงบอกเลย 

    ก็เลยไม่คิดว่าจะได้เอามันไง แล้วอยู่ๆมาขึ้นเตียงด้วยกันได้ไงวะเนี่ย ถึงตอนทำงานที่โฮสต์คลับจะสนิทกันอยู่พอสมควรพูดคุยกันได้หลายเรื่อง ชวนไปกินนั่นนี่บ้างบางครั้งแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีวันนี้เลยด้วยซ้ำ 





    จะยังไงก็ช่างเหอะ ยังดีที่เมาแล้วหิ้วมาคอนโด ถ้าเกิดบอสเห็นนัวกันที่งานเลี้ยงคงได้เป็นเรื่องของแท้


    “มึงโกรธกูก็บอกได้นะแดน”

    “อะไรของมึงนักหนา จะรับผิดชอบกูหรือไง?” พูดเสียงหน่ายเต็มที

    “เอาไหมล่ะ?”

    “พ่องมึงสิ!” คนโดนด่ายักคิ้วแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อทำให้คนที่ตีหน้านิ่งมาตั้งนานสองนานทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ปากย่นยันคางได้ล่ะมั่งนั่น

    พอใจแล้วที่ได้แกล้ง หมั่นใส้นัก

    “กูไม่ได้โกรธ แล้วกูก็ไม่ได้เมาขนาดนั้น”

    “ห้ะ…” แบคโฮประมวลผลคำพูดนั้นอย่างงงๆ พร้อมกับลอบมองการกระทำของเพื่อนร่วมงานที่หันไปเปิดตู้เย็นข้างๆแล้วก้มหยิบอะไรสักอย่าง

    .

    .

    เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ออกจะยับยู้ยี้ไปหน่อยเลิกขึ้นจนเห็นบ็อกเซอร์ขาสั้นที่ไม่ได้ถูกกางเกงใส่สวมทับ ต้นขาขาวซีดส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าจนแทบแยงตา แถมก้นมันยังแน่นขนาดนั้นได้ไงกันวะ

    ไม่ว่าจะเมาหนักหรือเพราะอะไรแต่ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่เสียใจ 

    ((บุญหว่างขากูมาก)) /อยู่ในวงเล็บไม่มีใครเห็น 


    จากนั้นสมองแบคโฮก็เริ่มส่งไฟส์ภาพกิจกรรมบนเตียงกับเพื่อนร่วมงานคนนี้เข้ามาในหัวทีล่ะน้อย ยิ่งมองขาขาวเนียน เอวบางๆ ก้นแน่นๆนั่นของมันความทรงจำก็ตีกลับมาไวยิ่งกว่าสามจี 

    ให้ตายดิวะ พอนึกได้แล้วแม่งก็แบบ...โคตรแซ่บ 

    อ่าส์ ไม่เบาเลยนี่หว่าคังแดเนียล


    ระหว่างนั้นแดเนียลหยิบนมขวดขนาดกลางออกมาก่อนจะยกขึ้นดื่ม ใบหน้าเรียวเงยขึ้นเพื่อส่งผ่านให้มันไหลลงลำคอได้ง่ายขึ้น 

    จนทำให้น้ำนมขาวขุ่นไหลย้อยลงมาจากมุมปากอิ่มแดง แบคโฮมองตามน้ำนมขาวขุ่นที่ไหลย้อยลงมาเรื่อยๆ จากปลายคาง ไหปลาร้า ลงไปที่แผ่นอกกว้างที่เกือบเห็นหน้าท้องขาวๆเพราะเจ้าตัวปลดกระดุมเสื้อออกไปหลายเม็ด จนกระทั้งไหลเข้าไปในเสื้อเชิ้ตจนเปียกชื้นเป็นย่อมๆ…

    สักพักเหมือนคนโดนมองจะรู้ตัว เหลือบมองเพื่อนร่วมงานที่มองตนไม่วางตาแล้วเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา


    “มองขนาดนี้ก็กินกูเลยสิ”

    คนถูกท้าทายได้สติ เบนสายตามองอีกคนตอบแล้วยกยิ้ม เดินเข้าไปไกล้มากขึ้น แดเนียลก็จ้องตอบ ไม่ได้ถอยห่างไปไหน

    .

    .

    “กูทำจริงนะแดน”

    “เออรู้ เมื่อคืนมึงก็ทำจำไม่ได้รึไง?”


    ฮึ่มมม มันน่ามั้ยล่ะคุณผู้ชม!


    “ตอนแรกก็ไม่ แต่ตอนนี้จำได้แล้ว…อยากจะทวนหน่อยมั้ยโฮสต์แดน” 









    CUT (ดงแดน) Chapter 11 #ฟิคแหกกฎ

    ตามลิ้งค์ได้ในใบโอทวิต 

    @2kshipper_









    ตะวันคล้อยจะตกดินเต็มที รถตู้คันหรูสามคันจอดเทียบรออยู่ด้านหน้าตึกโปรดิวซ์โฮสต์คลับ บรรดาโฮสต์หนุ่มหล่อร่วม10ชีวิตพากับขนสัมภาระที่จะไปทริปปูซานขึ้นหลังรถและหาที่นั่งอย่างไม่เร่งรีบ 

    ต่างกับบอสของพวกเขาในตอนนี้ที่ดูท่าทางแทบจะยืนไม่ติดพื้นเท่าไหร่ หันซ้ายขวามองอยู่ห่างออกไป สายตาสอดส่องหาสองโฮสต์ระดับสูงและไอ้มือกลองคนฮอต ที่ยังไม่เห็นโผล่มาแม้แต่เหงา ทั้งที่ก็ไกล้เวลาจะออกรถแล้ว

    โทรหาก็ไม่ติด ข้อความก็ไม่ยอมตอบกลับสักคน

    เมื่อบ่ายก็คิดว่าคุยกับแดเนียลรู้เรื่องแล้วนะ ว่าขอแค่งานนี้งานสุดท้าย แต่ยังไงแดเนียลก็คงไม่เบี้ยวหรอกน่ะ เจ้าตัวไม่ใช่คนแบบนั้น มินฮยอนคิดว่ารู้จักลูกน้องคนโปรดของเขาคนดี ถึงในความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกเรื่องก็เถอะนะ

    แต่อีกไม่นานนี้เขาก็คงจะได้รู้…



    “ฮัลโหล ว่าไงครับ?” มินฮยอนกดรับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง ที่โชว์เบอร์ขึ้นมากระทันหันระหว่างกำลังกดส่งข้อความเข้าไปในไลน์ขอพนักงานทั้งสามคนที่ยังมาไม่ถึงสักที แล้วพูดตอบกลับไปเสียงเรียบ


    “อืม เราไปรอที่นั่นเลยก็แล้วกัน อาจัดการให้แล้ว”


    “แล้วทำไมถึงได้บอกอากระหัน อาคอนเฟริม์ให้ไม่ได้หรอกนะว่าแดเนียลจะมาหรือเปล่า”

    .

    .

    “โอเคๆ อาก็ช่วยเราแล้วนี่ไง


    “ว่าแต่เราเถอะจูฮังนยอน จะบอกอาได้เมื่อไหร่ ตั้งแต่ที่ขอร้องให้อานัดคิวแบคโฮให้ทั้งที่เราก็ยังอายุไม่ถึง จนถึงเรื่องเมื่อบ่าย…นี่ตกลงเรากำลังจะทำอะไรกันแน่?”















    ทูบีคอนตินิวววววววววววววววววววววว


    TALK : สงครามชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลนัก ใครดีใครร้ายใครถูกใครผิด เราวัดกันที่ตรงไหนล่ะ? สิ่งที่ทุกคนทำมันมีเหตุผลในตัวเองทั้งนั้น หรือบางทีก็อาจจะทำไปอย่างไร้เหตุผลก็ได้ (พูดอะไรกุงง) ช่วยกด 99 ให้กำลังใจพระนายด้วยนะคะ555555 :


    ส่วนจะช่วยให้ไรท์มีกำลังปั่นก็กดให้กำลังใจนะค้าาาา❤??’



    ปล.ถ้าใครยังอ่านอยู่ช่วยเม้นรายงานตัวหน่อย อยากรู้ว่าเยอะมั้ยจะได้ไม่หมดกำลังใจและเทไป ถถถถถถถ 







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×