ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทเรียนแห่งรักแรก

    ลำดับตอนที่ #10 : เรื่องวุ่นๆ ของพี่ชาย

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 54


    ระหว่างทางที่กลับบ้านฉันก็ได้นั่งรถออดี้คันหรูที่สุดแสนจะคุ้นเคยของมาร์กกี้ อาศัยนั่งมาเบาะหลังกับมายทิ้งให้มาร์กกี้ขับรถอยู่ข้างหน้า โดยมีมายกับฉันเป็นผู้สั่งการว่าต้องทำโน่น ทำนี่ให้อยู่บ่อยๆ อย่าเพิ่งสงสัยล่ะ ว่าทำไมฉันถึงพูดถึงเพื่อน กับแฟนแค่สองคน ก็ตนอื่นเขามีรถของตัวเองกันหมดแล้วน่ะสิ ไอริชก็ขับรถมากับอุ๋งอิ๋งที่บอกว่าอยากมีเวลาส่วนตัวจู๋จี๋กับแฟนบ้าง หลังจากที่ลงทุนช่วยเรื่องฉันกับมาร์กกี้มานาน ส่วนพี่ป๊อป วันนี้เขาไม่ได้เอารถสปอร์ตมา แต่เอามอเตอร์ไซด์มาแทน เลยขี่มาแค่คนเดียว เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงตาย กับความเร็วระดับเทพที่ป๊อปใช้ในการเดินทางเลย ก็โลกนี้ทุกคนก็คิดว่าชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งมีค่ามากพอที่จะไม่เอามันมาเสี่ยงกับมอเตอร์ไซด์คันนั้นแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะไม่มีใครกล้าขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถของพี่ป๊อป แม้แต่มายที่เฮี้ยวสุดๆ ก็ยังไม่กล้าขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซด์คันนั้นอีกเลย หลังจากที่เคยขึ้นไป แล้วกลับลงมาอ้วกแตก อ้วกแตน แทบตายอยู่ที่บ้าน จนมาโรงเรียนไม่ได้ ฉันล่ะคิดไว้สองอย่างคือ หนึ่ง น่าสงสารมายที่เกือบตายเพราะขึ้นไปเสี่ยงกับมอเตอร์ไซด์มหาการของพี่ป๊อป ส่วนสอง อันนี้ภูมิใจนำเสนอมากหน่อย ก็คือ การที่ฉันอยากจะพูดคำว่าสมน้ำหน้า และหัวเราะใส่หน้ายัยมายดังๆ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า เธออยากขึ้นไปเองนะ แต่ฉันก็เป็นคนดีมากพอที่จะไม่ทำแบบนั้น เลยได้แต่ฝากมาร์กกี้ไปถามไถ่อาการ แล้วก็เอาของฝากไปให้ เพราะถ้าฉันไปเอง ฉันอาจจะอดใจไม่ไหว หัวเราะเยาะเพื่อที่เกือบตายไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้ วันนี้มายเลยเลือกที่จะมานั่งโม้กับฉัน แล้วก็มาร์กกี้ อย่างที่ทำกันเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่ฉันก็มักจะเป็นคนเริ่มเรื่องก่อนเสมอ ตามประสาคนช่างพูด

                    อีกสักพัก หลังจากที่เราเปิดเพลงฟังกันในรถ แล้วก็เมาท์กันอย่างเมามัน อาจจะมีเงียบบ้างอะไรบ้างเวลาที่มีเพลงที่ใครคนใดคนหนึ่งชอบเปิดขึ้นมา แต่มันก็มากพอที่จะสามารถทำให้เราคุยกันได้ถึงร้อยแปดพันเรื่องน่ารู้ แต่ไร้สาระสิ้นดี ซึ่งส่วนมาก มันก็ออกมาจากปากเสียๆของมาร์กกี้นั่นแหละ ฉันไม่อยากจะคิดเลยนะว่า แม่จะว่ายังไงถ้าเกิดขบวนรถมาถึงบ้าน ไหนจะรถยนต์ของบ้านคันหนึ่ง ของพี่เครนคันหนึ่ง ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แล้วก็จะตามมาด้วย รถยนต์ของมาร์กกี้กับไอริช แล้วไหนจะรถมอเตอร์ไซด์มหาการของพี่ป๊อปอีก มีหวังฉันได้โดนแม่บ่นหูชาแน่ๆเลย แล้วไหนจะพี่เครนที่เริ่มมีอคติกับมาร์กกี้ตั้งแต่ตอนที่ฉันเล่าเรื่องที่มาร์กกี้ทำไว้กับฉัน บวกกับเรื่องที่อุ๋งอิ๋งโทร.มาใส่ไฟไว้กับพี่เครนตั้งแต่ตอนที่พี่เครนอังอยู่ที่อเมริกาแล้วด้วย พี่เครนได้มีหวังอาละวาทบ้านแตกกันอีกรอบแน่ แล้วตอนนี้ฉันก็คิดว่าไอริช กับพี่ป๊อปคงไปถึงบ้านกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่รถเต่าน้อยของมาร์กกี้ที่คนขับมัวแต่โม้ไม่ยอมขับรถเนี่ยแหละ ฉันเลยต้องรีบๆไล่ให้เขาหันกลับไปขับรถต่อ เพราะเสียเวลามามากแล้ว ยิ่งพอนึกถึงเรื่องรายงานฉันก็ยิ่งเครียด เห็นทีว่าวันนี้ฉันคนต้องให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มาอาศัยบ้านฉันให้เป็นประโยชน์ กับการใช้ให้ช่วยฉันเรื่องงานสังคมฯ แล้วไหนจะคุณพี่ชายสุดที่รัก ผู้ที่มีบุญคุณล้นหัวฉันอีกล่ะ งานนี้รายงานฉันเสร็จเร็วกว่ากำหนดแน่นอน อิ อิ

     

                    “เฟรม ทำไมมาถึงบ้านเอาป่านนี้ ดูเข้าสิ คนอื่นเขามาถึงกันเป็นชั่วโมงแล้วนะ แล้วนี่มากับใครใครมาส่งเธอ แล้วทำไมไม่รู้จักมากับอุ๋งอิ๋งบ้าง เป็นเพื่อนกันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ แล้วอุ๋งอิ๋งก็เหมือนกัน ทำไมถึงไม่ชวนเฟรมมาด้วยกัน รู้ทั้งรู้ว่าพี่เป็นห่วงน้องสาวขนาดไหน  ยังไงก็น่าจะช่วยดูกันบ้าง ไม่ใช่พากันออกนอกลู่นอกทางแบบนี้” พี่เครนบ่นยาวขณะที่เท้าฉันเพิ่งพ้นออกมานอกประตูรถ

                    “โห พอเลยพี่เครน อะไรเนี่ย เอะอะก็ด่ากันเฉยเลย มาหาว่าฉันพาเพื่อนออกนอกลู่นอกทางได้ยังไงกัน ปากแบบนี้นี่เคยโดนต่อยบ้างป่ะเนี่ย แล้วอีกอย่างนะพี่ พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อสามนาทีที่แล้วพี่ ไม่ใช่หลายชั่วโมง” อุ๋งอิ๋งอธิบายกึ่งด่ากลับพี่เครนมาซะยาวเหยียด ซึ่งพี่เครนได้แต่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ มองฉันก้าวลงมาจากรถของมาร์กกี้อย่างใจเย็น

                    “โอ๊ย! เฟรม ฉันว่าอยู่บ้านเธอไม่ถึงชั่วโมงหูแตกตายแน่เลยว่ะ” มายตามออกมาพลางบ่นกระปอดกระแปด

                    “พอเหอะน่า น้องมาย คนเขาชอบแบบนี้” มาร์กกี้เดินมาโอบไหล่มายที่เตี้ยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนท้ายประโยค พวกสองพี่น้องนั่นยังหันมาทำเสียงขึ้นจมูกล้อเลียนฉันอีกต่างหาก เชอะ!

                    “แล้วนี่ใครเนี่ย” พี่เครนถามอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เหมือนหลุดออกมาจากป่ายังไงไม่รู้แหะพี่ชายเรา

                    “เอาเป็นว่าเดี๋ยวเฟรมเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะพี่เครน นะ แต่ตอนนี้เข้าบ้านกันก่อนดีกว่า” ว่าพลางมือก็ดันหลังให้พี่ชายเดินเข้าบ้านก่อนที่จะเหม็นขี้หน้ามาร์กกี้มากไปกว่านี้ แถมยังส่งสายตาอาฆาตไปให้พี่ป๊อปพี่ยืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซด์ของเขา ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าถ้าพี่เครนยังทำหน้ายักษ์ใส่คนแปลกหน้าแบบนี้ พี่เครนอาจจะโดนทุบตายเข้าสักวัน ยิ่งคนสมัยเป็นคนปกติซะเมื่อไหร่ล่ะ น่ากลัวจะตาย

     

                    “เฟรม เล่ามาเลยนะว่านี่มันอะไรกัน” พี่เครนถามขึ้นแทบจะในทันทีที่ฉันลากเขาเข้ามานั่งในบ้านได้ แถมยังมาถามเอาตอนมาร์กกี้กับมายมีอารมณ์กวนประสาทขึ้นมาอีกน่ะสิ ฉันล่ะเสียวบ้านแตกจริงๆ

                    “พี่มาร์ก ถ้าน้องมายมีพี่แบบนี้ น้องมายว่าน้องมายอกแตกตายแน่เลยอ่ะ” มายเริ่มต้นการสนทนาโดยการใช้พี่ชายฉันเป็นการเปิดหัวข้อลับๆกับมาร์กกี้แต่มันก็เป็นการกระซิบที่ดังมากพอที่จะทำให้ฉันกับพี่เครนได้ยินอย่างชัดเจน

                    “โอ๊ย! น้องมาย น้องมายไม่ต้องกลัวหรอกนะ เพราะพี่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน” นั่นไง คนน้องเนี่ยแค่กระซิบ แต่คนพี่เนี่ยพูดเสียงดัง ชนิดกระแทกเข้าเต็มสองรูหู ชัดเจนเลยว่ากวนฉันอยู่ แต่กับความคิดพี่เครนเนี่ยสิ น่ากลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น

                    “เฟรม!

                    “จ้า” โอ๊ย! เจ้าพ่อคู้ณ ทำไมตอนจะเรียกมันไม่เรียกดีๆบ้างนะ โอ๊ย! ดูท่าว่าอกฉันจะแตกตายเหมือนมายแล้วล่ะสิ

                    “นี่ใคร” พี่เครนถามเสียงเข้มขึ้นกว่าที่เคยเป็นมันยิ่งทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง

                    “อะไรนักหนาล่ะพี่เครน นี่ก็แค่แฟนเฟรมเองนะ พี่เครนไม่เห็นต้องบ่นอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้เลยเนอะ มาร์กกี้เนอะ” ตอนท้ายฉันหันไปถามมาร์กกี้เอามือไปตีแขน แล้วก็เขยิบเข้าไปใกล้มาร์กกี้ที่กึ่งนั่งกึ่งนอน มือหยิบคุกกี้ของโปรดขึ้นมากินอย่างสบายอารมณ์ท่ามกลางสายตาอาฆาตของพี่เครน

                    “ช่ายๆ” มาร์กกี้พูดพลางเอามือมาโอบไหล่ฉัน ซึ่งพี่เครนก็ได้แต่ทำหน้าบึ้ง สะกดอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ซะเต็มประดา และไอ้ท่าทีแบบนี้แหละที่ทำให้เพื่อนๆของฉันหลุดขำหึๆ ออกมาเป็นแถบ

                    “เฮ้ย! เฟรม มานี่กับพี่ซิ พี่เครนพูดพลางฉุดแขนฉันให้ลุกขึ้น แล้วเดินตามเขาไป ก่อนเดินไปกับพี่เครนฉันก็ไม่ลืมกำชับอุ๋งอิ๋งให้ทำงานสังคม พลางสั่งให้มาย มาร์กกี้ ไอริช แล้วก็พี่ป๊อปช่วยทำงานไปด้วย โดยการที่ใช้ให้เขาไปหยิบโน้ตบุ๊กของตัวเองมาใช้ เพื่อไม่ให้มีการเกี่ยงกันทำงาน ฉันเป็นคนรอบคอบใช่ไหมล่ะ^^

     

                    “เฟรมๆๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” พี่เครนกระซิบถามหลังจากที่ก้าวพ้นห้องนั่งเล่นมาไม่กี่ก้าว

                    “คนไหนอ่ะพี่เครน มายน่ะหรอ?” ฉันเดาล่งๆไปงั้นแหละ เพราะผู้หญิงที่มาด้วยก็มีอยู่สองคน หนึ่งก็อุ๋งอิ๋ง รายนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะพี่เครนรู้จักดียิ่งกว่าอะไร เพราะฉะนั้นที่เหลือก็มีอยู่คนเดียว ก็ยัยมายนี่แหละ ที่พอจะเข้าเกณฑ์กับเขาบ้าง

                    “เออ นั่นแหละๆ ใครอ่ะเฟรม”

                    “ก็มาย น้องสาวมาร์กกี้ แฟนเฟรมไงพี่เครน ถามไมอ่ะ” ฉันถามพี่เครนกลับบ้างเพราะสงสัยซะเต็มประดาว่าทำไมพี่เครนต้องลากฉันมาถามถึงนี่ด้วย

                    “ก็ไม่มีอะไร ถามเฉยๆไม่ได้รึไง” พี่เครนทำท่าเหมือนไม่สนใจ แล้วเสมองไปทางอื่น

                    “โห่ ตอบมาเลยพี่เครน ถ้าไม่มีไรจริงทำไมพี่ต้องลากฉันขึ้นมาถึงนี่ด้วยล่ะ ตกลง...พี่ชอบมายใช่ไหมล่ะ”  ฉันแกล้วงถามเล่นๆเพื่อความสะใจ ถือว่าได้เป็นการแก้เผ็ดเล็กๆน้อยๆก็แล้วกัน

                    “เออ ใช่ ช่วยพี่หน่อยดิ” โอ้! แม่เจ้า อะไรจะพูดตรงได้ขนาดนี้เนี่ย ทั้งที่ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจังเลยแท้ๆ แต่พี่เครนกลับบอกว่า พี่เครนชอบยัยมายจริงๆ งานนี้ฉันเลยต้องเสียเวลามานั่งซักโน่น ถามนี่พี่เครนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าทำไมพี่เครนถึงคิดจะชอบอุ๋งอิ๋งขึ้นมา และคำตอบที่ได้นั้นก็คือ คำตอบเน่าๆว่ารักแรกพบ แล้วเหตุผลที่ชอบก็เพราะ พี่เครนมีความคิดที่ดีมากอยู่อย่างหนึ่งก็คือ มายห้าวดีพี่เครนชอบ ดูจากตอนที่เขาพูดกับฉันตอนเดินลงจากรถนั่นแหละ

                    “งานนี้ฉันคงช่วยพี่ไม่ได้จริงๆ บอกตรงๆเลยนะว่ามันเกินความสามารถของน้องสาวคนนี้ เกินไปมากจริงๆนะพี่” ฉันพยายามเรียบเรียงคำพูดที่จะใช้ในการปฏิเสธพี่เครนเรื่องการเป็นแม่สื่อให้ออกมาดูดี และฟังขึ้นมากที่สุดเท่าที่คนอย่างฉันจะสามารถกลั่นกรองออกมาได้ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลอยู่ดี เมื่อพี่เครนคิดแผนไว้ให้ฉันเรียบร้อย ขอเพียงแต่ฉันยอมร่วมมือ ทำตามแผนการอันชั่วร้าย เลวร้าย ที่พี่เครนได้คิดเอาไว้ให้อย่างครบถ้วน ไม่รู้พี่แกเอาเวลาที่ไหนไปคิด เพราะเจอมายแค่ไม่เกินห้าวินาทีที่หน้าบ้าน เข้ามาข้างในบ้านพี่เครนก็ด่าๆๆ บ่นๆๆ แล้วก็ถามโน่น ซักนี่ฉันอยู่เรื่อย รู้สึกว่าสมองพี่ฉันมันจะทำงานเร็วเกินความคาดหมายนะ ทีเวลาให้ช่วยคิดงานทีหนึ่งล่ะก็ ฉันต้องรอสมองอันชาญฉลาดของพี่เครนเป็นชั่วโมงๆ กว่าคุณพี่ท่านจะนึกออก

     

                    ฉันกลับเข้ามาในวงสนทนาอีกทีพร้อมของกินแล้วก็สารพัดสิ่งของโน่น นี่ นั่น เพื่อเป็นการบังหน้าไว้ก่อนว่าที่ฉันออกไปนานเนี่ยก็เพราะต้องไปเอาของพวกนี้ แต่ความจริงแล้ว...เปล่าเลยสักนิด ก็แม่เตรียมของพวกนี้ไว้แล้วน่ะสิ ฉันกับพี่เครนเข้าไปปุ๊บก็หยิบออกมาเลย

                    พี่เครนวางของเสร็จก็รีบไล่แม่ขึ้นไปนอน โดยข้ออ้างว่าฉันพาเพื่อนมาเยอะ ถ้าแม่รอกว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน นอนดึก เสียสุขภาพเปล่าๆ  แถมยังอาสาปิดบ้านให้อีก แต่เพราะพี่เครนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ (มากกว่าฉัน) แม่เลยไม่เซ้าซี้ ยอมขึ้นไปนอนแต่โดยดี

                    “แล้วนี่มีใคร ชื่ออะไรบ้างเนี่ย” พี่เครนกลับมานั่งข้างๆฉันในท่าทางสบายๆ เป็นกันเอง ราวกับว่ารู้จักสนิทสนมกันมานานแสนนาน

                    “ก็มี มาร์...” อุ๋งอิ๋งตั้งท่าจะพูด แต่ก็ถูกพี่เครนขัดจังหวะเสียก่อน

                    “พอเลยๆ พี่ฟังเสียงเราจนเบื่อแล้ว ให้คนอื่นพูดบ้างเถอะอุ๋งอิ๋ง” พี่เครนตีหน้าเบื่อหน่าย แต่ดูยังไงก็ดูออกว่าเฟคชัดๆ

                    “โอ๊ย! ง่ายจะตาย ฟังเราคนเดียวก็พอ” มายพูดขึ้นมาอีกตามประสาคนพูดเก่ง ปนสอดเห็นนิดๆ เธอพูดแนะนำทุกคนเสร็จเรียบร้อย ฉันก็เริ่มเอาฟิวส์เจอร์บอร์ดมากางหน้าพี่เครนกับมาร์กกี้แล้วสั่งให้ช่วยกันทำ

                    “อะไรเนี่ย อะไรเนี่ยน้องมาย พี่ก็นึกว่าน้องมายรู้ว่าเด็กวิทย์ฯอย่างพี่เนี่ย ไม่เหมาะกับงานศิลปะแบบนี้ งานพวกนี้ต้องให้เด็กศิลป์ฯทำโน่น” มาร์กกี้พูดแกมอวด และดูท่าว่าจะไม่ยอมทำง่ายๆซะด้วย

                    “แล้วตอนนี้มีใครเรียนศิลป์ฯป่ะล่ะ ไหนเคยอวดนักอวดหนาว่าเก่งโน่น เก่งนี่ เก่งหมดทุกอย่าง แล้วทำแค่นี้ไม่ได้รึไง” ฉันแกล้งถามแกมประชดนิดๆ เจ็บไม่เน้น เน้นอายกับขายหน้าอย่างเดียวเป็นอันพอ

     

                    กว่างานจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าๆ บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกลับบ้านกลับช่อง กลับรูหนูของตัวเองไปนอนเสียที เหตุเพราะอาจจะหลับในแล้วขับรถตกหน้าผาตายไม่รู้ตัว ดีไม่ดีบาปอาจจะตกมาอยู่ที่ฉัน ทำให้เมื่อก่อนที่มันก็หนาอยู่แล้ว จะหนาเพิ่มขึ้นอีกหลายตัน 

                    พอทำงานเสร็จบรรดาแขกผู้ถูกเชื้อเชิญ (บังคับ) ให้มาช่วยทำงาน(ของฉัน)ที่บ้าน(ของฉัน) ต้องนอนกันเกลื่อนห้องนั่งเล่นกันไปหมด น้ำท่าก็ไม่อาบ นอนกับทั้งอย่างนั้น ไม่เว้นแม้กระทั้งฉันกับพี่เครน ก็นอนกองกันอยู่ตรงนั้นด้วย ฉันนอนหนุนพุงพี่เครนที่กระเพื่อมๆขึ้นลงตามระบบหายใจ อย่างน้อยๆมันก็บอกว่าพี่ฉันยังไม่ตาย เท้าก็ชี้ออกไปนอกบ้าน ชนิดที่ว่าถ้าเกิดมีใครเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เขาจะทำคือเหยียบเท้าฉันแล้วล้มหัวฟาดพื้นตาย โอ๊ย!!!!  ชีวิตนี้มีแต่เรื่องตายๆ ตายทั้งนั้น ไม่บาปเพราะพวกนี้ ก็มีเหตุให้ต้องบาปเพราะมีคนมาสดุดเท้าตายอีก แต่อะไรเล่าที่จะซวยเท่าตอนท่านแม่เดินลงบันไดมาตอนเช้าแล้วเห็นสภาพศพทั้งหลายนอนเกลื่อนบ้านขนาดนี้ พี่เครนที่เคยได้รับความไว้วางใจก็ไม่ได้ปิดประตูบ้าน นอนกันน้ำท่าก็ไม่ได้อาบ โน้ตบุ๊กที่เอาแบตฯมาเสียบก็ไม่ได้ถอด แอร์ที่เมื่อเจ็ดโมงแล้วก็ไม่ได้ปิด งานนี้เลยโดนแม่ปลุกขึ้นมาด่ากันถ้วนหน้า ไม่ใช่แค่ฉันกับพี่เครนหรอกนะ แต่รวมไปถึงพี่ป๊อป มาร์กกี้ มาย ไอริช แล้วก็อุ๋งอิ๋งด้วย เรียกว่างานนี้เสมอภาคกันทุกคน

                    ตื่นมาเจ็ดโมง ฟังแม่บ่นอีกครึ่งชั่วโมง เหลือเวลาอาบน้ำแต่งตัว และขับรถไปโรงเรียนอีกครึ่งชั่วโมง โอ้แม่เจ้า! งานนี้ห้องน้ำบ้านฉันเลยเต็ม ห้องนอนฉัน ฉันอาบ ห้องนอนแม่ อุ๋งอิ๋งอาบ ห้องพี่เครนพี่ป๊อปอาบ ห้องรับแขกไอริชอาบ ห้องนอนเสริมสองห้อง มาร์กกี้กับมายเอาไปคนละห้อง ส่วนพี่เครนละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าพี่แกไม่ต้องออกไปไหน เสียสละให้น้องๆอาบกันไปก่อนก็แล้วกัน...

                    และแล้วพออาบน้ำเสร็จปัญหาใหญ่เรื่องเสื้อผ้าก็เกิดขึ้น เมื่อบรรดาหนุ่มๆทั้งหลายดันไม่มีเสื้อนักเรียนใส่ ที่เคยพกๆติดรถกันมา ก็มีแรงบันดาลใจให้หยิบออกไปเสียนี่ แม่ฉันเลยออกความเห็นอย่างเด็ดขาดว่าให้ทั้งสามคนยืมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คของพี่เครนใส่ไปเสียก่อน เพราะหุ่นก็พอๆกัน ส่วนมายแล้วก็อุ๋งอิ๋งให้ใส่เสื้อของฉันไปแทน ปรากฏว่าพอดี อาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในห้านาทีก็ได้ฤกษ์ออกจากบ้าน(เกิดมาชาตินี้ไม่เคยอาบน้ำแต่งตัวเร็วขนาดนี้มาก่อน) ผมเผ้าไม่ต้องหวี เอาให้ทันออดโรงเรียนเข้าเป็นอันพอ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×