ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทเรียนแห่งรักแรก

    ลำดับตอนที่ #8 : มีเรื่องแล้ว!

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 54


    เวลาที่ปกติเหมือนจะเดินไปอย่างช้าๆ ตอนนี้กลับเดินไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เธอได้แต่นั่งร้องไห้ฟูมฟาย พี่ป๊อปก็อุตส่าห์ปลอบ อุตส่าห์บอกว่ามีอะไรให้ระบายกับเขา และอุตส่าห์ไปหากระดาษมาให้ฉันเขียนอะไรก็ได้เพื่อระบายอารมณ์ที่ขุ่นเขืองมานานให้พอบรรเทาลงได้บ้าง...ไม่มาก...ก็น้อย              แต่ไม่ว่าพี่ป๊อปจะทำยังไงฉันก็ไม่ดีขึ้น ไม่อยากเขียน...เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร และเขียนไปแล้ว จะเป็นยังไง สุดท้ายเขาเลยไปหยิบกระดาษทิชชูมาให้ฉันนั่งเช็ดน้ำตาจนเกือบหมดม้วน และที่หยุดร้องมาได้เพราะกลัวกระดาษหมด(-*-)

    “อ้าวหยุดร้องแล้วหรอ?” พี่ป๊อปเดินกลับมาถามอีกครั้ง ด้วยท่าทีที่ดูใจดีเหมือนแต่ก่อน ซึ่งฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับ ไม่รู้จะพูดตอบว่าอะไรดี

    “ถ้าลำบากใจนัก...” และแล้วความกลัวก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเดาในสิ่งที่คนตรงหน้าจะพูดต่อไปถึงไหนต่อไหนแล้ว “ก็เลิกกับมันซะ!” คำพูดที่ดูเหมือนคำสั่ง ถูกส่งผ่านมาจากริมฝีปากที่ขบเม้มแน่นหลังจบประโยค คำพูดที่ดูแข็งกร้าวราวกับคนละคน ยิ่งทำให้สาวน้อยแปลกใจเข้าไปใหญ่

    “แล้วถ้าเราทำใจไม่ได้ล่ะ ทำใจที่จะเสียเขาไปไม่ได้ล่ะ” ฉันย้อนถามเขากลับ น้ำเสียงชักเริ่มฟังดูขุ่นๆบ้างแล้ว

    “แล้วถ้าเขามีคนของเขาอยู่ก่อนแล้วล่ะ!”คราวนี้ป๊อปเปลี่ยนจากการพูดเป็นตะวาด แววตาส่อถึงความเจ็บปวด และพอใจไปในคราวเดียวก็เมื่อเห็นฉันนิ่งอึ้งพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ถูก แต่ทว่าใจมันกลับคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาจะไม่ทิ้ง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ จนเกือบจะเลือนหายไปในไม่ช้า เป็นอันต้องพากันหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆเสียแล้ว

     

    หลายวันมานี้ฉันไม่ค่อยจะได้ไปหาป๊อปสักเท่าไหร่ แถมยังพ่วงมากับการหลบหน้ามาร์กกี้ด้วยอีกหนึ่งคน พอเขาเดินมาฉันเดินไป พอฉันเดินไปเขาเดินมาเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เวลาสถานการณ์บังคับก็แกล้งพูดจากระทบกระทั่ง เสียดสี ประชดประชัน แต่ละอย่างช่างเป็นการกระทำที่น่าหมั่นไส้ที่สุด นี่คือคำที่อุ๋งอิ๋งมักพูดกับฉันเสมอหลังจากที่ทำกิริยาแบบนั้นใส่มาร์กกี้เข้าไปเต็มๆ

    “เฟรมจ๋า เฟรม” และก็เป็นไอริชอีกนั่นแหละที่เดินมาชวนฉันไปหา(แอบดู)มาร์กกี้ด้วยกัน โดยฉันเป็นคนขอร้องให้ไอริชพาไปดู แต่ไปเจอมาร์กกี้ที่ฝ่ายมัธยมปลาย ดูท่าเหมือนเพื่อนคนนี้จะไม่รู้เรื่องมาร์กกี้กับมุกรดาอะไรนั่นหรอกนะ ส่วนฉันนี่สิ ทั้งที่ตอนแรกไม่รู้อยู่ดีๆ มันก็ดีอยู่แล้ว แต่นี่สิ ดันไปให้มายช่วยค้นประวัติมาให้แบบหมดเปลือก และพอรู้ก็เหมือนว่าความฝันปราสาททรายได้พังลงมาต่อหน้าต่อตา เมื่อรุ่นพี่ที่ชื่อมุกรดามีดีกว่าเธอในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ดูจากรางวัลที่ได้รับ ช่างมากกว่าตั้งสามอย่าง ด้านกีฬา อันนี้นำโด่งอยู่มากโข เพราะฉันนอกจากจะมีรางวัลชนะเลิศกระโดดเชือกทีม(ที่เป็นคนแกว่ง) และการเล่นแชร์บอล ได้ที่สาม การแข่งปิงปอง ชนะบาย ดูก็รู้ๆกันอยู่ว่าความสามารถด้านกีฬาของฉันนั้นห่วยแตกขนาดไหน แล้วดูคุณพี่ท่านสิ กีฬาแต่ละอย่างอุตส่าห์ไปแข่งมาจากเมืองนอกเมืองนา ทั้งยิมนาสติก เต้นลีลาศ และอีกมากมาย จะมีที่ฉันดีกว่าก็ตรงที่ตำแหน่งหน้าที่ที่เคยได้รับมานั่นแหละ เพราะตำแหน่งประธานสภากรรมการนักเรียนที่อุตส่าห์ได้มาตั้งแต่ ป.6 แล้วยังมาได้ตอน ม.3 อีกรอบนี่น่ะสิ การันตีได้ดีมากๆเลยทีเดียว ตำแหน่งฉันใหญ่กว่าประธานสภาฯอีกนะ ส่วนคุณพี่ท่านน่ะหรอ ฮุๆๆ

     ไม่เคยได้รับตำแหน่ง และส่วนสูงที่ฉันมีมากกว่าอยู่ถึง 3 เซนติเมตร อย่างน้อยก็พอมีอะไรให้ใจชื้นบ้างล่ะน่า

    “ไอริช หิวแล้วอ่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ” ฉันเอ่อปากชวนคุณผู้ชายที่บ่นกะปอดกระแปดมานานแสนนานอย่างรู้ใจ ทำให้เจ้าตัวรีบวิ่งนำไปที่โรงอาหารทันที ราวกับว่ากลัวฉันจะเปลี่ยนใจงั้นแหละ

    แล้วพอมาถึงโรงอาหารอารมณ์สดใสเมื่อครู่ก็หายไปในอากาศทันทีที่ได้เห็นสายตาของคนที่อยู่ในโรงอาหาร รวมทั้งสายตาเยาะเย้ยจากเชอร์รี่ โจทย์เก่าฉันด้วย สายตาแบบนั้นทำให้ ฉันกับไอริชต้องรีบวางมาดผู้ดี เนี้ยบทุกระเบียดนิ้ว แล้วเดินชูคอเป็นสง่าเดินเข้าโรงอาหารท่ามกลางสายตาที่ถามว่าทำไม่เธอเดินมากับไอริชยะ ทำไมไม่มากับมาร์กกี้ยะ คิดจะแย่งแฟนเพื่อนหรือนี่? และนั่นยิ่งทำให้สายตาฉันนิ่ง สงบ และเชิดมากกว่าเดิม

    ฉันกับไอริชนั่งกินข้าวมื้อนี้กันด้วยดี มีพูดคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่ลืมมารยาท และภาพพจน์ที่ดูหยิ่งเป็นพิเศษ ถือเป็นการบอกถึงฉันกำลังอยู่ในหน้าที่การงาน ตำแหน่ง หรือไม่พอใจ คนที่ฉันเคยปกครองมาก่อนก็จะรู้ดีถึงสายตาแบบนี้ ดูจากตอน ป.6 ที่ฉันมองด้วยสายตาแบบเดียวกันนี้ เล่นเอาเพื่อนรุ่นเดียวกัน และรุ่นน้องเป็นต้องเงียบกริบ ไม่หันมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันอีก เพราะรู้ว่าจะโดนดุ ซึ่งก็แล้วแต่เลยว่าอารมณ์มันขุ่นเคืองไปถึงขั้นไหนแล้ว ตอนนี้ก็คงมีแต่พวกรุ่นพี่ กับเด็กใหม่เท่านั้นที่ไม่รู้ถึงตำแหน่งอันใหญ่โตของประธานสภากรรมการนักเรียนอย่างฉันว่ามันเท่ากับตำแหน่งของครูบางระดับเลยทีเดียว และเมื่อฉันวางตัวแบบนี้คนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในโรงอาหารก็กลับไปอยู่ในสภาวะปกติ และอีกส่วนที่ตาไม่ถั่วมองเห็นเข็มที่ติดหราอยู่บนเสื้อนักเรียน เข็มที่เขียนคำว่าประธาน ถูกติดอยู่บนปากกระเป๋าเสื้อที่อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้าย และอีกอันที่เขียนเป็นตราสัญลักษณ์โรงเรียนด้วยตัวอักษรสีเหลือง และล้อมรอบโปร่งเป็นวงกลมด้วยสีชมพูอ่อนปักอยู่ที่คอซอง เข็มหัวหน้าหน่วยสี(โรงเรียนเรามีการจับฉลากหน่วยสี เพื่อแบ่งเขตนักเรียนน่ะ) และเข็มสภากรรมการนักเรียน ที่ติดอยู่ตรงขอบกระเป๋าเสื้อของไอริชซึ่งพร้อมจะเชิดฉายได้ทุกเมื่อที่เจ้าตัวต้องการ และตอนนี้มันก็คือเวลานั้น

    “ถามหน่อยสิ ทำไม่เธอถึงไม่เลิกกับไอ้มาร์กกี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ” ไอริชหันมาถามฉัน สีหน้าเขาเริ่มจริงจังขึ้นกว่าเมื่อครู่ หากว่ายังคงไม่รู้เรื่องแฟนเพื่อนอยู่ดี อย่าว่าแต่เขาเลย ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่...ที่เป็นแฟนของ...มาร์กกี้

    “ฉันเลิกกับเขาไม่ได้ ฉันทำใจไม่ได้ ทำไงได้ล่ะ ฉันมันผู้หญิงอ่อนแอนี่หน่า” ฉันพูดทั้งน้ำตา ความน้อยใจและความโกรธเริ่มผุดขึ้นมา น้อยใจที่มาร์กกี้ไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าเขามีคนอื่น และเรื่องที่ป๊อปเคยพูดไว้เมื่อหลายวันก่อน

    ฉันเดินหน้างอกลับเข้ามาในห้องเรียนเสริมคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนที่มีความสามารถได้เข้าแข่งขันในรายการต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้นได้ทุกเมื่อ

    ฉันเดินเข้ามาด้วยอาการที่เรียกได้ว่าโคม่า แรงจะเปิดตายังยากเลยสำหรับตอนนี้ ฉันผล็อยหลับไปพร้อมกับได้ยินเสียงอาจารย์บอกว่าทุกคนห้ามหลับ ยกเว้นฉันที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน

     

    ตื่นมาอีกที นึกว่าอาจารย์จะยังสอนไม่เสร็จ ที่ไหนได้ห้องที่ฉันอยู่มันไม่ใช่ห้องเรียนเสริมเลยนี่หน่า ไม่เหมือนเลยสักนิด เอ๊ะ! หรือว่าฉันจะฝันไป ใช่แน่ๆ ฝันชัวร์ ใช่ๆๆ ฝันๆๆ

    “เฟรม ตื่นแล้วหรอ” มาร์กกี้เดินเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนย่อมและกะละมังใส่น้ำอีกใบหนึ่ง

    “ออกไปนะ” ฉันพยายามปลีกตัวออกห่างจากผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุด ทั้งที่เรี่ยวแรงพยุงตัวยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ น่าอับอายชะมัด

    “อะไรกัน นี่ฉันอุตส่าห์หวังดี เห็นเธอตัวร้อนจี๋เลยพามาเช็ดตัวที่นี่ ไหงกลับมาไล่กันง่ายๆแบบนี้ล่ะ” เขาย้อนฉันอย่างสนุกปาก เพียงแต่ว่าฉันไม่สนุกไปด้วยเลยสักนิด

    “แล้วนายจะมายุ่งอะไรกับฉันล่ะ ทำไมไม่ไปยุ่งกับยัยเชอร์รี่ อ๋อ! ขอโทษที ฉันลืมไปว่าเดี๋ยวนี้นายไม่ได้ชอบเชอร์รี่แล้วนี่หน่า แต่นายชอบมุกรดานั่นต่างหาก ทำไม ยัยนั่นมีอะไรดีไม่ทราบ ฉันไม่เห็นว่ารูปร่างจะดีตรงไหนเลย นอกจากจะตัวเตี้ยอย่างกับตุ่นแล้ว ยังนิสัยไม่ดีมาแย่งแฟนชาวบ้านอีก นี่ดูท่าจะไม่มีปัญญาหาเองล่ะสิท่า” ฉันด่าเขาไปยาวเหยียด จนพาลทำให้นึกไปถึงเชอร์รี่ กับมุกรดาด้วยอีกสองคน ฉันล่ะเกลียดจริงๆพวกที่ชอบทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนแบบนี้เนี่ย

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟรม!!! เธอไม่มีสิทธิมาพูดจาแบบนั้นกับมุกนะ เขาเป็นรุ่นพี่เธอ” มาร์กกี้พยายามจะอธิบายอย่างใจเย็น ผู้ชายคนนี้จับน้ำเสียงไม่ยากนักหรอก แต่ก็ดีกว่าปิดไม่ได้เลยอย่างฉันเป็นร้อยเท่า

    “และที่สำคัญ...” เงียบไปนานกว่ามาร์กกี้จะพูดต่อ “...เขามาก่อนเธอ” ประโยคหลังนี่เล่นเอาพูดไม่ออกไปเลยแฮะ ทีนี้จะโทษใครได้ล่ะนี่ ก็ตัวเองดันโง่ไปให้เขาหลอกเองทำไมล่ะ ฉันนิ่งอึ้ง คำด่าที่เตรียมมานานแสนนาน โดยได้รับความช่วยเหลือจากพี่เครน และอุ๋งอิ๋ง ถูกละลายหายไปในสายลมโดยสิ้นเชิง ฉันเลยได้แต่ยืนน้ำตาไหลพรากๆ คิดโน่น นี่ นั่น อยู่ในใจอย่างน่าเวียนหัว ทุกอย่างมันตันไปหมดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้เรื่องราวพวกนี้เป็นเพียงความฝัน เป็นแค่จิตนาการอันโง่เง่าของฉันเท่านั้น แล้วพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม

     

                    ฉันปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่พักใหญ่ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมสติที่แตกกระเจิงให้กลับมารวมกันอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากไล่มาร์กกี้ออกไป

                    “อะ...ออก...ออก...ออกไป” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกักเต็มที ดูท่าการรวบรวมสมาธิเมื่อครู่จะไม่เป็นผลเลยสักนิด

                    “เฟรม...ฉันว่าเธอลืมอะไรไปอย่างแล้วล่ะ...” มาร์กกี้จ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาเหินห่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นี่มันห้องของฉัน” เอาอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้นะ

                    “อ๋อ! ถ้างั้นฉันก็คงไม่มีสิทธิ์สินะ...” ฉันพูดค้างไว้อีกตามเคย ด้วยเพราะตอนนี้ฉันเหมือนคนไม่มีหลักปักฐานอะไร เหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศที่ไม่มีอะไรมารองรับเท่านั้น “งั้น...ถ้านายไม่ไป...ฉันไปเองก็ได้” น้ำตาที่ไหลนองอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้เริ่มแห้งเหือดไปเพราะความโกรธ

                    ฉันเดินผ่านหน้ามาร์กกี้มาเร็วๆ เพราะกลัวเขาจะหยุด หรือห้ามฉันไว้ แต่เปล่าเลยสักนิด เขาไม่มีทีท่าว่าจะห้ามฉัน พฤติกรรมที่ทำอยู่ตอนนี้คือ คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกที

                    และทีนทีที่ฉันก้าวออกจากห้อง จนกระทั่งกระแทกประตูใส่เขาแรงๆ และหันหน้ากลับมาเพื่อเดินกลับไปในห้องเรียนของตัวเองนั้น จู่ๆ ฉันก็รู้สึกถึงแรงจากอะไรบางอย่างที่ตรงเข้ามาเต็มหน้าฉันอย่างจัง ซึ่งไอ้แรงบ้าๆ นั่น มันก็สามารถทำให้ฉันเซ จนล้มลงอย่างหมดท่า

                    “นี่น่ะหรอ ยัยเด็กม.3 ที่เธอบอกว่ามาร์กกี้คบด้วยระหว่างที่ฉันไม่อยู่” เล่นพูดแบบไม่ต้องเดาเลยว่าใครพูด และมาทำอะไรกับหน้าฉัน

                    “หึ...น่าสมเพช ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย” เธอพูดเย้ยหยัน พร้อมแรงสนับสนุนจากเพื่อนๆ อีกกว่าห้าคนของเธอ เล่นเอาความโกรธของฉันที่เพิ่งมีมา กลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ฉันลุกขึ้นพลางกวาดสายตามองไปยังพวกของมุกรดา เรียงคนด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเย้ยหยันและดูถูก ทำเอาพวกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างพวกนั้นทำท่าทางเลียนแบบฉัน แต่ดูยังไงมันก็ยังขาดความมั่นใจอยู่ดี

                    “นี่น่ะหรือ มุกรดา” ฉันพูดพลางยืดคอ อย่างเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางฝูงชน

                    “ใช่ ฉันนี่แหละ มุกรดา ทำไม เธอมีอะไรไม่ทราบ” มุกรดาตวาดแว้ดขึ้นมาอย่างเหลืออด เพราะเธอคิดว่าเสียงที่ดังกว่าจะสามารถข่มรัศมีอีกฝ่ายได้ ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้รับรู้ถึงความหัวเสียของเธอ เฮ้อ~ ช่างไม่มีความเป็นผู้ดีเอาเสียเลย

                    และเมื่อเห็นถึงสถานการณ์ที่เป็นต่อทางด้านอารมณ์อยู่มาก ฉันจึงตัดสินในเดินออกมา พร้อมชูคออย่างผู้ชนะ ตามด้วยการยืนยันเป็นเสียงกรี๊ดของมุกรดาที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันคงต้องกลับไปขอบคุณคุณครูที่เมื่อครั้งก่อนเคยสอนฉันถึงมารยาทความเป็นผู้ดี และการระงับอารมณ์ เพื่อการชนะอย่างไม่เห็นฝุ่น ซึ่งก็เป็นผลดีมากเลยทีเดียวในตอนนี้

                    ...นี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นยังไงก็คงต้องรอลุ้นกันแล้วล่ะ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×