ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทเรียนแห่งรักแรก

    ลำดับตอนที่ #5 : พี่ชายสุดที่รัก

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 54


    หลายวันแล้วที่ฉันพยายามหลบหน้ามาร์กกี้ ไม่คุยกับเขามาหลายวันแล้ว แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่เคยโชว์เบอร์ของคนๆนั้นขึ้นมาเลยสักครั้ง จะมีก็แต่ อุ๋งอิ๋ง ป๊อป แล้วก็ไอริชเท่านั้นที่โทร.มาถามว่าฉันไปยังไง

                    ก๊อกๆๆ

                    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ฉันต้องรีบลุกจากเตียงแล้วปาดน้ำตาออกจนหมด ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน แล้วฉันก็ได้พบกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน พี่เครน! พี่ชายฉันที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศเดินทางกลับมาพร้อมใบปริญญาบัตร พี่เครนทำให้ฉันมีเรื่องไปโม้กันเพื่อนอีกแล้วว่าพี่ชายฉันจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด

                    “พี่เครน!” ฉันโผเข้าไปกอดพี่ชายด้วยความคิดถึง พี่ฉันรู้เรื่องที่ฉันคบกับมาร์กกี้แล้วล่ะ พี่ไม่ว่าอะไรฉันหรอก พี่เครนเพียงแค่บอกติดตลกว่าอย่าให้เกรดตก อดได้ที่หนึ่งตามรอยพี่ชายล่ะ

                    แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะบอกพี่เครนยังไงดี เรื่องที่ฉันเลิกกับมาร์กกี้แล้ว

                    “เป็นไงบ้างล่ะ น้องพี่ อกหักอยู่ล่ะสิท่า”

                    “พี่เครน ใครบอกพี่น่ะ” ถามไปงั้นแหละ รู้ทั้งรู้ว่าต้องเป็นอุ๋งอิ๋งอีกตามเคย

                    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพี่รู้แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะไปส่งเราเอง” คำพูดของพี่เครนทำให้ฉันต้องรีบปฏิเสธทันที เพราะพรุ่งนี้นัดกับพี่ป๊อปเอาไว้ว่าจะให้พี่เขามารับแล้วน่ะสิ

                    “อืม ตามใจ”

                    “พี่รู้ไหม ทำไมเวลามีอะไรฉันถึงชอบคุยกับพี่แทนที่จะเป็นแม่ ฉันอยากจะขอบคุณพี่อยู่สองเรื่อง หนึ่งขอบคุณที่เวลาฉันพูดพี่จะไม่ถามต่อ สอง ขอบคุณที่ไม่ให้ฉันมีพี่สะใภ้เป็นฝรั่ง” ประโยคหลังเนี่ย พูดอย่างจริงใจเลยนะ เพราะถ้าพี่เครนมีแฟนเป็นฝรั่งล่ะก็ ไม่วันไหนก็วันนึงฉันคงจะอกแตกตาย!

                    และพอนึกถึงพี่เครน มันก็ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของพี่ป๊อปที่ว่า ชื่อฉันกับพี่เนี่ย ถูกตั้งมาจากทีมฟุตบอลเล็กๆสองทีม ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก ก็ฉันไม่เคยนึก และไม่เคยฝันมาก่อนเลยนี่ว่าจะมีทีมฟุตบอลที่ชื่อ เครนกับเฟรมอยู่บนโลกนี้ด้วย

                   

                    หลายวันแล้วที่ฉันพยายามจะหลบหน้ามาร์กกี้ ถอยห่างจากห้องพักของเขา ไม่เฉียดเข้าใกล้กลุ่มพวกผู้ชาย และพยายามหลบหน้ายัยเชอร์รี่เพื่อไม่ตอกย้ำว่า...ฉันแพ้

                    “เฟรม! เธอจะหนีฉันไปถึงไหน หัดฟังฉันบ้างสิ!” เสียงนี้...เสียงนี้มัน...มาร์กกี้! ซึ่งถ้าฉันสังเกตดีๆก็จะเห็นว่าเขามารอฉันอยู่หน้าห้องตั้งนานแล้ว ลงทุนโดดเรียนมาเลยนะเนี่ย

                    “ปล่อยฉัน กลับไปหาเชอร์รี่ของนายซะสิ” ฉันพูดประชดเขา ทำเหมือนไม่แคร์ แต่ข้างในนั้นน่ะ เจ็บอย่าบอกใครเลยล่ะ

                    “นี่! เฟรม! เธอจะบ้าไปถึงไหนห๊ะ หัดทำตัวมีเหตุผลบ้างสิ ฟังฉันบ้าง เขาใจไหม อย่าทำตัวน่ารำคาญนักเลยน่า!” มาร์กกี้บีบไหล่ฉันแรงจนมันรู้สึกเจ็บ แต่ก็เจ็บไม่เท่ากับคำพูดของเขาเลย เทียบไม่ได้เลยสักนิด น้ำตาของฉันเริ่มไหลออกมาจากหนึ่งหยด เป็นสอง และไหลลงมาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีครั้งแรก ก็ตั้งมีครั้งต่อไป

                    “แล้วทำไมล่ะ! นายอย่าคิดว่าฉันเป็นคนไม่มีหัวใจนะ ตลอดเวลาที่เราคบกันนายเคยสนใจฉันบ้างไหม? เคยเข้าใจบ้างรึเปล่า? นายไม่เคยเป็นห่วงฉัน นายไม่เคยทำแบบที่คนรักเขาทำกัน นายรู้รึเปล่าว่าตั้งแต่วันที่เราเจอกัน เป็นเพื่อนกัน สนิทกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน จนกระทั่งคบกันเนี่ย ปฏิกิริยาที่นายมีต่อฉันมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด เป็นเพื่อนยังไง เป็นแฟนก็ยังเป็นอย่างนั้น เอ๊ะ! แต่จะว่าไปมันก็เปลี่ยนนะ เปลี่ยนที่นายเย็นชากับฉันมากขึ้นไงล่ะ!

                    “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟรม!!!!” เราสองคนทะเลาะกันเสียงดังจนเพื่อนๆของฉันทั้งห้องตัวเอง และห้องข้างๆออกมายืนมองว่าฉันกับมาร์กกี้จะทำยังไงต่อไปอีก ฉันเห็นอุ๋งอิ๋งยืนอึ้งร้องไห้อยู่ข้างหลังเพื่อน แต่ไหนแต่ไรแล้ว ตลอดเวลาที่อุ๋งอิ๋งโดนเพื่อนว่าหรือมีปัญหาอะไร ฉันจะเป็นคนที่คอยเข้าไปช่วยเธออยู่เสมอ แต่อุ๋งอิ๋งคงจะคิดน้อยใจแบบที่เคยบอกฉันว่าเธอช่วยฉัน แต่ฉันไม่เคยช่วยเธอได้สักครั้งเลย

                    “นายนั่นแหละหยุด! ไม่ละอายใจบ้างรึไง ที่เป็นผู้ชายจับปลาของมือ ควงรุ่นน้อยทั้งม.3 แล้วก็ ม.1 น่ะ จะเลือกใครก็เลือกสักคนสิวะ” กุ๊บกิ๊บ เพื่อตั้งแต่สมัย ป.4 ฉันซึ่งตอนนี้ก็อยู่ห้องเดียวกัน ออกโรงปกป้องเพื่อนอย่างฉัน เพื่อนที่ฉันคิดว่าไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่

                    “หยุดร้องได้แล้วเฟรม ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำตาให้มัน” กุ๊บกิ๋บเดินเข้ามาประคองฉันที่ล้มทั้งยืนแบบไร้สติ ให้กลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ส่วนอุ๋งอิ๋งก็มีเพื่อนอีกคนที่ประคองเธอเข้าห้องไป

                    ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอที่สุดในรอบปีเลย ฉันกำลังคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ จะเลิกก็ไม่อยาก เพราะไม่อยากปล่อยเขาไป แต่ถ้าคบกัน ฉันก็เจ็บอยู่ดี...

                    “เฮ้ย! เฟรมแกเป็นไรป่าว มาร์กกี้ว่าไรแกอ่ะ” มายน้องสาวคนเดียวที่มาร์กกี้รักมากเดินเข้ามาในห้องฉันอย่างไม่กลัวครูว่าสักกะนิด แต่ถ้าจะว่าไป ฉันกับมาร์กกี้เจอกันได้ก็เพรามายนี่แหละ มาย ฉัน แล้วก็มาร์กกี้ เจอกันที่เรียนพิเศษ เราเรียนอยู่รอบเดียวกันทั้งที่อยู่กันคนละชั้นเรียนเลยทีเดียว

                    ตอนนี้ ฉันเรียนอยู่ ม.1 มายเรียนอยู่ ม. 2 ส่วนมาร์กกี้เรียนอยู่ ม. 4 แต่เราก็คบกันในฐานะเพื่อนสนิท โดยที่ตอนแรกไม่มีคำว่าพี่น้องเลย จนเมื่อมาร์กกี้เริ่มเรียกตัวเองว่า พี่ก่อน

                    “ปล่าวอ่ะ มาย...” ฉันเรียกชื่อเขาค้างไว้เพื่อระบายอารมณ์ที่แสนจะหดหู่ของตัวเอง “ฉันเบื่ออ่ะแก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากด้วย”

                    ฉันพูดประโยคเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยสักนิด จนสุดท้ายเสียงสันญาณเข้าเรียนก็ดังขึ้น มายเลยจำต้องกลับห้องไปอย่างเซ็งๆ เพราะคาบต่อไปของเขาต้องเรียนกับอาจารย์ฝรั่ง ส่วนฉันเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด คงจะมีแต่โรงเรียนฉันที่เดียวนี่แหละ ที่มีการสอนภาษาที่สามแบบนี้ จริงๆแล้วมายเรียนภาษาญี่ปุ่นนะ มาร์กกี้ก็ด้วย แต่พี่ป๊อป ไอริช ฉัน แล้วก็อุ๋งอิ๋งเลือกที่จะเรียนภาษาฝรั่งเศส โดยอุ๋งอิ๋งให้เหตุผลว่ามันน่าจะง่ายกว่าภาษาญี่ปุ่น ส่วนฉันเลือกเรียนวิชานี้เพราะ ฉันมีความคิดที่ว่ามันหรูหราดี เมื่อก่อนฉันชอบวรรณกรรม และงานเขียนของฝรั่งเศสนะ ฉันว่าเขามีภาษาที่ไพเราะดีมากๆเลยล่ะ

     

                    ในที่สุด คาบเรียนเจ็ดคาบก็หมดลง ฉันต้องถ่อสารรูปเดินลงมาที่โรงอาหารกับอุ๋งอิ๋ง ซึ่งตอนนี้ฉันมีความรู้สึกว่ามันไกลเป็นโยดเลยแหละ ก็เมื่อก่อนน่ะ ฉันเดินลงจากตึกประถมก็ถึงแล้ว แถมทางขึ้นยังมีให้เลือกตั้งสามทางแน่ะ คือหนึ่ง ขึ้นทางบันไดหน้า พูดง่ายๆก็หน้าตึกเรียนนั่นแหละ สองบันไดกลาง คือทางขึ้นที่เชื่อมกันระหว่างสามตึก คือโรงอาหารที่ฉันลงมากินข้าว โรงอาหารที่กินตอนกลางวันซึ่งใช้เป็นที่เรียนดนตรีไทยไปด้วย เวลากินข้าวเลยได้ยินเสียงเพลงอันแสนไพเราะดังมาจากข้างๆเดินตรงมาเรื่อยๆก็ตึกเรียนฉันเอง และสามบันไดของโรงอาหาร ซึ่งมาทางเชื่อระหว่าตึกสามตึกคือ ตึกอนุบาล โรงยิม ที่ด้านล่างเป็นโรงอาหาร แล้วก็ตึกฉัน ส่วนใหญ่ฉันก็จะขึ้นทางตึกนี้แหละ เพราะฉันมีความรู้สึกว่ามันเหนื่อยน้อยที่สุดไงล่ะ แถมถ้าวันไหนโชคดียังได้เจอมาร์กกี้ซ้อมกีฬาข้างบนอีกต่างหาก

                    และระหว่างทางที่ฉันกำลังจะเดินขึ้นไปเยี่ยมชมบรรยากาศเก่าๆที่ตึกประถมนั้นฉันก็ดันไปได้ยินมาร์กกี้พูดกับมายอยู่ที่โรงยิมพอดิบพอดี

                    “มาร์กกี้ มีกิ๊กหรอ?” มายกล่าวทัก เหมือนกับเป็นการหยอกล้อกันเล่นๆไม่มีอะไรจริงจัง แต่คำพูดที่สดใสยิ่งกว่าซึ่งตอบกลับมาจากมาร์กกี้

                    “แล้วถ้ามีอ่ะ” ฉันแอบโผล่หัวออกไปดูเพราะอยากรู้ว่ามาร์กกี้จะมีสีหน้าอย่างไร แล้วมันก็เหมือนกับตอนอารมณ์ดีไม่มีผิดเลย แถมยังมีท่าทียียวนกวนประสาทอีกต่างหาก

                    “เฮ้ย!! มาร์กกี้ น้องมายทนไม่ไหวแล้วนะ คอยดูเถอะ ถ้าพี่ป๊อปมางาบเฟรมไปเมื่อไหร่ น้องมายจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลยคอยดู”

                    “โถๆๆ น้องมาย...” มาร์กกี้พูดพลางเข้ามาจับแขนมายทั้งสองข้างเขย่าเบาๆ “...ป๊อปมันไม่แย่งเฟรมไปหรอก เชื่อพี่สิ” และถึงจะพูดแบบนั้น แต่ทว่าภายในกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าเปลวไฟที่แผดเผาเขาทั้งร่างกายแล้จิตใจไปในคราวเดียวกัน ความรู้สึกหึงเริ่มปะทุขึ้นกลางจิตใจของเขาซะแล้วสิ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยแสดงอาการเอาใจเลยก็เถอะ แต่ทำไมเวลาที่รู้ว่าเขาจะมีคนอื่นถึงจ้องร้อนรนขนาดนี้ด้วยนะ แล้วยิ่งเป็นกับคนนั้นด้วยแล้ว...มันยิ่งเจ็บ!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×