ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gamer's life

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 Home & School

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 58


    Chapter 2

    มกราคม 2027

                ขาสองข้างที่วิ่งไม่หยุดมาประมาณครึ่งชั่วโมงเริ่มออกอาการล้า พื้นใต้รองเท้าบูทสีดำไม่มั่นคงพอที่จะยืนได้สบายๆ ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงประดังมาจากรอบทิศทางปะปนไปกับกลิ่นดินปืนและระเบิด เสียงตะโกนออกคำสั่งของหัวหน้ากลบเสียงร้องดิ้นรนของคนเจ็บ ร่างมนุษย์ล้มลงกลางสมรภูมิอันดุเดือดคนแล้วคนเล่า กลิ่นสาบเลือดที่ชวนสะอิดสะเอียนทำให้ผมเกือบอ้วกออกมา

    เฮ้ เวิร์ส(Verse) อย่ามัวเหม่อสิ ตอนนี้เราอยู่ในสงครามนะ” เสียงเรียกเตือนสติตะคอกเข้าใส่ที่หูขวาทำเอาใจที่เลือนลอยไปไกลกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พลันตั้งสมาธิกับสถานการณ์ตอนนี้ก่อนที่ชายตรงหน้าจะบ่นอะไรไปมากกว่านี้ “ดูท่านายจะยังไม่ชินกับที่นี่สินะ สงครามมันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว อย่ามัวยืดยาด รีบไปต่อกันดีกว่า” กัปตันทีมออกคำสั่งแล้วทั้งทีมก็มุ่งหน้าไปยังที่กำบังต่อไป

                ชื่อของชายที่นำสควอดเราตอนนี้คือ อควา (Aqua) หรือพิรุณในโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อนที่สนิทที่สุดของผมนั่นเอง ผมได้ยินมาจากคนอื่นว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นและความเป็นผู้นำสูง ทั้งยังตัดสินใจได้แน่วแน่และเด็ดขาด ข่าวลือที่หนักกว่านั้นคือ หมอนี่เคยบุกเดี่ยวไปยังฐานทัพของศัตรูและจัดการพวกนั้นเรียบฐานทัพมาแล้ว ศัตรูที่รอดชีวิตมาได้คนหนึ่งบอกว่า เส้นทางที่ชายคนนี้เดินไปมีแต่ร่างไร้วิญญาณนอนอยู่เบื้องหลังและจ้องมองมาด้วยแววตาสีน้ำเงินที่เยือกเย็นและดุดัน ราวกับว่าเป็นยมทูตที่ไร้ผู้ต่อกร จนได้รับฉายาว่า บลูเดวิล(Blue Devil)หรือปีศาจสีน้ำเงินนั่นเอง

                ดูยังไงก็ไม่เหมือนวัยรุ่นชายนิสัยร่าเริง ขึ้เล่น และเป็นมิตรกับคนอื่นในโลกแห่งความเป็นจริงซักนิด คำบอกเล่าจากคนอื่นโดยเฉพาะเรื่องหลังนี่มันเหลือเชื่อเกินไป แต่หลังจากที่เข้าร่วมเกมมาได้ 15 นาที คำพูดที่ได้ยินมาเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

                พวกเราวิ่งฝ่าดงกระสุนทั้งจากฝั่งซ้ายและขวา ถลำเข้าแนวปะทะของทั้งสองฝ่ายและยิงต้านศัตรูไว้เพื่อเคลียร์ทางให้กองหนุนที่เหลือบุกขึ้นมา ผู้เล่นทั้ง 7 คนต้านเอาไว้อย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่มีท่าทีของกำลังเสริมจากทางด้านหน้า พวกเราถูกยิงบาดเจ็บบ้าง ล้มตายบ้าง จนในที่สุดเหลือ 3 คนและคนเจ็บอีก 2 ยิ่งไปกว่านั้นกระสุนทางเราเริ่มหมดลงเรื่อยๆ หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง เรามีแต่ต้องถอยหรือไม่ก็สู้จนตัวตายเท่านั้น

    ผมใช้มือนึงกดผ้าพันแผลไว้ที่ท้องด้านซ้าย หยุดเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผล พลางเอื้อมมือคว้าระเบิดมือจากสายรัดเอว ใช้ฟันกัดสลักออกแล้วขว้างไปข้างหน้าสุดแรง

    วันนี้โชคไม่เข้าข้างผมอีกเช่นเคย ระเบิดมือที่ขว้างออกไปชนเข้ากับขอบกำแพง แล้วกระดอนกลับมายังใจกลางของสควอดเรา  “เวรล่ะ ทุกคนรีบออกไป” ผมกับพิรุณรีบแบกคนเจ็บออกไป ขณะที่เพื่อนอีกคนพยายามถีบระเบิดมือออกไป

     

    ห้องเรียน 502 เวลา 8.10 นาฬิกา อากาศยามเช้าวันนี้แจ่มใส ไม่มีเมฆ แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านกระจกข้างห้องพร้อมกับไออุ่น เหมาะกับการออกไปเดินเล่นหรือทำกิจกรรมข้างนอกเป็นอย่างมาก วันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้ดื่มด่ำสภาพอากาศดีๆที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนรักความสงบ แต่ดูท่าจะไม่ใช่สำหรับผม

                ข้างหลังห่างออกไปหนึ่งโต๊ะ พิรุณนั่งคุยกับเพื่อนอีก 4 คน เรื่องการแข่งฟุตบอลครั้งหน้า ท่าทีของเขาดูไม่มีพิษมีภัย คงมีแต่ผมที่รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่มาถึงตัว เพราะ’yhoผมจะไม่หันหลังไปมองโดยไม่มีเหตุผลเด็ดขาด

    ก่อนหน้านี้ผมเล่นเดโม(ตัวทดลองเล่นชื่อผู้เล่นที่ตั้งจึงซ้ำกับคนอื่นได้ แต่เมื่อจะเข้ามาเล่นจริง ต้องจ่ายค่าเกมและค่าแอร์ไทม์รายเดือนตามแบบฉบับเกมMMO ค่าเกมนี้ผมจ่ายไปตั้งแต่ 2 ปีก่อน แล้วก็เลิกเล่นไปพักใหญ่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เลยต้องจ่ายค่าแอร์ไทม์ใหม่ ข่าวดีก็คือค่าแอร์ไทม์ของเกมนี้ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ แต่ข่าวร้ายก็คือชื่อผู้เล่น “ไรอันใช้บ่อยๆดันไปซ้ำกับเล่นอื่น เลยต้องเปลี่ยนชื่อเป็นVerse(บทกวี)ที่ตัดมาจากVersed(เชี่ยวชาญ)อีกที

    แต่ดูจากเมื่อวานแล้ว ชื่อผมจะเข้ากับคำว่า Worst(แย่ที่สุด)เสียมากกว่า

                เกมเมื่อคืนนี้เป็นหายนะดีๆนี่เอง เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือ ตายยกทีม เพราะความผิดพลาดของผม ทีมพวกเราบุกไม่สำเร็จและทั้งหมดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ สาเหตุที่ผมเหม่อเมื่อวานนี้เป็นเพราะว่าผมปรับการตั้งค่าให้ออกมาสมจริงไม่ว่าจะเป็นแสง เสียง กลิ่น เอฟเฟ็กต่างๆ รวมไปถึงอาการชา อาการบาดเจ็บ โดยปรับpain relieverให้ถึงระดับต่ำสุดก่อนที่อาการบาดเจ็บจำลองนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทของร่างกาย ภาพที่เห็นเลยเหมือนกับอยู่ท่ามกลางสมรภูมิแห่งความตายจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมปรับตัวไม่ทันและทำให้ผมรู้ว่าถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริง มันคงไม่ใช่เรื่องสนุกแม้แต่น้อย

                 

                ทันใดนั้นไหล่ขวาก็มีมือยื่นมาจับแล้วบีบเบาๆ ผมหันกลับไปข้างหลัง พิรุณทำหน้าหงุดหงิดพร้อมกับพูด “ชั้นเรียกนายไปหลายรอบแล้วนะ เมื่อวานนี้ขนาดในเกมนายยังใจลอยได้ ไม่อยากเชื่อเลย

                “มันยังไม่ชินเท่าไหร่นี่นา นายเก่งแล้วถึงพูดแบบนั้นได้

                “มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ นายถือปืนไรเฟิล แต่ดันใช้มันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่ค่อยได้เลย แต่ดันใช้ปืนพกที่มีอานุภาพต่ำกว่าได้คล่อง ฉันว่ามันควรจะสลับกันมากกว่านะ อีกอย่างหนึ่ง…” พิรุณเริ่มพล่ามต่อไปเรื่อยๆตามสไตล์ผู้เล่นเกมยิงตัวยง คำพูดที่ยิงใส่ผมมาเป็นชุดไม่ได้เข้าหัวผมแม้แต่น้อย ‘นี่นายจะผลาญเวลาพักอันมีค่าของฉันใช่ไหมเนี่ย’ ผมได้แต่รอคอยให้การสาธยายครั้งนี้จบลงเร็วๆ แต่ก็มาสะดุดอยู่ที่ประโยคหนึ่ง “….แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นชั้นจะฝึกนายให้หนักเลย” มีเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาพร้อมกับแววตาที่พลันเปล่งประกายราวกับว่ามีลูกไฟในนัยน์ตาของชายวัยรุ่นข้างหน้าผม นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว ถ้าให้คนที่มีจิตใจของนักฆ่าเลือดเย็นแฝงอยู่ฝึกให้ มีหวังได้ตายก่อนแน่

                โชคดีที่บทสนทนาถูกตัดจบก่อนด้วยเสียงเปิดประตูห้องเรียนด้านหน้า เด็กผู้หญิงผมดำสั้นใส่หน้ากากอนามัยสีขาวก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องไปที่ผู้คนรอบๆห้อง หลายคนที่อยู่ใกล้ๆพากันเข้าไปทักทายและพูดคุยด้วย สักพักเธอก็ผละตัวออกจากกลุ่มเพื่อนที่รุมล้อมและเดินมาทางโต๊ะของผมกับพิรุณ

                “เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย” น้ำเสียงเหมือนเป็นหวัดเปล่งออกมาจากเด็กหญิง

                พิรุณยิ้มรับและตอบกลับไปว่า “พวกชั้นสบายดีอยู่แล้ว เธอต่างหากที่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีๆหน่อยสิ

                นภา เพื่อนสมัยเด็กของผมกับพิรุณ ปกติเธอเป็นคนอ่อนแอและเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เธอต้องหยุดเรียนเพื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้านจนเวลาเรียนเกือบไม่ครบไปหลายครั้ง แต่ในส่วนนั้นพรสวรรค์ของเธอในด้านความจำและการวิเคราะห์เข้ามาชดเชยจุดอ่อนได้อย่างเหลือเชื่อ เธอกลับทำการทดสอบได้ดีจนอันดับ 72 ของประเทศในระดับมัธยมปลายทั้งๆที่อยู่มัธยม 4และมีโรคประจำตัวจนไม่ได้อ่านหนังสือเป็นประจำ

                เด็กหญิงร่างผอมบางพูดเสียงเบาจนหากไม่ฟังดีๆคงจับใจความไม่ได้ “นั่นสิเป็นแบบนี้ทุกที เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้วล่ะ

                “อย่างน้อยฉันดีใจนะที่ได้เจอกัน” หลังจากนั้นพวกเราสามคนคุยกันเรื่องวันหยุดที่ผ่านมาของแต่ของคนและการเรียนช่วง 2 วันก่อนที่นภาหยุดเรียนไป

                “อืม ว่าแต่เทอมนี้พวกเธอจะเข้าชมรมอะไรล่ะ

                “นั่นสินะ เทอมที่แล้วชั้นเข้าชมรมทำอาหาร ที่นั่นมีแต่ผู้หญิงอยู่เยอะเล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลย ฉันว่าจะเปลี่ยนชมรมใหม่ล่ะ

                “ชั้นไม่อยากเชื่อเลยว่า อย่างนายจะสนใจทำของแบบนั้น

                เอาเถอะ จริงๆแล้วผมไม่ได้สนใจกิจกรรมชมรมซักเท่าไหร่ แต่มันไม่มีชมรมไหนที่เข้าท่า(ในสายตาผมพิรุณก็ชอบไปวนเวียนแถวๆชมรมกีฬา ส่วนนภาเข้าชมรมหมากรุก ชมรมตั้งใหม่ก็มีน้อยมาก ที่ที่เข้าท่ายิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ วันนี้คงต้องลองไปหาดูก่อนล่ะ

                ก่อนอื่นเรา 3 คนต้องรีบกลับไปนั่งที่โดยด่วน เพราะตอนนี้ครูองอาจ อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์เจ้าระเบียบกำลังส่งสายตาเดือดดาลมาทางพวกนักเรียนที่กำลังสุมหัวอยู่รอบห้อง

                ช่วงพักกลางวันผมพยายามแวะเวียนไปตามชมรมต่างๆดูเผื่อมีอะไรน่าสนใจ เริ่มจากอาคารหลักนี้ไปจนถึงตัวอาคารอื่นๆ โดยปกติแล้วห้องชมรมส่วนมากจะตั้งอยู่ในอาคารหลัก มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นชมรมกีฬาที่อยู่ตามโรงยิมหรือลานข้างนอกและที่เหลือกระจายอยู่ตามอาคารเรียน 4 อาคารด้านหลังที่ใช้เป็นที่เรียนของพวกมัธยมต้น

                หลังจากสำรวจมาทั่วอาคารหลัก ผมไล่เดินไปตามอาคารย่อยผ่านชมรมหัตถกรรม ชมรมเพลงคลาสสิก ชมรมประสานเสียง ฯลฯ ไล่มาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่หน้าประตูบานเลื่อนห้องหนึ่งที่มีกระดาษแปะไว้เป็นตัวอักษรสีดำ เขียนไว้อย่างหวัดๆว่า “ปิดปรับปรุง” ป้ายชื่อห้องที่แขวนไว้อยู่ด้านบนมีตัวอักษรที่เจือจางมากทำให้ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร พอลองขยับประตูดูดันเปิดไม่ออก ได้แต่มองสภาพห้องข้างในผ่านช่องกระจกของประตู มุมห้องฝั่งขวาใกล้กับประตูมีโซฟา 2 ตัววางอยู่ตรงข้ามกัน พื้นที่กึ่งกลางถูกคั่นด้วยโต๊ะกระจกขนาดเล็ก โต๊ะทำงานว่างๆที่ไร้ฝุ่นเกาะบนพื้นผิวอันเรียบลื่นตั้งติดกับตู้หนังสือขนาดใหญ่ อีกฝั่งหนึ่งมีตู้ไม้ตั้งเรียงเป็นแนวยาว ข้างบนมีกองกระดาษและแฟ้มตั้งอยู่ประปราย ฝั่งตรงข้ามประตูห้องมีผ้าม่านลูกไม้สีครีมปิดกระจกเอาไว้

    ผมจำไม่ได้ว่ามีห้องนี้อยู่ตอนมัธยมต้นนี่นาหรือเราจะมองข้ามมันไปกัน เอาเถอะ ในเมื่อห้องนี้มันปิดอยู่แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นห้องอะไร ผมควรเดินไปหาชมรมอื่นๆต่อมากกว่าจะมารออยู่เฉยๆตรงนี้ พอคิดได้ดังนั้นก้าวเท้าต่อไป ทิ้งห้องปริศนานี้เอาไว้เบื้องหลัง

    และแล้วก็หมดเวลาพักเที่ยงจนได้ ผมไม่ได้อะไรที่พอใจเสียเท่าไหร่ เลยได้แต่กลับไปยังห้องเรียนอย่างไม่เต็มใจ

               

    เมื่อเลิกเรียน ผมตรงดิ่งกลับมาที่บ้าน ถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้นรองเท้าขนาดเล็กและเดินไปยังห้องนั่งเล่น

                บ้านผมเป็นบ้าน 2 ชั้น ในตัวบ้านมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ 2 ห้องและห้องนอนอีก 3 ข้างบ้านเป็นสนามหญ้าขนาดไม่ใหญ่มากนัก ด้านในสุดมีสวนผักขนาดเล็กที่ทำไว้ปลูกพืชกินกันเอง

                สมาชิกในครอบครัวเรามีอยู่ทั้งหมด 4 คน พ่อเป็นพนักงานบริษัท ส่วนแม่เป็นนักเขียนคอลัมน์ให้กับเว็บไซด์ออนไลน์ชื่อดัง คนอื่นๆในบ้านก็คือตัวผมและพี่สาว ตอนนี้เธอเรียนจบแล้วออกจากบ้านไปทำงานที่ไหนสักแห่ง นานๆจะส่งข่าวมาที บ่อยครั้งแม่มักชอบพูดว่าพี่สาวเริ่มเหมือนกับคุณลุงเข้าไปทุกที

    ถึงเวลาหกนาฬิกาสิบห้านาที ผมปิดเว็บที่เกี่ยวกับข่าวสารวงการเกมในมือถือ ส่วนพ่อหยุดอ่านข่าวออนไลน์และวางแท็ปเล็ตไว้บนโซฟา แล้วเดินเข้ามาที่โต๊ะอย่างรู้กัน ปกติเราจะทานข้าวพร้อมกัน เหมือนธรรมเนียมปฏิบัติของบ้าน พวกเราสามคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน พร้อมกับอาหารที่แม่จัดวางไว้อย่างประณีต กฎอีกข้อหนึ่งที่เป็นที่รู้กันคือ ห้ามใช้มือถือระหว่างทานข้าว ยกเว้นมีสายเรียกเข้ามา

                วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่บรรยากาศบนโต๊ะรู้สึกสบายใจและอบอุ่น พ่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของแต่ละคน ส่วนแม่พูดเรื่องเรื่อยเปื่อยเป็นครั้งคราว แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกแปลกๆชอบกลตรงที่ปฏิกิริยาของคุณแม่แตกต่างไปจากทุกที ครั้งนี้ท่านดูเงียบกว่าปกตินิดหน่อยหรือว่าผมจะเข้าใจผิดกัน

    จู่ๆแม่ก็พูดขึ้นมาว่า “ผลสอบครั้งก่อนของลูกเป็นยังไงบ้าง” ผมสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น ดูท่าลางสังหรณ์ของผมจะไม่ผิดจริง ผมรู้สึกเหมือนกับการเริ่มต้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่บังคับคดี โต๊ะทานอาหารเปลี่ยนสภาพไปเป็นห้องที่ทั้งแคบและมืด กับข้าวรสเลิศที่ถูกจัดไว้ในจานอย่างลงตัวพลันหายไป เหลือเพียงโต๊ะเหล็กว่างๆตัวหนึ่งและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้านิ่งๆไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนประมาณนั้นเลย ผมพยายามข่มความกลัวเอาไว้และตอบกลับแบบนิ่มๆว่า “ก็เรื่อยๆนะครับ

                “อย่างนั้นเองหรอ” แม่ยังคงก้มหน้า พลางใช้ช้อนกลางที่สลักไปด้วยลวดลายอย่างประณีตตักกับข้าวใส่จานอย่างช้าๆ “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว

                ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย ทว่าคำพูดถัดมาทำให้ผมรู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ “แล้วกระดาษแผ่นนี้คืออะไรกัน

    แม่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา นั่นคือใบแสดงผลคะแนนที่ได้มาตั้งแต่วันแรก ผมเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในห้อง พยายามหาอะไรก็ได้มาทับมันไว้ให้อยู่ใต้สุด ไม่ให้มันได้โผล่ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก ตอนนี้เจ้ากระดาษแผ่นดังกล่าวทำผมแทบจะสำลักและเผลอแสดงท่าทีลนลานออกมาอย่างเห็นได้ชัด ได้แต่พยายามตั้งสติก่อนที่จะตอบกลับเสียงสั่นนิดๆ “นะ...นั่นคือ

                บรรยากาศเริ่มมาคุ สีหน้าของแม่ยังคงเรียบเฉย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แฝงไปด้วยความโกรธแม้แต่น้อย “ลูกรู้ว่าแม่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องผลการเรียนของลูกเท่าไหร่ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าลูกจะทิ้งวิชาที่ไม่ถนัดให้มันแย่อยู่อย่างนั้นนะ

                กรณีทั่วไปที่ถ้าลูกทำผิด ผู้ปกครองคนอื่นอาจจะโกรธและดุด่าว่ากล่าวลูกหรือไม่ก็แค่ตักเตือนเฉยๆ แม่ผมใช้คำพูดเป็นส่วนน้อย แต่ใช้บรรยากาศ จังหวะการพูดและน้ำเสียงที่ไม่ต้องใช้พลังอะไรมากมาย โจมตีไปที่จิตใจของผู้ฟังได้ผลชะงัก สายตาและการแสดงออกทางสีหน้าที่คาดเดาไม่ถูกนี่เทียบได้กับการทำสงครามจิตวิทยาดีๆนี่เอง ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนมวลอากาศในห้องไม่ถ่ายเท เหงื่อซึมออกมาจากรูขุมขนที่ใบหน้า ความกดดันแผ่ขยายออกมาจากหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนแม้แต่พ่อยังรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ว่านี่

                “อ่า ที่รัก คุณใจเย็นๆก่อน ลูกของเราก็มีสิ่งที่ไม่ถนัดเหมือนกัน ให้เขาได้พยายามปรับปรุงตัวเองไปก่อน” พ่อยิ้มเจื่อนๆ

                “อืม” แม่ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้คงต้องหักเงินของลูกสักหน่อยล่ะ

    แย่ล่ะสิ ค่าขนมของผมเริ่มเข้าใกล้ภาวะวิกฤตแล้ว ปกติผมไม่ได้เงินอะไรมากมายจากพ่อแม่เท่าไหร่อยู่ ถ้ามันลดลงกว่านี้ ผมรอกว่าซื้อหนังสือการ์ตูนออกใหม่ที่กำลัง

    และถ้าผลการเรียนไม่ดีขึ้นละก็ ลูกคงจะรู้นะ” แม่พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนรวบรวมจานชามไปไว้ที่อ่างล้างจาน

                เอาไงดีล่ะเนี่ย แล้วแบบนี้ผมควรทำผลการเรียนที่ดีขึ้นหรือจะฝึกฝีมือในเกมให้มากกว่านี้ดีล่ะ ไม่ว่าพิรุณหรือแม่ก็น่ากลัวพอๆกั้นทั้งคู่เลยแฮะ

     

                วันศุกร์ วันที่ทุกคนเฝ้ารอคอยไม่ว่าจะเป็นเด็ก นักเรียน นักศึกษา ครู ตำรวจ วิศวกร หัวหน้าแผนกหรือใครอีกหลายๆคน หากผ่านพ้นวันนี้ไปได้ ก็จะได้ใช้ชีวิตแสนสุขสบายระหว่างวันหยุดสองวันอันมีค่าในแต่ละอาทิตย์

                แต่ว่าวันนี้ผมรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าดีใจ มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะชมรม การเรียนหรือเรื่องเล่นก็ตาม ดูท่าว่าจะต้องจัดการเรื่องชมรมเป็นเรื่องแรกก่อน แม้ว่าโรงเรียนนี้การเลือกชมรมจะไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่ผมไม่อยากมีช่วงเวลาว่างในโรงเรียนขณะที่คนรอบตัวต่างพากันไปทำกิจกรรมกันหมด อีกอย่างผมเป็นคนประเภทที่เข้าหาคนอื่นไม่เก่งเท่าไหร่ ยิ่งไปเข้าชมรมกลางคันระหว่างกลางเทอมนี่ มีหวังคนอื่นๆที่ทำความรู้จักกันไปแล้วคงทิ้งผมให้อยู่โดดเดี่ยวแน่ๆ

                เอาเป็นว่าเริ่มจากห้องเมื่อวานก่อนละกัน ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะเป็นห้องที่มีความลับอะไรซ่อนอยู่ก็ได้ ตอนกลางวันผมจึงตัดสินใจชวนพิรุณให้ไปห้องนั้นด้วยกัน ตาของหมอนั่นเปล่งประกายราวกับว่ากำลังไปผจญภัยในดินแดนที่ยังไม่มีใครเข้าไปถึง ทำเอาผมต้องกลับมาคิดดูอีกทีว่าการชวนหมอนี่มาเป็นเรื่องผิดมหันต์หรือเปล่า

                พวกเรามาหยุดอยู่ที่ห้องปริศนาเมื่อวานอีกครั้งหนึ่ง น่าแปลกที่ครั้งนี้กระดาษที่แปะไว้ที่หน้าประตูอันตรธานหายไป ราวกับไม่มีร่องรอยของมันอยู่ก่อนเลย

                ‘ห้องแบบนี้คงไม่มีใครอยู่หรอก

                แต่ผิดคาด เมื่อมองผ่านกระจกประตูเข้าไป พวกเราเห็นชายคนหนึ่ง นั่งอ่านหนังสืออยู่ลำพังริมกระจก อาศัยแสงแดดจากข้างนอก ใบหน้าแสดงออกมาให้เห็นถึงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

                ผมลองเปิดประตูบานเลื่อนและก้าวเข้าไปในห้อง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากทักคนที่นั่งอื่นริมหน้าต่าง ขาขวาดันไปสะดุดเข้ากับกองหนังสือหลายกองที่ตั้งขวางอยู่หน้าประตูและล้มลงทั้งคนและหนังสือ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×