คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 A story begins
Chapter 1
ท่ามกลางทะเลทรายแห่งหนึ่ง สิ่งที่อยู่ข้างหน้าพวกเราคือโอเอซิสที่ล้อมรอบหมู่บ้านเล็กๆ เรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์กลางนรกอันร้อนระอุ
เพียงแต่อาคารทั้งหลายได้กลายเป็นซากปรักหักพัง สภาพภายหมู่บ้านไร้ระเบียบ ถูกทิ้งร้าง สภาพอากาศไม่ปลอดโปร่งเหมือนเคย เนื่องจากพายุทรายที่พัดโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
“ทัศนวิสัยเป็นศูนย์ ให้ตายเถอะ” ชายที่เดินนำหน้าบ่น ขณะเล็งผ่านสโคปปืนไรเฟิล
“อีกแล้วเหรอเนี่ย ชั้นเกลียดสภาพอากาศอย่างนี้ชะมัด”
ผมไรอัน(Ryan)เดินตามหลังชายสามคน ฝ่าพายุทรายเข้ามาให้หมู่บ้าน พลางสำรวจภูมิประเทศรอบตัว
“ระวังทุกคน สถานการณ์แบบนี้อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาด พวกมันอาจซุ่มโจมตีเราอยู่ก็ได้”
ชายที่เดินนำหน้าสุดเอ่ยขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย เสียงพายุทรายรบกวนทำให้ได้ยินไม่ถนัดนัก
“เฮ้ เทรลล์จะถึงที่หมายหรือยัง”
ชายที่ถูกเรียกว่า เทรลล์มองดูตำแหน่งGPS ก่อนที่จะตอบกลับหัวหน้าสควอด
“อีกประมาณ 300 เมตร เตรียมตัวให้พร้อม”
ทุกคนในทีมมีท่าทีระวังตัวมากขึ้น เคลื่อนที่ไปยังพื้นที่เป้าหมายช้าลง ผมรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทุกขณะที่ย่างก้าวไปข้างหน้า พลางจับปืนที่อยู่ในมืออย่างแน่นหนา
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือตลาดที่ไร้ชีวิตชีวา อาคารที่อยู่โดยรอบไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัย ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว แผงขายสินค้าไม่มีสินค้าที่น่าดึงดูดใจ เว้นแต่ฝุ่นทรายเกาะอยู่หนาแน่น
เมื่อไม่มีวี่แววของศัตรู ชายสวมเสื้อลายพรางดิจิตอลจึงหันกลับมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“นั่นไงล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไร...อึก..”
ชายชุดพรางถูกยิงจากด้านหลังประมาณ 6 นัด ก่อนที่จะล้มลงต่อหน้าต่อตาพวกเรา ข้างหน้ามีชายสองคน ถือปืนแอสซอลไรเฟิลกระหน่ำกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ปราณี พวกเราสามคนที่เหลือหลบเข้าที่กำบังอย่างทุลักทุเล
“โจร่วงไปแล้ว เอาไงดีหัวหน้า”
“ตั้งสติไว้ ฉันกับทีจะยิงต้านไว้ ไรอันนายหาทางอ้อมไปข้างหลังพวกนั้น”
พอตกลงกันได้ ผมรอพรรคพวกให้สัญญาณ แล้วถีบตัวออกจากพื้นและวิ่งจากที่กำบังไปยังอาคารที่อยู่ด้านข้างอย่างสุดกำลัง แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ปล่อยให้ศัตรูทำอะไรได้สบายๆแน่ อีกฝ่ายจึงกระหน่ำยิงกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ลังเล ลูกตะกั่ววิ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียง แฉลบสีข้างไปไม่กี่เซน ผมกระโดดพุ่งตัวเข้าใส่กระจกของร้านอาหาร กลิ้งตัวกับพื้น แต่ด้วยความเร็วที่มากเกินไปทำให้เบรกไม่ทัน ลำตัวพุ่งไปกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์เข้าอย่างจัง
ความเจ็บปวดลวดแล่นผ่านไปยังสมอง แต่จะมาโอดครวญอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ยังมีเพื่อนร่วมรบที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อคิดได้อย่างนั่น ผมรีบวิ่งออกจากร้านนี้ทางด้านหลัง
ทันทีที่เปิดประตูหลังออกไป ภาพที่ปรากฏหลังประตูกลับไม่ใช่ถนนที่อยู่อีกซอยหนึ่ง แต่เป็นชายร่างสูงใหญ่ ถือปืนFN Mk48 ซึ่งเป็นปืนที่จัดอยู่ในประเภทLMG (Light machine gun) บรรจุกระสุนร้อยนัด ใบหน้าแสยะยิ้มและเหนี่ยวไกปืนอย่างไม่ลังเล
หลังจากตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ผมกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ ผลักโต๊ะเป็นที่กำบัง แล้วยิงสวนกลับไป
สถานการณ์ตอนนี้คือ ชายถือปืนLMG 100 นัดกระหน่ำใส่ไอ้หนูตัวนึงที่อยู่หลังที่กำบัง แม้จะโชคช่วยที่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว แต่ก็ยังโดนยิงไป 2 นัด ที่แขนซ้าย หัวไหล่ขวา ดูยังไงก็ไม่น่ารอดไปได้
และที่โชคร้ายที่สุด คือ PDA แสดงขึ้นมาว่าเพื่อนร่วมสควอดตายหมดแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายร่วงไปแค่ 1
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถอดใจยอมแพ้ไปแล้ว แต่ว่านั่นไม่ใช้ตัวเลือกของผม
เอาเถอะ ไหนๆก็ต้องตายอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องลากพวกมันไปซักคนให้ได้
ก่อนอื่นลองเช็คอุปกรณ์ที่ติดกับตัวก่อน ในมือมีปืนพกM9 กระสุน 1 แมค ระเบิดแฟลชกับระเบิดมืออย่างละหนึ่งลูก
ถึงมันจะเป็นวิธีที่บ้าบิ่นไปหน่อย แต่ก็คงต้องลองดู
เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมออกจากที่กำบังและถีบตัว พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกันก็โยนระเบิดแสงไปข้างหน้า และใช้แขนข้างหนึ่งบังตาไว้ อีกข้างยิงปืนรัวใส่โดยไม่สนว่าจะโดนเป้าหมายตรงหน้าหรือไม่ ชายร่างยักษ์ยกปืนขึ้นยิงตอบโต้ กระสุนพุ่งทะลุลำตัว 5 นัด ความเร็วเริ่มตกลงและรู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผมก็ไม่หยุดรอความตายและวิ่งต่อไป
แสงสว่างอันเจิดจ้าเปล่งออกมาจากวัตถุที่ขว้างออกไป แม้จะใช้แขนบัง แต่ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี ทำให้ภาพที่มองเห็นอยู่เบลอบ้าง
ผมพุ่งเข้าประชิดตัวศัตรูอย่างรวดเร็ว เขายกปืนกระบอกยักษ์ขึ้นแล้วฟากลงในแนวเฉียง แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง ผมเตะขาอีกฝ่ายจนล้มลง ด้วยลำตัวขนาดใหญ่ทำให้ฝุ่นทรายตลบอบอวนไปทั่ว ผมไม่รีรอที่จะให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน หยิบมีดจากซองที่เอวขวาออกมาจ่อคอ และเตรียมที่จะจบชีวิตอีกฝ่าย
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเคราะห์กรรมอะไรที่ทำไว้ไม่รู้ โชคดีจึงอยู่ไม่นานนัก เสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามา ไม่นานนักศัตรู 2 คนที่เหลือก็วิ่งเข้ามาในร้าน ปืนไรเฟิลเล็งมาที่ตัวของผม
“วางอาวุธลงซะ นายหมดทางรอดแล้ว”
ผมมองพรรคพวกของอีกฝ่าย แล้วถอนหายใจ ก่อนจะบ่นพึมพำว่า
“ให้ตายเถอะ ฉันชอบฉากนี้ชะมัด...”
“เฮ้อ แพ้อีกแล้ว พอแค่นี้ก่อนละกัน ฝีมือยังไม่ถึงสินะ”
“เอาน่า สำหรับมือใหม่ถือว่าดีแล้ว ของแบบนี้ยังต้องฝึกอีกเยอะ”
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ขอพักก่อนล่ะ”
พูดจบ ผมปิดหน้าต่างแชทลง พลางถอนหายใจ ก่อนที่จะถอดวัตถุโลหะสีขาวผสมน้ำเงินออก แล้ววางมันลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ
ชื่อของผมคือ พฤกษา วงศ์พิทักษ์ อายุ 15 ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ม.4ที่โรงเรียนใกล้ๆบ้าน ส่วนงานอดิเรกก็แน่นอนอยู่แล้ว การเล่นเกมนี่ล่ะ ความฝันของผมคือ การได้เป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมได้อย่างชำนาญในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแนวต่อสู้ วางแผน ผจญภัย กีฬา ไขปริศนา ฯลฯ ถึงแม้เกมต่อสู้จะเป็นแนวที่ผมถนัดที่สุด แต่ด้วยความอยากลิ้มลองหลายๆแบบ จึงหันมาเล่นแนวFPS(ย่อมาจากFirst Person Shootingหมายถึง เกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง)ได้ไม่นาน
ผมลุกออกจากเก้าอี้ตัวเก่ง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง มองขึ้นไปยังเพดานสีขาวพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
‘เฮ้อ จบแล้วสินะ’
ก่อนจะหันไปมองวัตถุโลหะที่อยู่บนโต๊ะทางซ้ายมือ
เจ้าเครื่องมือที่อยู่ตรงหน้าเรียกว่า อิมเมจิน เนกซัส(Imagine Nexus) ลักษณะภายนอกเหมือนกับแว่นตาธรรมดา แต่ศักยภาพของมันมีมากกว่าที่เห็น มันสามารถพาคนที่สวมใส่ไปท่องในโลกแห่งเกมด้วยการส่งข้อมูลกลับมายังสมองของผู้ใช้ในด้านประสาทสัมผัสทั้งห้า ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าได้ไปสัมผัสมาจริงๆ แม้ว่าเจ้าเครื่องตัวนี้ออกสู่ตลาดมาได้ 3 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลดความนิยมลงไปแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เกมระดับท็อปที่ทยอยกันออกมาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้กระแสของเครื่องเกมนี้พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งมาอย่างยาวนาน
ความจริงแล้วเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน แต่เพราะว่าโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ 5 คนที่รวมทีมกันค้นคว้าวิจัยด้านเวอร์ชวล เรียลลิตี้ ส่งผลให้โลกมิติใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้ภายในเวลา 15 เดือน ต้องขอบคุณเราโปรแกรมเมอร์ที่สร้างเครื่องนี้ออกมาให้พวกเราเล่นกันได้อรรถรสมากขึ้น
เพียงแต่ตอนนี้ผมชักนึกเสียใจอยู่หน่อยๆแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ เมื่อสองวันที่แล้วผมเพิ่งเปลี่ยนปฏิทินที่แปะอยู่ข้างผนังเป็นปี 2027 และนี่เป็นวันอาทิตย์ ใช่แล้ว พรุ่งนี้คือวันเปิดเทอมใหม่ เวลาของการไปโรงเรียนนั่นเอง เฮ้อ นี่สินะชีวิตแสนสุขเด็กมัธยมปลายนี่ช่างแสนสั้นเสียจริงๆ
ผมหลับตาลงอย่างอ่อนล้า แล้วผลอยหลับไป
ปัง
เสียงปิดประตูบ้านดังขึ้นจากข้างหลัง
ผมเดินออกจากบ้านไปด้วยความเบื่อหน่ายและมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเรียนตามถนนสายประจำ ท้องฟ้าโปร่งและอากาศแจ่มใสในยามเช้าไม่ได้ช่วยตัวเองให้อารมณ์ดีขึ้นเสียเท่าไหร่
เมื่อก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทิวทัศน์รอบข้างเปลี่ยนจากเขตบ้านพักอาศัยเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีขนาบ 2 ข้างทาง พื้นที่ของมันกว้างสุดลูกหูลูกตา ไกลออกไปเป็นเขตป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มีนกและสัตว์ป่าขนาดเล็กอาศัยอยู่เป็นระยะๆ
ระหว่างที่กำลังเดินไปพลางชมทิวทัศน์ไปพลาง เสียงเรียกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไงไรอัน”
ผมหันหลังกลับมาหาเจ้าของเสียงเรียก เด็กชายที่มีดวงตาสีฟ้าใสเปล่งประกายยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้ายิ้มแย้มทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตร ผมสั้นสีบลอนด์ สูงประมาณ 160 เซนติเมตร เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดนักเรียนขาวสะอาด รูปแบบและตราสัญลักษณ์ของเสื้อบ่งบอกว่า เขาอยู่โรงเรียนเดียวกัน
“ชั้นบอกนายไปกี่หนแล้ว ว่าอย่าเรียกชื่อนั้นข้างนอก บลูเดวิล(Blue Devil)”
ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
เขาชื่อ พิรุณ ขาวพิสุทธิ์ เป็นลูกครึ่งยุโรป-ไทย จึงมีใบหน้า ดวงตาและสีผมที่แตกต่างจากคนอื่นๆในเมืองนี้อย่างชัดเจน สมัยเด็กเขาจึงโดนเด็กคนอื่นแกล้งบ่อยๆ แต่พฤกษ์กับเพื่อนอีกคนมักจะช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ พิรุณจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งตั้งแต่นั้นมา
“ว่าแต่เมื่อวานนายลองเล่นเคออสอย่างนั้นหรอ เป็นไงบ้างล่ะ”
เกมเมื่อวานที่ผมเล่นคือ เกม Chaos in Warzone เรียกกันสั้นๆว่า CIW หรือเคออส(Chaos) ตัวเกมออกมาได้ 2 ปีแล้ว เป็นเกมแนวสงครามที่ยังคงได้รับความนิยมสูงด้วยระบบการเล่นที่สมจริงและมีการอัพเดทอยู่เรื่อยๆ โดยเฉลี่ยแล้วจำนวนผู้เล่นอยู่ที่ 3 แสนคนต่อวัน (ทั่วโลก) มันยังคงเป็นหนึ่งในเกมระดับท็อปของเกมยุคปัจจุบันอยู่จนถึงทุกวันนี้
“เจอศัตรูซุ่มโจมตี พวกฉันตายยกสควอด แต่พวกนั้นร่วงไป 2”
“งั้นหรอ” พิรุณถามอย่างสนอกสนใจ “ว่าแต่เหยื่อของนายคนแรกเป็นยังบ้างล่ะ”
“ก็แค่จับหมอนั่นไว้ แล้วพวกที่เหลือดันกรูกันเข้ามาล้อมพวกเราไว้ ชั้นเลยดึงสลักระเบิดที่เอวให้ตายไปพร้อมกันซะเลย แต่อีก 2 ดันหลบแรงระเบิดพ้นซะนี่”
“โฮ่ ตายแบบเจ็บแสบน่าดูเลยสิ เอาเถอะ ครั้งหน้าชั้นช่วยฝึกนายเอง”
พวกเราสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงป้ายรถเมล์และยืนรออยู่ตรงนั้น ด้วยเหตุที่บ้านของเราอยู่แถวชานเมือง พวกเราจึงมาขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองเป็นประจำ หลังจากที่พูดคุยกันอย่างออกรสได้สักพักหนึ่ง วัตถุขนาดยักษ์สีขาวก็ค่อยๆลดความเร็วมาหยุดตรงหน้าพวกเราอย่างช้าๆ
ขณะที่พิรุณก้าวขาขึ้นรถ เขาหันกลับมาและเอ่ยขึ้นว่า
“ว่าแต่วันนี้อาจารย์จะบอกผลสอบย่อยครั้งที่แล้วไม่ใช่หรอ”
ผมชะงักเล็กน้อย “อ๊ะ ใช่ๆ”
“จะได้เท่าไหร่กันนะ” เด็กชายตาสีฟ้านั่งลงพร้อมกับผิวปากอย่างสบายอารมณ์
พฤกษ์ปิดปากเงียบ ความกระวนกระวายเล็กๆในใจผุดขึ้นมา
ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที รถคันใหญ่เริ่มชะลอความเร็วลง ผมมองผ่านกระจกข้างที่นั่ง สิ่งที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตร คือ อาคารเรียนหลักสูง 15 เมตรที่ตั้งตะหง่านอย่างมั่นคง ด้านหน้าเป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยนักเรียน แต่ละคนต่างมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของตน ด้านซ้ายเป็นสนามฟุตบอล ส่วนด้านขวาเป็นโรงยิม หลังอาคารหลักนี้เป็นอาคารอื่นๆแยกตามชั้นเรียนอีกมากมาย ส่วนใหญ่เด็กมัธยมปลายจะเรียนที่อาคารหลัก ส่วนมัธยมต้นเรียนที่อาคารอื่น ใช่แล้วนี่คือ โรงเรียนที่ผมกับพิรุณเรียนอยู่
จู่ๆ พิรุณก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แย่ละสิ เหลือเวลาอีก 3 นาที”
“สายตั้งแต่วันแรกนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ห้องเราอยู่ชั้น 5 ซะด้วย รีบไปเถอะ”
เมื่อคิดได้อย่างนั้น พวกเราก็รีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า เวลานับถอยหลังอย่างไม่รีรอ
แฮ่ก แฮ่ก
ผมใช้มือยันประตูห้องเรียนและหายใจหอบ พิรุณที่อยู่ข้างหลังก็ทำแบบเดียวกัน มีเวลาที่เหลืออีกไม่มากให้ได้พักหายใจกัน ผมจึงหมุนลูกบิดและผลักประตูสีฟ้าอ่อนออกอย่างช้าๆ แสงแดดอ่อนส่องย้อนจากทางกระจกข้างห้องทำให้แสบตา ในห้องเรียนมีโต๊ะและเก้าอี้หลายสิบชุดเรียงเป็นระเบียบในห้อง นักเรียนกระจายตัวตามแต่ละส่วนของห้อง บางคนนั่งออกหนังสืออย่างเงียบ บางคนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส รวมไปถึงชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกับประตูที่เราเข้ามากำลังคุยเรื่องการท่องเที่ยวในวันหยุดที่ผ่านมาอย่างสนุกสนาน
ชายร่างท้วมที่อยู่ริมประตูเห็นพวกเราเดินเข้ามาอย่างหมดแรง จึงพูดว่า “เกือบมาไม่ทันแล้วสิ”
พิรุณยิ้ม แล้วตอนกลับไปว่า “โชคดีที่มาทันล่ะนะ”
ไม่ทันไร ผู้หญิงผมยาวดำสลวย หน้าตาสดชื่น ชุดสีขาวเรียบ กระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มเข้ามาทางประตูหน้า เธอคือ ไพลิน อาจารย์ประจำชั้นของเรานั่นเอง เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวเงียบลงทันที นักเรียนทุกคนกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองอย่างพร้อมเพรียง
“ไงทุกคน ปิดเทอมปีใหม่เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์สาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันนุ่มนวล พลางมองไปยังนักเรียนรอบๆห้อง “ครูรู้ว่าพวกเธอเพิ่งผ่านวันหยุดกันไป แต่ว่าอย่างที่รู้กันอยู่ วันนี้ผลทดสอบย่อยออกมาแล้ว” นักเรียนทุกคนโฮ่ร้องออกมาพร้อมกัน “เอาล่ะ ครูจะเรียกชื่อแต่ละคนแล้วออกมารับใบผลคะแนนนะ” จากนั้นเธอจึงเอ่ยชื่อของนักเรียนตามรายชื่อที่ถืออยู่ในมือ ทุกคนลุกจากโต๊ะหลังจากที่ีได้ยินเสียงขานเรียกชื่อของตน สีหน้าแต่ละคนหลังจากได้รับใบผลคะแนนทั้งดีใจ เสียใจ หรือสีหน้าเฉยๆที่คาดเดาไม่ถูก ผมเฝ้ารอด้วยใจที่ตุ้มๆต่อมๆ
“อันนี้ของเธอ พฤกษา”
พฤกษ์รับใบแจ้งผลมา ก่อนที่จะอ่านผลคะแนนอย่างรวดเร็ว
.......
ผลสอบวิชาคณิตออกมาดีมาก วิชาวิทย์ ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษยังพอไหวก็จริง แต่วิชาอื่นนี่สิ
“โห คณิตยังได้ท็อปเหมือนเดิมนะ” พิรุณหันหลังกลับมาและพูดขึ้นหลังจากที่เห็นใบคะแนนของผม
อารมณ์ของผมเปลี่ยนจากผิดหวังกลายเป็นหมั่นไส้ เลยตอบกลับไปว่า “ใครจะไปเหมือนกับนายเล่า”
“น่าๆ เดี๋ยวฉันช่วยติวให้เอง”
คนพูดก็สบายเลยสิ ทั้งๆหมอนี่จะเป็นนักฟุตบอล นักกิจกรรม เกมเมอร์ตัวยง และไม่ได้เก่งวิชาไหนเป็นพิเศษ แต่คะแนนดันออกมาดีทุกวิชาเสียทุกครั้งไป สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งกันเสียเหลือเกิน
แต่การสอบครั้งที่แล้วเราพยายามน้อยไปจริงๆ คะแนนออกมาก็โทษใครไม่ได้ซะด้วย คงต้องพยายามให้มากขึ้นซะแล้ว ผมเก็บใบผลคะแนนใส่ในกระเป๋าและเตรียมตัวเรียนคาบแรกที่จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
การเรียนวันแรกของปีนี้สิ้นสุดลง ผมเดินออกมาจากอาคารเรียนอย่างเชื่องช้า พลางมองท้องฟ้าสีส้มและเมฆที่กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก กระจายไปทั่วนภาอันกว้างใหญ่ แต่เสียงเตะลูกบอลจากทางซ้ายดึงความสนใจผม มีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมประมาณ 8-9 คนมารวมตัวกันในสนามหญ้าสีเขียว ท่าทีของพวกเขาดูสนุกสนานและเล่นกันเป็นทีมได้อย่างดี
ชายร่างสูง เพรียวบางวิ่งเลี้ยงบอลเข้าไปในเขตแดนอีกฝ่าย กองกลาง 2 คนอีกฝั่งพุ่งเข้าใส่ หวังว่าจะใช้จำนวนคนเข้ากดดันและแย่งบอล แต่เขาใช้ความเร็วหลบผู้เล่นสองคนและวิ่งไปข้างหน้าต่อ แต่ก็ไม่พ้นการเข้าสกัดของผู้เล่นอีกคนที่อยู่ข้างหลัง บอลกระเด็นออกมาข้างสนามและมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของผม
“เดี๋ยวฉันเก็บเอง” เสียงที่เคยได้ยินจนคุ้นหูดังมาแต่ไกล คนที่เขามาเก็บบอลคือ พิรุณนั่นเอง “เราขาดคนพอดี นายจะมาเล่นด้วยไหม”
แม้ว่าอยากจะเข้าไปร่วมเล่นด้วยแค่ไหน แต่ครั้งนี้ผมต้องจำใจปฏิเสธและใช้เท้าเตะบอลไปยังเพื่อนสนิท “โทษที พอดีวันนี้ชั้นมีธุระนิดหน่อย”
นักเตะอีกทีมหนึ่งเดินมาหยุดฟังการสนทนาเมื่อครู่และแซวว่า “นัดสาวไหนไว้หรือไง ขอให้โชคดีนะเพื่อน แล้ว...”
“ใช่ที่ไหนเล่า”
ผมชิงพูดตัดบทและเร่งเดินออกมาก่อน ถ้ามัวแต่พูดกันอยู่อย่างนี้คงไม่ทันกำหนดการแน่ ตอนนี้ต้องรีบไปรอรถคันถัดไปที่ป้ายฝั่งตรงข้ามโรงเรียนเสียก่อน
หลังจากที่นั่งรถมาลงที่จุดเดิมและย้อนกลับมาตามเส้นทางเมื่อเช้า พฤกษ์เลี้ยวขวาที่หัวมุมก่อนถึงบ้านและเดินไปตามถนนเรื่อยๆจนเห็นอาคารเก่าแก่ แต่สภาพก็ไม่ได้ย่ำแย่ไปตามวันเวลาเท่าไรนัก ประตูหน้าถูกล็อกด้วยแม่กุญแจที่เก่าจนขึ้นสนิม ผมควานหากุญแจจากกระเป๋า หยิบกุญแจสีน้ำเงินเปิดประตูอย่างช้าๆและเอื้อมมือไปแตะสวิตช์ไฟข้างผนัง ตัวอาคารพลันสว่างขึ้นในพริบตา พื้นที่ 100 ตารางเมตร ปราศจากสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ เว้นแต่ฝุ่นที่เกาะเต็มพื้นที่ ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงไปทำให้มันฟ้งขึ้นมาเสียจนต้องใส่แว่นและใช้ผ้าปิดจมูกไว้
ผมเดินไปยังห้องเล็กๆที่อยู่ทางมุมขวาสุดของอาคาร หยิบไม้กวาดออกมาและบรรจงทำความสะอาดพื้นไปเรื่อยๆ
ที่นี่เคยเป็นโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ของคุณลุง มันถูกปิดตัวลงไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว พร้อมกับการหายตัวไปของเขา นั่นเพราะว่าท่านเป็นคนไม่ชอบอยู่ที่เดิมๆเป็นเวลานานและมักออกเดินทางไปไหนมาไหนอยู่เรื่อย หลังจากที่ไม่ได้ข่าวคราวของคุณลุงและไม่มีการฝึกซ้อมที่นี่อีก มันจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องมาทำความสะอาดที่นี่ตั้งแต่นั้นมา
พฤกษ์เดินมาหยุดตรงกลางอาคารหลังทำความสะอาดเสร็จ พลางมองไปรอบๆตัว เรื่องเก่าๆเริ่มหวนกลับคืนมา ภาพการฝึกซ้อมของผู้คนมากหน้าหลากตา ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ตั้งแต่เด็กประถมไปจนถึงผู้ใหญ่วัยเกษียณ ภาพครูฝึกยืนมองจากมุมหนึ่งของอาคาร บรรยากาศที่เย็นยะเยือก และการต่อสู้อันดุเดือดที่มีเป็นครั้งคราว ต่อมาสิ่งที่เห็นเป็นเด็กชายอายุราวๆ 7 ขวบ เส้นผมปิดบังดวงตาเอาไว้หนึ่ง จ้องมาทางนี้อย่างเงียบเชียบ ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เหมือนว่าความทรงจำเลวร้ายกำลังหวนกลับมา จึงรีบหลับตาลงและพยายามสลัดจินตนาการในหัวให้หลุดออกไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เหลือเพียงอาคารที่ว่างเปล่ากับตัวผมอยู่ดังเดิม อาการปวดหัวหายไปอย่างน่าประหลาด
หลังจากล็อคกุญแจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมูล เที่ยวนี้เสียเวลาไปมากกว่าที่คิด พระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินเต็มที เสาไฟตามท้องถนนเปิดขึ้นมาอัตโนมัติราวกับต้อนรับการมาเยือนของค่ำคืน ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ ระหว่างทางเกือบสะดุดล้มไป 2 ครั้ง แต่ก็ยังมุ่งหน้าต่ออย่างไม่ลดละ
ผมจัดแจงกินข้าว อาบน้ำ เปลี่ยนชุด แล้วกลับมานั่งที่ห้องและทบทวนบทเรียนเล็กน้อย ก่อนที่จะหยิบเจ้าเครื่องอิมเน็กส์(Imagine Nexus)มาสวมใส่ ปรับเอนเก้าอี้ตัวใหญ่ให้อยู่ให้ตำแหน่งพอเหมาะและเตรียมตัวกลับเข้าไปยังสงครามอันดุเดือดและแสนจะวุ่นวาย(Chaos) อีกครั้ง
เอาล่ะ Game Start
ความคิดเห็น