ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิ ก ฤ ติ ก า ร ณ์ ฆ่ า ล้ า ง โ ล ก

    ลำดับตอนที่ #4 : ESCAPE FROM DEATH OR DEATH -+:: รอดหรือตาย ::+- (2)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 48


        แกรกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!! เด็กพวกนั้นส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน เสียงของพวกมันแทบจะบาดแก้วหูผมแตก แล้วเด็กคนหนึ่งในนั้นก็เดินก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวจากจำนวนเด็กประหลาดนับสิบคน แล้วเด็กคนนั้นก็ค่อยๆ อ้าปากกว้างขึ้นกว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด พระเจ้า! ไม่มีฟัน เหงือกแดงๆ เพรียวๆ ผมบอกได้เลยว่านั่นเป็นปากนรก พนันได้เลยว่านั่นเป็นปากที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา น้ำลายที่ยืดหนืดขาว ขุ่น ข้น ยืดเยิ้มอยู่เต็มปาก น่าขยะแขยง แล้วก็ลิ้นที่ขยายใหญ่ขึ้นตามขนาดของปาก ปากนั่นสามารถงับหัวของผมเข้าไปได้ทั้งหัว เอ้ย!...ไม่ซิทั้งตัวเลยมากกว่า



        “สาม!” ผมไม่สนใจเลขหนึ่งกับเลขสองที่อยู่หน้าเลขสามอีกต่อไป อเล็กซ์กับผมตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไปอย่างไม่สนใจว่าจะเหยียบหัวหรือตัวของไอเด็กเวรพวกนั้นรึเปล่า พวกมันมาจากไหนให้ตายเหอะ พวกมันมาบนโลกนี้ทำไม พวกมันมาได้ยังไง พวกมันมาจากดวงดาวไหน คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวสมองของผม เพราะผมแน่ใจแล้วว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์! พวกมันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่หน้าตาคล้ายมนุษย์เท่านั้น



        “ไปเร็ว ไป” อเล็กซ์วิ่งนำหน้าผมไปส่วนเด็กพวกนั้นก็เดินตามหลังมา บ้างก็คลานตามมาบนพื้นหิมะที่หนาวเหน็บ ผมสาบานได้ว่าเด็กพวกนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว วี๊ดดดดดด~~~~~ ผมรีบหันกลับไป ไอตัวโตกำลังชูสิ่งที่อยู่ในมือขวาขึ้นผมจึงรีบตะโกนบอกอเล็กซ์ให้หลบลง “อเล็กซ์ก้มลง!!! เร็ว!!!” ฟึม! อเล็กซ์หมอบลงกับพื้นหิมะได้ทันเวลา แสงสีฟ้าวิ่งผ่านหัวของผมไป แต่...ของบางส่วนกระจายออกมาจากกระเป๋า เขาจึงพยายามจะกวาดของเหล่านั้นกลับเข้ามาในกระเป๋าให้หมด “รีบไปเร็ว” ผมพูดขณะที่ดึงแขนของอเล็กซ์ให้ลุกขึ้น แล้วพวกเราก็ออกวิ่งอีกครั้ง ผมเห็นตาสีแดงที่เดินไล่กวดหลังพวกเราใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนมันจะเดินเร็วกว่าพวกเรามาก ผมหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังเดินตามเรามาอยู่ แต่...มันหายไปแล้ว ให้ตายซิมันหายไปไหน แล้วเสียง วี๊ดดดดดดดดด~~~~~ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ดังมาจากด้านหลัง แต่ทว่ามันดังขึ้นมาจากด้านหน้า ผมหยุดชะงักทันทีเมื่อรู้ว่า...หน้าของผมกำลังอังอยู่กับสิ่งที่อยู่ในมือขวาของไอตัวห่านั่น แล้วแสงสีฟ้าก็ค่อยๆ สว่างจ้าขึ้นตรงหน้าพร้อมกับกับเสียง วี๊ดดดดดดดดดดด~~~~~~~~ ที่ดังแสบแก้วหู แสงสีฟ้าที่ส่องสว่างออกมาจากสิ่งที่อยู่ในมือขวา ทำให้ลูกตาของผมปวดไปหมด ผมแสบตามากจนผมจำเป็นต้องกำลูกตาของผมไว้แน่น แล้วในจังหวะเดียวกันที่ผมถูกอเล็กซ์ฉุดให้ล้มลง ท้องฟ้าทั้งหมดก็กลายเป็นสีแดงเพลิง และฟึม! แสงนั่นถูกยิงออกมาจากสิ่งที่อยู่ในมือขาวของมันด้วย



        ผมแสบตามากถึงผมจะพยายามลืมตา แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้มันก็พร่ามัวไปหมด ผมรู้สึกอึดอัดคล้ายโดนบีบเค้นบริเวณลำคอและดูเหมือนตัวของผมกำลังจะถูกยกขึ้นสูงจากพื้น “ไอเวร ปล่อยน่ะเว้ย” เสียงของอเล็กซ์ดังขึ้นจากด้านหลังของผม สงสัยสิ่งที่อยู่ข้างหน้าผมตอนนี้คงจะเป็นไอตัวห่านั้น อึก! ผมเริ่มหายใจไม่ออก คอของผมแห้งผากเหมือนขาดน้ำมานับสิบวัน นี่นะหรอความรู้สึกของคนใกล้ตาย แค่ก แค่ก ผมไอออกมาทั้งๆ ที่แรงจะไอยังจะไม่มี ผมใช้มือทั้งสองของผมจับแขนข้างเดียวของมันที่กำลังบีบคอผมอยู่ ผมใช้แรงอันน้อยนิดพยายามจะแกะมือของมันออก แต่...มันไม่เป็นผล มันกลับบีบคอของผมแรงขึ้นไปเป็นทวีคูณ



        ปัก! อเล็กซ์คงพยายามช่วยผมอยู่ ตาของผมเริ่มมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ถึงมันจะยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นก็ตามที ผมเห็นอเล็กกำลังเอากระเป๋าที่เต็มไปด้วยเสบียงฟาดไปที่หลังของมันอยู่ มันเหวี่ยงผมลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี ผมหมดแรงและไอออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งไม่หยุด มันไม่สนใจผมอีกต่อไป แต่...มันกลับหันไปหาอเล็กซ์ทันทีที่มันเหวี่ยงผมลงไปนอนกองกับพื้นสำเร็จ ก่อนที่อเล็กซ์จะโดนคว้าไว้ได้ อเล็กซ์ก็กระโดดถอยหลังไปเกือบเมตรแล้วสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นหลังอีกครั้ง ผมลุกขึ้นทั้งที่ยังคันคอและหายใจยังไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่



        “ไปเร็ว!” อเล็กซ์ตะโกนดังขึ้นแล้ววิ่งนำหน้าผมไป ผมวิ่งโซซัดโซเซไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าที่เท้าของผมจะเอื้ออำนวย ผมวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตามอเล็กซ์ไป ในหัวของผมตอนนี้แต่มีคำว่าวิ่งกับวิ่งเท่านั้น วิ่งไปให้ไกลจากไอตัวบ้าแค่นั้นเป็นพอ



        อเล็กซ์เหลียวหลังมามองผม วี๊ดดดดดดดด~~~~~~ ผมหันหลังกลับไปมอง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะชาร์จเร็วกว่าปกตินิดหน่อย อเล็กซ์พุ่งตัวเข้ามาหาแล้วผลักผมให้ล้มลง ฟึม!



        ผมเหลือบไปเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากแขนข้างซ้ายของอเล็กซ์อย่างรวดเร็ว “อเล็กซ์! เป็นอะไรมั้ย แขน! แขน!” ผมพูดตะกุกตะกัก อเล็กซ์เงยหน้ามองผมแล้วฝืนยิ้มออกมาจางๆ



        “ลุกขึ้นเร็ว!” เขาบอกผมพร้อมกับฝืนลุกขึ้นยืน แขนข้างซ้ายของเขาค่อยๆ มีเลือดซึมออกมาทีล่ะนิด จนบริเวณรอบๆ แขนเสื้อข้างซ้ายนั้นมีเลือดไหลออกมาเฉอะแฉะเป็นวงกว้าง



        “แต่แขนนั่น...” ผมพูดยังไม่ทันจบ อเล็กซ์ก็พูดตัดบทขึ้นมาเสียงดัง



        “ช่างมันเหอะน่า!” แล้วเขาก็วิ่งจับแขนตัวเองที่มีเลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา วิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด ผมมองตรงไปข้างหน้าที่มีแต่ลานหิมะกว้างๆ ไม่มีที่จะให้พวกเราหลบได้เลยแม้แต่นิดเดียว จนอเล็กซ์หลบเข้าไปในมุมตึกมุมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ผมวิ่งตามเข้าไปด้วยร่างกายที่อ่อนแรงบวกกับความหวาดกลัว ที่เริ่มคืบคลานเข้ามาทีล่ะนิดคล้ายกับหัวใจของผมที่เต้นเป็นจังหวะเมื่อซูบซีดเลือดไปทั่วร่าง



        “ตรงนี้หรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองอเล็กซ์ที่เหนื่อยหอบยิ่งกว่า เขายังคงกำแขนข้างซ้ายของเขาไว้แน่น เขาค่อยๆ เอนหลังพิงกำแพงแล้วไถหลังลงมา จนก้นของเขาอยู่ติดกับพื้น อเล็กซ์วางกระเป๋าไว้ข้างตัวผม แล้วมองหน้าผมพร้อมกับหอบหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ “ไหวมั้ย” ผมถามเขา ผมหวังว่าเขาจะพยักหน้าตอบกลับมา แต่...ไม่ใช่...เขากลับส่ายหน้าให้ผมช้าๆ



        “เลือดคงไหลออกมาหมดตัวก่อนแน่ เสบียงนี่...” เขาหยุดพูดแล้วก้มลงมองกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ทั้งข้างตัวผมและตัวของเขา “คงต้องฝากนายเอากลับไป” เขายิ้มแหยๆ ให้ผม



        “ไม่! เราต้องไปด้วยกัน” ผมพูดขณะที่หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง...พร้อมกับฉุดแขนข้าวขวาของอเล็กซ์ให้ลุกขึ้นยืน



        “ปล่อยฉันไว้ตรงนี้!” เขาเริ่มตะคอกใส่ผมแต่ผมไม่ใส่ใจ และทำตามใจตัวเอง ทำสิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้มากที่สุด คือ ‘เราต้องกลับไปด้วยกัน’



        “ผมคงปล่อยไว้ไม่ได้...” ผมเหลียวตามองอเล็กซ์อีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้า...ไม่มีอเล็กซ์กลับไป การไปเอาสเบียงครั้งนี้มันก็ไร้ความหมาย”

        

        อเล็กซ์ถอนหายใจแล้วยิ้มกว้างออกมา ตลอดเวลาที่ผมพยายามแบกทั้งกระเป๋าและอเล็กซ์ไปพร้อมๆ กัน ผมก็คิดหาทางพยายามจะติดต่อกับพวกข้างล่าง แต่...มันคงยากเกินไป ผมหยุดตัวเองกับอเล็กซ์และกระเป๋าไว้ในถังขยะถังใหญ่ที่ตังอยู่ในมุมตึกระหว่างตึกสูงสองตึกที่ตังห่างกันประมาณห้าเมตร มันเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุด โชคดีที่เมื่อสองวันก่อนหรือวันที่เกิดเรื่องเป็นวันเก็บขยะ พวกหุ่นยนต์ทำความสะอาดเลยขนขยะไปรีไซเคิ้ลกันหมดแล้ว ที่นี่เลยเป็นคล้ายกับกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่กว้างประมาณสองเมตรและยาวประมาณหนึ่งเมตร



        ผมนั่งครุ่นคิดพลางชำเลืองมองอเล็กซ์ที่เหนื่อยหอบ ผมไม่รู้จะทำยังไงให้แผลสมานหรือไม่ก็ทำให้เลือดของอเล็กซ์หยุดไหลเพราะแผลมันกว้างเกินไป มันอาจจะเป็นอย่างที่อเล็กซ์บอก เขาอาจจะเลือดไหลหมดตัวก่อนแน่ ผมใช้แท่งเหล็กที่เก็บได้ระหว่างทางคั่นระหว่างฝาถังขยะกับปากปิดไว้ เพื่อให้พวกเรามีอากาศหายใจ… ระหว่างที่ผมกำลังมองท้องฟ้าสีแดงก่ำอยู่นั้น ด้วยความเคยชินเพราะทุกครั้งที่ผมไม่มีอะไรทำผมจะใช้มือข้างขวาล้วงเข้าไปในกางเกง และผมก็เจอ...เจอสิ่งที่ผมลืมไปซะสนิทว่ามันติดตัวผมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อยู่ที่ R.70 (แหล่งการค้าที่ใหญ่ที่สุดใน ZONE17) มันคือ โทรศัพท์รุ่น Bluetooth2010 ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วกดปุ่มทำงาน...



        เสียงเครื่องทำงานค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมกดปุ่มแผนที่ ZONE16 ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับแสดงผลว่ามีใครใน ZONE16 ที่ใช้ โทรศัพท์รุ่น Bluetooth2010 เหมือนกันอยู่บ้าง จุดสีแดงสองจุดกระพริบขึ้นบนแผนที่จางๆ แล้วผมก็ใช้นิ้วก้อยจิ่มลงบนจุดหนึ่งในนั่นที่มีชื่อขึ้นว่า ‘แม็ก’

        

        “ได้ยินมั้ย…” ผมพูดเบาๆ ผ่านโทรศัพท์ตอนนี้ผมนำโทรศัพท์มาเกี่ยวไว้ที่หูเพื่อที่จะได้คุยได้สะดวก “แม็ก...ตอบที” ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากแม็ก ผมนั่งคอตกอุตส่าห์เห็นหนทางรอดอยู่แล้วเชียว ผมถอดมันออกจากหูแล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดเครื่องเปิดไปมันก็ไร้ค่าอยู่ดี



        “ออต!” เสียงตะคอกดังขึ้น



        “แม็ก! ได้ยินแล้วใช่มั้ย” ผมแทบจะกระโดดออกมาจากถังขยะ “ตอนนี้ฉันอยู่ในถังขยะ...ฉันสบายดี แต่อเล็กซ์กำลังแย่...แล้วก็แย่มากด้วย บอกทางกลับมาที ฉันยังไม่ได้ยาของฮีนจี...” ผมบอกแม็กแล้วเหลือบไปมองอเล็กซ์ที่ลืมตาขึ้นมองผมแล้วหอบหายใจแรงขึ้นกว้างสิบนาทีก่อนมาก



        “โอเค...” นั่นคงเป็นเสียงของจอร์นนี่ “เดินออกมาจากถังขยะซะ แล้ว...จะบอกข่าวร้ายไว้อย่าง เราจับคลื่นความร้อนของพวกมันไม่ได้ อันตรายมาก...หลบให้ดี ทุกอย่างพวกเราฝากไว้ที่นายคนเดียว” ผมพยักหน้าตอบทั้งที่เขาก็ใช่ว่าจะมองเห็นหน้าผม



        “อเล็กซ์ลุกไหวมั้ย อีกอึดใจเดียวผมจะส่งคุณกลับลงไป” อเล็กซ์พยังหน้าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากถังขยะ ผมค่อยๆ ก้าวขาตามเขาออกไปพร้อมกับที่สะพายกระเป๋าเป้ขึ้นบ่า



        “ชั้นอยากให้พวกนายวิ่ง” จอร์นนี่พูดกับผม...



        “โอเค เราจะวิ่ง” ผมตอบจอร์นนี่กลับไปพร้อมๆ กับที่ผมหันไปบอกอเล็กซ์ แล้วอเล็กซ์ก็เริ่มออกวิ่ง จอร์นนี่บอกให้พวกเราวิ่งตรงไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มวิ่งแต่...ผมมีความรู้สึกว่าขาของผมมันก้าวได้ลำบากมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะความเย็นของอากาศที่มีแต่เย็นขึ้นเรื่อยๆ และความเย็นของอากาศนั้นก็ไม่ลดลงเลยด้วย



        “โอเคจอร์นนี่ เรามาถึงแล้ว” ผมบอกเสียงสั่นเพราะความหนาว ผมเห็นอเล็กซ์ที่ยืนโซเซอยู่ตรงหน้าแล้วเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นหิมะ “อเล็กซ์!” ด้วยความตกใจผมแทบจะโยนกระเป๋าทิ้งแล้ววิ่งไปดูอาการของอเล็กซ์ “อเล็กซ์ เรามาถึงแล้ว ทำใจดีๆ ไว้ พวกเรายังไม่อยากให้คุณตาย ลืมตาไว้”



        “ฉันยังไม่ตาย...” เขายิ้ม...ปากของเขามันซีดเผือกเหมือนกับไม่มีเลือดไหลอยู่เลย ใบหน้าของเขาก็เริ่มขาวขึ้นเรื่อยๆ เลือดที่หัวไหล่ข้างซ้ายก็ไหลออกมาไม่หยุด จนพื้นหิมะสีขาวโพลนกลับกลายเป็นสีแดงทีล่ะนิดเพราะเลือดของอเล็กซ์ที่ไหลซึมออกมาเรื่อยๆ



        “อเล็กซ์เป็นอะไร!” เสียงจากข้างล่างพูดดังขึ้น “เรากำลังส่งลิฟต์ขึ้นไป...อเล็กซ์เป็นอะไร!” จอร์นนี่ถามผมไม่หยุดปาก จนลิฟต์แก้วสีใส่ก็เปิดอ้าตรงหน้า ผมโยนกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเสบียงเข้าไปในลิฟต์...แล้วผมก็ค่อยๆ แบกอเล็กซ์เข้าไปในลิฟต์ช้าๆ



        ผมค่อยๆ วางตัวอเล็กซ์ที่เหนื่อยหอบไว้กับพื้นลิฟต์ แล้วผมก็ไถตัวไปตามลิฟต์แก้วก่อนจะแบกกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้ง เพื่อรอให้ประตูลิฟต์เปิดอ้าขึ้นอีกครั้ง...



        ผมมองนาฬิกา...บอกเวลาตีหนึ่งสี่สิบ อเล็กซ์นอนอยู่บนเตียงนานเกือบสิบเอ็ดชั่วโมงแล้ว ผมยังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของฮันจีอยู่



        “เอมมีลี่!” ผมเดินเข้าไปในห้องของเอมมีลี่ แต่ผมไม่เจอเธอผมกลับเจอผู้หญิงอีกคนในกลุ่ม เธอมีผมสีน้ำตาลเข้มเงามันเป็นประกายส่องสว่างเมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟที่สว่างไปทั่วห้อง นัยน์ตาของเธอก็เป็นสีเดียวกับผม ผมส่งยิ้มให้เธอที่กำลังหวีผมอยู่



        “มอแกน…” ผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่เคยช่วยผมให้หลุดจากมือของอเล็กซ์ร้องบอก ทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าของเธอคนนั้นอีกครั้ง “นั่นคือชื่อของฉัน เอมมีลี่อยู่ในห้องครัว” มอแกนยิ้มกว้างให้ผมอย่างจริงใจ ผมจึงค่อยๆ เดินก้าวเข้าไปในห้องครัวที่มีกลิ่นหอมของซุปข่นโชยออกมา



        “เอมมีลี่!” ผมตะโกนดังขึ้น



        “อะฮะ...” เอมมีลี่หันมามองผมพลางเอานิ้วจิ้มลงบนซุปข้นแล้วชิมมัน



        “ฮันจีล่ะ...” เอมมีลี่วางกระบวยตักไว้ข้างหม้อแล้วเช็ดไม้เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนของเธอ



        “ถ้าอากาศยังเป็นแบบนี้อยู่ อาการของฮันจีก็จะแย่ลงเรื่อยๆ เพราะไม่มียาช่วยรักษา แต่ถ้า...อากาศเป็นใจลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ อาการของเธอก็จะดีขึ้นตามลำดับ แต่นั่นมันคงเป็นไปได้ยากเธอก็คงเข้าใจเพราะงั้น...ไม่มียา...คำตอบคงไม่ต้องบอก คือ...ไม่มีทาง...คงเข้าใจนะ ใช่มั้ย” เธอบอกผมแล้วลงมือคนซุปข้นของเธอต่อ นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากนึกถึงและไม่อยากคิดถึงเลยด้วยซ้ำ ผมคงต้องกลับขึ้นไปเอายาจริงๆ และครั้งนี้คงจะเป็นผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคนขึ้นไปประเชิญหน้ากับพวก…ที่คุณรู้ดีว่าสิ่งที่ผมต้องประเชิญนั้นคืออะไร



        ผมหลับตาลงตอนเวลาตีสองสี่สิบ ผมนอนอยู่บนพื้นปูนสีขาวที่หนาวสุดขั้วได้อย่างสนิทใจ มันคงเป็นเพราะ...ผมออกไปลุยอะไรต่อมิอะไรมามากและตลอดทั้งวัน…



        ติ๊ด ติ๊ด~~~~ เสียงนั้นดังขึ้นเบาๆ ข้างหัวผม และเสียงที่ดังขึ้นนั้นก็ทำให้ผมตื่นจากการหลับใหลนานนับชั่วโมง ผมลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงียสุดขีด แล้วผมก็ใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองขยี้ดวงตาทั้งสองของผมเบาๆ ก่อนที่ผมจะก้มหน้าลงมองร่างเงาตะคุ่มๆ ที่นอนหลับอยู่บนพื้นปูนสีขาวข้างกายผมอย่างสบายและบิดตัวไปมา เขาคงจะกำลังหลับสนิทอยู่ละซิน่ะ ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะแสงไฟสีขาวที่สว่างจ้าถูกส่องผ่านออกมาจากห้องควบคุมที่ไม่มีประตู จึงทำให้ผมเห็นและรู้ว่าคนที่นอนอยู่ข้างกายผมตลอดเวลานั้นคือใคร เขาคือแม็ก ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วเลขดิจิตอลสีเขียวก็เด้งขึ้นมาตรงหน้า ยังไม่หกโมงเลย ผมสงสัยซะจริงถ้าเสียง ‘ติ๊ด ติ๊ด’ นั่นไม่ใช่เสียงจากนาฬิกาของผมแล้วมันเป็นเสียงของอะไร ผมที่กำลังจะล้มตัวลงนอนตามเดิม ก็ต้องห้ามตัวเองไว้เมื่อได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของเด็กสาวที่ฟังดูแล้วอ่อนวัยกว่าผมประมาณสองถึงสามปีดังขึ้นจากที่ไหนซักแห่งข้างตัวผม ผมพยายามหาต้นตอของเสียงที่ดังขึ้นอย่างประหลาด...



        “ฮาโหล...ได้ยินมั้ย ตอบด้วยช่วยที ฮือ...ช่วยด้วย ขอร้องล่ะ” เสียงนั้นดังขึ้น...และเพราะเสียงนั้นจึงทำให้อาการงัวเงียของผมทั้งหมดหายไปเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อผมรู้ว่าเสียงที่ดังออกมานั้น มันดังออกมาจาก โทรศัพท์รุ่น Bluetooth2010



        “ฮาโหล!” ผมพูดกลับไปด้วยอาการตกใจสุดขีด “เธอ…!”



        “ช่วยเราด้วย...ช่วยพวกเราที ขอร้อง...พวกเราขอร้อง ได้โปรด” เธอร้องบอกผม



        “พวกเธออยู่ที่ไหน...เฮ้! ตอบเซ่” ผมเริ่มตะคอกใส่โทรศัพท์จนลืมตัวว่าทุกคนที่นี่กำลังหลับอยู่



        “โรงพยาบาล...โรงพยาบาล ได้ยินมั้ย ได้โปรด...” เธอพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือคงอาจเป็นเพราะความหวาดกลัวที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความหนาว...ที่ผมไม่อาจรู้สึกได้



        “ฮาโหล! ฮาโหล! เฮ้!...ไม่น่ะ!” ตอนนี้จิตใจของผมชักไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเข้าไปทุกที มือของผมสั่นไปหมด ผมดึงโทรศัพท์ออกมาจากหูแล้วเปิดแผนที่ทันที สัญญาณได้ถูกตัดขาดไปซะแล้ว ใจของผมเต้นเร็วและแรงจนไม่เป็นจังหวะ มีคนอื่นอยู่ด้านบน...นอกเหนือจากพวกเรา...





    ปล.1

    ตอนนี้แก้เยอะมากเลยค่ะ แก้เยอะจริงๆ เลย



    ปล.2

    ขอโทษจริงๆ น่ะค่ะ ที่หายไปงะ เพราะคอมมันพัง เมนบอร์ดเสีย

    ตอนแรกก็คิดว่า ฮาร์ดดิสจะไม่เป็นไร แต่ตกลงว่า มันกู้ข้อมูลคืนมาไม่ได้

    อะค่ะ แงๆ ก็เลยมานั่งก๊อปจากในเว็บ

    แล้วเอาไปแต่งใหม่คิดว่าคงดีกว่าเดินน่ะค่ะ คงตื่นเต้นมากกว่าเดิมอะค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×