ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิ ก ฤ ติ ก า ร ณ์ ฆ่ า ล้ า ง โ ล ก

    ลำดับตอนที่ #2 : RUN AWAY! -+:: หนี! ::+-

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 48


        ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องนอนแล้วรีบคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่คว้าเอาไว้ได้ใส่กระเป๋าเป้ แล้วรีบเดินออกจากบ้านไป แต่แขนของผมก็ถูกรั้งไว้...ผมหันกลับไปมองหน้าของแม็กที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง แต่สายตาของผมดันมองไปเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของแม็กแทน...สิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นน้ำ!



        “ข้างหลัง!” ผมตะโกนออกมาดังลั่น แล้วแม็กก็หันกลับไปมอง “วิ่ง” ผมลากแม็กออกมาจากห้อง แต่ก่อนที่ผมจะปิดประตูบ้าน ผมก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ที่ดังออกมาจากห้องนอนของผม ทั้งที่มันควรจะเป็นเสียงของทรีนีตี้ แต่นั่นมันไม่ใช่ ผมเลยลากแม็กออกไปให้ห่างจากบ้านของผมก่อนที่จะปิดประตูใส่แม็กทันที แม็กทุบประตูเป็นการใหญ่ แต่ผมไม่สนใจ ผมกลับวิ่งเข้าไปในห้องนอนของผมเอง



        ปัง! ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน แล้วก็พบกับคุณพ่อของผมอีกครั้ง...แค่ครั้งนี้ช่างน่าเศร้า มันกลับเป็นแค่ภาพโพโรแกรมที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น ผมเอื้อมมือเข้าไปจับแก้มของพ่อ แต่มือของผมก็กลับทะลุผ่านภาพโพโรแกรมภาพนั้นไป



        “นั่นมันคือ...ผลกระทบจากการทดลอง...ที่กลุ่มของพ่อเป็นผู้สร้างที่อยู่ให้กับพวกมัน แต่พวกของพ่อไม่รู้เลย...ว่า...พวก...มัน...” สัญญาณภาพเริ่มเลือนราง แล้วผมก็เริ่มได้ยินเสียงคำรามของอะไรบางอย่างดังขึ้นจากนอกห้อง “พ่อ! บอกมาให้หมด บอกมา” ผมพูดพลางจ้องที่หน้าคอมอย่างใจจดจ่อ “พวก...มัน...พัฒนา...ตัวเอง...โดย...การ...” วั๊บ! วั๊บ! แล้วภาพทั้งหมดก็หายไป นี่มันบ้าอะไรกัน...มันคือตัวอะไร ผมได้ยินเสียงแกรกๆ ที่ดังออกมาจากนอกห้อง บ้าจริงเชียว...ผมไม่กล้าด้วยซ้ำที่จะออกไปดู สิ่งที่อยู่ในบ้านของผม ไอตัวเวรนั่น แต่...ผมก็ต้องจำใจค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกดู...แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือ ผู้ชายร่างใหญ่สามคนที่มีดวงตาแดงก่ำคล้ายลูกไฟเปลวเพลิงที่ตกลงมาจากฟากฟ้า พวกเขามองผมเป็นตาเดียว แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ เดินตรงมาหาผม ผมไม่รอช้าวิ่งไปเปิดประตูบ้านทันที แต่ผมยังไม่ทันวิ่งไปถึง...



        วี๊ดดดดดดดดดด~~~ เสียงเหมือนกับพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง...ผมเลยหันกลับไปมอง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีแสงไฟสีฟ้าพุ่งออกมาจากแขนข้างขวาของพวกเขา ไม่ซิ!...ต้องเป็นพวกมัน แสงนั่นทะลุกำแพงบ้านของผมเป็นรูโหว่ พอเห็นแบบนั้นแล้วใครจะบ้ารอหยุดดู ผมเปิดประตูบ้านออกไปทันที แล้ววิ่ง...สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านั้นก็คือแม็ก...แม็กที่กำลังมองตาค้างไปที่ทางเดิน ผมมองไปตามทางเดินที่แม็กกำลังมองไป ผมก็เห็นชายร่างคล้ายกันกับพวกที่อยู่ในห้อง...และมีดวงตาสีแดงเหมือนกัน พวกมันกำลังเล็ง...สิ่งที่อยู่ในมือข้างขวา ขึ้นมาจ่อพวกเราแล้วเสียง วี๊ดดดดดดดด~~~ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงนั่นมันทำให้ผมแทบบ้า



        “ไป! เร็ว ไปเดี๋ยวนี้ ยืนทำบ้าอะไรเล่า”



        “แต่ข้างหลังเรามันเป็น...ทางตัน...น่ะ ไม่ใช่หรอ” ผมหันกลับไปดูอีกทางหนึ่ง ใช่! ผมลืมไปว่านั่นมันทางตัน แล้วเสียง วี๊ด! ก็หยุดลงผมหันกลับไปมองแสงสีฟ้าที่พุ่งตรงมาทางผมอีกครั้ง ผมกำลังจะตายนี่มันคงเป็นวันสุดท้ายของโลกใบนี้แล้วล่ะมั้ง



        “หลบไปซิ้!” แม็กพูดขณะที่ผมกำลังหลับตาอยู่ แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวผมกำลังล้มลง ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ทางตันแต่ยังไงก็ต้องไป!” แม็กพูดพลางฉุดมือของผมขึ้นมา แล้ววิ่งตรงไปยังที่แสงสีฟ้านั้นสาดใส่ กระจกละลายกลายเป็นน้ำเหลวๆ ใสๆ แถมยังมีควันออกมาด้วย ให้ตายซิ ถ้าไอแสงห่านั่นโดนตัวผมแม้แต่นิด ผมคงแหลก “กระโดดน่ะ” แม็กพูดพลางตั้งท่าจะกระโดดลงไปที่พื้นน้ำ



        “จะบ้าหรอ นั่นน้ำน่ะเว้ย น้ำ”



        “หรือว่าแกจะตายที่นี่เลือกเอา” แม็กจ้องตาผม แล้วเสียง วี๊ดดดดดดด~~~ ที่ดังกระหึ่มเป็นทวีคูณก็ดังขึ้น มันเล็งไอบ้าที่อยู่บนแขนนั่นมาหาผมพร้อมๆ กัน โดดก็โดดผมปิดจมูกก่อนจะกระโดดลงไปจากที่ซึ่งเรียกว่าบ้านของผมเอง



        ตูบ! ซ่า! วี๊ด! เสียงสามเสียงนี้แทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เสียงแรกคือเสียงที่ผมลงสู่พื้นน้ำเป็นครั้งแรก ส่วนเสียงที่สองก็คือ เสียงที่น้ำรอบตัวผมกระจายออกรอบข้าง ส่วนเสียงที่สามนั่นก็ไม่ต้องสงสัยมันคือเสียงของไอสิ่งที่อยู่ในมือขวานั่นยิงออกมา ถ้าผมยังยืนอยู่ตรงนั้นผมคงแหลกเป็นโจ๊กไปแล้วแน่ๆ ผมโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ แล้วไม่นานเท่าไหร่นัก แม็กก็โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ พวกเราว่ายน้ำไปเกาะเสาแก้วแท่งหนาที่เป็นเสาหลักของถนน ผมค่อยๆ หาปุ่มที่อยู่ติดกับเสา ตี๊ด! เสียงนั่นดังขึ้นเบาๆ แล้วบันไดแก้วก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ



        ผมโผล่ขึ้นมาอีกทีที่ถนน...บนถนนรถหลายร้อยหลายพันคันกำลังเบียดแออัดกันอยู่ บนทางเท้าก็เช่นกัน ทุกคนน่าจะอพยพมาจาก R.40 ถนนทางทิศเหนือกันหมด เสียงแตรและเสียงผู้คนตะโกนเอะอะ ดังมั่วไปหมดจนผมฟังไม่ได้ศัพท์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเหตุการณ์แบบนี้ตลอดหลายปีที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมยังไม่เคยได้ยินเสียงที่มั่วขนาดนี้มาก่อน



        “ออต! แม็ก!...”



        ผมมองนาฬิกาที่อยู่ในข้อมือของตัวเอง ตีสามสิบห้านาที ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ผมตื่น ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่าใจลอย



        “ออต! นี่ฉันอยู่ตรงนี้ ตรงนี้” ใครเรียกชื่อผม ผมมองหาไปทั่ว “แม็ก ออต ตรงนี้” ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางผม ฮันจีนั่นเองเธอหอบเหนื่อยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองแม็ก



        “นี่มันอะไร! เกิดอะไรขึ้น” ฮันจีถามผมพลางชี้นิ้วไปบนถนนที่มีรถมากมายหลายคันกำลังบีบแตรกันมั่วไปหมด “ไม่รู้เหมือนกัน” แม็กตอบพลางส่ายหน้า แล้วผมก็ได้ยินเสียงเหมือนเหล็กกล้ากำลังถูกบี้ ผมหันไปมองทันที ผมเห็นดวงตาสีแดงฉานมากกว่าสิบคู่ค่อยๆ เดินตรงมายังผม ให้ตายซิ



        “ไอพวกนั้นอีกแล้วหรอ” แม็กถามผมอย่างอ่อนแรง แล้วเริ่มออกวิ่งตามผมมา



        “อะไร! วิ่งทำไม” ฮันจีถามผมแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็ลากแขนของฮีนจี...วิ่งต่อไป แล้วเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือเสียง วี๊ดดดดดดด~~~ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่เสียงนี้มันฟังดูแปลกๆ แฮะ ฝนที่เริ่มซาลงกว่าเดิมทำให้ผมเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าผม ฟึม! เมื่อเสียงนั้นสิ้นสุดลง...ผมก็เห็นแรงสีฟ้าพุ่งตรงมาทางผม ผมจึงรีบฉุดให้ฮันจีกับบอกให้แม็กหลบแสงนั่นทันที ตูม! รถยนต์ที่อยู่ถัดจากผมไปสองคันเกิดระเบิดขึ้น



        ผมหันไปมองฮันจีที่กำลังเบิกตากว้างแล้วนัยน์ตาสีฟ้าของเธอก็เริ่มมีน้ำตาไหลเจิ่งนอง “อย่าร้อง...เข้มแข็งไว้ เงียบ!” อึดใจที่ผมบอกให้เธอเงียบ เงียบจริงๆ มันเงียบมาก เงียบสนิทเสียงแตรที่เคยดังมั่วกลับเงียบลง เสียงผู้คนที่ตะโกนด่ากันโหวกเหวกก็หายไปคล้ายร่ายมนต์ ผมเงยหน้าขึ้นมองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวผม ผู้คนที่เคยอยู่รอบตัวผมหายไปหมด ผมหันกลับไปมองแม็ก...ทั้งแม็กและฮันจี ยังอยู่เคียงข้างผมแต่ผู้คนบนถนน หายไปไหนหมด พวกเขาหายไปหมดแล้ว ผมลุกขึ้นยืนไอตัวเวรนั่นก็หายไปด้วย แม็กค่อยๆ ลุกขึ้นตามผมพร้อมกับพยุงฮันจีขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะเธอกำลังอ่อนแรงและร้องไห้ออกมาไม่หยุด ผมมีความรู้สึกว่าเธอเริ่มหายใจติดขัด

        

        “ค่อยๆ หายใจน่ะโอเค้ มองหน้าฉัน มอง!” ผมเชยคางเธอขึ้น น้ำตาของเธอเลอะใบหน้าขาวๆ เต็มไปหมด “หยุดร้อง เธอจะไม่ได้ตายเพราะไอตัวห่านั่นแน่ ถ้าเธอยังร้องไห้อยู่เธอจะตายเพราะเธอร้องไห้จนหายใจไม่ออก เงียบซ้ะ” ผมบอกเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วใช้นิ้วโป้งของผมลูบที่ใต้ดวงตาทั้งสองข้างของเธออย่างช้าๆ



        “เราต้องไปเข้า ZONE 16 (อเมริกากลาง) ไม่งั้นพวกเราถูกเผาสดที่นี่แน่” แม็กพูดพลางเริ่มย้ำเท้าก้าวไปบนถนนที่ไร้ผู้คนมีแต่รถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่บนถนนเท่านั้น ผมเดินตามแม็กไปอย่างเหนื่อยล้า ผมสัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ปากของผมเริ่มสั่นระริกเมื่อเริ่มเดินออกจาก R.49 อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นตามลำดับทุกก้าวที่ย่างเดิน ผมมีความรู้สึกว่ามันเริ่มก้าวขาได้ยากขึ้นเหมือนกับมีก้อนหินหนักๆ มาท่วงขาทั้งสองข้างของผมไว้ แม็กที่เดินอยู่หน้าสุดเริ่มยกมือขั้นกอดอก ส่วนฮันจีก็เริ่มยกมือข้างขวาขึ้นแล้วถูแขนข้างซ้ายของตัวเองขึ้นลง



        “ทำไมเราถึงไม่ขึ้นไปที่ทางเท้า” ฮันจีพูดขึ้น พร้อมกับไอเย็นที่ถูกพ่นออกมาจากปากของเธอ



        “ถ้าพวกเราไปทางนั้น พวกเราก็คงจะถูกเหยียบตายก่อนจะไอถึง ZONE 16 แน่...ลองหันกลับไปดูซิ” แม็กพูดขึ้นทั้งที่ยังเดินอยู่และยังคงเดินต่อไปไม่หยุด ส่วนคนที่หยุดนั้นคือ ฮันจีที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านบน...บนทางเท้า ผมไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้านบนผมห่วงเพียงแต่กลัวเราสามคนจะแยกออกจากกัน ผมจึงลากแขนของฮันจีให้เข้าไปใกล้แม็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เราสามคนไม่คลาดจากกัน



        “อีกไม่นานหิมะคงจะตกแล้วล่ะ” ผมพูดพลางวิ่งไปแตะไหล่ของแม็กเบาๆ “เข้าไปซื้อเสบียงที่ R.70 กัน อย่างน้อยพวกเราก็ควรจะมีเสื้อกันหนาว ไม่งั้นฉันคงจะแข็งตายก่อนแน่”



        “ไปดิ” แม็กไม่รอช้ารีบย้ำเท้าก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิม ผมเดินตามหลังเขาไปเรื่อยๆ ผมเอามือทั้งสองข้างซุกไปในกระเป๋ากางเกง ถ้าอากาศยังหนาวขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้ทุกคนบนโลกคงแข็งตาย ตอนนี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทมืดอย่างกับตอนสี่ทุ่ม แต่อยากจะบอกว่าตอนนี้...ก็เกือบจะถึงตีสี่แล้ว ผมมองนาฬิกาของตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะมีภาพโพโรแกรมสีเขียวบอกเวลาโผล่ขึ้นมาจากนาฬิกาอีกครั้ง



         ฮันจีมองตาผมปริบๆ แล้วก็เดินเข้าไปใกล้แม็ก ส่วนผมก็อยู่รั้งท้ายที่นี่เงียบกริบเหมือนมีแค่เราสามคนที่ยังย้ำเท้าต่อไป



    ZONE 17 R.70



        ถนนยาวอีกเส้นที่ถูกสร้างคู่ขนานขึ้นมาพร้อมๆ กับถนน R.70 ถนนคู่ขนานที่มีผู้คนขายของเรียงรายกันเต็มไปหมด ตีสี่สามสิบสองนาที พวกเราก็มาถึงเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดใน ZONE 17 (อเมริกาเหนือ) ผมมองไปรอบๆ ย่านการค้าที่มีผู้คนคับคั่ง ทุกคนต่างจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสบายอกสบายใจ ผมคิดว่าที่นี่ยังไม่เจอกับไอพวกบ้านั่น ผมจึงไม่รอช้าใช้ CODE ที่อยู่บนแขนข้างขวาของผมให้เป็นประโยชน์ (รอยสักที่อยู่บนแขนข้างขวาของคนทุกคนบนโลก มันคือรอยสักที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และมันเป็นได้ทั้ง บัตรแสดงตัว(บัตรประชาชน) โอนเงิน ถอนเงิน ชำระเงิน แล้วในไม่ช้าเงินก้อนหนึ่งก็ถูกนำมาวางบนมือของผม



        แม็กเลือกซื้อเสบียงอาหาร น้ำ สำหรับสามคน ส่วนผมกับฮันจีก็เดินดูเสื้อผ้าแล้วก็ได้เสื้อกันหนาวมาสามตัวแล้วก็...มือถืออีกสามเครื่อง เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มานั่งแชร์ของกันที่ทางออกของย่านการค้า R.70 ทุกคนสวมเสื้อกันหนาว แล้วแม็กก็แบ่งเสบียงให้ผมครึ่งหนึ่ง ก่อนที่แม็กจะลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋าเป้ใบใหม่ขึ้น “แม็ก!” ผมโยนมือถือให้แม็ก มันเป็นรุ่น Bluetooth2010 ที่เก่าพอควรแต่ถ้าเอามาปรับแต่งนิดหน่อยมันก็จะใช้การได้ดีขึ้นมาผิดหูผิดตา



        แม็กแบกของเดินนำหน้าผมไปบนบันไดเลื่อนที่สามารถจะนำผม แม็ก แล้วก็ฮันจี ไปถึงบนทางเท้าที่ไม่แออันเหมือนใน R.49 ได้ พวกผมเดินบนถนนต่อไปไม่ได้อีกแล้วเพราะรถทุกคันที่ถนนนี้ยังขับกันได้เหมือนปกติ สิ่งที่ผิดแปลกไปนั้นมีเพียงแต่...เส้นทางที่จะนำพวกเขาไปสู่ R.49 นั่นกลับหยุดชะงักและนิ่งสนิทอยู่กับที่...คำถามที่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คุณรู้ดี



        ผมวางกระเป๋าลงบนทางเท้าที่เลื่อนไปข้างหน้า แล้วนั่งลงอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง ผมมองออกไปด้านนอกมันยังคงมืดสนิทเหมือนกับตอนห้าทุ่มไม่มีผิด แต่นี่...มันเกือบจะหกโมงเช้าอยู่แล้ว หิมะเริ่มโปรยปลายลงมาจากท้องฟ้าทีล่ะเล็กล่ะน้อย ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นกับผมไปเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ มันจะไม่เกิดขึ้นกับผมอีกในตอนนี้... แม็กนั่งลงตรงหน้าผมแล้วยื่นขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะมาให้ผม แต่ผมส่ายหัวแม็กจึงเป็นคนแกะขวดน้ำขวดนั้นแล้วกระดกลงคอไปมากกว่าสองอึก

        

        “หิมะตกหรอ” ฮันจีพูดพลางมองออกไปนอกทางเดิน ตี๊ด! นาฬิกาของผมดังร้องเตือนว่า ‘นี่มันหกโมงเช้าแล้ว’ แล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดำมืด แสงไฟจากบ้านคนค่อยๆ สว่างขึ้นทีล่ะนิดทีล่ะนิด... หนึ่งชั่วโมงผ่านไปฟ้าก็ยังไม่สว่างขึ้น พวกเราผ่าน R.80 ไปแล้วคงอีกไม่นาน...ZONE 16 กำลังรอพวกเราอยู่



        “ตื่น ออต ตื่นได้แล้ว” เสียงปลุกของแม็กดังขึ้นข้างหู “ถึงแล้ว แบกของเร็ว ฮันจีเธอก็ลุกขึ้นได้แล้ว” ฮันจีขยี้ตาคู่นั่นของเธอเบาๆ ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วแบกกระเป๋าเป้ขึ้นหลังอีกครั้ง เธอยิ้มให้พวกผมแล้วเธอก็วิ่งนำหน้าผมไปลงบนไดเลื่อน ZONE 16 อีกแค่ก้าวเดียวเราจะปลอดภัย แต่...พอผมก้าวเท้าเดินลงไปที่จุดตรวจคนเข้าเมือง พวกทหารขอดู CODE ที่อยู่ในแขนข้างขวาของทุกคน ผมจึงเป็นคนแรกที่ขออาสาให้พวกทหารนั่นตรวจ



        “พวก ZONE 17 ห้ามเข้า!”



        “ห๊ะ! พวกผมสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน “ไม่ได้น่ะค่ะ พวกเรา...ขอพวกเราเข้าไป” ฮันจีพูดพลางกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น



        “พวก ZONE 17 ห้ามเข้าเด็ดขาด ไม่ได้ยินรึยังไง!” ทหารอีกคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงหนักแน่น “พวกเราควรมีหลุมให้หลบภัยซิครับ” ผมพูดพลางดันฮันจีให้ไปอยู่ด้านหลังผม “แต่...ที่นี่ไม่มีหลุมหลบภัยให้พวกเธออีกต่อไป” ผมหันหลังกลับแล้วเดินขึ้นไปบนทางเท้าอีกครั้งแม็กกับฮันจีก็เช่นกัน พวกคนแล้งน้ำใจ บึ้ม! ผมหันกลับไปมองจุดตรวจคนเข้าเมืองนั่น เปลวไฟพุ่งออกมาอย่างร้อนแรงทำให้ผมรู้ว่านั่นมันผิดปกติแล้ว “ไป...ไปซิเร็วเข้า รีบไป วิ่งเลยวิ่ง!” ผมพูดพลางผลักแม็กกับฮันจีให้ออกวิ่งอีกครั้ง พวกผมวิ่งลงที่ปลายทางที่ไร้ผู้คนที่นี่เงียบสงัด ท้องฟ้าก็ยังมืดสนิทอยู่ ผมแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน?...ผมได้ยินเสียงหลอดไฟสาธารณะที่ติดๆ ดับๆ อยู่บนหัว ถึงแสงไฟนั้นจะเป็นแสงไฟที่กระพริบติดๆ ดับๆ แต่มันก็ทำให้ผมเห็นพื้นหญ้า...และสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ตรงหน้าของผมได้ บัดนี้ผมมาหยุดยืนอยู่ที่ใจกลาง ZONE 16

        

        ZONE 16 จะมีลักษณะพิเศษและแตกต่างไปจาก ZONE อื่นๆ ตรงที่ตึกหรือบ้านคนและโรงเรียนทั้งหมดใน ZONE 16 จะถูกสร้างแยกออกจากใจกลาง ZONE เพราะฉะนั้นใจกลาง ZONE จึงเปรียบเสมือนสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่มีทางเท้าและถนนเชื่อมโยงออกไปยังชานเมืองที่ถูกแบ่งออกเป็นถนนสามเส้นใหญ่ๆ คือ R.82 เขตตึกสูงของรัฐบาลและศูนย์กลางทางการค้าของ ZONE 16 R.83 เขตบ้านคนและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และถนนเส้นสุดท้าย R.84 เขตโรงเรียน มหาวิทยาลัยและการศึกษาทั้งหมด มันจึงแปลกแยกและแตกต่างจาก ZONE อื่นๆ โดยสิ้นเชิงเพราะที่ ZONE อื่น ตึกรามบ้านช่องและอาคารของรัฐบาลหรือสถานที่อื่นๆ จะเป็นเพียงเสาแก้วขนาดใหญ่ที่ถูกแทงขึ้นมาจากพื้นสมุทร แล้วมีโดมแก้วลักษณะแตกต่างกันออกไปอยู่บนยอดหรือไม่ก็ถูกวางซ้อนๆ กันเป็นชั้นๆ แล้วแต่วิศวกรจะออกแบบเท่านั้น



        ผมเดินนำหน้าทุกคนไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้แก้วใสข้างเสาไฟ... ”แม็กฉันว่าแกนอนหน่อยดีกว่าน่ะ” ผมพูดพลางดึงแม็กลงมานั่งข้างผม “ฮันจีก็ด้วย เดี๋ยวฉัน...ดูให้ พวกมันคงผ่านตรงนี้ไปแล้ว” เพราะผมสังเกตเห็นเสาไฟบางต้นที่หักล้มแล้วก็เก้าอี้บางตัวที่ละลาย พื้นหญ้าก็ดูเหมือนจะถูกเผาไหม้ไปบ้างบางส่วน ที่นี่นะหรอ...ที่เคยเป็นที่ๆ สมบูรณ์ที่สุดในโลก ที่นี่นะหรอ...ที่เป็นที่ๆ พวกผมอยากจะมากันมากที่สุด ผมลุกให้ฮันจีนั่ง แล้วฮันจีก็นั่งลงอย่างเหนื่อยล้าจากการวิ่งเมื่อกี้ และทันทีที่เธอวางศีรษะของเธอลงบนหัวไหล่ข้างซ้ายของแม็ก ผมก็เชื่อว่าเธอหลับสนิทในทันที



        เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง วี่แววที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น...ผมยังไม่เห็น ที่นี่เงียบมากเงียบซะจนผมคิดว่าที่นี่อาจจะมีแค่พวกเราสามคน ผมจึงค่อยๆ วางใจ แล้วก็ค่อยๆ หลับตาลง แต่...อยู่ดีๆ ท้องฟ้าเหนือหัวผมก็กลายเป็นสีแดงฉาน ผมลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้แล้วลุกขึ้นยืน “ตื่น! ตื่นซิ เฮ้ย! เร็วเราต้องไปกันแล้ว ที่นี่ไม่ปลอดภัยลุกเร็ว” ผมเขย่าตัวของเขาทั้งสองคนอย่างแรง แต่เป็นแม็กคนเดียวเท่านั้นที่ลุกขึ้นยืน ฮันจี...กลับเอสแต่นอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้แก้วใสตัวนั้น...ผมเห็นอาการหอบของเธอ ผมจึงรีบเอาหลังมือของผมไปวางบนหน้าผากของเธอ



        “บ้าชิบ!” ผมพูดขึ้นพลางมองลูกไฟที่ขยับใกล้เข้ามาในเขต ZONE16 R.81



        “พวกนายไปเหอะ...” ฮันจีพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เรา...ไม่อยากเป็นตัวถ่วง” ฮันจีฝืนยิ้มกว้างให้ผม



        “ไม่พวกเราต้องไปด้วยกัน” ว่าแล้วผมก็รีบอุ้มฮันจีขึ้นแล้วเริ่มออกวิ่ง ผมวิ่งตามแม็กไป... แต่แม็กหายไปไหนไม่รู้ แต่ผมก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้าต่อไปไม่หยุด แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...





    ปล.1

    วาดรูปนาฬิกาของพระเอกเล่นๆ ตอนอยู่ในห้องเรียน อ่าสนุกดีจัง

    แต่เสียดาย...สแกรนลงเครื่องไม่ได้ ไอเครื่องสแกรนบ้า TTOTT

    แล้วเดี๋ยวจะว่า ZONE 16 เล่นๆ มาให้ดู แต่...ต้องดูเครื่องสแกรนก่อน

    งิงิ



    ปล.2

    ขอบคุณน้า สำหรับคนที่เข้ามาอ่านอ่า แต่ตอนนี้มันิ่งอย่างเดียวเลยแฮะ

    แต่งไปเรื่อยเปลื่อยไม่รู้หนุกเป่า -\"- แต่ถ้าไม่หนุกก็น่าเศร้า แต่ก็จาแต่ง

    ต่อปาย



    ปล.3

    รักคนอ่านน่ะจ้า งิงิ แล้วจะอัพต่อไปเรื่อยๆ รอนานหน่อยน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×