ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ESCAPE FROM DEATH OR DEATH -+:: รอดหรือตาย ::+- (3)
    ผมรีบลุกอย่างไม่รอช้าและรีบวิ่งเข้าไปในห้องควบคุม
    “เจค!” ผมตะโกนออกมาด้วยอาการตื่นกลัวสุดขีด “มีคน! มีคนอยู่ข้างบน ยังมีคนเหลืออยู่”
    “ไม่! ไม่มีเหลือแล้ว...” เจคพูดพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ผม ผมไม่รอช้าเถียงกลับไปทันที
    “ยังมีเหลือ พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเราต้องไปช่วย...พวกเราต้องไป...”
    “พูดอะไรบ้าๆ ถึงพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เราขึ้นไปช่วยพวกเขาแล้วเราจะทำอะไรได้ คิดว่าจะฆ่าไอพวกห่านั่นได้รึไง!” เจคเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม ผมเดินเข้าไปใกล้เจคขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าเจคจะเป็นคนแบบนี้
    “เราควรจะไปช่วยซิ เราควรจะทำแบบนั้นไม่ใช่หรอ” ผมพูดด้วยเสียงอันอ่อนแรง
    “ไม่...เราไม่ควรช่วยพวกเขา” เจคส่ายหัวช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้ง “เราไม่ควรทำแบบนั้น ไม่งั้นพวกเราทุกคนจะต้องตาย...พวกเราทุกคนจะโดนไอตัวห่านั่นฆ่า...”
    “คุณ...คุณ...คุณมันก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ทหารตรวจคนเข้าเมืองพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย! ผมจะไป! ส่งผมขึ้นไป ผมจะขึ้นไปเอายา ผมจะส่งยากลับมาให้ฮันจี แล้วผมก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง” ผมเดินออกจากห้องควบคุมช้าๆ และใช้ฝ่ามือข้างขวาเกาะขอบประตูเอาไว้ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาเบาๆ อีกครั้งอย่างสิ้นหวัง “แล้วคุณคิดว่า...อยู่ที่นี่แล้วพวกเราจะรอดงั้นหรอ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้ แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวตัวยาวสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวห้องนี้ ผมเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับขึ้นไปช่วยคน และส่งยาลงมาให้ฮันจีอีกครั้ง
    “ไปไหน!” เสียงที่ฟังดูหนักแน่นพูดดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันกลับไปแล้วก็พบร่างอันอ่อนแรงของอเล็กซ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขากำลังใช้มือข้างขวาจับแผลกว้างที่แขนข้างซ้ายของตัวเองอยู่
    “ขึ้นไปข้างบน” ผมพูดด้วยเสียงอันราบเรียบโดยไม่มองหน้าเขาเลยซักนิด พร้อมกับหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาที่อเล็กซ์ส่งมาให้ผมเมื่อคราวก่อนออกมาจากกระเป๋า ผมสวมมันโดยไม่สนใจอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าเขาไม่เคยอยู่ด้านหลังของผมเลยด้วยซ้ำ
    “นายขึ้นไปไม่ได้!” เขาสั่งผม...ผมหันกลับไปพร้อมกับใบหน้าอันบึ้งตึง แล้วผมก็นั่งลงกับพื้นปูนสีขาว พร้อมๆ กับที่ผมหยิบถุงเท้าคู่หนาออกมาใส่ทีล่ะข้าง
   
    “คุณสั่งผมไม่ได้หรอก...ผมจะกลับขึ้นไปเอายาให้ฮันจี แล้วถ้าผมช่วยคนได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ผมส่งเสียงออกไปเป็นคำขาด แล้วกำปั้นของใครบางคนก็กระทบเข้ากับโหนกแก้มข้างซ้ายของผมเข้าอย่างจัง มันแรงซะจนทำให้ผมล้มลงไปนอนไม่เป็นท่ากองอยู่กับพื้น
    ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วไฟทุกดวงที่นี่ก็เปิดสว่างขึ้น ผมเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าบูทที่อยู่ในกระเป๋าอีกคู่ โดยไม่สนใจความเจ็บปวดจนชาที่โหนกแก้มข้างซ้าย ถึงอเล็กซ์จะต่อยผมตอนนี้แรงซักเท่าไหร่ ผมก็คงจะไม่คิดถึงเรื่องความเจ็บปวดถึงมันจะทำให้ผมเจ็บปวดซักแค่ไหนก็ตาม เรื่องที่ผมคิดถึงก็มีแค่เพียงว่า ผมจะต้องส่งยากลับลงมาให้ฮันจีให้ได้
    “นายจะไม่กลับมาอีก!...แล้วผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั่นล่ะ!” เขาชี้นิ้วไปที่เตียงนอน ผมคงไม่ต้องบอกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นใคร...ฮันจีกำลังนอนอยู่อย่างอ่อนเพลียและอ่อนแรง ดูเหมือนว่าเธอกำลังฟังเรื่องทั้งหมดอยู่นานแล้ว เธอได้ยินเรื่องที่ผมพูดกับอเล็กซ์ทั้งหมด “นายจะปล่อยเธอไว้แบบนี้หรอ” อเล็กซ์พูดต่อพลางลดนิ้วลงแล้วจ้องมองเข้ามาในนัยน์ตาของผม
    “ผมบอกว่าผมจะขึ้นไปเอายา...”
    “แต่นายบอกว่า นายจะไม่กลับมาอีก นายบอกแบบนั้น นายพูด!” อเล็กซ์เดินเข้ามาใกล้ผมซะจนผมต้องหลบตา ผมไม่กล้าสบตาเขา เหมือนว่าเขาจะรู้ทันผมไปหมดซะทุกเรื่องผมหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งเอมมีลี่ มอแกน จอร์นนี่ และรวมทั้งเพื่อนซี้ของผมแม็ก...ก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ทุกคนลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้ผม มองดูผมที่กำลังหลบตา...อเล็กซ์อยู่ เจคเดินออกมาจากห้องควบคุมและเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาเพื่อมองดูผมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
    “ผมจะขึ้นไปเอายา...” ผมนิ่งเงียบ และทุกอย่างที่นี่ก็เงียบลงตามเสียงของผมด้วย เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นและทำลายความเงียบทั้งหมดลง เสียงนั้นดังขึ้นมากจากเตียงนอนของคนที่ผมรัก มันคือเสียงสะอื้นไห้อันแผ่วเบา เธอกำลังร้องไห้อย่างลำบากใจ เธอกำลังร่ำไห้ให้ทุกคนและรวมทั้งตัวของเธอเองด้วย
    ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอและนั่งลงข้างเตียง ผมใช้นิ้วโป้งข้างขวาค่อยๆ ปาดน้ำตาที่อาบแก้มของเธอ แล้วผมก็ส่งยิ้มกว้างให้เธอ
    “ถ้ามันลำ...บาก...มาก...นัก...ก็...อย่า...เลย” เธอพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ และส่งยิ้มกว้างให้ผม เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งและเธอก็เริ่มหายใจติดขัดแล้วด้วย ผมคงต้องรีบแล้วล่ะ
    “ฉันจะขึ้นไปเอายาให้เธอ...รอที่นี่” ผมพูดและลุกขึ้นยืน
    “ไม่เอา...ไม่เอา...” เธอร้องบอกผม “อยู่...ด้วย...กัน ”
    “ไม่ได้ คงต้องไป แล้วจะกลับมา...สัญญา...” ผมเดินผ่านทุกคนไป แต่คนที่วิ่งตามผมมาก็คือแม็ก เขากระซิบถามผมเบาๆ ที่ข้างหู
    “ถ้าเกิดอะไรขึ้น...ที่นี่...ฉันจะไปหานาย...” เขาบอกผม ผมก็พยักหน้าแล้วผมก็พูดออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “โรงพยาบาลใน R.83 แกเช็คดูได้ในมือถือ” ผมบอกแม็ก แล้วแม็กก็พยักหน้ารับแรงๆ สองสามครั้ง แล้วผมก็เดินไปหน้า
ลิฟต์ “บอกผมด้วยว่าโรงพยาบาลที่ยังมีคนเหลืออยู่ มันอยู่ที่ไหน...ผมรู้ว่าคุณรู้น่ะเจค” ผมส่งเสียงออกไปอย่างเรียบๆ
    “ยังมีคนอยู่!” เสียงของอเล็กซ์ตะโกนดังขึ้นจนทำให้ผมตกใจ “ไหนแกบอกว่าไม่มี...ไหนแกบอกฉันแบบนั้น” เจคหลบตาอเล็กซ์ที่เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “โรงพยาบาลแอร์เรียวัน...” เขาบอกผมแล้วหลบสายตาคนทุกคนที่จ้องมาทางเขา
    ผมขยิบตาให้แม็กที่ส่งยิ้มกว้างและโบกไม้โบกมือให้ผม ลิฟต์แก้วใสที่อยู่เบื้องหลังของผม เปิดประตูอ้าออกผมก้าวเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่ลังเลพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่สะพานอยู่ข้างหลัง ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในลิฟต์...ความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในตัวของผมเอง...ความหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนั้นมันเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมคงจะหันหลังกลับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจะต้องเดินต่อไปข้างหน้าและเอายากลับมารักษาฮันจีให้หายให้ได้
    ผมเกี่ยวโทรศัพท์ของผมไว้ที่หูข้างขวา ผมเปิดโทรศัพท์ของผมไว้ตลอดเวลาเผื่อว่าจะมีใครติดต่อมาหาผม ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง และในทันทีที่ประตูลิฟต์แก้วใสเปิดอ้าออก ความหนาวเย็นสุดขั้วที่ผมไม่อาจลืมได้ในครั้งแรกที่ผมขึ้นมา ก็ทำให้ผมหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวอีกครั้งในครานี้ โชคดีที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีแดงอยู่เหมือนครั้งแรกที่ผมขึ้นมา หิมะหยุดตกแต่ลมแรงกว่าปกติเป็นสองหรือไม่ก็สามเท่าเห็นจะได้
    ผมรีบเดินหาโรงพยาบาลที่ว่านั้นให้เจอ ผมภาวนาเพียงว่าอย่าให้พวกมันเข้าไปเจอคนพวกนั้นก่อนผมเลย ระหว่างที่ผมเดินใจลอยอยู่นั้น ผมก็รู้สึกถึงแสงสีแดงคล้ายเปลวเพลิงที่สว่างจ้าขึ้นจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปดูโดยอัตโนมัติ ลูกไฟก้อนมหึมาสองลูกกำลังดิ่งตกลงมาจากฟากฟ้าคล้ายดาวตก ผมไม่สนใจลูกไฟก้อนโตที่กำลังตกลงมาซักเท่าไหร่ แต่...ผมสนใจที่ว่ามันกำลังจะตกลงมาหาผม
    ผมคิดว่าถ้าผมไม่วิ่งออกไปตอนนี้ผมคงจะต้องถูกเผาตายคาลูกไฟบ้านั่นแน่ๆ มันตกลงมาเร็วมากซะจนผมต้องออกแรงวิ่งสุดแรงเกิด รองเท้าที่หนักอึ้ง เสื้อผ้าตัวหนา และกระเป๋าเป้ที่ผมเป็นคนซื้อมาเอง ของพวกนั้นมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมเลยซักนิดในตอนนี้ มันกลับเป็นตัวถ่วงชั้นดีที่ทำให้ผมอาจจะต้องตาย ผมโยนกระเป๋าเป้ทิ้งลงบนพื้นหิมะที่ทับถมกัน ผมถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกแล้วนำแขนของเสื้อกันหนวดคาดไว้ที่เอว
    ลูกไฟลูกมหึมาเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมด้วยความเร็วที่ผมไม่อาจคาดเดาได้ แต่ที่รู้ๆ ลูกไฟลูกนั้นกำลังจะตกลงมาทับตัวของผม ผมเร่งฝีเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก แต่ผมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็น...ไอตัวห่านั่นที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า และมันชูสิ่งที่อยู่ในมือข้างขวาขึ้นอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นผม
    วี๊ดดดดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นอีกครั้งตรงหน้า แต่ในเสี้ยววินาทีที่ผมหันกลับไปมองลูกไฟเพื่อตัดสินใจ แสงที่ฟ้าก็พุ่งเข้ามาใส่ผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ฟึม! ผมโดนแสงนั้นเข้าอย่างจังที่ใบหูข้างขวา ผมล้มลงกลิ้งไปมาบนพื้นหิมะด้วยความเจ็บปวดที่ใบหู เลือดจากใบหูของผมซึมลงไปบนพื้นหิมะเล็กน้อย มันเล็งพลาดแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บปวดปางตาย ผมรีบลุกขึ้นยืนและออกตัววิ่ง ผมใช้มือข้างขวาคลำไปที่หูข้างขวาที่ผมโดนยิง...แต่มีบางสิ่งที่หายไป โทรศัพท์ของผมหายไป...พระเจ้า! มันไม่ได้ยิงพลาดแต่มันตั้งใจ มันตั้งใจยิงเครื่องติดต่อสื่อสาร มันรู้ได้ไง มันรู้ได้ยังไง
    ผมออกวิ่งไปขณะที่ครุ่นคิดเรื่องที่ว่า... มันมีสมองด้วยงั้นหรอ แต่...พอผมเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าอีกที มันก็คือโรงพยาบาลแอร์เรียวัน ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปทันที
    “เฮ้! มีใครอยู่บ้างมั้ย?” ตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้นหนึ่งแต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว มันน่าจะเป็นที่นี่ซิ แต่ทำไม...ถึงไม่มีคนเลยล่ะ
    ตลอดทางเดินสองข้างทางต่างมืดมิดเพราะไม่มีหน้าต่าง... แสงสีแดงจากด้านนอกจึงส่องเข้ามาไม่ถึง ซวยชะมัด! ชิส์! ผมหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเลื่อนที่มันควรจะเคลื่อนที่...แต่มันกลับหยุดนิ่ง ที่นี่ไฟถูกตัดงั้นหรอ ผมครุ่นคิดแล้วเดินขึ้นบันไดไป ผมก้าวขาขึ้นบันไดไปที่ล่ะข้าง...ผ่านชั้นที่สอง และกำลังจะก้าวขาขึ้นไปยังชั้นสาม
    เพล้ง! ผมเดินถอยหลังหันกลับมองดู ผมหยุดตัวเองไว้ตรงที่พักระหว่างชั้นสองและชั้นสาม แล้วผมก็มองตรงไปยังทางเดินที่มืดมิดอย่างสงสัยว่านั่นคือเสียงอะไร เสียงนั่นมันคล้ายกับแก้วหรืออะไรซักอย่างแตก...และมันก็ดังมาจากชั้นสอง ผมเดินถอยหลังลงบันไดมา แล้วเดินตรงไปตามทางเดินที่เงียบสงัดของชั้นสอง ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น เว้นเสียแต่...เสียงฝีเท้าของผมที่สาวเท้าก้าวยาวอย่างเป็นจังหวะเท่านั้น
    ที่นี่มันเงียบจริงๆ มันเงียบมากซะจนผมขนลุก ผมเดินตรงไปเรื่อยๆ แล้วเสียง เพล้ง! ก็ดังขึ้นอีกครั้งจากห้องที่ผมพึ่งเดินผ่านไป ผมหยุดชะงักแล้วหันหลังเดินกลับไปดู ผมมองผ่านกระจกแก้วใสเข้าไปในห้องอะไรซักอย่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านั่นมันคือห้องอะไร ผมใช้หน้าของผมอังเข้าไปใกล้กระจกใสมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมแทบอ้วก
    ไส้ที่กองอยู่บนพื้นในห้องเล็กๆ ห้องนั้น เลือดและกลิ่นคาวที่โชยออกมาเตะจมูกผม มันไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนาเลยซักนิดเดียว พวกมันมาถึงก่อนผมอย่างงั้นหรอ! ผมมาช้าเกินไป! ลูกหลานของพวกมันที่ผมกับอเล็กซ์เจอเมื่อคราวก่อน...กำลังเขมือบร่างของใครคนหนึ่งที่นอนกองแน่นิ่งอยู่กับพื้น ผมกลั้นอ้วกของผมเอาไว้โดยใช้มือ ปิดปากของตัวเองเอาไว้แน่น
    “ช่วยด้วย...ช่วยลู...สะ...” ชายที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเอ่ยปากบอกผม และมองผมผ่านกระจกแก้วใส เขาพยายามจะยกแขนขึ้นเมื่อเห็นผม แต่แขนข้างขวาของเขาก็ตกลงสู่พื้นทันที ทั้งที่เขายังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ
    พวกมันค่อยๆ เหลือบตามองมาทางผมช้าๆ ฝันร้ายที่ผมไม่อยากให้มันเป็นจริง...ก็เกิดขึ้นตรงหน้าของผมอีกครั้ง ผมทะเล่อทะล่าวิ่งถอยหลังไปจนสุดแรงเกิดอย่างไม่รู้ตัว เพราะความหวาดกลัวที่แล่นผ่านเข้ามาในสมองของผม... ผมหยุดตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...ผมหวังเพียงว่ากำแพงจะช่วยดันร่างของผมให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ แต่ผิดคาด! ผมกลับวิ่งถอยหลังไปชนเข้ากับประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องที่ทายาทซึ่งน่าขยักแขยงกำลังกัดแทะร่างของคนอยู่เข้าอย่างจัง และซ้ำร้ายที่ประตูบานนั้นมันไม่ได้ล็อค ร่างของผมจึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่าอยู่ในห้องๆ นั้น ปัง! นั่นคือเสียงของประตูที่กระแทกเข้ากับฝาผนังในห้องที่ผมกำลังนอนไม่เป็นท่าอยู่ตอนนี้
    คงเพราะแรงกระแทกที่หนักหนาเอาการ หลังของผมถึงได้เจ็บปวดมากมายขนาดนี้ ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งได้อย่างยากลำบาก วี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ ผมหันกลับไปมองข้างหลัง ผมรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนทันที แต่มันไม่เป็นผล...ผมคงต้องตายยู่ที่นี่แล้วล่ะ ผมหลับตาปี๋เพราะไม่กล้ามองสิ่งที่จะเกิดกับผมในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้...
    “พี่คะ!” เสียงเรียกอันสดใสดังขึ้นมาจากด้านหลังของไอตัวห่านั่น ผมลืมตาขึ้นทันที แล้วผมก็พบร่างของหญิงสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าที่ถูกเปิดประตูออก
    ฟึม! ผมกลิ้งตัวหลบไปทางด้านขวา ผมหลบแสงนั่นได้ทันเวลาพอดี ผมมองไปยังที่ๆ ผมเคยนั่ง แล้วก็พบว่าพื้นตรงนั้นกลายเป็นร่องโหว่ยาวประมาณหนึ่งเมตร...โดยทันทีเมื่อกระทบเข้ากับแสงบ้านั่น ควันที่โพยพุ่งออกมาจากร่องโหว่นั้น ทำให้ผมรู้ทันทีว่าแสงนั่นมันร้อนขนาด...พอที่จะเผาผมจนเป็นจุลได้ภายในพริบตา ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง
    “นี่!!!! หลบเร็ว...มันอยู่ข้างหลัง!” สองตัว! ในห้องนี้มีไอตัวใหญ่อยู่ถึงสองตัว! ผมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่มันช้าเกินไป สิ่งที่อยู่ในมือขวาของพวกมันกำลังอังอยู่ที่หน้าของผมอีกครั้ง... มันเริ่มชาร์จพลัง วี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ ผมคงต้องแหลกเป็นจุลแน่ ผมหลบแสงที่สุดแสนจะแสบตานั่น...
    “พี่คะ...ช่วยด้วย พี่!!! อั่ก!!!” สาวน้อยส่งเสียงร้องดังออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เจิ่งนองเต็มไปด้วยน้ำตา ผมไม่สามารถช่วยเธอได้...ผมนี่มันแย่ชะมัด โง่งี่เง่าที่สุด บัดซบเอ้ย! “แค่ก แค่ก” เธอเริ่มส่งเสียงไอออกมา...เธอโดนบีบคอ ผมหรี่ตามองไปยังเธอที่กำลังถูกยกตัวขึ้นสูงจากพื้น “แค่ก แค่ก...” เธอพยายามจะหันหน้ามองผม “พะ...พี่ค่ะ” ผมหลบตาเธอทันทีเพราะผมไม่สามารถช่วยเธอได้ เสียง ‘วี๊ด’ ตรงหน้าผมหยุดลง
    “หลบซิโว้ย! ออต!” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของผม ผมยังคงหลับตาปี๋และไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาอีกเลย ฝากทุกคนด้วยน่ะอเล็กซ์คุณเป็นผู้นำที่ดี “บอกว่าให้หลบไง! ไอห่าลดปืนบ้านั้นลง” ฟึม!...เสียงนั้นเสียงที่ผมกลัวที่สุดในชีวิตดังขึ้นตรงหน้าห่างจากผมไปไม่กี่เซ็น ฝากทุกคนด้วย... แรงกระแทกอันมหาศาลของแสงนั้นโดนเข้ากับตัวของผมอย่างจัง ผมค่อยๆ ผมล้มตัวนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น และรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดมากมายที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
    “ออต! ไอสัดระยำเอ้ย!” อเล็กซ์ตะโกนดังขึ้น...แต่ภาพตรงหน้าของผมตอนนี้มันเลือนราง...เลือนรางซะจนผมแทบจะมองอะไรที่อยู่ตรงหน้าไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว...
ปล.1
อ่า...เอามาลงก่อนเลยตอนที่ 5 จะต้องทำงานต่อและ
งานท่วมหัวจนหัวฟูไปหมด นั่งทำงานเพาเวอร์พ้อย 50 หน้า
ปางตาย TT^TT
ปล.2
ครบแล้ว 100% ออตจะตายจริงๆ หรอเนี่ย O.O อู้!
จาตายม่ะน้างิงิ อิอิ
ปล.3
รักคนอ่านมากน่ะคร่า จุ๊บๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากมายค่ะที่เข้ามาอ่านง้า
    “เจค!” ผมตะโกนออกมาด้วยอาการตื่นกลัวสุดขีด “มีคน! มีคนอยู่ข้างบน ยังมีคนเหลืออยู่”
    “ไม่! ไม่มีเหลือแล้ว...” เจคพูดพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ผม ผมไม่รอช้าเถียงกลับไปทันที
    “ยังมีเหลือ พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเราต้องไปช่วย...พวกเราต้องไป...”
    “พูดอะไรบ้าๆ ถึงพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เราขึ้นไปช่วยพวกเขาแล้วเราจะทำอะไรได้ คิดว่าจะฆ่าไอพวกห่านั่นได้รึไง!” เจคเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม ผมเดินเข้าไปใกล้เจคขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าเจคจะเป็นคนแบบนี้
    “เราควรจะไปช่วยซิ เราควรจะทำแบบนั้นไม่ใช่หรอ” ผมพูดด้วยเสียงอันอ่อนแรง
    “ไม่...เราไม่ควรช่วยพวกเขา” เจคส่ายหัวช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้ง “เราไม่ควรทำแบบนั้น ไม่งั้นพวกเราทุกคนจะต้องตาย...พวกเราทุกคนจะโดนไอตัวห่านั่นฆ่า...”
    “คุณ...คุณ...คุณมันก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ทหารตรวจคนเข้าเมืองพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย! ผมจะไป! ส่งผมขึ้นไป ผมจะขึ้นไปเอายา ผมจะส่งยากลับมาให้ฮันจี แล้วผมก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง” ผมเดินออกจากห้องควบคุมช้าๆ และใช้ฝ่ามือข้างขวาเกาะขอบประตูเอาไว้ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาเบาๆ อีกครั้งอย่างสิ้นหวัง “แล้วคุณคิดว่า...อยู่ที่นี่แล้วพวกเราจะรอดงั้นหรอ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้ แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวตัวยาวสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวห้องนี้ ผมเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับขึ้นไปช่วยคน และส่งยาลงมาให้ฮันจีอีกครั้ง
    “ไปไหน!” เสียงที่ฟังดูหนักแน่นพูดดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันกลับไปแล้วก็พบร่างอันอ่อนแรงของอเล็กซ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขากำลังใช้มือข้างขวาจับแผลกว้างที่แขนข้างซ้ายของตัวเองอยู่
    “ขึ้นไปข้างบน” ผมพูดด้วยเสียงอันราบเรียบโดยไม่มองหน้าเขาเลยซักนิด พร้อมกับหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาที่อเล็กซ์ส่งมาให้ผมเมื่อคราวก่อนออกมาจากกระเป๋า ผมสวมมันโดยไม่สนใจอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าเขาไม่เคยอยู่ด้านหลังของผมเลยด้วยซ้ำ
    “นายขึ้นไปไม่ได้!” เขาสั่งผม...ผมหันกลับไปพร้อมกับใบหน้าอันบึ้งตึง แล้วผมก็นั่งลงกับพื้นปูนสีขาว พร้อมๆ กับที่ผมหยิบถุงเท้าคู่หนาออกมาใส่ทีล่ะข้าง
   
    “คุณสั่งผมไม่ได้หรอก...ผมจะกลับขึ้นไปเอายาให้ฮันจี แล้วถ้าผมช่วยคนได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ผมส่งเสียงออกไปเป็นคำขาด แล้วกำปั้นของใครบางคนก็กระทบเข้ากับโหนกแก้มข้างซ้ายของผมเข้าอย่างจัง มันแรงซะจนทำให้ผมล้มลงไปนอนไม่เป็นท่ากองอยู่กับพื้น
    ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วไฟทุกดวงที่นี่ก็เปิดสว่างขึ้น ผมเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าบูทที่อยู่ในกระเป๋าอีกคู่ โดยไม่สนใจความเจ็บปวดจนชาที่โหนกแก้มข้างซ้าย ถึงอเล็กซ์จะต่อยผมตอนนี้แรงซักเท่าไหร่ ผมก็คงจะไม่คิดถึงเรื่องความเจ็บปวดถึงมันจะทำให้ผมเจ็บปวดซักแค่ไหนก็ตาม เรื่องที่ผมคิดถึงก็มีแค่เพียงว่า ผมจะต้องส่งยากลับลงมาให้ฮันจีให้ได้
    “นายจะไม่กลับมาอีก!...แล้วผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั่นล่ะ!” เขาชี้นิ้วไปที่เตียงนอน ผมคงไม่ต้องบอกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นใคร...ฮันจีกำลังนอนอยู่อย่างอ่อนเพลียและอ่อนแรง ดูเหมือนว่าเธอกำลังฟังเรื่องทั้งหมดอยู่นานแล้ว เธอได้ยินเรื่องที่ผมพูดกับอเล็กซ์ทั้งหมด “นายจะปล่อยเธอไว้แบบนี้หรอ” อเล็กซ์พูดต่อพลางลดนิ้วลงแล้วจ้องมองเข้ามาในนัยน์ตาของผม
    “ผมบอกว่าผมจะขึ้นไปเอายา...”
    “แต่นายบอกว่า นายจะไม่กลับมาอีก นายบอกแบบนั้น นายพูด!” อเล็กซ์เดินเข้ามาใกล้ผมซะจนผมต้องหลบตา ผมไม่กล้าสบตาเขา เหมือนว่าเขาจะรู้ทันผมไปหมดซะทุกเรื่องผมหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งเอมมีลี่ มอแกน จอร์นนี่ และรวมทั้งเพื่อนซี้ของผมแม็ก...ก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ทุกคนลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้ผม มองดูผมที่กำลังหลบตา...อเล็กซ์อยู่ เจคเดินออกมาจากห้องควบคุมและเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาเพื่อมองดูผมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
    “ผมจะขึ้นไปเอายา...” ผมนิ่งเงียบ และทุกอย่างที่นี่ก็เงียบลงตามเสียงของผมด้วย เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นและทำลายความเงียบทั้งหมดลง เสียงนั้นดังขึ้นมากจากเตียงนอนของคนที่ผมรัก มันคือเสียงสะอื้นไห้อันแผ่วเบา เธอกำลังร้องไห้อย่างลำบากใจ เธอกำลังร่ำไห้ให้ทุกคนและรวมทั้งตัวของเธอเองด้วย
    ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอและนั่งลงข้างเตียง ผมใช้นิ้วโป้งข้างขวาค่อยๆ ปาดน้ำตาที่อาบแก้มของเธอ แล้วผมก็ส่งยิ้มกว้างให้เธอ
    “ถ้ามันลำ...บาก...มาก...นัก...ก็...อย่า...เลย” เธอพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ และส่งยิ้มกว้างให้ผม เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งและเธอก็เริ่มหายใจติดขัดแล้วด้วย ผมคงต้องรีบแล้วล่ะ
    “ฉันจะขึ้นไปเอายาให้เธอ...รอที่นี่” ผมพูดและลุกขึ้นยืน
    “ไม่เอา...ไม่เอา...” เธอร้องบอกผม “อยู่...ด้วย...กัน ”
    “ไม่ได้ คงต้องไป แล้วจะกลับมา...สัญญา...” ผมเดินผ่านทุกคนไป แต่คนที่วิ่งตามผมมาก็คือแม็ก เขากระซิบถามผมเบาๆ ที่ข้างหู
    “ถ้าเกิดอะไรขึ้น...ที่นี่...ฉันจะไปหานาย...” เขาบอกผม ผมก็พยักหน้าแล้วผมก็พูดออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “โรงพยาบาลใน R.83 แกเช็คดูได้ในมือถือ” ผมบอกแม็ก แล้วแม็กก็พยักหน้ารับแรงๆ สองสามครั้ง แล้วผมก็เดินไปหน้า
ลิฟต์ “บอกผมด้วยว่าโรงพยาบาลที่ยังมีคนเหลืออยู่ มันอยู่ที่ไหน...ผมรู้ว่าคุณรู้น่ะเจค” ผมส่งเสียงออกไปอย่างเรียบๆ
    “ยังมีคนอยู่!” เสียงของอเล็กซ์ตะโกนดังขึ้นจนทำให้ผมตกใจ “ไหนแกบอกว่าไม่มี...ไหนแกบอกฉันแบบนั้น” เจคหลบตาอเล็กซ์ที่เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “โรงพยาบาลแอร์เรียวัน...” เขาบอกผมแล้วหลบสายตาคนทุกคนที่จ้องมาทางเขา
    ผมขยิบตาให้แม็กที่ส่งยิ้มกว้างและโบกไม้โบกมือให้ผม ลิฟต์แก้วใสที่อยู่เบื้องหลังของผม เปิดประตูอ้าออกผมก้าวเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่ลังเลพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่สะพานอยู่ข้างหลัง ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในลิฟต์...ความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในตัวของผมเอง...ความหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนั้นมันเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมคงจะหันหลังกลับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจะต้องเดินต่อไปข้างหน้าและเอายากลับมารักษาฮันจีให้หายให้ได้
    ผมเกี่ยวโทรศัพท์ของผมไว้ที่หูข้างขวา ผมเปิดโทรศัพท์ของผมไว้ตลอดเวลาเผื่อว่าจะมีใครติดต่อมาหาผม ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง และในทันทีที่ประตูลิฟต์แก้วใสเปิดอ้าออก ความหนาวเย็นสุดขั้วที่ผมไม่อาจลืมได้ในครั้งแรกที่ผมขึ้นมา ก็ทำให้ผมหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวอีกครั้งในครานี้ โชคดีที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีแดงอยู่เหมือนครั้งแรกที่ผมขึ้นมา หิมะหยุดตกแต่ลมแรงกว่าปกติเป็นสองหรือไม่ก็สามเท่าเห็นจะได้
    ผมรีบเดินหาโรงพยาบาลที่ว่านั้นให้เจอ ผมภาวนาเพียงว่าอย่าให้พวกมันเข้าไปเจอคนพวกนั้นก่อนผมเลย ระหว่างที่ผมเดินใจลอยอยู่นั้น ผมก็รู้สึกถึงแสงสีแดงคล้ายเปลวเพลิงที่สว่างจ้าขึ้นจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปดูโดยอัตโนมัติ ลูกไฟก้อนมหึมาสองลูกกำลังดิ่งตกลงมาจากฟากฟ้าคล้ายดาวตก ผมไม่สนใจลูกไฟก้อนโตที่กำลังตกลงมาซักเท่าไหร่ แต่...ผมสนใจที่ว่ามันกำลังจะตกลงมาหาผม
    ผมคิดว่าถ้าผมไม่วิ่งออกไปตอนนี้ผมคงจะต้องถูกเผาตายคาลูกไฟบ้านั่นแน่ๆ มันตกลงมาเร็วมากซะจนผมต้องออกแรงวิ่งสุดแรงเกิด รองเท้าที่หนักอึ้ง เสื้อผ้าตัวหนา และกระเป๋าเป้ที่ผมเป็นคนซื้อมาเอง ของพวกนั้นมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมเลยซักนิดในตอนนี้ มันกลับเป็นตัวถ่วงชั้นดีที่ทำให้ผมอาจจะต้องตาย ผมโยนกระเป๋าเป้ทิ้งลงบนพื้นหิมะที่ทับถมกัน ผมถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกแล้วนำแขนของเสื้อกันหนวดคาดไว้ที่เอว
    ลูกไฟลูกมหึมาเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมด้วยความเร็วที่ผมไม่อาจคาดเดาได้ แต่ที่รู้ๆ ลูกไฟลูกนั้นกำลังจะตกลงมาทับตัวของผม ผมเร่งฝีเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก แต่ผมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็น...ไอตัวห่านั่นที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า และมันชูสิ่งที่อยู่ในมือข้างขวาขึ้นอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นผม
    วี๊ดดดดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นอีกครั้งตรงหน้า แต่ในเสี้ยววินาทีที่ผมหันกลับไปมองลูกไฟเพื่อตัดสินใจ แสงที่ฟ้าก็พุ่งเข้ามาใส่ผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ฟึม! ผมโดนแสงนั้นเข้าอย่างจังที่ใบหูข้างขวา ผมล้มลงกลิ้งไปมาบนพื้นหิมะด้วยความเจ็บปวดที่ใบหู เลือดจากใบหูของผมซึมลงไปบนพื้นหิมะเล็กน้อย มันเล็งพลาดแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บปวดปางตาย ผมรีบลุกขึ้นยืนและออกตัววิ่ง ผมใช้มือข้างขวาคลำไปที่หูข้างขวาที่ผมโดนยิง...แต่มีบางสิ่งที่หายไป โทรศัพท์ของผมหายไป...พระเจ้า! มันไม่ได้ยิงพลาดแต่มันตั้งใจ มันตั้งใจยิงเครื่องติดต่อสื่อสาร มันรู้ได้ไง มันรู้ได้ยังไง
    ผมออกวิ่งไปขณะที่ครุ่นคิดเรื่องที่ว่า... มันมีสมองด้วยงั้นหรอ แต่...พอผมเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าอีกที มันก็คือโรงพยาบาลแอร์เรียวัน ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปทันที
    “เฮ้! มีใครอยู่บ้างมั้ย?” ตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้นหนึ่งแต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว มันน่าจะเป็นที่นี่ซิ แต่ทำไม...ถึงไม่มีคนเลยล่ะ
    ตลอดทางเดินสองข้างทางต่างมืดมิดเพราะไม่มีหน้าต่าง... แสงสีแดงจากด้านนอกจึงส่องเข้ามาไม่ถึง ซวยชะมัด! ชิส์! ผมหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเลื่อนที่มันควรจะเคลื่อนที่...แต่มันกลับหยุดนิ่ง ที่นี่ไฟถูกตัดงั้นหรอ ผมครุ่นคิดแล้วเดินขึ้นบันไดไป ผมก้าวขาขึ้นบันไดไปที่ล่ะข้าง...ผ่านชั้นที่สอง และกำลังจะก้าวขาขึ้นไปยังชั้นสาม
    เพล้ง! ผมเดินถอยหลังหันกลับมองดู ผมหยุดตัวเองไว้ตรงที่พักระหว่างชั้นสองและชั้นสาม แล้วผมก็มองตรงไปยังทางเดินที่มืดมิดอย่างสงสัยว่านั่นคือเสียงอะไร เสียงนั่นมันคล้ายกับแก้วหรืออะไรซักอย่างแตก...และมันก็ดังมาจากชั้นสอง ผมเดินถอยหลังลงบันไดมา แล้วเดินตรงไปตามทางเดินที่เงียบสงัดของชั้นสอง ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น เว้นเสียแต่...เสียงฝีเท้าของผมที่สาวเท้าก้าวยาวอย่างเป็นจังหวะเท่านั้น
    ที่นี่มันเงียบจริงๆ มันเงียบมากซะจนผมขนลุก ผมเดินตรงไปเรื่อยๆ แล้วเสียง เพล้ง! ก็ดังขึ้นอีกครั้งจากห้องที่ผมพึ่งเดินผ่านไป ผมหยุดชะงักแล้วหันหลังเดินกลับไปดู ผมมองผ่านกระจกแก้วใสเข้าไปในห้องอะไรซักอย่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านั่นมันคือห้องอะไร ผมใช้หน้าของผมอังเข้าไปใกล้กระจกใสมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมแทบอ้วก
    ไส้ที่กองอยู่บนพื้นในห้องเล็กๆ ห้องนั้น เลือดและกลิ่นคาวที่โชยออกมาเตะจมูกผม มันไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนาเลยซักนิดเดียว พวกมันมาถึงก่อนผมอย่างงั้นหรอ! ผมมาช้าเกินไป! ลูกหลานของพวกมันที่ผมกับอเล็กซ์เจอเมื่อคราวก่อน...กำลังเขมือบร่างของใครคนหนึ่งที่นอนกองแน่นิ่งอยู่กับพื้น ผมกลั้นอ้วกของผมเอาไว้โดยใช้มือ ปิดปากของตัวเองเอาไว้แน่น
    “ช่วยด้วย...ช่วยลู...สะ...” ชายที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเอ่ยปากบอกผม และมองผมผ่านกระจกแก้วใส เขาพยายามจะยกแขนขึ้นเมื่อเห็นผม แต่แขนข้างขวาของเขาก็ตกลงสู่พื้นทันที ทั้งที่เขายังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ
    พวกมันค่อยๆ เหลือบตามองมาทางผมช้าๆ ฝันร้ายที่ผมไม่อยากให้มันเป็นจริง...ก็เกิดขึ้นตรงหน้าของผมอีกครั้ง ผมทะเล่อทะล่าวิ่งถอยหลังไปจนสุดแรงเกิดอย่างไม่รู้ตัว เพราะความหวาดกลัวที่แล่นผ่านเข้ามาในสมองของผม... ผมหยุดตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...ผมหวังเพียงว่ากำแพงจะช่วยดันร่างของผมให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ แต่ผิดคาด! ผมกลับวิ่งถอยหลังไปชนเข้ากับประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องที่ทายาทซึ่งน่าขยักแขยงกำลังกัดแทะร่างของคนอยู่เข้าอย่างจัง และซ้ำร้ายที่ประตูบานนั้นมันไม่ได้ล็อค ร่างของผมจึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่าอยู่ในห้องๆ นั้น ปัง! นั่นคือเสียงของประตูที่กระแทกเข้ากับฝาผนังในห้องที่ผมกำลังนอนไม่เป็นท่าอยู่ตอนนี้
    คงเพราะแรงกระแทกที่หนักหนาเอาการ หลังของผมถึงได้เจ็บปวดมากมายขนาดนี้ ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งได้อย่างยากลำบาก วี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ ผมหันกลับไปมองข้างหลัง ผมรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนทันที แต่มันไม่เป็นผล...ผมคงต้องตายยู่ที่นี่แล้วล่ะ ผมหลับตาปี๋เพราะไม่กล้ามองสิ่งที่จะเกิดกับผมในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้...
    “พี่คะ!” เสียงเรียกอันสดใสดังขึ้นมาจากด้านหลังของไอตัวห่านั่น ผมลืมตาขึ้นทันที แล้วผมก็พบร่างของหญิงสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าที่ถูกเปิดประตูออก
    ฟึม! ผมกลิ้งตัวหลบไปทางด้านขวา ผมหลบแสงนั่นได้ทันเวลาพอดี ผมมองไปยังที่ๆ ผมเคยนั่ง แล้วก็พบว่าพื้นตรงนั้นกลายเป็นร่องโหว่ยาวประมาณหนึ่งเมตร...โดยทันทีเมื่อกระทบเข้ากับแสงบ้านั่น ควันที่โพยพุ่งออกมาจากร่องโหว่นั้น ทำให้ผมรู้ทันทีว่าแสงนั่นมันร้อนขนาด...พอที่จะเผาผมจนเป็นจุลได้ภายในพริบตา ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง
    “นี่!!!! หลบเร็ว...มันอยู่ข้างหลัง!” สองตัว! ในห้องนี้มีไอตัวใหญ่อยู่ถึงสองตัว! ผมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่มันช้าเกินไป สิ่งที่อยู่ในมือขวาของพวกมันกำลังอังอยู่ที่หน้าของผมอีกครั้ง... มันเริ่มชาร์จพลัง วี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~~~~~~ ผมคงต้องแหลกเป็นจุลแน่ ผมหลบแสงที่สุดแสนจะแสบตานั่น...
    “พี่คะ...ช่วยด้วย พี่!!! อั่ก!!!” สาวน้อยส่งเสียงร้องดังออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เจิ่งนองเต็มไปด้วยน้ำตา ผมไม่สามารถช่วยเธอได้...ผมนี่มันแย่ชะมัด โง่งี่เง่าที่สุด บัดซบเอ้ย! “แค่ก แค่ก” เธอเริ่มส่งเสียงไอออกมา...เธอโดนบีบคอ ผมหรี่ตามองไปยังเธอที่กำลังถูกยกตัวขึ้นสูงจากพื้น “แค่ก แค่ก...” เธอพยายามจะหันหน้ามองผม “พะ...พี่ค่ะ” ผมหลบตาเธอทันทีเพราะผมไม่สามารถช่วยเธอได้ เสียง ‘วี๊ด’ ตรงหน้าผมหยุดลง
    “หลบซิโว้ย! ออต!” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของผม ผมยังคงหลับตาปี๋และไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาอีกเลย ฝากทุกคนด้วยน่ะอเล็กซ์คุณเป็นผู้นำที่ดี “บอกว่าให้หลบไง! ไอห่าลดปืนบ้านั้นลง” ฟึม!...เสียงนั้นเสียงที่ผมกลัวที่สุดในชีวิตดังขึ้นตรงหน้าห่างจากผมไปไม่กี่เซ็น ฝากทุกคนด้วย... แรงกระแทกอันมหาศาลของแสงนั้นโดนเข้ากับตัวของผมอย่างจัง ผมค่อยๆ ผมล้มตัวนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น และรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดมากมายที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
    “ออต! ไอสัดระยำเอ้ย!” อเล็กซ์ตะโกนดังขึ้น...แต่ภาพตรงหน้าของผมตอนนี้มันเลือนราง...เลือนรางซะจนผมแทบจะมองอะไรที่อยู่ตรงหน้าไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว...
ปล.1
อ่า...เอามาลงก่อนเลยตอนที่ 5 จะต้องทำงานต่อและ
งานท่วมหัวจนหัวฟูไปหมด นั่งทำงานเพาเวอร์พ้อย 50 หน้า
ปางตาย TT^TT
ปล.2
ครบแล้ว 100% ออตจะตายจริงๆ หรอเนี่ย O.O อู้!
จาตายม่ะน้างิงิ อิอิ
ปล.3
รักคนอ่านมากน่ะคร่า จุ๊บๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากมายค่ะที่เข้ามาอ่านง้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น