ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ESCAPE FROM DEATH OR DEATH -+:: รอดหรือตาย ::+-
    ซวบ~ ผมหล่นลงไปในท่อแก้วโปร่งใสขนาดใหญ่และยาว มีของแบบนี้อยู่ใต้ดินด้วยหรอเนี่ย ฮันจียังคงแนบศีรษะของเธอไว้บนหน้าอกของผม และตัวของผมกับฮันจีก็ยังคงไหลลงไปในท่อนั้นเรื่อยๆ ไม่หยุด นานเกือบสิบนาทีที่ผมอยู่ในท่อโปร่งใส...ผมเห็นแสงสีขาวที่สว่างลอดออกมาจากปลายสุดของท่อ ผมคิดหาท่าลงเพื่อที่จะบรรเทาความเจ็บที่ฮันจีต้องได้รับพร้อมๆ กับผม แต่ผมยังไม่ทันได้คิดอะไรออกเลยด้วยซ้ำ ก้นของผมก็กระแทกเข้ากับพื้นปูนสีขาวสะอาดในห้องสี่เหลียมแคบๆ ห้องนั้น ที่ดูเหมือนว่ามันจะถูกแบ่งออกมาเป็นห้าห้องเล็กๆ ที่ไม่มีประตู อั๊ก! ผมรู้สึกเจ็บที่ก้นกบเล็กน้อย แต่พอผมเงยหน้าขึ้นสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้อาการเจ็บของผมหายเป็นปลิดทิ้ง
   
    “แม็ก!” ผมมองแม็กที่ยืนหันหลังให้ผม ฮันจีค่อยๆ พยุงตัวเองให้นั่งขึ้น ส่วนผมก็เดินตรงไปหาแม็ก “นั่นใคร?” ผมกระซิบถามแม็กที่ข้างหู
    “ไม่รู้...” แม็กตอบผมด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “ดีน่ะที่รอดกันมาได้ ถ้าพวกฉันไม่ช่วย...พวกเธอสามคนคงตายกันไปแล้ว” ผู้ชายอายุราวยี่สิบแปดที่มีนัยน์ตาสีเทาพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้ผม “นั่งซิ อุ้มผู้หญิงคนนั้นขึ้น แล้วให้เขาไปนอนบนเตียงนั่น” ผู้ชายคนเดิมสั่งผม ผมเลยรีบเดิมกลับไปหาฮันจีแล้วพยายามจะอุ้มเธอขึ้น แต่ฮันจีส่ายหน้าแล้วเธอก็ค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่บนเตียงที่ชายนัยน์ตาสีเทาชี้ “นอนลงไปเลย” เขายิ้มกว้างให้ฮันจีเหมือนกับที่ยิ้มให้กับพวกผม “เอมมีลี่ เอายามาซิ้มีเด็กไม่สบาย” แล้วผู้หญิงคนนึงก็โผล่หน้าออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกห้องหนึ่ง
    “พวกคุณอยู่กันกี่คน” ผมถามชายคนนั้น แล้วผมก็จ้องไปที่นัยน์ตาคู่นั้นของเขาจนผมเห็นตัวเองที่กำลังนั่งอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่งของโต๊ะในนัยน์ตาของเขา
    “ห้าคน” เขาตอบพลางหยิบบุหรี่ขึ้นและพยายามจะจุดมัน ผมจึงดึงบุหรี่ออกจากปากของเขาทันที
    “ผมไม่ชอบ” ผมพูดแล้วขยำบุหรี่ในมือทิ้งลงบนโต๊ะ
    “กี่ปีถึงจะสร้างที่นี่เสร็จ สามปี สี่ปี หรือว่าห้าปี” แม็กถามชายคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม พลางเอามือลูบไล้ไปบนกำแพงปูนสีขาว “ปูนนี่...เลิกผลิตไปตั้งแต่ ค.ศ.2897 คุณเอาปูนพวกนี้มาจากไหน”
    “สร้างมาห้าปี...รู้แค่นั้นพอ” แล้วเขาก็หยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมา ผมจึงคว้าบุหรี่ที่อยู่ในปากของเขามาอยู่ในมือของผมอีกครั้ง “ผมบอกว่าผมไม่ชอบ” ผมทำการขยำบุหรี่ยี่ห้อนั้นอีกครั้ง “โธ่! ไอเด็กห่านี่! อยากตายนักใช่มั้ย ห๊ะ!” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแรงทำให้เก้าอี้ตัวที่เขานั่งหงายหลังลงไป แล้วเขาก็ยื่นมือข้างขวาออกมาก่อนที่จะคว้าคอเสื้อกันหนาวของผมไว้แล้วยกตัวของผมสูงขึ้นจากพื้น แต่...ผมก็ยังคงทำหน้าเรียบเฉยแล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของชายผู้ที่มีนัยน์ตาสีเทา
    “อเล็กซ์! ปล่อยเด็กคนนั้นลงเดี๋ยวนี้!” เสียงผู้หญิง! ที่นี่มีผู้หญิงอยู่ถึงสองคนเชียวหรอ “ไอนี่มันน่าฆ่านัก” เขาพูดแล้วเขย่าคอเสื้อของผมอย่างแรงก่อนจะโยนผมลงพื้นไปอย่างไม่ใยดี
    “เจ็บตรงไหนมั้ย” ผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลังคนนั้นวิ่งมาหาผม เพื่อถามอาการของผม ผมจึงตอบเธอกลับไปโดยไม่ใช้คำพูดแต่เป็นการส่ายๆ ช้าๆ แทน “ดีแล้ว” เธอยิ้มให้ผมแล้วเดินตรงไปหาชายนัยน์ตาสีเทาที่ชื่ออเล็กซ์ “อเล็กซ์มองหน้าฉัน จ้องตาฉัน นายเป็นคนบอกเองว่าให้พาพวกเขาลงมา...แล้วทำไมถึงทำกับพวกเขาแบบนี้”
   
    ทุกอย่างเงียบกริบ อเล็กซ์ไม่ตอบ ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาอเล็กซ์ช้าๆ “ขอโทษทีที่อวดดีไปหน่อย” ผมกล่าวคำขอโทษแล้วเดินจากอเล็กซ์ไป ก่อนที่จะหยุดอยู่ข้างเตียงที่ฮันจีกำลังนอนอยู่ เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างที่ด้านบน และผมก็ยังไม่เห็นสมาชิกที่อยู่ที่นี่อีกสองคนเช่นกัน
   
    “ที่นี่มีห้องน้ำมั้ย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง “ติดกับห้องครัวเลี้ยวซ้าย” อเล็กซ์พูดขึ้นเบาๆ ผมเดินไปตามทางที่อเล็กซ์บอก แล้วผมก็มาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ที่นี่ดูไม่ทันสมัยเอาซะเลยอย่างกับเมื่อสองสามร้อยปีก่อนอย่างงั้นแหละ “ออตเต้ เนรมิดวงษ์ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย อายุสิบแปดปี เรียนอยู่เกรดสิบสอง โรงเรียนชื่อดังใน ZONE 17 R.49 พ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า” ผมหันกลับไปมองเสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูห้องน้ำ แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออเล็กซ์
    “เก่งนี่ ” ผมรูดซิบกางเกงขึ้นก่อนที่จะเดินไปอ่างล้างมือแล้วพูดต่อ “สืบมาหมดแล้วล่ะซิ ไม่งั้นคุณคงไม่ช่วยผมหรอกจริงมั้ย?” ผมสะบัดมือให้พอหมาด แล้วพยายามจะเดินออกจากห้องน้ำ...แต่อเล็กซ์ก็เอาตัวเองขวางประตูห้องน้ำไว้
    “พวกฉันรับพวกเธอลงมาอยู่ด้วยก็เท่ากับว่าพวกเราจะอยู่กันได้อีกไม่ถึงอาทิตย์ นอกเสียจาก... เราจะขึ้นไปเอาเสบียง” อเล็กซ์พูดทั้งที่ยังเอาตัวขว้างทางอยู่ “แล้วที่สำคัญเพื่อนสาวของพวกนาย เป็นไข้หวัด RS.405 แล้วพวกเราก็ไม่ได้เอายาแก้ตัวนั้นลงมา รวมกับที่เธอเป็นหอบอยู่แล้ว โอกาสรอดทั้งที่ไม่มียามันยากเกินไป ” เพราะคำที่ว่า ‘โอกาสรอดทั้งที่ไม่มียามันยากเกินไป ’ ทำให้ผมตาโตขึ้นแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอเล็กซ์ทันที
    “แล้ว...” ผมนิ่งเงียบไปเกือบสิบวิถึงจะเปิดปากพูดต่ออีกครั้ง “จะต้องทำยังไงให้เธอรอด” ผมถอยห่างออกมาจากประตูเพื่อผมจะได้มองหน้าอเล็กซ์ให้สบายคอมากขึ้น “ทางเดียวคือ...ขึ้นไปเอาเสบียงในตอนเช้าของอีกวัน” เขาหุบมือลงแนบข้างตัวแล้วหันหลังเดินออกไปจากทางเดิน ผมจึงค่อยๆ เดินตามเขาไปพลางคิดใคร่ครวญ ผมมองนาฬิกาของผมอีกครั้ง นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า ถึงกระนั้นผมก็ไม่รู้สภาพดินฟ้าอากาศด้านบนอยู่ดี
    ผมนอนอยู่บนพื้นรอเวลาให้มันผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หิมะยังตกอยู่รึเปล่า หรือว่าฝนตกแรงขนาดไหนแล้วท้องฟ้าล่ะตอนนี้กำลังมืดหรือสว่างอยู่ นั่นคือคำถามในใจของผมทั้งหมดที่คนตรงนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้
    “อเล็กซ์พรุ่งนี้เช้าใช่มั้ย” เสียงชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยงกับอเล็กซ์พูดขึ้น ผมจึงลุกขึ้นนั่งโดยไว นั่นคงเป็นสมาชิกอีกคนที่ผมยังไม่รู้จัก “ใช่...ขึ้นไปกับไอเด็กนั่น” ชายผมทองทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วมองตรงมายังผม “แน่ใจหรอ...เอาเด็กคนนั้นขึ้นไปด้วย เอาฉันไปกับแกจะดีกว่ามั้ย” อเล็กซ์ส่ายหน้าช้าๆ แล้วค่อยๆ เปิดปากพูด “ถ้าที่นี่ขาดแกไปอีกคนล่ะก็...ทุกคนที่นี่คงต้องตายแน่ แกสำคัญมากว่าฉัน” อเล็กซ์พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนชายของเขาเอง
   
    แม็กกระเถิบเข้ามานั่งใกล้ผมแล้วกระซิบบอกผมเบาๆ ที่ข้างหู “เขาเก่งโคตรเรื่องคอม แล้วก็เพิ่งลงนิตยสารรายสัปดาห์ทุกฉบับเมื่อสัปดาห์ก่อน” ผมหันไปมองหน้าแม็กอย่างอึ้งๆ “จริงดิ” แม็กพยักหน้าอย่างแรง ผมเห็นแสงระยิบระยับที่ถูกฉายออกมาจากดวงตาของเขา “แล้วแกจะออกไปไหน” แม็กถามผม ผมเลยตอบเขากลับไปเบาๆ “ขึ้นไปเอาเสบียง”
    “ห๊ะ! ไม่ ไม่ ฉันต้องไปด้วย ไปด้วยน่ะ ไปด้วย” แม็กตะโกนออกมาซะดังลั่นเลย จนทำให้อเล็กซ์กับผู้ชายอีกคนจ้องมาที่เราสองคน “แกไปไม่ได้แกต้องดูฮันจี... ถ้าฉันเป็นอะไรไป แล้วใครจะดูฮันจีแทนฉัน เพราะฉะนั้นแกต้องอยู่ ฉันจะออกไปพรุ่งนี้ตอนเช้าแล้วจะกลับมาพร้อมกับของทั้งหมด ฉันจะกลับมา ” ผมแบมือตั้งทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้น แล้วแม็กก็ยืนมือข้างขวาขึ้นประสานเข้ากับมือของผม “รอฉันที่นี่...ฉันสัญญา ว่าจะกลับมา” แม็กออกแรงบีบมือผมแรงขึ้น แล้วก็ยิ้มออกมาแก้มแทบปริ “จะรอน่ะเพื่อน”
    “สภาพอากาศของวันพรุ่งนี้ ถ้ามันไม่ผิดล่ะก็ หิมะจะตกลงมาไม่หยุดแล้วก็หนักมากด้วย พื้นจะหนากว่าครั้งแรกที่แกขึ้นไปมาก” อเล็กซ์มองตรงไปที่จอคอมพิวเตอร์โพโรแกรมอย่างใจจดจ่อ “แล้วแกจะให้ฉันทำไงเจค” นั่นหรอคือชื่อของชายผมทอง ผมยืนอยู่ห่างๆ แล้วฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันเรื่องแผนการของเช้าวันพรุ่งนี้ “แล้วที่สำคัญมันลำบากขึ้นกว่าเดิม เพราะท้องฟ้ามันไม่สว่างเหมือนครั้งที่แล้ว ตอนนี้ยังมืดอยู่เลยเชื่อมั้ย...บ่ายโมงแล้วน่ะจะบอกให้” เจคชี้จุดที่พวกเราจะต้องไปเอาเสบียงและยารักษาโรคให้กับฮันจี
    “ตรงนี้คือบ้านคน...เข้าไปน่ะ ฉันจะปลดล็อคประตูให้ แล้วขนของออกมาให้หมด ทั้งน้ำ ขนม หรือเหล้า อะไรก็ได้เอาออกมาให้มากที่สุด ส่วนยา...ที่แก้อาการของฮันจีน้อยก็...ตรงนี้บ้านหลังนี้ที่อยู่ห่างกันออกไปสิบห้าหลังเป็นร้านเภสัชพยายามหายาที่ชื่อ Influenza RS.405 ออกมาแล้วก็ตัวนี้อีกตัว Pant C.010 เป็นยาพ่นแก้โรคหอบเอาออกมาด้วย โอเคน่ะจำไว้ ส่วนนายเจ้าหนู ” เจคหันมามองผมด้วยดวงตาอันกลมโต “อย่าเป็นตัวถ่วง อย่าทำให้ทีมของเราตายเพิ่มไปอีกหนึ่ง” ดูเหมือนเขาจะไม่ไว้ใจผมเอาซะเลย ผมเลยเดินออกมานอนลงบนพื้นข้างเตียงของฮันจีรอเวลาที่จะต้องออกไปตากหิมะเพื่อไปเอายามารักษาฮันจีให้หายดี เอมมีลี่เอาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้ฮันจี ทุกๆ สิบนาทีที่เธอต้องวิ่งไปเปลี่ยนน้ำ ผมคิดว่าถ้าเอมมี่ลี่ไม่ทำแบบนี้เธอคงอาจจะตายเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผมจึงนอนรอเวลาหลับให้สนิทเพื่อเก็บแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้...
   
    ตี๊ด! นาฬิกาของผมร้องเตือนเบาๆ หนึ่งครั้ง ผมจึงค่อยๆ ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่ห้องน้ำอย่างช้าๆ ด้วยอาการงัวเงีย แม็กยังนอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่อง ส่วนเอมมีลี่ก็นอนฟุบอยู่ข้างเตียงที่ฮันจีกำลังนอนอยู่ เธอคงจะเหนื่อยที่ต้องยกน้ำไปเปลี่ยนทุกๆ สิบหรือสิบห้านาที ผมเปิดประตูห้องน้ำออกเบาๆ แล้วผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้ง อเล็กซ์และเจค กำลังยืนโกนหนวดเคราของตัวเองอยู่ เขาคงจะเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ผมยังไม่รู้จัก ผมเดินผ่านเขาไปเหมือนกับเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ผมรูดซิบลงแล้วยืนทำภารกิจในตอนเช้า
   
    “ว่าไง ออต” ผมหันกลับไปมองชายคนที่ยืนโกนหนวดอยู่ที่หน้ากระจก เพราะเขาเรียกชื่อผม “ครับ! คุณรู้จักผม?...” ผมรูดซิบขึ้นแล้วเดินตรงมาที่อ่างล้างหน้าเพื่อล้างมือ “แน่นอน รู้จักซิ” เขาส่องกระจกดูหนวดเคราของตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดจากก๊อกน้ำ ผมยืนมองเขาที่กำลังจะเงยหน้าขึ้น “จอร์นนี่ ยินดีที่ได้รู้จักออต” แล้วเขาก็เดินจากผมไปทางประตูห้องน้ำ ผมเลยเดิมตามเขาออกไป
    “พร้อมรึยังออต ข้างบนอากาศเย็นมาก หิมะหนาด้วย รับนี่ไป” อเล็กซ์โยนเสื้อกันหนาวที่ตัวหนากว่าตัวที่ผมใส่อยู่มาให้ “รองเท้าอยู่ตรงนั้น แล้วนั่นก็ถุงมือของนาย” อเล็กซ์ชี้นิ้วไปบนโต๊ะตัวเดียวที่มีอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ห้องนี้ “เรามีเวลาไม่ถึงสามชั่วโมงที่จะกลับลงมา เพราะเราสองคนคงทนสภาวะอากาศหนาวขนาดนั้นไม่ได้นานนักหรอก เข้าใจน่ะ รีบใส่ซิ อาการของฮันจีก็เริ่มแย่ลงแล้วตัวเริ่มซีดแล้วด้วย คงต้องรีบกันหน่อย” อเล็กซ์พูดพลางก้มลงใส่ร้องเท้าบูทสีดำ คำถามเล็กๆ ในใจของผมจึงเกิดขึ้น “แล้วเราจะขึ้นไปยังไง” ผมถามเพราะนั่นเป็นคำถามที่ผมต้องการคำตอบ “เดี๋ยวก็รู้ รีบใส่ซะซิ” เขาโยนถุงมือใส่หน้าผม ผมจึงค่อยๆ ถอดเสื้อกันหนาวตัวเก่าออก แล้วเริ่มใส่เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่หนากว่า
    “จอร์นนี่!” เสียงของเจคตะโกนดังขึ้น ผมที่กำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ “เอาไอนั่นไปติดให้ไอหนูนี่” จอร์นนี่พยักหน้าแล้วเอาอะไรบางอย่างมาติดไว้ที่หูของผม จอร์นนี่เคาะเบาๆ ที่หูของผม “ได้ยินมั้ย” เขาถามผมเบาๆ “ครับ...ได้ยินเสียงเจคในนี้” “งั้นก็โอเค” เขาพูดแล้วเดินจากไป
    “ไปกันเถอะ!” อเล็กซ์พูดกับผมแล้วเขาก็ยื่นมือข้างขวามาหาผมเพื่อจะช่วยฉุดผมให้ลุกขึ้น ผมคว้ามือของเขาไว้แล้วเขาก็ดึงผมขึ้น พร้อมๆ กับที่เขาสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ไม่มีของอะไรอยู่ในประเป๋าใบนั้นเลยขึ้นหลัง เขาเดินนำผมเข้าไปในห้องแคบๆ คล้ายลิฟต์ “พื้นโลก” อเล็กซ์สั่ง นี่มันเป็นลิฟต์จริงๆ ด้วย แล้วลิฟต์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปที่ด้านบน “โอเคพวกเราเห็นแก...เหมือนเดิมน่ะอเล็กซ์” เสียงของจอร์นนี่ดังขึ้นในลิฟต์ “โอเค วางใจได้”
   
สู่พื้นดิน...ZONE 16 R.83
    ผมค่อยๆ เดินย้ำเท้าลงบนพื้นหิมะที่หนาเกือบฟุต แล้วท้องฟ้าก็ยังมืดสนิทอยู่ แต่ดีที่หิมะไม่ตกลงมา แต่ความมืดนี้มันก็ทำให้ผมมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ตรงหน้าของผมเลยแม้แต่น้อย “มองเห็นมั้ย” อเล็กซ์ถามผมเบาๆ ยิ่งกว่ากระซิบถามซะอีก “มองไม่เห็นอะไรเลย ผมสงสัยว่าดวงจันทร์มันหายไปไหน”
   
    “มันแย่กว่าครั้งแรกซะอีก ครั้งแรกยังมองเห็นแต่นี่...มองอะไรไม่เห็นเลย” อเล็กซ์พูดขึ้นเบาๆ ผมฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนกับว่าความกล้าของเขาจะค่อยๆ หายไปพร้อมกับทุกย่างก้าวที่เขาย้ำเดินลงไปบนพื้นหิมะหนาเกือบฟุต แกรก! เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม ผมไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง อเล็กซ์ก็เช่นกันผมเชื่อว่าเขาก็ได้ยิน “อีกนานมั้ยกว่าจะถึง...พวกนายมองเห็น แต่ฉันมองไม่เห็นบอกจุดที่เราอยู่ด้วย” เขาคงกำลังพูดกับพวกที่อยู่ข้างล่าง
    “เดินตรงไปอีกสิบเมตร จะถึงบ้านหลังแรกฉันปลดล็อครอแกอยู่แล้ว เข้าไปขนของออกมาให้หมดน่ะจำเอาไว้ คว้าอะไรได้คว้ามาก่อน แล้วที่สำคัญอย่าส่งเสียงดัง ทำให้เบามากที่สุด อย่าให้พวกมันรู้ตัวน่ะ” จอร์นนี่พูดขึ้นมาจากด้านล่างผมก็ได้ยินเพราะอะไรซักอย่างที่จอร์นนี่เอามาติดไว้ที่หูของผม มันคงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จอร์นนี่ป็นคนคิดขึ้นล่ะมั้ง ไม่รู้เหมือนกันซิน่ะ
    “แต่...ฉันคิดว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเดินตามหลังมา” อเล็กซ์พูดเสียงสั่นระริก แกรก! “มีอะไรอยู่ข้างหลังจริงๆ หรือว่าจะเป็นพวกมัน”
    “ฉันตรวจจับความร้อนไม่ได้เลย ฉันเห็นแค่แกสองคน เฮ่...ได้ยินมั้ย ตอบที”
    “ได้ยิน พูดต่อซิ อย่าทำแบบนี้แกทำให้ฉันใจเสีย...เฮ่...จอร์น...เจค” อเล็กซ์หยุดเดิน “ออต พวกเราแย่แล้ว ถูกลอยแพแล้ว” เขาหันมามองหน้าผมถึงกระนั้นผมก็มองไม่เห็นหน้าของเขาอยู่ดี ผมหายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด แล้วพยายามปลอบอเล็กซ์ “พวกเราไปกันเองได้ โอเคน่ะ หายใจเข้าลึกๆ มองหน้าผมจินตนาการหน้าของผม โอเคน่ะ อีกไม่นานเราจะเห็นบ้านหลังแรกแล้ว ผมเดินนำหน้าเอง จับมือผมไว้โอเคน่ะ ไว้ใจผม...ผมจะพาอเล็กซ์กลับเอง โอเคน่ะ” อเล็กซ์กำมือของผมไว้แน่น ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำตาของผมก็แทบจะทะลักออกมา ผมเริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อยๆ เพราะอากาศตอนนี้ที่หนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกแห้งผากที่คอ มือของผมเริ่มชาจนรู้สึกได้ แล้วผมก็เดินชนเข้ากับอะไรบางอย่าง...ที่นี่เงียบซะจนผมขนลุก ไม่มีเสียงแมลง นก หรืออะไรทั้งนั้น เสียงแกรกๆ ที่ดังมาจากด้านหลังของพวกผมก็หายไปด้วย “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นบ้านคนรึเปล่า” ผมถามขึ้นเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ไม่ลองไม่รู้ อเล็กซ์ 3324 OPEN” แล้วประตูก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างใจนึกพวกข้างล่างคงทำอะไรซักอย่างกับประตูนี่แน่ๆ
    ในบ้านมืดซะจนผมไม่เห็นอะไรเลย ด้วยสัญชาติญาณของผม... “เปิดไฟ” แล้วบ้านทั้งหลังก็สว่างขึ้น ผมเห็นอเล็กซ์ที่หันกลับมามองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่ตกใจจนน่ากลัว “ปิดไฟเดี๋ยวนี้” แล้วพวกเราสองคนก็กลับไปอยู่ในความมืดอีกครั้ง แฮ่ก แฮ่ก นั่นคือเสียงหายใจหอบของอเล็กซ์ “ทำอะไรลงไป...แกทำอะไรลงไป รู้มั้ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น...รู้มั้ย” อเล็กซ์ดูคล้ายกับคนเสียสติไปแล้วกว่าครึ่ง “ตั้งสติหน่อยอเล็กซ์ ใจเย็นไว้ เราต้องรีบขนเสบียง เข้าใจมั้ยเสบียง”
    “โอเค” อเล็กซ์ค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับเขาตั้งสติได้ “เสบียง...ห้องครัว ตู้เย็น” แล้วอเล็กซ์ก็ทำตัวเหมือนผู้นำอีกครั้ง เขาเริ่มเดินหาห้องครัวทั้งที่...ในบ้านหลังนี้ยังคงมืดสนิท “นี่ละมั้ง” อเล็กซ์หยุดเดินแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูที่น่าจะเป็นประตูตู้เย็น ผมที่เดินตามหลังเขาเข้าไปก็หยุดเดิน “บิงโก!” อเล็กซ์ทำท่าทางดีใจแล้วเริ่มโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็นเข้าไปในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ใบนั้น
   
    แกรก~~~~ แกรก~~~~ เสียงที่ชวนผวาดังขึ้นจากด้านหลัง แสงไฟสีขาวจากตู้เย็นทำให้ผมเห็นสิ่งที่อยู่ที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังผม...เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เด็กคนนั้นกำลังมองผมพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้น...เกาะผนังไว้ แกรก~~~~ เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากปากของเด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้น ผมจึงผงะก้าวถอยหลังไปเต็มแรงอย่างไม่ทันรู้ตัว โครม! หม้อ กระทะ ของทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวหล่นลงพื้นจนหมด ใจของผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยสัญชาติญาณผมจึงก้มลงมองของที่หล่นกราวลงกับพื้น แต่พอผมหันกลับไปมองเด็กผู้ชายคนนั้น เด็กคนนั้นก็กลับหายตัวไปเหมือนร่ายมนต์ “อเล็กซ์...ผมขออย่างนึงได้มั้ย ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นผมจะขอเปิดไฟ” อเล็กซ์เงียบไปซักพักแล้วเขาก็พยักหน้าตอบผมช้าๆ แล้วสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ก็เกิดขึ้น
    แกรกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!! ดังขึ้นไปทั่ว...อเล็กซ์สะพายกระเป๋าขึ้นหลัง ในจังหวะเดียวกันกับที่อเล็กซ์กำลังจะปิดประตูตู้เย็น “เปิดไฟ!” ผมตะโกนดังลั่นบ้าน แล้วไฟของบ้านนี้ทั้งหลังก็สว่างจ้าขึ้น ผมกับอเล็กซ์แทบจะกระโดดถอยหลังไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้...แต่ผมก็ทำได้แค่คิด เด็กผู้ชายมากมายที่มีตาดำใหญ่กว่าตาขาวยืนจ้องมองมาทางผมและอเล็กซ์  เด็กตัวน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันนับสิบคนกำลังยืนขวางผมอยู่ “ทำไงดี” อเล็กซ์ถามผมทั้งที่ยังมองเด็กประหลาดพวกนั้นต่อไป “หรือว่าจะเป็นพวกมัน” เขาถามผมอีกครั้ง “อาจจะใช่ นับสามแล้ววิ่งน่ะ” แต่ผมยังไม่ทันได้นับด้วยซ้ำ...สิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิตก็เกิดขึ้นตรงหน้า ผมกับอเล็กซ์ผงะถอยหลังไปชนโต๊ะกินข้าวของในบ้านนี้อีกครั้ง...
    แกรกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!
ปล.1
ไอเสียง แกรก เนี่ยถ้าใครดู จูออน ภาคแรกงะ...คงนึกออก
แบบ แกร๊กๆ น่ากลัวๆ งะ -_- นึกออกกานอะเปล่าหว่า
ปล.2
ขอบคุณสำหรับคนที่ให้กำลังจายถึงคนจะอ่านน้อย TTOTT
น้อยจริงๆ น่ะเนี่ย
ปล.3
แต่งหนุกไม่หนุกดีไม่ดี ยังไง วิจารณ์กานเต็มที่เลยน้าค้า
พิเศษ สำหรับพี่พิ้งค์ งิงิ ที่คอยอ่านและติชมคำผิดบานเลย -\"-
อ้าแต่ครั้งนี้อ่านทวนแล้ว อิอิ จะผิดอีกมั้ยน้า มีอีกแน่เลย
ขอบคุณพี่พิงค์มากน่ะค้า รักพี่พิ้งค์ค่า เขียนชื่อถูกอะเปล่าหว่า งิงิ
ปล.สุดท้ายและท้ายสุดของตอนนี้ กรั๊กๆ
รักคนอ่านทึกคนน่ะคร้า
   
    “แม็ก!” ผมมองแม็กที่ยืนหันหลังให้ผม ฮันจีค่อยๆ พยุงตัวเองให้นั่งขึ้น ส่วนผมก็เดินตรงไปหาแม็ก “นั่นใคร?” ผมกระซิบถามแม็กที่ข้างหู
    “ไม่รู้...” แม็กตอบผมด้วยเสียงอันแผ่วเบา
    “ดีน่ะที่รอดกันมาได้ ถ้าพวกฉันไม่ช่วย...พวกเธอสามคนคงตายกันไปแล้ว” ผู้ชายอายุราวยี่สิบแปดที่มีนัยน์ตาสีเทาพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้ผม “นั่งซิ อุ้มผู้หญิงคนนั้นขึ้น แล้วให้เขาไปนอนบนเตียงนั่น” ผู้ชายคนเดิมสั่งผม ผมเลยรีบเดิมกลับไปหาฮันจีแล้วพยายามจะอุ้มเธอขึ้น แต่ฮันจีส่ายหน้าแล้วเธอก็ค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่บนเตียงที่ชายนัยน์ตาสีเทาชี้ “นอนลงไปเลย” เขายิ้มกว้างให้ฮันจีเหมือนกับที่ยิ้มให้กับพวกผม “เอมมีลี่ เอายามาซิ้มีเด็กไม่สบาย” แล้วผู้หญิงคนนึงก็โผล่หน้าออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกห้องหนึ่ง
    “พวกคุณอยู่กันกี่คน” ผมถามชายคนนั้น แล้วผมก็จ้องไปที่นัยน์ตาคู่นั้นของเขาจนผมเห็นตัวเองที่กำลังนั่งอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่งของโต๊ะในนัยน์ตาของเขา
    “ห้าคน” เขาตอบพลางหยิบบุหรี่ขึ้นและพยายามจะจุดมัน ผมจึงดึงบุหรี่ออกจากปากของเขาทันที
    “ผมไม่ชอบ” ผมพูดแล้วขยำบุหรี่ในมือทิ้งลงบนโต๊ะ
    “กี่ปีถึงจะสร้างที่นี่เสร็จ สามปี สี่ปี หรือว่าห้าปี” แม็กถามชายคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม พลางเอามือลูบไล้ไปบนกำแพงปูนสีขาว “ปูนนี่...เลิกผลิตไปตั้งแต่ ค.ศ.2897 คุณเอาปูนพวกนี้มาจากไหน”
    “สร้างมาห้าปี...รู้แค่นั้นพอ” แล้วเขาก็หยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมา ผมจึงคว้าบุหรี่ที่อยู่ในปากของเขามาอยู่ในมือของผมอีกครั้ง “ผมบอกว่าผมไม่ชอบ” ผมทำการขยำบุหรี่ยี่ห้อนั้นอีกครั้ง “โธ่! ไอเด็กห่านี่! อยากตายนักใช่มั้ย ห๊ะ!” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแรงทำให้เก้าอี้ตัวที่เขานั่งหงายหลังลงไป แล้วเขาก็ยื่นมือข้างขวาออกมาก่อนที่จะคว้าคอเสื้อกันหนาวของผมไว้แล้วยกตัวของผมสูงขึ้นจากพื้น แต่...ผมก็ยังคงทำหน้าเรียบเฉยแล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของชายผู้ที่มีนัยน์ตาสีเทา
    “อเล็กซ์! ปล่อยเด็กคนนั้นลงเดี๋ยวนี้!” เสียงผู้หญิง! ที่นี่มีผู้หญิงอยู่ถึงสองคนเชียวหรอ “ไอนี่มันน่าฆ่านัก” เขาพูดแล้วเขย่าคอเสื้อของผมอย่างแรงก่อนจะโยนผมลงพื้นไปอย่างไม่ใยดี
    “เจ็บตรงไหนมั้ย” ผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลังคนนั้นวิ่งมาหาผม เพื่อถามอาการของผม ผมจึงตอบเธอกลับไปโดยไม่ใช้คำพูดแต่เป็นการส่ายๆ ช้าๆ แทน “ดีแล้ว” เธอยิ้มให้ผมแล้วเดินตรงไปหาชายนัยน์ตาสีเทาที่ชื่ออเล็กซ์ “อเล็กซ์มองหน้าฉัน จ้องตาฉัน นายเป็นคนบอกเองว่าให้พาพวกเขาลงมา...แล้วทำไมถึงทำกับพวกเขาแบบนี้”
   
    ทุกอย่างเงียบกริบ อเล็กซ์ไม่ตอบ ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาอเล็กซ์ช้าๆ “ขอโทษทีที่อวดดีไปหน่อย” ผมกล่าวคำขอโทษแล้วเดินจากอเล็กซ์ไป ก่อนที่จะหยุดอยู่ข้างเตียงที่ฮันจีกำลังนอนอยู่ เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างที่ด้านบน และผมก็ยังไม่เห็นสมาชิกที่อยู่ที่นี่อีกสองคนเช่นกัน
   
    “ที่นี่มีห้องน้ำมั้ย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง “ติดกับห้องครัวเลี้ยวซ้าย” อเล็กซ์พูดขึ้นเบาๆ ผมเดินไปตามทางที่อเล็กซ์บอก แล้วผมก็มาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ที่นี่ดูไม่ทันสมัยเอาซะเลยอย่างกับเมื่อสองสามร้อยปีก่อนอย่างงั้นแหละ “ออตเต้ เนรมิดวงษ์ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย อายุสิบแปดปี เรียนอยู่เกรดสิบสอง โรงเรียนชื่อดังใน ZONE 17 R.49 พ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า” ผมหันกลับไปมองเสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูห้องน้ำ แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออเล็กซ์
    “เก่งนี่ ” ผมรูดซิบกางเกงขึ้นก่อนที่จะเดินไปอ่างล้างมือแล้วพูดต่อ “สืบมาหมดแล้วล่ะซิ ไม่งั้นคุณคงไม่ช่วยผมหรอกจริงมั้ย?” ผมสะบัดมือให้พอหมาด แล้วพยายามจะเดินออกจากห้องน้ำ...แต่อเล็กซ์ก็เอาตัวเองขวางประตูห้องน้ำไว้
    “พวกฉันรับพวกเธอลงมาอยู่ด้วยก็เท่ากับว่าพวกเราจะอยู่กันได้อีกไม่ถึงอาทิตย์ นอกเสียจาก... เราจะขึ้นไปเอาเสบียง” อเล็กซ์พูดทั้งที่ยังเอาตัวขว้างทางอยู่ “แล้วที่สำคัญเพื่อนสาวของพวกนาย เป็นไข้หวัด RS.405 แล้วพวกเราก็ไม่ได้เอายาแก้ตัวนั้นลงมา รวมกับที่เธอเป็นหอบอยู่แล้ว โอกาสรอดทั้งที่ไม่มียามันยากเกินไป ” เพราะคำที่ว่า ‘โอกาสรอดทั้งที่ไม่มียามันยากเกินไป ’ ทำให้ผมตาโตขึ้นแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอเล็กซ์ทันที
    “แล้ว...” ผมนิ่งเงียบไปเกือบสิบวิถึงจะเปิดปากพูดต่ออีกครั้ง “จะต้องทำยังไงให้เธอรอด” ผมถอยห่างออกมาจากประตูเพื่อผมจะได้มองหน้าอเล็กซ์ให้สบายคอมากขึ้น “ทางเดียวคือ...ขึ้นไปเอาเสบียงในตอนเช้าของอีกวัน” เขาหุบมือลงแนบข้างตัวแล้วหันหลังเดินออกไปจากทางเดิน ผมจึงค่อยๆ เดินตามเขาไปพลางคิดใคร่ครวญ ผมมองนาฬิกาของผมอีกครั้ง นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า ถึงกระนั้นผมก็ไม่รู้สภาพดินฟ้าอากาศด้านบนอยู่ดี
    ผมนอนอยู่บนพื้นรอเวลาให้มันผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หิมะยังตกอยู่รึเปล่า หรือว่าฝนตกแรงขนาดไหนแล้วท้องฟ้าล่ะตอนนี้กำลังมืดหรือสว่างอยู่ นั่นคือคำถามในใจของผมทั้งหมดที่คนตรงนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้
    “อเล็กซ์พรุ่งนี้เช้าใช่มั้ย” เสียงชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยงกับอเล็กซ์พูดขึ้น ผมจึงลุกขึ้นนั่งโดยไว นั่นคงเป็นสมาชิกอีกคนที่ผมยังไม่รู้จัก “ใช่...ขึ้นไปกับไอเด็กนั่น” ชายผมทองทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วมองตรงมายังผม “แน่ใจหรอ...เอาเด็กคนนั้นขึ้นไปด้วย เอาฉันไปกับแกจะดีกว่ามั้ย” อเล็กซ์ส่ายหน้าช้าๆ แล้วค่อยๆ เปิดปากพูด “ถ้าที่นี่ขาดแกไปอีกคนล่ะก็...ทุกคนที่นี่คงต้องตายแน่ แกสำคัญมากว่าฉัน” อเล็กซ์พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนชายของเขาเอง
   
    แม็กกระเถิบเข้ามานั่งใกล้ผมแล้วกระซิบบอกผมเบาๆ ที่ข้างหู “เขาเก่งโคตรเรื่องคอม แล้วก็เพิ่งลงนิตยสารรายสัปดาห์ทุกฉบับเมื่อสัปดาห์ก่อน” ผมหันไปมองหน้าแม็กอย่างอึ้งๆ “จริงดิ” แม็กพยักหน้าอย่างแรง ผมเห็นแสงระยิบระยับที่ถูกฉายออกมาจากดวงตาของเขา “แล้วแกจะออกไปไหน” แม็กถามผม ผมเลยตอบเขากลับไปเบาๆ “ขึ้นไปเอาเสบียง”
    “ห๊ะ! ไม่ ไม่ ฉันต้องไปด้วย ไปด้วยน่ะ ไปด้วย” แม็กตะโกนออกมาซะดังลั่นเลย จนทำให้อเล็กซ์กับผู้ชายอีกคนจ้องมาที่เราสองคน “แกไปไม่ได้แกต้องดูฮันจี... ถ้าฉันเป็นอะไรไป แล้วใครจะดูฮันจีแทนฉัน เพราะฉะนั้นแกต้องอยู่ ฉันจะออกไปพรุ่งนี้ตอนเช้าแล้วจะกลับมาพร้อมกับของทั้งหมด ฉันจะกลับมา ” ผมแบมือตั้งทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้น แล้วแม็กก็ยืนมือข้างขวาขึ้นประสานเข้ากับมือของผม “รอฉันที่นี่...ฉันสัญญา ว่าจะกลับมา” แม็กออกแรงบีบมือผมแรงขึ้น แล้วก็ยิ้มออกมาแก้มแทบปริ “จะรอน่ะเพื่อน”
    “สภาพอากาศของวันพรุ่งนี้ ถ้ามันไม่ผิดล่ะก็ หิมะจะตกลงมาไม่หยุดแล้วก็หนักมากด้วย พื้นจะหนากว่าครั้งแรกที่แกขึ้นไปมาก” อเล็กซ์มองตรงไปที่จอคอมพิวเตอร์โพโรแกรมอย่างใจจดจ่อ “แล้วแกจะให้ฉันทำไงเจค” นั่นหรอคือชื่อของชายผมทอง ผมยืนอยู่ห่างๆ แล้วฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันเรื่องแผนการของเช้าวันพรุ่งนี้ “แล้วที่สำคัญมันลำบากขึ้นกว่าเดิม เพราะท้องฟ้ามันไม่สว่างเหมือนครั้งที่แล้ว ตอนนี้ยังมืดอยู่เลยเชื่อมั้ย...บ่ายโมงแล้วน่ะจะบอกให้” เจคชี้จุดที่พวกเราจะต้องไปเอาเสบียงและยารักษาโรคให้กับฮันจี
    “ตรงนี้คือบ้านคน...เข้าไปน่ะ ฉันจะปลดล็อคประตูให้ แล้วขนของออกมาให้หมด ทั้งน้ำ ขนม หรือเหล้า อะไรก็ได้เอาออกมาให้มากที่สุด ส่วนยา...ที่แก้อาการของฮันจีน้อยก็...ตรงนี้บ้านหลังนี้ที่อยู่ห่างกันออกไปสิบห้าหลังเป็นร้านเภสัชพยายามหายาที่ชื่อ Influenza RS.405 ออกมาแล้วก็ตัวนี้อีกตัว Pant C.010 เป็นยาพ่นแก้โรคหอบเอาออกมาด้วย โอเคน่ะจำไว้ ส่วนนายเจ้าหนู ” เจคหันมามองผมด้วยดวงตาอันกลมโต “อย่าเป็นตัวถ่วง อย่าทำให้ทีมของเราตายเพิ่มไปอีกหนึ่ง” ดูเหมือนเขาจะไม่ไว้ใจผมเอาซะเลย ผมเลยเดินออกมานอนลงบนพื้นข้างเตียงของฮันจีรอเวลาที่จะต้องออกไปตากหิมะเพื่อไปเอายามารักษาฮันจีให้หายดี เอมมีลี่เอาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้ฮันจี ทุกๆ สิบนาทีที่เธอต้องวิ่งไปเปลี่ยนน้ำ ผมคิดว่าถ้าเอมมี่ลี่ไม่ทำแบบนี้เธอคงอาจจะตายเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผมจึงนอนรอเวลาหลับให้สนิทเพื่อเก็บแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้...
   
    ตี๊ด! นาฬิกาของผมร้องเตือนเบาๆ หนึ่งครั้ง ผมจึงค่อยๆ ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่ห้องน้ำอย่างช้าๆ ด้วยอาการงัวเงีย แม็กยังนอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่อง ส่วนเอมมีลี่ก็นอนฟุบอยู่ข้างเตียงที่ฮันจีกำลังนอนอยู่ เธอคงจะเหนื่อยที่ต้องยกน้ำไปเปลี่ยนทุกๆ สิบหรือสิบห้านาที ผมเปิดประตูห้องน้ำออกเบาๆ แล้วผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้ง อเล็กซ์และเจค กำลังยืนโกนหนวดเคราของตัวเองอยู่ เขาคงจะเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ผมยังไม่รู้จัก ผมเดินผ่านเขาไปเหมือนกับเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ผมรูดซิบลงแล้วยืนทำภารกิจในตอนเช้า
   
    “ว่าไง ออต” ผมหันกลับไปมองชายคนที่ยืนโกนหนวดอยู่ที่หน้ากระจก เพราะเขาเรียกชื่อผม “ครับ! คุณรู้จักผม?...” ผมรูดซิบขึ้นแล้วเดินตรงมาที่อ่างล้างหน้าเพื่อล้างมือ “แน่นอน รู้จักซิ” เขาส่องกระจกดูหนวดเคราของตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดจากก๊อกน้ำ ผมยืนมองเขาที่กำลังจะเงยหน้าขึ้น “จอร์นนี่ ยินดีที่ได้รู้จักออต” แล้วเขาก็เดินจากผมไปทางประตูห้องน้ำ ผมเลยเดิมตามเขาออกไป
    “พร้อมรึยังออต ข้างบนอากาศเย็นมาก หิมะหนาด้วย รับนี่ไป” อเล็กซ์โยนเสื้อกันหนาวที่ตัวหนากว่าตัวที่ผมใส่อยู่มาให้ “รองเท้าอยู่ตรงนั้น แล้วนั่นก็ถุงมือของนาย” อเล็กซ์ชี้นิ้วไปบนโต๊ะตัวเดียวที่มีอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ห้องนี้ “เรามีเวลาไม่ถึงสามชั่วโมงที่จะกลับลงมา เพราะเราสองคนคงทนสภาวะอากาศหนาวขนาดนั้นไม่ได้นานนักหรอก เข้าใจน่ะ รีบใส่ซิ อาการของฮันจีก็เริ่มแย่ลงแล้วตัวเริ่มซีดแล้วด้วย คงต้องรีบกันหน่อย” อเล็กซ์พูดพลางก้มลงใส่ร้องเท้าบูทสีดำ คำถามเล็กๆ ในใจของผมจึงเกิดขึ้น “แล้วเราจะขึ้นไปยังไง” ผมถามเพราะนั่นเป็นคำถามที่ผมต้องการคำตอบ “เดี๋ยวก็รู้ รีบใส่ซะซิ” เขาโยนถุงมือใส่หน้าผม ผมจึงค่อยๆ ถอดเสื้อกันหนาวตัวเก่าออก แล้วเริ่มใส่เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่หนากว่า
    “จอร์นนี่!” เสียงของเจคตะโกนดังขึ้น ผมที่กำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ “เอาไอนั่นไปติดให้ไอหนูนี่” จอร์นนี่พยักหน้าแล้วเอาอะไรบางอย่างมาติดไว้ที่หูของผม จอร์นนี่เคาะเบาๆ ที่หูของผม “ได้ยินมั้ย” เขาถามผมเบาๆ “ครับ...ได้ยินเสียงเจคในนี้” “งั้นก็โอเค” เขาพูดแล้วเดินจากไป
    “ไปกันเถอะ!” อเล็กซ์พูดกับผมแล้วเขาก็ยื่นมือข้างขวามาหาผมเพื่อจะช่วยฉุดผมให้ลุกขึ้น ผมคว้ามือของเขาไว้แล้วเขาก็ดึงผมขึ้น พร้อมๆ กับที่เขาสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ไม่มีของอะไรอยู่ในประเป๋าใบนั้นเลยขึ้นหลัง เขาเดินนำผมเข้าไปในห้องแคบๆ คล้ายลิฟต์ “พื้นโลก” อเล็กซ์สั่ง นี่มันเป็นลิฟต์จริงๆ ด้วย แล้วลิฟต์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปที่ด้านบน “โอเคพวกเราเห็นแก...เหมือนเดิมน่ะอเล็กซ์” เสียงของจอร์นนี่ดังขึ้นในลิฟต์ “โอเค วางใจได้”
   
สู่พื้นดิน...ZONE 16 R.83
    ผมค่อยๆ เดินย้ำเท้าลงบนพื้นหิมะที่หนาเกือบฟุต แล้วท้องฟ้าก็ยังมืดสนิทอยู่ แต่ดีที่หิมะไม่ตกลงมา แต่ความมืดนี้มันก็ทำให้ผมมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ตรงหน้าของผมเลยแม้แต่น้อย “มองเห็นมั้ย” อเล็กซ์ถามผมเบาๆ ยิ่งกว่ากระซิบถามซะอีก “มองไม่เห็นอะไรเลย ผมสงสัยว่าดวงจันทร์มันหายไปไหน”
   
    “มันแย่กว่าครั้งแรกซะอีก ครั้งแรกยังมองเห็นแต่นี่...มองอะไรไม่เห็นเลย” อเล็กซ์พูดขึ้นเบาๆ ผมฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนกับว่าความกล้าของเขาจะค่อยๆ หายไปพร้อมกับทุกย่างก้าวที่เขาย้ำเดินลงไปบนพื้นหิมะหนาเกือบฟุต แกรก! เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม ผมไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง อเล็กซ์ก็เช่นกันผมเชื่อว่าเขาก็ได้ยิน “อีกนานมั้ยกว่าจะถึง...พวกนายมองเห็น แต่ฉันมองไม่เห็นบอกจุดที่เราอยู่ด้วย” เขาคงกำลังพูดกับพวกที่อยู่ข้างล่าง
    “เดินตรงไปอีกสิบเมตร จะถึงบ้านหลังแรกฉันปลดล็อครอแกอยู่แล้ว เข้าไปขนของออกมาให้หมดน่ะจำเอาไว้ คว้าอะไรได้คว้ามาก่อน แล้วที่สำคัญอย่าส่งเสียงดัง ทำให้เบามากที่สุด อย่าให้พวกมันรู้ตัวน่ะ” จอร์นนี่พูดขึ้นมาจากด้านล่างผมก็ได้ยินเพราะอะไรซักอย่างที่จอร์นนี่เอามาติดไว้ที่หูของผม มันคงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จอร์นนี่ป็นคนคิดขึ้นล่ะมั้ง ไม่รู้เหมือนกันซิน่ะ
    “แต่...ฉันคิดว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเดินตามหลังมา” อเล็กซ์พูดเสียงสั่นระริก แกรก! “มีอะไรอยู่ข้างหลังจริงๆ หรือว่าจะเป็นพวกมัน”
    “ฉันตรวจจับความร้อนไม่ได้เลย ฉันเห็นแค่แกสองคน เฮ่...ได้ยินมั้ย ตอบที”
    “ได้ยิน พูดต่อซิ อย่าทำแบบนี้แกทำให้ฉันใจเสีย...เฮ่...จอร์น...เจค” อเล็กซ์หยุดเดิน “ออต พวกเราแย่แล้ว ถูกลอยแพแล้ว” เขาหันมามองหน้าผมถึงกระนั้นผมก็มองไม่เห็นหน้าของเขาอยู่ดี ผมหายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด แล้วพยายามปลอบอเล็กซ์ “พวกเราไปกันเองได้ โอเคน่ะ หายใจเข้าลึกๆ มองหน้าผมจินตนาการหน้าของผม โอเคน่ะ อีกไม่นานเราจะเห็นบ้านหลังแรกแล้ว ผมเดินนำหน้าเอง จับมือผมไว้โอเคน่ะ ไว้ใจผม...ผมจะพาอเล็กซ์กลับเอง โอเคน่ะ” อเล็กซ์กำมือของผมไว้แน่น ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำตาของผมก็แทบจะทะลักออกมา ผมเริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อยๆ เพราะอากาศตอนนี้ที่หนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกแห้งผากที่คอ มือของผมเริ่มชาจนรู้สึกได้ แล้วผมก็เดินชนเข้ากับอะไรบางอย่าง...ที่นี่เงียบซะจนผมขนลุก ไม่มีเสียงแมลง นก หรืออะไรทั้งนั้น เสียงแกรกๆ ที่ดังมาจากด้านหลังของพวกผมก็หายไปด้วย “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นบ้านคนรึเปล่า” ผมถามขึ้นเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ไม่ลองไม่รู้ อเล็กซ์ 3324 OPEN” แล้วประตูก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างใจนึกพวกข้างล่างคงทำอะไรซักอย่างกับประตูนี่แน่ๆ
    ในบ้านมืดซะจนผมไม่เห็นอะไรเลย ด้วยสัญชาติญาณของผม... “เปิดไฟ” แล้วบ้านทั้งหลังก็สว่างขึ้น ผมเห็นอเล็กซ์ที่หันกลับมามองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่ตกใจจนน่ากลัว “ปิดไฟเดี๋ยวนี้” แล้วพวกเราสองคนก็กลับไปอยู่ในความมืดอีกครั้ง แฮ่ก แฮ่ก นั่นคือเสียงหายใจหอบของอเล็กซ์ “ทำอะไรลงไป...แกทำอะไรลงไป รู้มั้ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น...รู้มั้ย” อเล็กซ์ดูคล้ายกับคนเสียสติไปแล้วกว่าครึ่ง “ตั้งสติหน่อยอเล็กซ์ ใจเย็นไว้ เราต้องรีบขนเสบียง เข้าใจมั้ยเสบียง”
    “โอเค” อเล็กซ์ค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับเขาตั้งสติได้ “เสบียง...ห้องครัว ตู้เย็น” แล้วอเล็กซ์ก็ทำตัวเหมือนผู้นำอีกครั้ง เขาเริ่มเดินหาห้องครัวทั้งที่...ในบ้านหลังนี้ยังคงมืดสนิท “นี่ละมั้ง” อเล็กซ์หยุดเดินแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูที่น่าจะเป็นประตูตู้เย็น ผมที่เดินตามหลังเขาเข้าไปก็หยุดเดิน “บิงโก!” อเล็กซ์ทำท่าทางดีใจแล้วเริ่มโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็นเข้าไปในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ใบนั้น
   
    แกรก~~~~ แกรก~~~~ เสียงที่ชวนผวาดังขึ้นจากด้านหลัง แสงไฟสีขาวจากตู้เย็นทำให้ผมเห็นสิ่งที่อยู่ที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังผม...เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เด็กคนนั้นกำลังมองผมพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้น...เกาะผนังไว้ แกรก~~~~ เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากปากของเด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้น ผมจึงผงะก้าวถอยหลังไปเต็มแรงอย่างไม่ทันรู้ตัว โครม! หม้อ กระทะ ของทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวหล่นลงพื้นจนหมด ใจของผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยสัญชาติญาณผมจึงก้มลงมองของที่หล่นกราวลงกับพื้น แต่พอผมหันกลับไปมองเด็กผู้ชายคนนั้น เด็กคนนั้นก็กลับหายตัวไปเหมือนร่ายมนต์ “อเล็กซ์...ผมขออย่างนึงได้มั้ย ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นผมจะขอเปิดไฟ” อเล็กซ์เงียบไปซักพักแล้วเขาก็พยักหน้าตอบผมช้าๆ แล้วสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ก็เกิดขึ้น
    แกรกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!! ดังขึ้นไปทั่ว...อเล็กซ์สะพายกระเป๋าขึ้นหลัง ในจังหวะเดียวกันกับที่อเล็กซ์กำลังจะปิดประตูตู้เย็น “เปิดไฟ!” ผมตะโกนดังลั่นบ้าน แล้วไฟของบ้านนี้ทั้งหลังก็สว่างจ้าขึ้น ผมกับอเล็กซ์แทบจะกระโดดถอยหลังไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้...แต่ผมก็ทำได้แค่คิด เด็กผู้ชายมากมายที่มีตาดำใหญ่กว่าตาขาวยืนจ้องมองมาทางผมและอเล็กซ์  เด็กตัวน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันนับสิบคนกำลังยืนขวางผมอยู่ “ทำไงดี” อเล็กซ์ถามผมทั้งที่ยังมองเด็กประหลาดพวกนั้นต่อไป “หรือว่าจะเป็นพวกมัน” เขาถามผมอีกครั้ง “อาจจะใช่ นับสามแล้ววิ่งน่ะ” แต่ผมยังไม่ทันได้นับด้วยซ้ำ...สิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิตก็เกิดขึ้นตรงหน้า ผมกับอเล็กซ์ผงะถอยหลังไปชนโต๊ะกินข้าวของในบ้านนี้อีกครั้ง...
    แกรกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!
ปล.1
ไอเสียง แกรก เนี่ยถ้าใครดู จูออน ภาคแรกงะ...คงนึกออก
แบบ แกร๊กๆ น่ากลัวๆ งะ -_- นึกออกกานอะเปล่าหว่า
ปล.2
ขอบคุณสำหรับคนที่ให้กำลังจายถึงคนจะอ่านน้อย TTOTT
น้อยจริงๆ น่ะเนี่ย
ปล.3
แต่งหนุกไม่หนุกดีไม่ดี ยังไง วิจารณ์กานเต็มที่เลยน้าค้า
พิเศษ สำหรับพี่พิ้งค์ งิงิ ที่คอยอ่านและติชมคำผิดบานเลย -\"-
อ้าแต่ครั้งนี้อ่านทวนแล้ว อิอิ จะผิดอีกมั้ยน้า มีอีกแน่เลย
ขอบคุณพี่พิงค์มากน่ะค้า รักพี่พิ้งค์ค่า เขียนชื่อถูกอะเปล่าหว่า งิงิ
ปล.สุดท้ายและท้ายสุดของตอนนี้ กรั๊กๆ
รักคนอ่านทึกคนน่ะคร้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น