ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาระดีๆสำหรับนักเขียนทุกๆท่าน

    ลำดับตอนที่ #6 : กว่าจะเป็นนิยายสักเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 49


    บทความที่จะเขียนต่อไป  เป็นแนวทาง  และอาจตอบคำถามหลายเรื่องที่น่าสนใจ

    เกี่ยวกับการเขียน  โดยจะยกตัวอย่างเป็นนิยายที่กำลังเขียนอยู่ในขณะนี้เป็น

    ตัวอย่าง ก็แล้วกัน

    1. เรื่องที่อยากเขียน

    อาการอยากเขียนเกิดจากแรงบันดาลใจ  แรงดลใจ  หรืออะไรก็แล้วแต่  เป็นสิ่งที่

    เกิดขึ้นได้ง่ายๆ พอๆกับยาก บางครั้งเรื่องเล็กๆเหตุการณ์ประจำวันแค่นี้ก็เป็นแรง

    บันดาลใจให้กับเราได้อย่างมากมาย  ในขณะที่บางทีเราอยากหาพล็อตดีๆที่อยาก

    เขียน  ก็คิดไม่ออกสักที

    สำหรับตัวเองแล้ว  แรงบันดาลใจสำหรับเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง  บางทีก็ต้องมีหลายๆ

    แรงบันดาลใจ  ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเป็นคนที่ขี้เกียจมหาศาล  ถ้าไม่อยากเขียน

    ขนาดคันมือเต็มที่  มักเขียนไม่ออก  แต่ถ้าอยากเขียน  เคยพิมพ์ดีดรัวจนเครื่อง

    แฮงก์  รับความเร็วของมือไม่ได้ (ที่จริงความเร็วในการพิมพ์ของตนเองเป็นที่

    ประหลาดใจของรุ่นพี่ที่ทำงานมาก  เพราะพิมพ์ได้เร็วเหมือนพวกเลขานุการ  หรือ

    เรียกว่าพิมพ์สัมผัส  ก็แหม...ไม่อยากบอกว่าเป็นเด็กสมัยสอบเทียบ  ใครเคยเทียบ

    โอน  วิชาที่ฮิตเรียนกันมากที่สุดก็คือพิมพ์ดีดไทยหรือไม่ก็อังกฤษนี่แหละ)

    เมื่อมีแรงบันดาลใจมากพอที่จะทำให้เริ่มจรดปากกา-ดินสอ  เริ่มพิมพ์ดีด  หรือ

    พิมพ์คอมกันแล้ว  อุปสรรคประการต่อมาจะตามมาทันที

    2. ชื่อเรื่อง

    ในหลายๆกรณี  เราอาจเขียนเรื่องไปโดยยังไม่มีชื่อเรื่องที่พอใจก่อนก็ได้  แต่จาก

    ประสบการณ์  ไม่เคยทำได้ดีเลย  ถ้าไม่มีชื่อเรื่อง  หรือชื่อชั่วคราวยังไม่เหมาะ

    สม  เคยแม้กระทั่งฉีกต้นฉบับทิ้ง เขียนใหม่ หลังจากได้ชื่อเรื่องที่พอใจแล้ว

    การตั้งชื่อเรื่องเป็นพรสวรรค์ของนักเขียนแต่ละคน  บางคนตั้งชื่อได้น่าประทับใจ

    มากอย่างที่ให้เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นคงไม่ดีเท่า  ตัวอย่างชื่อที่ชอบมากและตรงกับเนื้อ

    เรื่องในเจเจของเรา  ก็อย่างเช่น  บอสหน้าตายกะยายสอางค์ - -ของนายน้อย 

    เรื่องนี้เห็นภาพ  เห็นโครงสร้างหลักของเรื่องชัดเจนเฉียบขาด  ศึกจอมขมังเวทย์-

    ของซีเรีย  ชื่ออย่างนี้ทำให้สนใจว่า  พวกมีเวทมนตร์จะไปต่อสู้กันเป็นสงครามจริง

    หรือเปล่า  เรื่องนี้ต้องมีฉากรบแน่ๆ  ถ้าไม่มีก็ชื่อนี้ไม่ได้สิ

    สำหรับตนเองแล้ว  ไม่มีเทคนิคการตั้งชื่อเป็นพิเศษ  แต่มีเพื่อนตั้งข้อสังเกตว่า

    ชอบเอาชื่อเพลงมาตั้ง  ส่วนใหญ่เป็นเพลงฝรั่งเก่าๆ  เอามาแปลเป็นไทย  เรียบ

    เรียงคำใหม่  ก็เก๋จะแย่แล้ว

    การตั้งชื่อนี่  ก็เหมือนแรงบันดาลใจ  บางทีการหมกมุ่นคิดแต่เรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน 

    (ถึงกับฝันด้วยเป็นบางครั้ง)  ก็ทำให้เราได้ชื่อเรื่องมาโดยไม่ได้ตั้งใจ  ต้องรีบหยิบ

    ปากกาขึ้นมาจดๆๆๆ  อย่างเช่น เส้นไหมใยรัก  ชื่อนี้คิดได้ระหว่างเดินข้ามสะพาน

    ลอยกลับมาจากไปหาของกินที่ตลาดแถวบ้าน  บรรยากาศไม่มีอะไรใกล้เคียงกับ

    เนื้อเรื่องสักกะติ๊ด  แต่ชื่อที่ได้เหมาะมาก

    สำหรับเรื่องล่าสุดนี่ก็เหมือนกัน  สายลมของหัวใจ  เป็นชื่อที่คิดได้ระหว่างนั่งรถ

    เมล์สาย 50 (รถแอร์) บรรยากาศฝนตกพรำๆ  หวิดจะตั้งชื่อว่า สายฝนของหัวใจ

    เสียแล้วมั้ยล่ะ 

    หลังจากคิดชื่อเรื่องนี้ได้  ก็จัดการฉีกต้นฉบับเก่าๆ ที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ทิ้ง  เริ่ม

    เขียนกันใหม่  ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ชัดเปรี๊ยะ  ต้องให้เข้ากับบรรยากาศของชื่อเรื่อง

    ด้วย

    3. คอนเซ็ปต์ ธีม  โทน (concept theme & tone) อะไรก็แล้วแต่  รวม

    ไปถึงรายละเอียดของเรื่อง

    ถึงแม้ว่าเราจะมีพล็อตคร่าวๆในหัวแล้ว  การกำหนดคอนเซ็ปต์และธีมก็ยังมีความ

    สำคัญเป็นอย่างมาก  เพราะนี่เป็นแนวทางที่ระบุทิศทางให้กับเรื่องของเรา

    รุ้งยี้กับเคียวเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว  แต่ปิ่นจะเล่าในแบบของปิ่นก็แล้วกัน

    ไม่เคยเขียนสิ่งเหล่านี้ออกมาในกระดาษ  แต่กำหนดไว้ในใจอย่างชัดเจนก่อนลง

    มือเขียน  เคยทดลองไม่ทำสิ่งเหล่านี้ก่อนเขียน  ปรากฏว่า เรื่องมีการเปลี่ยนแนว

    ของเรื่องไปเลยเมื่อเขียน (ได้แก่สิ่งที่ปรากฏในอรุณรุ่งที่มัสยิปานา  ทำให้เรื่องโร

    แมนซ์กลายเป็นเรื่องการเมืองไปได้)  เข้าทำนองหัวมังกุท้ายมังกรได้เหมือนกัน

    สำหรับสายลมของหัวใจ  จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวโสด  วัยเลยเบญจเพส  แต่

    ยังไม่เหยียบสามสิบ  ที่ต้องเผชิญกับคำถามที่รุมเร้าเข้ามาว่า 'ทำไมยังไม่แต่ง

    งาน' แต่เล่าเรื่องของผู้หญิงคนเดียวคือนางเอกคงไม่สนุก  ก็เลยต้องเล่าเรื่องสาว

    โสดแบบต่างๆ  ที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน  แต่ละคนมีวิธีการดิ้นรนให้พ้นคานในแบบ

    ที่ต่างกัน   โดยวิถีชีวิตของผู้หญิงทุกคนในเรื่องจะร้อยเข้าหากัน  เพราะเข้ามา

    เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนหนึ่ง  ที่มีข้อกำหนดที่ดูเหมือนเพียบพร้อมในสายตาผู้หญิงทุก

    คน

    นี่เป็นคอนเซ็ปต์ครึ่งแรกของเรื่องนี้  เล่าให้ฟังทั้งหมด  เดี๋ยวอ่านไม่สนุกน่ะสิ

    สำหรับโทนของเรื่อง  กำหนดให้มีกลิ่นอายของสายฝน  เพราะเริ่มเขียนในช่วงที่

    ฝนกำลังตกอย่างหนัก  เป็น comedy  ปนกับความเหงา เศร้า  เพราะชีวิตสาวโสด

    ลึกๆแล้วก็เหงา เศร้าอยู่เหมือนกัน

    4. ตัวละคร

    หัวข้อนี้น่าจะรวมอยู่ในรายละเอียด แต่เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่กำหนดอะไร

    ต่อมิอะไรหลายๆอย่างในเวลาต่อมา แน่นอนรวมถึงเมื่อเราลงมือเขียนด้วยก็เลย

    ต้องยกมาพูดกันเป็นหนึ่งหัวข้อ

    ตัวละครล้วนมีที่มา

    ไม่ใช่ว่าเราจะกำหนดอะไรๆก็ได้ตามใจไปเสียหมด แรกเริ่มที่วาดตัวละครอยู่ใน

    หัวอาจเป็นเช่นนั้น เราอาจคิดถึงการกำหนดให้ตัวละครมีนิสัยที่ตรงข้ามกันสุดขั้ว

    มาเป็นพระเอกนางเอกของเรา

    ในกรณีสายลมของหัวใจ ตัวเอกสองคนมีกำหนดอยู่แล้วก่อนเขียนเรื่องนี้ เพราะว่า

    เคยเขียนเป็นเรื่องสั้นๆ ตอนที่เกิดนึกครึ้มๆขึ้นมา หลังจากนั้นก็แจกให้คนอื่นอ่าน

    แล้วฟ้าก็ส่งท่านผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งให้อ่าน แล้วก็บอกว่า

    “ปิ่นไปเขียนขยายเป็นเรื่องยาวสิ น่าสนใจกว่า”

    เอ่อ… แค่พูดว่าเขียนขยายนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะ เขียนให้สั้นง่ายกว่า

    เพราะว่าตัดรายละเอียดไปได้เพียบ แต่ถ้าจะเขียนเป็นเรื่องยาว คนเขียนต้องอยู่กับ

    เรื่องนี้นานๆๆๆๆ…………… นานมาก

    แต่ด้วยความเป็นศิลปิน บางทีแรงบันดาลใจก็ตามตัวเราเจอแม้ว่าจะไม่ได้อยาก

    เขียนเลยก็ตาม

    วันหนึ่งวันนั้น ระหว่างกินไอติม+นั่งดูรายการ The Bachelor ทางยูบีซีช่อง 36

    ใครที่เคยดูจะรู้ว่าเป็นรายการเหลวไหล แต่ดังมากที่อเมริกา เกี่ยวกับการเดทของ

    หนุ่มโสดคนเดียวกับสาว 25 คน (ที่ทางรายการคัดตัวมาอย่างเริ่ด) แล้วอารมณ์ตั้ง

    คำถามแบบเจ้าหนูจำไมก็กำเริบ เออ… หนุ่มโสดเนื้อหอมที่พยายามโปรโมทเสีย

    หรูนี่ ตัวจริงเป็นไงนะ

    ก็โป๊ะเชะ นี่แหละธีม ลอกแนวคิดเบื้องต้นของ The Bachelor เสียเลย

    ดังนั้นตัวละครตัวแรกต้องเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอม แบบหรูๆๆๆๆๆๆ

    พระเอกหนุ่มนาม ยุคทอง (ชื่อมีอยู่แล้ว) ก็กระโดดออกมาจากความคิดทันที คน

    เขียนคิดเอาว่า หนุ่มแบบไหนกันนะที่สาวๆชื่นชอบ

    ถ้าอิงตามรายการ ต้อง หล่อ (ข้อแรกนี่สำคัญที่สุด) รวย (อันนี้ธรรมดา) มีชาติ

    ตระกูล (สืบสานไปได้ถึงสุโขทัยหรือน่านเจ้าได้ยิ่งดี) มีการศึกษา (ปริญญาโทจากเมืองนอกเป็นอย่างต่ำ) ฯลฯ

    แค่คิดก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว อะไรที่มันดีเกินไป คนเขียนก็ทนไม่ไหวเอง ดังนั้น

    พระเอกที่จะเขียน จะเพียบพร้อมแค่ฉากหน้าเท่านั้น ฉากหลังซึ่งคนอ่านจะได้เห็น

    ความไม่เพียบพร้อมซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ทำให้เป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า

    ข้อกำหนดทั้งหมดนี้คงพอเป็นตัวอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะตัวละคร

    ได้ เรื่องแบบนี้ย้ำว่า ไม่มีรูปแบบตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนเขียนจะเห็นว่า

    เหมาะสมกับเรื่องที่จะเขียน เพราะในกรณีอื่น หากเขียนเรื่องแนวอื่น ตัวละครไม่

    จำเป็นต้องมีความสมจริงอาจดีกว่าก็ได้

    5. เอาล่ะลงมือ ณ จุดเริ่มต้น

    การเขียนเรื่องสักเรื่อง ไม่มีอะไรยากเท่าเปิดเรื่อง ฉากเปิดเรื่องที่ดีเป็นอย่างไรกัน

    นะ? คำถามนี้ถามทั้งตัวเองและทุกคนที่อ่านด้วย อืม…จะประมวลจากการเป็นนัก

    อ่าน+นักเขียน ก็มีลักษณะดังนี้

    แนะนำตัวละครหลัก

    ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะปกติของนิยายทุกเรื่อง เพราะตัวละครเป็นคนดำเนิน

    เรื่อง การเปิดเรื่องย่อมเป็นการเปิดตัวละครหลักที่จะมาเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้คน

    อ่าน บางครั้งอาจเป็นการแนะนำแนวของเรื่องคร่าวๆ บางครั้งคนเขียนอาจใช้บท

    นำทำหน้าที่นี้

    ชวนให้อ่านต่อ

    ข้อนี้ยากนะจ๊ะ ชวนให้อ่านต่อ ต้องเป็นน่าสนใจสุดๆ จึงทำให้ผู้อ่านสนใจที่จะอ่าน

    ตั้งแต่ต้น การเริ่มต้นประโยคแรกจึงมีความสำคัญมาก

    เพื่อไม่ให้มีปัญหาลิขสิทธิ์ เริ่มด้วยเรื่องของตัวเองก็แล้วกัน

     

    รถประจำทางปรับอากาศสีส้มแล่นมาอย่างช้าๆก่อนที่จะจอดชิดขอบฟุตบาธเพื่อหยุดตรงป้ายรถเมล์ที่มีคนจำนวนมากกำลังยืนรออยู่เพื่อจะรับส่งผู้โดยสาร หนึ่งในจำนวนคนที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้นมีหญิงสาวผิวขาวผ่อง ผมยาวผู้สวมเสื้อยืดสีฟ้าคอกลมกับกางเกงยีนส์ฟอกสีจางตัวหลวมโครกสะพายเป้สีเลือดหมูใบโตจนน่าจะเกินตัวรวมอยู่ด้วย

    ทันที่ทีก้าวลงถึงพื้นอย่างปลอดภัยแล้ว ใบหน้าของหล่อนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนของอากาศภายนอกรถ หากไม่ได้ทำให้หล่อนแปลกใจมากไปกว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าในขณะนี้

    ถึงแม้ว่าหล่อนจะมาเที่ยวสยามสแควร์ทุกครั้งที่กลับมาบ้านเกิด หากทุกครั้งสยามสแควร์ก็มักเปลี่ยนแปลงไปในทางใดทางหนึ่งเสมอ เมื่อปีที่แล้วการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้ายังไม่แล้วเสร็จจึงคลุมผ้าใบสีเขียวไปทั่วบริเวณเพื่อการป้องกันเศษวัสดุที่อาจตกหล่อนลงมายังด้านล่างได้ แสงสว่างที่ควรจะสาดส่องมายังถนนจึงมีน้อยจนต้องเปิดสปอร์ตไลท์สีส้มช่วย เมื่ออยู่ในยามฝนตก อากาศมืดครื้ม คนที่สัญจรไปมาจึงพึ่งพาได้แต่แสงจากพลังงานไฟฟ้า ทำให้เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งถึงกับอุทาน

    ‘เส้นไหมใยรัก’ บทที่ ๑

    การเริ่มต้นด้วยการนำรถโดยสารเข้ามาก่อน แล้วค่อยให้ตัวละครลงมาจากรถ

    สัมผัสอากาศและความเปลี่ยนแปลง แฝงนัยถึงการที่ตัวละครไม่ได้อยู่ประจำที่

    เมืองไทย เออ…แล้วเป็นคนจากไหนกันนะ เป็นการใส่ข้อมูลเบื้องต้นให้ตัวละคร

    โดยไม่พยายามยัดเยียดลงในประโยคใกล้เคียงกัน แต่ทยอยเขียนไปเรื่อยๆ ให้ผู้

    อ่านได้ค่อยๆทำความรู้จักกับตัวละคร ซึ่งต่อมาก็รู้ว่า ชื่อ ไหม เป็นนางเอกของ

    เรื่อง สำหรับเรื่องเส้นไหมใยรักนี้ พระเอกของเรื่องเปิดตัวในบทที่ ๓ ซึ่งก็แล้วแต่

    ว่าจะให้พระเอกนางเอกพบกันเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากกว่า ถ้าเป็น

    เรื่องแนวอื่น อย่างเช่นแฟนตาซี ก็อาจเป็นการพบกันของกลุ่มที่จะออกผจญภัยก็ได้

    แต่ส่วนใหญ่ตัวละครหลักที่สุดของเรื่อง มักเปิดตัวในตอนแรก เพื่อสร้างความคุ้น

    เคยกับคนอ่าน

    สำหรับเทคนิคนั้น การเปิดเรื่องไม่จำกัดเทคนิค แบบใดก็ได้ ข้อสำคัญคือต้องน่า

    สนใจมากพอให้คนอ่านต้องการอ่านเรื่องของเราต่อไป เพราะส่วนใหญ่คนที่หนังสือ

    ส่วนใหญ่มักตัดสิน (อ่านหรือซื้อ) เบื้องต้นจากบทแรกๆ เป็นหลัก

    จำไว้ว่า มีเรื่องน้อยมากที่จะค่อยๆสนุกขึ้นเรื่อยๆ จนสนู้กสนุกในตอนท้าย นอก

    จากว่าจะได้รับการแนะนำมาอีกทีว่าควรอ่าน

    6. ดำเนินเรื่อง

    มาถึงตรงนี้ ทุกอย่างมีพร้อมแล้ว ก็เหลือแต่ 2 เรื่องหลักที่ควรจำไว้

    ว่าด้วยภาษาไทยที่ดี

    ภาษาที่ดี ก็บอกยากว่าเป็นอย่างไร เพราะบางคนเขียนโล่งๆ อ่านง่ายๆ แต่ดีมากๆ

    ก็มี ไม่ใช่ว่าเขียนบรรยายได้ยาวๆจะดีกว่าเสมอไป ในส่วนนี้นักเขียนคงต้องฝึกฝน

    ด้วยการเขียนให้มากๆ ประสบการณ์เท่านั้นที่เป็นครูที่ดีที่สุด

    อีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องการระมัดระวังการใช้ภาษาของตัวละคร นิยายมีส่วนคำ

    บรรยายกับคำพูด ระวังการใช้ภาษาของตัวละครด้วย ไม่ใช่ให้แม่ค้าพูดภาษาผู้ดี

    ผู้ดีพูดภาษาแม่ค้า (ยกเว้นได้ในกรณีที่แม่ค้าเป็นผู้ดีเก่า หรือผู้ดีแต่จริงๆแล้วนิสัย

    ไพร่ซ้าไม่มี)

    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

    ถ้าเป้าหมายของเราอยู่ที่การเขียนเรื่องให้สำเร็จ จงจำไว้ว่า อย่าให้อะไรเป็น

    อุปสรรคขัดขวาง ถ้าขี้เกียจจงสะบัดเจ้าตัวขี้เกียจออกไปเสีย ถ้าไม่มีคอมฯ ก็

    พิมพ์ดีดหรือเขียน หรือเก็บเงินซื้อคอมฯมาเขียนให้จงได้ ฯลฯ ทุกคนมีวิธีแก้ไข

    ปัญหาของตัวเองอยู่แล้ว เลือกแบบนุ่มนวล บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น และไม่เดือด

    ร้อนใคร (นอกจากตัวเอง แต่อย่าให้มากนัก)

    สำหรับปิ่นแล้ว การสะบัดตัวขี้เกียจเป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่เมื่อเจ้าตัวแรงบันดาล

    ใจมาสิงสู่ เจ้าตัวขี้เกียจก็มักจะรีบหนีไปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาทีหลัง เพราะว่ารู้

    ว่าเจ้านายปิ่นเขาชอบ (อิอิ)

    จำไว้ว่า เราไม่ควรมีข้ออ้างในเรื่องไม่ควร ถ้ายังมีแรง มีเวลาว่างพอโดยไม่เบียด

    บังเวลาอ่านหนังสือเรียน เวลางาน ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก ถ้ารักจะเป็นนักเขียน คุณต้อง

    เขียนๆๆๆๆ เขียนเท่านั้น แล้วคุณถึงจะเป็นนักเขียนได้

    7. ขัดเกลาสำนวน ตรวจทาน

    ใช้ในกรณีก่อนลงเว็บ (กรณีนักเขียนใน เจเจบุ๊คแห่งนี้) อ่านทวนสักครั้งก็ดี ไม่

    อย่างนั้นอาจมีคำผิด หรือสำนวนแปร่งๆไปบ้าง แต่ถ้าหลุดไปแล้ว โดนทักท้วงบ้าง

    ก็อย่าถือโกรธ เพราะว่าเขาทักท้วงได้ขนาดนั้น เช่นเราพิมพ์คำว่า โดย เป็น ดดย

    แล้วเขาเห็น ก็ต้องรีบขอบคุณเขาทันที เพราะนั่นคือนักอ่านที่เราแสวงหามานาน

    แล้วนั่นเอง

    ในกรณีที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้ามั่นใจเรื่องไหนก็แนะนำให้ส่งไปเลย

    เพียงแต่ให้ระวังว่า ควรจะมีความละเอียดลออในการตรวจทานคำผิด การเข้าเล่ม

    ที่ดี หรือปริ้นท์ส่งอย่างสวยงาม เพราะส่วนนี้สำคัญตรงที่ว่าจะดึงดูดให้ บ.ก.เขา

    สนใจหยิบเรื่องเรามาอ่านหรือไม่ ถ้าอ่านได้เร็ว เวลาของการรอคอยก็จะสั้นลงเท่า

    นั้น

    อันที่จริงแล้วเรื่องพวกนี้ไม่มีสูตรตายตัว จะผสมโน่นนิดนี่หน่อยก็ได้ ไม่ควรต้องไป

    เกร็งมากนัก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราทำงานด้วยใจรัก งานจะออกมาเป็นอย่างไร เรา

    ก็ลงแรงกายแรงใจทุ่มลงไป นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผลตอบรับจะดีขนาดไหน
    ก็เป็นส่วนผสมของสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากตัวเรา ไม่ว่าคำติหรือคำชม ล้วนเป็นสิ่งที่

    น่ายินดี และควรเก็บไว้เพื่อสร้างสรรค์งานต่อไป ไม่มีนักเขียนคนไหนหรอกที่สร้าง

    งานเพียงชิ้นเดียวตลอดชีวิต เราไม่ได้มีเรื่องเดียวที่อยากจะเล่าให้คนฟัง (อ่าน) สัก

    หน่อย จริงมั้ย?

    ***********************************

    from.......................

    http://www.jj-book.com/jjtalk1/view.php?qs_qno=171

    4. ตัวละคร

    หัวข้อนี้น่าจะรวมอยู่ในรายละเอียด แต่เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่กำหนดอะไร

    ต่อมิอะไรหลายๆอย่างในเวลาต่อมา แน่นอนรวมถึงเมื่อเราลงมือเขียนด้วยก็เลย

    ต้องยกมาพูดกันเป็นหนึ่งหัวข้อ

    ตัวละครล้วนมีที่มา

    ไม่ใช่ว่าเราจะกำหนดอะไรๆก็ได้ตามใจไปเสียหมด แรกเริ่มที่วาดตัวละครอยู่ใน

    หัวอาจเป็นเช่นนั้น เราอาจคิดถึงการกำหนดให้ตัวละครมีนิสัยที่ตรงข้ามกันสุดขั้ว

    มาเป็นพระเอกนางเอกของเรา

    ในกรณีสายลมของหัวใจ ตัวเอกสองคนมีกำหนดอยู่แล้วก่อนเขียนเรื่องนี้ เพราะว่า

    เคยเขียนเป็นเรื่องสั้นๆ ตอนที่เกิดนึกครึ้มๆขึ้นมา หลังจากนั้นก็แจกให้คนอื่นอ่าน

    แล้วฟ้าก็ส่งท่านผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งให้อ่าน แล้วก็บอกว่า

    “ปิ่นไปเขียนขยายเป็นเรื่องยาวสิ น่าสนใจกว่า”

    เอ่อ… แค่พูดว่าเขียนขยายนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะ เขียนให้สั้นง่ายกว่า

    เพราะว่าตัดรายละเอียดไปได้เพียบ แต่ถ้าจะเขียนเป็นเรื่องยาว คนเขียนต้องอยู่กับ

    เรื่องนี้นานๆๆๆๆ…………… นานมาก

    แต่ด้วยความเป็นศิลปิน บางทีแรงบันดาลใจก็ตามตัวเราเจอแม้ว่าจะไม่ได้อยาก

    เขียนเลยก็ตาม

    วันหนึ่งวันนั้น ระหว่างกินไอติม+นั่งดูรายการ The Bachelor ทางยูบีซีช่อง 36

    ใครที่เคยดูจะรู้ว่าเป็นรายการเหลวไหล แต่ดังมากที่อเมริกา เกี่ยวกับการเดทของ

    หนุ่มโสดคนเดียวกับสาว 25 คน (ที่ทางรายการคัดตัวมาอย่างเริ่ด) แล้วอารมณ์ตั้ง

    คำถามแบบเจ้าหนูจำไมก็กำเริบ เออ… หนุ่มโสดเนื้อหอมที่พยายามโปรโมทเสีย

    หรูนี่ ตัวจริงเป็นไงนะ

    ก็โป๊ะเชะ นี่แหละธีม ลอกแนวคิดเบื้องต้นของ The Bachelor เสียเลย

    ดังนั้นตัวละครตัวแรกต้องเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอม แบบหรูๆๆๆๆๆๆ

    พระเอกหนุ่มนาม ยุคทอง (ชื่อมีอยู่แล้ว) ก็กระโดดออกมาจากความคิดทันที คน

    เขียนคิดเอาว่า หนุ่มแบบไหนกันนะที่สาวๆชื่นชอบ

    ถ้าอิงตามรายการ ต้อง หล่อ (ข้อแรกนี่สำคัญที่สุด) รวย (อันนี้ธรรมดา) มีชาติ

    ตระกูล (สืบสานไปได้ถึงสุโขทัยหรือน่านเจ้าได้ยิ่งดี) มีการศึกษา (ปริญญาโทจากเมืองนอกเป็นอย่างต่ำ) ฯลฯ

    แค่คิดก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว อะไรที่มันดีเกินไป คนเขียนก็ทนไม่ไหวเอง ดังนั้น

    พระเอกที่จะเขียน จะเพียบพร้อมแค่ฉากหน้าเท่านั้น ฉากหลังซึ่งคนอ่านจะได้เห็น

    ความไม่เพียบพร้อมซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ทำให้เป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า

    ข้อกำหนดทั้งหมดนี้คงพอเป็นตัวอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะตัวละคร

    ได้ เรื่องแบบนี้ย้ำว่า ไม่มีรูปแบบตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนเขียนจะเห็นว่า

    เหมาะสมกับเรื่องที่จะเขียน เพราะในกรณีอื่น หากเขียนเรื่องแนวอื่น ตัวละครไม่

    จำเป็นต้องมีความสมจริงอาจดีกว่าก็ได้

    5. เอาล่ะลงมือ ณ จุดเริ่มต้น

    การเขียนเรื่องสักเรื่อง ไม่มีอะไรยากเท่าเปิดเรื่อง ฉากเปิดเรื่องที่ดีเป็นอย่างไรกัน

    นะ? คำถามนี้ถามทั้งตัวเองและทุกคนที่อ่านด้วย อืม…จะประมวลจากการเป็นนัก

    อ่าน+นักเขียน ก็มีลักษณะดังนี้

    แนะนำตัวละครหลัก

    ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะปกติของนิยายทุกเรื่อง เพราะตัวละครเป็นคนดำเนิน

    เรื่อง การเปิดเรื่องย่อมเป็นการเปิดตัวละครหลักที่จะมาเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้คน

    อ่าน บางครั้งอาจเป็นการแนะนำแนวของเรื่องคร่าวๆ บางครั้งคนเขียนอาจใช้บท

    นำทำหน้าที่นี้

    ชวนให้อ่านต่อ

    ข้อนี้ยากนะจ๊ะ ชวนให้อ่านต่อ ต้องเป็นน่าสนใจสุดๆ จึงทำให้ผู้อ่านสนใจที่จะอ่าน

    ตั้งแต่ต้น การเริ่มต้นประโยคแรกจึงมีความสำคัญมาก

    เพื่อไม่ให้มีปัญหาลิขสิทธิ์ เริ่มด้วยเรื่องของตัวเองก็แล้วกัน

     

    รถประจำทางปรับอากาศสีส้มแล่นมาอย่างช้าๆก่อนที่จะจอดชิดขอบฟุตบาธเพื่อหยุดตรงป้ายรถเมล์ที่มีคนจำนวนมากกำลังยืนรออยู่เพื่อจะรับส่งผู้โดยสาร หนึ่งในจำนวนคนที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้นมีหญิงสาวผิวขาวผ่อง ผมยาวผู้สวมเสื้อยืดสีฟ้าคอกลมกับกางเกงยีนส์ฟอกสีจางตัวหลวมโครกสะพายเป้สีเลือดหมูใบโตจนน่าจะเกินตัวรวมอยู่ด้วย

    ทันที่ทีก้าวลงถึงพื้นอย่างปลอดภัยแล้ว ใบหน้าของหล่อนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนของอากาศภายนอกรถ หากไม่ได้ทำให้หล่อนแปลกใจมากไปกว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าในขณะนี้

    ถึงแม้ว่าหล่อนจะมาเที่ยวสยามสแควร์ทุกครั้งที่กลับมาบ้านเกิด หากทุกครั้งสยามสแควร์ก็มักเปลี่ยนแปลงไปในทางใดทางหนึ่งเสมอ เมื่อปีที่แล้วการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้ายังไม่แล้วเสร็จจึงคลุมผ้าใบสีเขียวไปทั่วบริเวณเพื่อการป้องกันเศษวัสดุที่อาจตกหล่อนลงมายังด้านล่างได้ แสงสว่างที่ควรจะสาดส่องมายังถนนจึงมีน้อยจนต้องเปิดสปอร์ตไลท์สีส้มช่วย เมื่ออยู่ในยามฝนตก อากาศมืดครื้ม คนที่สัญจรไปมาจึงพึ่งพาได้แต่แสงจากพลังงานไฟฟ้า ทำให้เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งถึงกับอุทาน

    ‘เส้นไหมใยรัก’ บทที่ ๑

    การเริ่มต้นด้วยการนำรถโดยสารเข้ามาก่อน แล้วค่อยให้ตัวละครลงมาจากรถ

    สัมผัสอากาศและความเปลี่ยนแปลง แฝงนัยถึงการที่ตัวละครไม่ได้อยู่ประจำที่

    เมืองไทย เออ…แล้วเป็นคนจากไหนกันนะ เป็นการใส่ข้อมูลเบื้องต้นให้ตัวละคร

    โดยไม่พยายามยัดเยียดลงในประโยคใกล้เคียงกัน แต่ทยอยเขียนไปเรื่อยๆ ให้ผู้

    อ่านได้ค่อยๆทำความรู้จักกับตัวละคร ซึ่งต่อมาก็รู้ว่า ชื่อ ไหม เป็นนางเอกของ

    เรื่อง สำหรับเรื่องเส้นไหมใยรักนี้ พระเอกของเรื่องเปิดตัวในบทที่ ๓ ซึ่งก็แล้วแต่

    ว่าจะให้พระเอกนางเอกพบกันเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากกว่า ถ้าเป็น

    เรื่องแนวอื่น อย่างเช่นแฟนตาซี ก็อาจเป็นการพบกันของกลุ่มที่จะออกผจญภัยก็ได้

    แต่ส่วนใหญ่ตัวละครหลักที่สุดของเรื่อง มักเปิดตัวในตอนแรก เพื่อสร้างความคุ้น

    เคยกับคนอ่าน

    สำหรับเทคนิคนั้น การเปิดเรื่องไม่จำกัดเทคนิค แบบใดก็ได้ ข้อสำคัญคือต้องน่า

    สนใจมากพอให้คนอ่านต้องการอ่านเรื่องของเราต่อไป เพราะส่วนใหญ่คนที่หนังสือ

    ส่วนใหญ่มักตัดสิน (อ่านหรือซื้อ) เบื้องต้นจากบทแรกๆ เป็นหลัก

    จำไว้ว่า มีเรื่องน้อยมากที่จะค่อยๆสนุกขึ้นเรื่อยๆ จนสนู้กสนุกในตอนท้าย นอก

    จากว่าจะได้รับการแนะนำมาอีกทีว่าควรอ่าน

    6. ดำเนินเรื่อง

    มาถึงตรงนี้ ทุกอย่างมีพร้อมแล้ว ก็เหลือแต่ 2 เรื่องหลักที่ควรจำไว้

    ว่าด้วยภาษาไทยที่ดี

    ภาษาที่ดี ก็บอกยากว่าเป็นอย่างไร เพราะบางคนเขียนโล่งๆ อ่านง่ายๆ แต่ดีมากๆ

    ก็มี ไม่ใช่ว่าเขียนบรรยายได้ยาวๆจะดีกว่าเสมอไป ในส่วนนี้นักเขียนคงต้องฝึกฝน

    ด้วยการเขียนให้มากๆ ประสบการณ์เท่านั้นที่เป็นครูที่ดีที่สุด

    อีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องการระมัดระวังการใช้ภาษาของตัวละคร นิยายมีส่วนคำ

    บรรยายกับคำพูด ระวังการใช้ภาษาของตัวละครด้วย ไม่ใช่ให้แม่ค้าพูดภาษาผู้ดี

    ผู้ดีพูดภาษาแม่ค้า (ยกเว้นได้ในกรณีที่แม่ค้าเป็นผู้ดีเก่า หรือผู้ดีแต่จริงๆแล้วนิสัย

    ไพร่ซ้าไม่มี)

    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

    ถ้าเป้าหมายของเราอยู่ที่การเขียนเรื่องให้สำเร็จ จงจำไว้ว่า อย่าให้อะไรเป็น

    อุปสรรคขัดขวาง ถ้าขี้เกียจจงสะบัดเจ้าตัวขี้เกียจออกไปเสีย ถ้าไม่มีคอมฯ ก็

    พิมพ์ดีดหรือเขียน หรือเก็บเงินซื้อคอมฯมาเขียนให้จงได้ ฯลฯ ทุกคนมีวิธีแก้ไข

    ปัญหาของตัวเองอยู่แล้ว เลือกแบบนุ่มนวล บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น และไม่เดือด

    ร้อนใคร (นอกจากตัวเอง แต่อย่าให้มากนัก)

    สำหรับปิ่นแล้ว การสะบัดตัวขี้เกียจเป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่เมื่อเจ้าตัวแรงบันดาล

    ใจมาสิงสู่ เจ้าตัวขี้เกียจก็มักจะรีบหนีไปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาทีหลัง เพราะว่ารู้

    ว่าเจ้านายปิ่นเขาชอบ (อิอิ)

    จำไว้ว่า เราไม่ควรมีข้ออ้างในเรื่องไม่ควร ถ้ายังมีแรง มีเวลาว่างพอโดยไม่เบียด

    บังเวลาอ่านหนังสือเรียน เวลางาน ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก ถ้ารักจะเป็นนักเขียน คุณต้อง

    เขียนๆๆๆๆ เขียนเท่านั้น แล้วคุณถึงจะเป็นนักเขียนได้

    7. ขัดเกลาสำนวน ตรวจทาน

    ใช้ในกรณีก่อนลงเว็บ (กรณีนักเขียนใน เจเจบุ๊คแห่งนี้) อ่านทวนสักครั้งก็ดี ไม่

    อย่างนั้นอาจมีคำผิด หรือสำนวนแปร่งๆไปบ้าง แต่ถ้าหลุดไปแล้ว โดนทักท้วงบ้าง

    ก็อย่าถือโกรธ เพราะว่าเขาทักท้วงได้ขนาดนั้น เช่นเราพิมพ์คำว่า โดย เป็น ดดย

    แล้วเขาเห็น ก็ต้องรีบขอบคุณเขาทันที เพราะนั่นคือนักอ่านที่เราแสวงหามานาน

    แล้วนั่นเอง

    ในกรณีที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้ามั่นใจเรื่องไหนก็แนะนำให้ส่งไปเลย

    เพียงแต่ให้ระวังว่า ควรจะมีความละเอียดลออในการตรวจทานคำผิด การเข้าเล่ม

    ที่ดี หรือปริ้นท์ส่งอย่างสวยงาม เพราะส่วนนี้สำคัญตรงที่ว่าจะดึงดูดให้ บ.ก.เขา

    สนใจหยิบเรื่องเรามาอ่านหรือไม่ ถ้าอ่านได้เร็ว เวลาของการรอคอยก็จะสั้นลงเท่า

    นั้น

    อันที่จริงแล้วเรื่องพวกนี้ไม่มีสูตรตายตัว จะผสมโน่นนิดนี่หน่อยก็ได้ ไม่ควรต้องไป

    เกร็งมากนัก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราทำงานด้วยใจรัก งานจะออกมาเป็นอย่างไร เรา

    ก็ลงแรงกายแรงใจทุ่มลงไป นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผลตอบรับจะดีขนาดไหน
    ก็เป็นส่วนผสมของสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากตัวเรา ไม่ว่าคำติหรือคำชม ล้วนเป็นสิ่งที่

    น่ายินดี และควรเก็บไว้เพื่อสร้างสรรค์งานต่อไป ไม่มีนักเขียนคนไหนหรอกที่สร้าง

    งานเพียงชิ้นเดียวตลอดชีวิต เราไม่ได้มีเรื่องเดียวที่อยากจะเล่าให้คนฟัง (อ่าน) สัก

    หน่อย จริงมั้ย?

    ***********************************

    from.......................

    http://www.jj-book.com/jjtalk1/view.php?qs_qno=171

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×