ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] ตราบฟ้าสิ้นดาว [Yaoi+Rekishi]

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 ทัณฑ์กามเทพ

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 53












    ไม่ว่ายามวิกาลจะสับสนและเต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมายอย่างไรก็ตาม
    แต่เมื่อดาวเคลื่อน เดือนคล้อย ทุกสิ่งก็คล้ายจะผ่านผันท่ามกลางแสงจันทร์ยามราตรี


    กุ้ยฮวากิ่งงามสะบัดหยาดน้ำค้างชื้นชุ่มออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเหยียดช่อดอกสีส้มจ้า
    รับแสงแดดอ่อนของเช้าวันใหม่ที่เข้ามาเยือนอย่างแช่มช้า แสงนั้นค่อยๆ ฉาบไล้ไปตาม
    ชายคากระเบื้องหลากสี ระเบียงไม้สลักอ่อนช้อย และซอกซอนผ่านความทึบทึมของ
    ตำหนักสุวรรณอันวิจิตรบรรจง


    ยามที่แสงสว่างส่องไปถึงม่านผืนหนาในห้องบรรทมของประมุขแห่งวังพูยง ลอดผ่าน
    บานพระแกล(หน้าต่าง)ไม้โปร่งลวดลายประณีต และไล่ให้ทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงยาม
    เช้า ยามนั้นยุนโฮวอนจาเพียงปรายสายตามองแสงแดดอุ่น ที่หาได้ยากยิ่งในดินแดน
    เหน็บหนาวของชุงรยงเหมือนเป็นเรื่องสามัญธรรมดา แล้วจากนั้นก็ถอนสายตากลับมา
    มองสิ่งที่อยู่ในมือแน่วนิ่ง


    ดวงเนตรคมที่เปิดค้างอยู่ตลอดทั้งคืนยังคงแจ่มใส ลมหายใจที่อวลกลิ่นอายหอมระรวย
    ยังคงผ่านแผ่ว และมือแข็งแรงที่เฝ้าจับต้องแพรบางสีเขียวหยก ก็ยังลูบแพรผืนน้อยเช่นนี้
    ดุจจะใช้สัมผัสเบาบางสื่อไปถึงเจ้าของผืนผ้า ผู้มอบให้ก่อนละจากเมื่อยามรุ่งสาง


    แค่เพียงได้เห็นรอยยิ้มเบิกบานที่พราวพร่างดั่งมวลมาลีคลี่กลีบดอก
    แค่เพียงได้กุมมือนุ่มละมุนอุ่นเนื้อ
    แค่เพียงได้สูดกลิ่นกายหอมระรื่น
    ...และแค่เพียงได้แนบประทับกับริมฝีปากหวานล้ำ


    เวลา 3 ปี 7 เดือน 16 วันที่แจจุงขาน ช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนทรมาน ก็พลันสลาย
    คล้ายหมอกควันบางเบาไปสิ้น


    ทว่า...


    เมื่อหวนระลึกถึงถึงดวงตากลมโตที่สุกสกาว และคำกระซิบพรอดข้างหูที่พร่ำบอกถึง
    ความคิดถึงเกินคณานับได้ ลมหายใจที่ลอดผ่านโพรงอกของประมุขแห่งวังพูยง
    ก็คล้ายจะติดขัดด้วยความปรารถนาที่แสนรวดร้าว


    ต่อให้กลืนกินแจจุงเข้าไว้ในอก ต่อให้สัมผัสแตะต้องลึกซึ้งกว่านี้ หรือต่อให้นั่งจับจ้อง
    มองรอยยิ้มน้อยๆ เป็นเวลานับร้อยปี ทั้งหมดนี้ก็หาได้เพียงพอต่อความรู้สึกที่ท่วมท้น
    ภายในใจได้เลย


    จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่? จะกล่าวว่าคือความปฏิพัทธ์เช่นนั้นหรือ? ถ้อยคำที่ฉาบ
    ฉวยเช่นนั้น สามารถพรรณนาความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลได้ครบถ้วนหรือเปล่า?


    ...ไม่ใช่เลย


    หากจะเรียกความรู้สึกที่ทำให้ลมหายใจชะงักห้วง ยามเห็นเพียงปลายผมของคิมแจจุงว่า
    นั่นคือความปฏิพัทธ์ ยุนโฮวอนจาก็คิดว่า คำว่าปฏิพัทธ์ของตนมากมายกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า
    ต่อกี่เท่า และหากจะเรียกความรู้สึกเหมือนกับหัวใจจะขาดรอน ยามที่ต้องจากกันว่าคือ
    ความรัก แล้วสิ่งที่มากกว่ารักจะให้ขานว่าเช่นไรกันเล่า?


    ความรู้สึกเหล่านั้นช่างมากมาย อ่าเอิบอยู่ในทุกช่วงขณะของลมหายใจเข้าออก จนไม่
    สามารถสรรหาถ้อยคำใดมาเปรียบเปรยความรู้สึกลึกล้ำเช่นนี้ได้


    ...และมันก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกที่สายตาได้สานสบหลังม่านไม้ไผ่ กับประกายตาที่สุก
    สว่างเริงโรจน์ยิ่งกว่าผู้ใด


    ในฐานะโอรสองค์โตแห่งชุงรยงชอนฮา นางในผู้งดงามกว่าร้อยคนกระมัง ที่ถูกคัดสรรค์
    ให้ทำหน้าที่รับใช้พระองค์ยามค่ำคืน


    พักตร์ผ่องเพียงจันทร์ฉาย ผิวกายนุ่มละมุน กลิ่นร่ำหอมกรุ่น คำจำกัดความถึงความงาม
    ของสาวสวรรค์กำนัลในทั้งหมดนี้ หาควรมีสิ่งใดด้อยไปกว่าบุรุษที่ถูกขนานนามว่า
    กดมีนัม...งามล้ำกว่าบุปผาเยี่ยงคิมแจจุงเลย ยิ่งด้วยฝ่ายนั้นเป็นชาย เป็นข้อจำกัด
    เป็นข้อถือสาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำให้องค์ชายผู้ฉลาดเฉลียว ตัดสินใจในชั่วแวบที่ได้ยิน
    คำร่ำลือว่า ถึงอย่างไรเสียศิลปินเอกนามอุโฆษแห่งชุงรยง ก็ไม่มีทางที่จะงดงามกว่า
    เหล่านางในได้แน่


    คำร่ำลือเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ลมปากของคนที่ไม่เคยซ้องเสพกับความงามอันประณีต
    บรรจง จึงเล่าลือใหญ่โตและกล่าวเกินจริงเสียมากมาย


    บุรุษเพียงผู้เดียวจะงามได้สักเพียงใดกัน? ปรามาสในใจเช่นนั้น พร้อมกับเยี่ยมหน้ามอง
    ผ่านม่านไม้ไผ่


    หาก...เพียงชั่วแวบของการสบตา ชั่วขณะที่ดวงตากลมโตตวัดผ่าน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียง
    การกรายปีกอย่างแผ่วเบาของผีเสื้อ กลับมีอานุภาพรุนแรงขนาดโยกคลอนสิ่งที่ทรงคิด
    สิ่งที่ทรงเชื่อมั่นมาตลอดชั่วชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


    คิมแจจุงเป็นคนงาม เป็นชายที่งามยิ่งกว่าคำกล่าวขานมากมายนัก และงามพอจะทำให้
    ผู้พบหน้าได้มองเพ้ออย่างหลงใหล


    หากความงามที่ใช้ดวงตาสัมผัส ความงามของรูปกายภายนอก หาได้มีผลประการใดกับ
    องค์ชายผู้คุ้นชินกับความงามอันประณีตเฉกเช่นยุนโฮวอนจาเลย


    แต่สิ่งที่ต่างออกไปนั้น...


    เพียงรำลึกถึงสิ่งที่กระหวัดคล้องพระหทัย รอยยิ้มบางเบาก็ผุดพรายแต้มริมฝีปากอิ่ม
    และกลิ่นหอมละมุนจากผ้าผืนน้อยในมือก็ดูเหมือนจะซ่านซึ้งไปถึงห้วงดวงใจ


    เป็นด้วยเปลวไฟพิสุทธิ์ในดวงตาคู่งาม ยามเจ้าตัวจดจ่อกับพิณบนตั่งไม้ เป็นด้วยความ
    ทุ่มเทที่มีให้แก่ดนตรีการอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นด้วยความมุ่งมั่นอย่างบริสุทธ์เช่นนี้
    กระมัง ที่ส่องประกายเจิดจ้าท่ามกลางหมู่คนแวดล้อม เป็นประกายแห่งชีวิตชีวา ที่ยากจะ
    หาได้ในชีวิตที่แสนแห้งแล้งและตึงเครียดของวังหลวง


    แจจุงจึงงดงามและตรึงตรา เสียจนทำให้องค์ชายผู้พร่ำเตือนตนเองว่า ...นั่นคือบุรุษผู้
    หนึ่ง เผลอจับจ้องมองตามทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว


    จนเมื่อบทเพลงไพเราะเหล่านั้นสิ้นสุดลง ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมฝีมือพิณอันเป็น
    หนึ่งในแผ่นดิน ยุนโฮวอนจา องค์ชายผู้เปรื่องปราดแห่งชุงรยง จึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาใน
    โมงยามนี้เองว่า บัดนี้หัวใจที่เคยเป็นอิสระของพระองค์ ถูกจองจำด้วยประกายตาสุกใส
    ของคิมแจจุง ถูกกักขังเอาไว้ในหล่มน้ำผึ้งหวานหอม อย่างยากจะหลุดพ้นจากห้วง
    ความรู้สึกลึกล้ำเช่นนี้ได้อีก


    ความงามพิลาสล้ำ ความพิเศษที่เป็นยิ่งกว่าสิ่งวิเศษใดๆ หลากประทับในความทรงจำ
    แนบแน่นในทุกห้วงลมหายใจ และจารลึกในจิตวิญญาณ


    กระทั่งยามลืมตาเช่นนี้ ภาพรอยยิ้มของแจจุงก็ยังคลอเคลียอยู่ในทุกจังหวะชีพจร ในทุก
    หนแห่งที่สายตากวาดผ่าน


    ...เป็นดั่งลมหายใจ ที่มิอาจพรากจากร่างกายได้เลย


    ความเหนื่อยยากทั้งมวลจากภารกิจมากมายในฐานะแม่ทัพภาคพื้นพายัพ หากไม่ได้
    ความโหยหาถึงแจจุงผลักดันเอาไว้ หากไม่ได้ม้วนอักษรที่ช่วยประคับประคองและปลอบ
    ประโลม หากไม่ได้การกระทำที่เป็นยิ่งกว่าการเสียสละของแจจุงชักจูง ก็ยากจะคิดฝันได้
    ว่า วันอันแสนเหน็บหนาวท่ามกลางความทุกข์ยากของดินแดนร้างไร้ทางทิศเหนือ
    จะยากเย็นแสนเข็ญเป็นทบทวีเช่นไร


    ...ทั้งๆ ที่เจ้าทำเพื่อข้ามากมายถึงเพียงนี้ แจจุง


    แต่ข้ากลับ... 


    รำลึกถึงเพียงนี้ ดวงเนตรเรียวก็หลบประกายลงใต้เปลือกตาหนา สะกดห้วงความรู้สึก
    ซับซ้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจเอาไว้กับความมืดเดียวดายภายหลังเปลือกตา แล้วปล่อยให้
    ความรำลึกถึงคนที่เป็นดั่งแสงตะวันอันสุกใสผู้นั้น ถักทอประสานไปกับท่วงทำนอง
    ระเรื่อยของยามเช้า


    เสียงเพลงหนึ่งกังวานแว่วหวานขึ้นมาจากห้วงความทรงจำ เพลงที่กล่าวว่า ปรารถนายิ่ง
    นัก ให้ข้าและเจ้าได้ครองคู่กันตราบชั่วกาลดั่งวิหคสวรรค์ ที่ข้าเป็นปีกข้างซ้ายและเจ้าคือ
    ปีกข้างขวา โบยบินคู่กันใต้ผืนฟ้ากว้างอย่างผาสุก


    ทว่า...ความคิดของยุนโฮวอนจาก็ถูกจำกัดไว้เพียงแค่นั้น จากเสียงวิหคที่แว่วผ่านด้าน
    นอกตำหนัก และเสียงกุกกักจากการเลื่อนบานไม้ด้านหลัง


    “ฝ่าบาท” เป็นโคแฮงอุน ขันทีเฒ่าผู้แสนภักดี พ่อบ้านแห่งวังพูยง ซึ่งทำหน้าที่ดูแล
    พระองค์ตั้งแต่ครั้งเยาว์ชันษา


    “เช้าวันนี้แดดงามเหลือเกิน จะทรงฝึกยุทธ์ก่อนหรือว่าจะทรงไปตรวจหน่วยทหารก่อน
    พ่ะย่ะค่ะ” 


    ดวงตาที่ปิด พลันเบิกตวัดผ่านช่องพระแกลออกไป


    แสงแดดเป็นสีทองงามกระจ่างดั่งคำพูดของขันทีเฒ่า ท้องฟ้าสีสดนั้นเล่าก็สดใสกว่าหลายวันที่เคยผ่านมาให้เห็น

     
    ทว่ามันก็เป็นดั่งเช่นเมื่อแรกแสงอุษา ในสายตาของโอรสองค์โตแห่งชุงรยงชอนฮา
    แสงแดดสีทองหาได้เป็นสิ่งที่ชวนให้ประทับใจเลย


    แต่ด้วยความอ่อนโยนในน้ำเนื้อหัวใจที่ไม่เคยปฏิเสธต่อสิ่งใด และไม่ปรารถนาจะทำให้
    ผู้ใดต้องเสียใจกระมัง ที่ทำให้ยุนโฮวอนจาพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่โคแฮงอุน
    ชี้ชวนให้ชมได้ไม่ยากเย็นนัก


    ริมฝีปากอิ่มแย้มเพียงเบาบาง ขณะทอดสายตามองการปรนนิบัติของขันทีโค
    อย่างอ่อนโยน


    เสียงการเคลื่อนไหวด้านหลังยังดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง โคแฮงอุนไม่ได้รอคำตอบจาก
    องค์ชายเพียงประการเดียว หากแต่ยังทำหน้าที่พ่อบ้านที่ดี ด้วยการเอ่ยกำชับเข้มงวด
    ให้ลูกน้องใต้บังคับของตนยกคนโทแก้วบรรจุน้ำอุ่น ที่ใช้สรงพระพักตร์ของยุนโฮวอนจา
    อย่างระมัดระวัง


    “อย่าลืมเอาผ้าห่อคนโทให้มิดชิดล่ะ เดี๋ยวน้ำจะเย็นเสียก่อน”


    “อุ้ย วอนจาตื่นบรรทมแล้ว” สาวใช้ที่เดินตามเข้ามา ส่งเสียงอุทานเบาๆ เมื่อเห็นเงาร่าง
    สูงสง่าของประมุขแห่งวังพูยงใกล้บานหน้าต่าง


    คิดว่าวอนจาจะยังไม่ตื่นบรรทมอย่างนั้นหรือ? ขันทีโคได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็จุปากให้กับ
    ความเห็นอันตื้นเขินของสาวใช้คนใหม่อย่างไม่ถือสา พลางโบกมือให้นางรีบจัดการ
    งานที่ได้รับมอบหมายมาให้แล้วเสร็จ ส่วนตัวเองนั้นเร่งส่งผ้าขาวผืนหนา ที่นึ่งมาจนอุ่น
    ร้อนให้กับเจ้านายเป็นลำดับแรก  


    วิถีชีวิตในวังหลวง อาจจะเริ่มต้นหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยสู่ทิศตะวันตก ดังที่แม่สาว
    น้อยคนนี้พูดไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยงานเลี้ยงมากมายยามค่ำคืน การร่ำสุราที่ยืดยาวต่อเนื่อง
    และความบันเทิงหลายแขนงที่มีให้เลือกสรร ดังนั้นเวลายามกลางวันของวังหลวง
    จึงเป็นช่วงเวลาที่แสนชืดชา ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหลับใหล และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมา
    ใหม่อย่างกระปรี้กระเปร่า เพื่อเสพซับแสงสีอันตระการของยามค่ำ


    ไม่ว่าตำหนักใด วังใด ในชุงรยงก็ล้วนมีวิถีชีวิตแบบนี้ทั้งสิ้น


    หากแต่... ข้อสรุปนี้หาใช้กับยุนโฮวอนจาผู้แสนเคร่งครัดได้ไม่


    นับตั้งแต่เจริญพระชันษา ปกครองวังพูยงที่ได้รับประราชทานจากชุงรยงชอนฮามา
    มีไม่เกินห้าครั้งกระมังที่องค์ชายผู้ปรีชาพระองค์นี้ ตื่นบรรทมหลังจากตะวันขึ้น
    ถ้าไม่เป็นเช้ามืดจนต้องจุดชวาลา(ตะเกียง)ขึ้นมาทรงงาน ก็ต้องมาพบพระองค์
    พร้อมพระเสโท(เหงื่อ)โทรมกาย หลังจากฝึกยุทธ์เสร็จ


    ทรงกวดขันองค์เองอย่างเข้มงวดไม่มีผ่อนปรน ปฏิบัติราชกิจได้ดีเยี่ยมไร้ที่ติ


    เป็นองค์ชายผู้สมบูรณ์พร้อม งดงาม ยิ่งกว่าราชนิกูลผู้ใดจะเสมอเหมือนได้


    เพียงแต่...


    โคแฮงอุนคิดมาถึงเรื่องนี้แล้วก็ต้องลอบระบายลมหายใจอย่างอึดอัด ก่อนจะยิ่งคับข้อง
    ใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในพระหัตถ์อีกข้างของยุนโฮวอนจาถนัดตา


    เช้าที่แสงแดดสดใสวันนี้ ประมุขแห่งวังพูยงไม่ได้ออกไปทรงม้าหรือฝึกยุทธ์อย่างที่โปรด
    ทั้งไม่ได้ทรงพระอักษร หรือที่จริงอาจพูดได้ว่า ไม่ได้ทรงทำสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจาก
    ทอดพระเนตรผ้าผืนเล็กสีเขียวในความมืดสลัวของห้องบรรทม


    อาจจะประทับนั่งเช่นนั้นมาตั้งแต่ยามรุ่งสาง หรือหากมิใช่...ก็คงจะเป็นตั้งแต่ผละจาก
    เจ้าของผ้าผืนนั้นกระมัง


    เจ้าของผ้าผู้น่าชัง!   


    “ฝ่าบาท” ขันทีโคกระแอมเสียงเบา ก่อนจะค้อมตัวยื่นผ้าขาวส่งให้อีกครั้ง


    “จะให้องครักษ์เตรียมม้าทรงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


    ผ้าสีเขียวถูกวางอย่างทะนุถนอมบนโต๊ะไม้ เห็นได้ด้วยซ้ำไปว่าปลายพระดรรชนี(นิ้ว)
    แตะไล้ อย่างอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน ก่อนจะทรงรับผ้าซับพระพักตร์มาจากขันทีเฒ่า


    “ให้เตรียมม้าก็ดี...” ถ้อยดำรัสนั้นพารอยยิ้มสู่ใบหน้ายับย่นของผู้ชรา หากก่อนที่มันจะ
    เลือนหายไปกับวาจาที่ไล่หลังขององค์ชายหนุ่มว่า


    “แล้วขนสัตว์ที่ข้าให้เจ้าคัดแยกเอาไว้เมื่อวันก่อน ได้เอาไปให้ที่เรือนพักของแจจุง
    แล้วใช่หรือไม่”


    สายตาคมปลาบหยุดที่ใบหน้าของโคแฮงอุนนิ่งๆ แม้จะไม่ได้มีความเกรี้ยวกราดใดๆ
    สำแดงออกมาเลยก็ตาม แต่ขันทีเฒ่าก็ประหวั่นในเนื้อเสียงเคร่งขรึมนั้นแล้ว ร่างอวบอ้วน
    ค้อมลงต่ำแล้วรีบบอกระล่ำระลักว่า “บ่าว...บ่าวไม่ทราบว่า ขนสัตว์ที่ทรงให้คัดไว้ จะมอบ
    แก่คุณชายคิม เมื่อวานพระสนมชองมาเยือนที่ตำหนัก แล้วตรัสว่า...ประสงค์จะได้หนัง
    จิ้งจอกหิมะไปทำภูษาคลุม(เสื้อคลุม) บ่าว...บ่าว...ก็เลย...”


    ไม่ทันจะได้กล่าวอะไรต่อ แต่พอนัยน์ตาค้นคว้าของยุนโฮวอนจา ยังไม่ละจากใบหน้า
    ยับย่น โคแฮงอุนที่สั่นงันงกไปทั้งร่างก็ขยับริมฝีปากร่ำร้อง “บ่าว...บ่าว...ไม่ทราบจริงๆ
    พ่ะย่ะค่ะ โทษผิดเป็นหมื่นๆ ครั้ง ได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วย”


    ขันทีเฒ่าทรุดตัวลงโขกศีรษะกับพื้นหินแล้ว


    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแนบแน่น ใบหน้างามสง่าประดุจหยกสลักเครียดขรึม


    ดูจากการที่ผู้เป็นมารดา ไม่เสียดายต่อการลดตัวมาแย่งชิงของกำนัลของแจจุง ทั้งๆ ที่
    ทรงมีภูษาคลุมหนังจิ้งจอกหิมะอยู่แล้วกว่าสิบตัว ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า ความรู้สึกใน
    พระหทัยของชองบูอินเป็นเช่นไร


    เวลากว่า 3 ปีที่เขาเพียรพยายามเล่าถึงความดีงามของแจจุงผ่านทางม้วนอักษร เวลา
    กว่า 3 ปีที่ปล่อยให้แจจุงระหกระเหินเผยแพร่ชื่อเสียงของชุงรยงทั่วทุกเขตแคว้น และ
    เวลากว่า 3 ปีที่ตัดสินใจรับผิดชอบภารกิจในดินแดนภาคเหนืออันห่างไกล ทิ้งให้ความ
    ห่วงอาลัยกัดกร่อนหัวใจเข้มแข็งของผู้เป็นมารดา


    เวลากว่า 3 ปีนั้น...ช่างเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง


    ปัญหาเดิม ยังไม่ได้คลี่คลายลงไปแม้แต่น้อย


    อาจจะถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนาเสียทีกระมัง!


    “ให้องครักษ์ไปเตรียมม้า” ยุนโฮวอนจาเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับสลัดชุดคลุมสีเข้มออก
    จากไหล่


    “แฮงอุนไปเตรียมอาหารกลางวันให้ข้า แล้วฝากทูลเสด็จแม่ด้วยว่าข้าจะไม่เข้าเฝ้าวันนี้”


    “ฝ่าบาท” ขันทีโคร้องเสียงดัง เหมือนจะขาดใจ แต่ก็ไม่ทันรั้งร่างสูงโปร่งที่ตวัดขา
    ก้าวผ่านประตูไม้ออกไปยังลานด้านนอกแล้ว


    ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด ยินแต่เสียงม่านมุกส่ายไหว เหลือเพียงผืนผ้าสีเขียวบนโต๊ะ
    ทรงพระอักษร ที่บาดสายตายิ่งกว่าสิ่งใด


    ต้นเหตุแห่งความบาดหมาง


    ต้นเหตุแห่งวิบัติภัย


    โคแฮงอุนตวัดสายตามองผ้าแพรผืนน้อยอย่างเคืองแค้น


    คิมแจจุง เจ้ามันช่างน่าชังเหลือเกิน!

     




    เช้าแล้ว


    จุนซูบิดกายอย่างเกียจคร้านใต้โปงผ้าห่มผืนหนา ขยับเปลือกตาขยุกขยิกไปมา แล้วก็
    ตัดสินใจม้วนผ้าผืนนั้นโอบรัดรอบกายให้แน่นหนายิ่งขึ้น เมื่อสัมผัสแผ่วๆ จากลมโชย
    บ่งบอกว่า ยามเช้าของวันนี้อากาศช่างเยือกเย็นเหลือเกิน


    อา...เขาควรจะนอนต่ออีกสัก 5 ชั่วยามดีไหม? ทารกอนามัยรำพึงกับตนเองอย่างเกียจ
    คร้าน ขณะเหยียดกายแสวงหาท่านอนที่สบายที่สุดเพื่อกลับสู่นิทรารมย์ ในเมื่อวันนี้
    ก็ไม่มีงานอะไรต้องทำนอกจากการทบทวนเนื้อเพลงเก่าๆ แล้วก็เสพสุขกับการกลับมา
    พักผ่อนในวังหลวง ซ้ำเมื่อคืนกว่าเขาจะข่มตาลงได้ก็ปาเข้าไปเสียย่ำรุ่ง เพราะมัวแต่
    พะวงรอพี่ชายคนเดียวอย่างทุกข์ร้อน ว่าจะกลับมาเมื่อไร ยุนโฮวอนจาจะกักตัวแจจุง
    เอาไว้เป็นค่อนคืนอีกหรือเปล่า ...สาบานเลยว่า ไม่เกี่ยวกับการกระทำแปลกๆ
    ของไอ้ปีศาจราคะนั่นสักนิด ไม่เกี่ยวกับการจูบนั่นจริงๆ นะ! 


    หึ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับจูบนั้นล่ะก็...ไม่แน่


    เพียงแค่นึกถึงใบหน้าเฉยชาที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับตรงมุมปากแล้ว ความรู้สึกเดิมที่จุนซู
    รำพึงกับตัวเองเมื่อกลับเข้ามาในเรือนพักเมื่อคืนก็ผุดพร่างขึ้นมา


    เสียดายนัก... เสียดายที่ตัวเองช่างใจดีเหลือเกิน ทำไมหนอถึงต่อยมันไปแค่หมัดเดียว
    เท้าที่ว่างๆ อยู่น่ะ ทำไมไม่ยันเข้าให้สักพลั่ก จะได้สาสมกับความบังอาจของเจ้าคน
    น่าตายนั่นสักหน่อย


    นี่ถ้าข้าถีบมันไปอีกสักครั้ง คงไม่ต้องมานอนเจ็บแค้นใจอยู่แบบนี้เป็นแน่แท้!


    ชายหนุ่มได้แต่คิดเช่นนั้น ขณะพลิกซ้ายพลิกขวาบนเตียงฮึดฮัด หงุดหงิดขึ้นมาสุดจิต
    สุดใจ ความอยากนอนหดหายไปกับความรู้สึกชิงชังจนหมด


    จะห้ามไม่ให้คิด มันก็คิดไปแล้ว จะสั่งให้เลิกคิด มันก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่นอนเบิกตาโพลง
    เช่นนี้


    แต่ข้ายังง่วงนอนนี่นา! จุนซูเถียงตัวเองอย่างดื้อรั้น พยายามข่มตาให้หลับลงไปอีกรอบ
    หนึ่งให้จงได้ แต่หลังจากพลิกซ้ายป่ายขวาอยู่ครึ่งชั่วยาม จนเตียงทั้งเตียงยับย่นและชุด
    นอนที่สวมอยู่ยับยู่ไม่เหลือสภาพดี นักร้องเอกแห่งชุงรยงก็ยอมแพ้ในที่สุด


    ลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วก็เดินหน้ายุ่งออกไปที่ห้องด้านหลัง  


    ทว่าพอเท้าก้าวพ้นห้องส่วนตัว กลิ่นแผ่วจางที่รำเพยมากับสายลมยามเช้าก็โชยสัมผัส
    กับฆานประสาทของจุนซู


    กลิ่นหอมๆ ของน้ำผึ้งอันเข้มข้น กลิ่นหวานจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของพกซงอา(ลูกพีช)
    แล้วก็กลิ่นที่อมเปรี้ยวเล็กน้อยแต่พาให้สดชื่นของซากวา(แอปเปิล) ทั้งหมดนี้อวลอลอยู่
    รอบกายและอบอวลในโพรงจมูกของเขา อย่างยากจะต้านทานจริงๆ


    จุนซูถอนใจน้อยๆ แล้วก็ตัดสินใจที่จะเบิกนัยน์ตาเรียวของตนขึ้นกว้างๆ เพื่อไปรับชมว่า
    ของกำนัลในเช้าวันนี้ของยุนโฮวอนจาคือสิ่งใด


    คงจะเป็นขนมหวานของโปรดข้าอีกสักสองสามถาดใหญ่กระมัง? นักร้องเอกหัวเราะกับ
    ตนเองคิกคัก อารมณ์หงุดหงิดจากเรื่องรบกวนใจจางหายไปจนแทบไม่เหลือแม้แต่เงา
    ขณะผลุนผลันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของเรือนรับรอง เตรียมตัวจะเย้าผู้เป็นพี่ชาย
    เสียสักหลายคำ


    แต่มิทันจะได้เอ่ยปากถึงสิ่งใดเลย... ทั้งปากทั้งลิ้นของจุนซูก็ดูเหมือนจะเป็นอัมพาตไป
    สิ้น พอๆ กับยูรีที่เบิ่งตาโตๆ ของนางเสียเกือบเท่าไข่ห่าน


    ไม่เพียงแต่ยูรี หากเป็นทุกคนของคณะระบำกระมัง ที่ยืนล้อมรอบห้องโถงใหญ่แห่งนี้
    แล้วก็ทำหน้าตกอกตกใจราวเห็นเง็กเซียนฮ่องเต้ตัวเป็นๆ ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้า


    ทุกผู้ล้วนเคยผ่านดินแดนต่างๆ เกินคณานับ เคยผ่านงานเลี้ยงใหญ่โตไม่รู้กี่งานต่อกี่งาน
    และเคยลิ้มชิมรสขนมหวานเป็นร้อยเป็นพันสิ่ง


    ทว่าสวรรค์เอย ไม่มีใครเลยจริงๆ ที่จะมีโอกาสได้เห็นกองภูเขาขนมหวาน ที่ยิ่งใหญ่
    ตระการตาและน่าลิ้มชิมถึงเพียงนี้


    จุนซูกลอกนัยน์ตาเรียวกระจ่างของตนไปมา และแทบจะไม่ต้องเสียเวลาขบคิดใดๆ เลย
    เขาก็ยิ้มจนนัยน์ตาทั้งสองข้างหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยว ก่อนจะคว้าขนมก้อนกลมๆ ที่อวบ
    หยุ่นแต่มีสีขาวละมุนเหมือนเกล็ดหิมะดังหมับ แล้วก็โยนมันเข้าใส่ปาก


    รสชาติที่แผ่ซ่านบนปลายลิ้นนั้น ทำเอานักร้องเอกถึงกับละเมอ


    ของกำนัลในคราวนี้ของยุนโฮวอนจา อาจกล่าวได้ว่า เป็นที่น่าประทับใจจุนซูจริงๆ
    ประทับใจเสียยิ่งกว่าถาดประดับเพชรพลอยสองสามชั้น ผ้าไหมเนื้อดีสามสิบพับ ดอกไม้
    สวยๆ หรือพิณไม้โบราณที่แจจุงนั่งลูบคลำแล้วลูบคลำอีกเป็นไหนๆ


    ของกินดีๆ กองพูนสูง มอบให้อย่างไม่ตระหนี่เช่นนี้สิ ถึงจะเรียกว่า กำนัลได้อย่างรู้ใจผู้รับ
    จริงแท้


    “ยูรี พวกขันทียกขนมมาให้ตั้งแต่เช้าเชียวหรือ” จุนซูออกปากถามหญิงสาวที่ตนสนิท
    สนมที่สุด พร้อมๆ กับหยิบก้อนขนมรสนุ่มเหมือนปุยหิมะเข้าปากอีกครั้ง
    อย่างยากจะยั้งใจได้


    “ไม่ใช่ขันทีหรอกจุนซู” ยูรีว่าอึกๆ อักๆ แต่ไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ จุนซูก็เอื้อมมือไปหยิบ
    ขนมถาดที่สอง ที่มีสีทองอร่ามและมีกลิ่นน้ำผึ้งหอมเข้มข้น มาลิ้มชิมรสก่อนแล้ว


    รสชาติของขนมถาดนี้จัดจ้านกว่าปุยหิมะในถาดแรก แต่ความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของ
    น้ำผึ้ง ผสมกับน้ำหวานที่ได้จากเกสรดอกไม้บางชนิด คลุกเคล้ากับถั่วกวนอย่างพอ
    เหมาะ แม้หวานจัดแต่ก็ช่างชื่นคอเหลือเกิน


    “มันขนมอะไรกันยูรี ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย”


    “ข้าก็ไม่รู้จัก” นางรำตัวน้อยว่า ส่ายหน้าดิก พยายามอย่างยิ่งที่จะสบกับนัยน์ตาเรียวของ
    จุนซู ด้วยปรารถนาจะสื่อความนัยบางอย่าง แต่กริยานั้นของนางช่างไร้ประโยชน์
    โดยสิ้นเชิง เพราะยามนี้สายตาของจุนซูคล้ายจะมืดบอดต่อทุกสิ่ง ได้แต่เบิกรับสีสัน
    อันงดงามตระการตาของขนมหวานน่ารักน่ากินเท่านั้น มิไยยูรีจะส่งเสียงเรียกก็แล้ว
    กลอกตาของนางจนจะพลิกกลับก็แล้ว จุนซูก็ยังมองไม่เห็นสักสิ่งอย่างที่นางกระทำ
    อย่างน่าท้อใจ


    “แล้วที่เป็นดอกไม้สีชมพูนั่นล่ะ ที่เป็นก้อนกลมๆ สีเขียวจัดเหมือนหยกนั่นล่ะ สีฟ้าจัดนั่น
    อีก แล้วสีน้ำตาลเข้มในถ้วยเล็กๆ อีก มีขนมแบบนี้ด้วยหรือยูรี”


    “จุนซู” ยูรีเรียกเสียงเบา พร้อมกับสะกิดที่บ่า แต่คนคลั่งขนมหวาน เมื่ออยู่ท่ามกลางขนม
    หวานแบบนี้มีหรือที่จะรับรู้สรรพสิ่งรอบกายได้


    จากที่เดินเมียงมองข้างๆ เก้าอี้อย่างสำรวม มาในเวลานี้จุนซูเริ่มกระโดดโลดเต้นไปทั่ว
    ห้อง หยิบขนมแต่ละชนิดขึ้นมาชิมรสอย่างรื่นเริง ไม่ผิดจากผีเสื้อตัวน้อยที่กรายปีกร่ายรำ
    ท่ามกลางหมู่บุปผา


    “อ๊ะ แล้วที่ทำเป็นผลไม้ชนิดต่างๆ นั่นล่ะ” ถาดที่วางอยู่ด้านนอกสุดที่จุนซูเพิ่งเห็น น่ากิน
    เหลือเกิน ทั้งถาดจำลองเป็นผลไม้เล็กๆ รูปร่างสีสันเหมือนจริง กระทั่งในยามที่เขาจรด
    จมูก สูดดมกลิ่นหอมบนผิวขนมที่วาววับเหมือนเคลือบน้ำตาลแก้วเอาไว้ ยังได้กลิ่นจางๆ
    ของผลไม้เหล่านั้นซ่านออกมาด้วย


    “นี่ต้องเป็นอย่างที่พิเศษที่สุดแน่ๆ ยูรี มันเรียกชื่อว่าอะไรหรือ” พร้อมๆ กับที่ออกปากถาม
    ยูรี จุนซูก็คว้าผลไม้ที่ทำเลียนแบบผลคยูล(ส้ม) สีส้มจัดจ้าขึ้นใส่ปาก


    รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมของผิวส้มชวนให้ชื่นใจ น่าหยิบขึ้นมากินอีกสักหลาย
    คำจริงๆ


    ถ้า...ถ้าไม่มีเสียงตอบที่แสนคุ้นหูเสียงนี้ ดังขึ้น!


    “เป็นขนมจากดินแดนอุษาคเนย์ที่ห่างไกล ข้าให้คนครัวปรุงมันขึ้นมาใหม่ โดยเพิ่มน้ำ
    เชื่อมผลไม้ซึ่งเป็นผลผลิตเฉพาะของวูยองเข้าไป รสชาติของขนมแม้จะกล่าวอย่างถ่อม
    ตัวเพียงไรก็ตาม แต่ด้วยนามที่วูยองชอนฮาประทานให้ว่า พฤกษจำแลง ก็ย่อมแสดง
    ความเลิศล้ำได้เป็นหนึ่งมิมีสอง”


    คนตอบคำถามไม่ใช่ยูรี หากแต่เป็น ปาร์คยูชอน จักรพรรดิวารี


    ไอ้ปีศาจราคะ!


    ให้ตายดับไปตรงนี้ จุนซูก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่า หลังจากที่ฝ่ายนั้นกระทำการที่ภูตผี
    ต้องสาปแช่ง และผู้คนต้องก่นด่าโคตรเง้าศักราชเจ็ดชั่วโคตรไปเมื่อคืนแล้ว จะอาจหาญ
    ถึงขนาดมาเยี่ยมเยือนเขาถึงเรือนพักศิลปิน


    ขวัญผยองเทียมฟ้า ความหนาของหน้ามากกว่าผู้ใดในโลกาจริงๆ


    “เจ้า...” จะให้เจรจาความกับคนที่บุกประชิดตัวอย่างไร้สามัญสำนึกเช่นไร กล่าวต้อนรับ
    เฉกอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติเยี่ยงนั้นหรือ


    สวรรค์! เพียงคิดเช่นนั้น ข้าก็คันคะเยอคล้ายผื่นจะขึ้น


    “ใช่ จุนซู เขานี่ล่ะที่นำขนมมาให้” ยูรีโผล่หน้าออกมาเจรจาจากฟากหนึ่งของกองขนม
    ทำท่าโล่งใจอย่างที่สุด


    มันจะดีกว่านี้มากยูรี ถ้าในมือของเจ้าจะไม่กำขนมปุยหิมะของข้าเอาไว้!


    มิใช่สิ...ไม่ใช่ขนมปุยหิมะของข้าอีกแล้ว จุนซูสลัดศีรษะ ไล่ความคิดเจ้าข้าวเจ้าของ
    ออกทันที


    พลันที่รู้ว่าขนมเหล่านี้เป็นของกำนัลจากจักรพรรดิวารี ทุกอย่างก็คล้ายจะขื่นคอไปสิ้น 


    เสียดายลิ้นที่กินขนมเหล่านี้ไปจริงๆ


    “ก็แล้วทำไมเจ้าไม่บอก เอาตอนที่ข้าถูกมันลักพาตัวไปแล้วเล่า นางมารร้าย” จุนซูขึงตา
    ใส่ แล้วกระซิบกระซาบอย่างดุร้ายข้างหูสหายต่างเพศ


    แต่ไม่ต้องกังวลกับยูรีหรอก นางไม่มีสลดแม้แต่น้อย แม้จะโดนจุนซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่
    อย่างไรก็ตาม ยูรีแลบลิ้นออกมายาวๆ แล้วบอกอย่างซุกซนว่า “ก็เจ้าไม่ฟังข้าเลยนี่น้า
    มัวแต่ตะกละจะกินขนม ข้าส่งสายตาให้เท่าไรเจ้าก็ไม่เห็น บอกอะไรเจ้าก็ไม่ฟัง แล้วจะ
    มาว่าข้าได้อย่างไร”


    “เจ้าปล่อยให้เขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”


    “เขาถือรับสั่งของอึนจองวังเซจามาด้วย จะให้ข้าทำไม่รู้ไม่ชี้หรือ”


    “เจ้าก็รู้ว่าเมื่อคืน เขาทำให้ท่านพี่ไม่พอใจอย่างมาก”


    “แต่เขามีรับสั่งของอึนจองวังเซจา จะให้ข้าปิดประตูไล่แขกหรือ”


    “เจ้าควรจะโดนตีมือให้หัก ฐานที่เปิดประตูรับแขกเข้ามา”


    “ถ้าเช่นนั้น ให้ข้าตีขาแขกดีกว่า เขาจะได้เข้ามาในเรือนรับรองไม่ได้ เจ้าว่าดีหรือไม่”


    สองคนสุมหัวกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาเลย ยิ่งมาก็ยิ่งดัง เหมือนกับจะตะโกน
    เล่นปาหี่กลางตลาดสดไม่มีผิด และยิ่งในประโยคท้ายๆ นั้น ความเอาแต่ใจเหมือนเด็ก
    ของจุนซู ทำให้คนฟังก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอา แล้วก็จับสายตามองตามกริยาน่าเอ็นดู
    ของฝ่ายนั้นตาแทบไม่กะพริบ


    ริมฝีปากสีแดงสดที่ขยับขึ้นลงยามเจรจาความ ดูฉ่ำชื้นชวนให้สัมผัสเช่นเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
    แล้วยังน้ำเสียงหวานนั่นอีก แม้จะแหบพร่าเพราะเป็นเวลาเช้า แต่มันจะน่าฟังสักเพียงใด
    หนอ หากเจ้าตัวจะใช้เอ่ยคำรักยามคลอเคลียแนบกายเขา เมื่อแรกลืมตาตื่นหลังจาก
    ผ่านวิกาลแรกด้วยกัน


    และที่วิเศษสุดกว่าสิ่งใดนั้น...


    ยูชอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทอดสายตามองผ่านเสื้อคลุมนอนเนื้อบางที่อีกฝ่ายสวม
    หลวมๆ อย่างพึงใจเป็นที่สุด ผิวกายผ่องเป็นยองใยที่ซุกซ่อนอย่างมิดชิดในชุดพิธีการ
    มาบัดนี้เขาได้เห็นมันเต็มตาแล้วในระยะประชิด รวมทั้งพลอยประดับสีชมพูจางที่แต่งแต้ม
    บนแผ่นอกขาวพร่างตา


    ...ทั้งหมดนี้ ทำให้คิมจุนซูงามจนยากที่เขาจะยั้งใจให้ทำได้แค่มองจริงๆ   


    “ทำไมท่านพี่ยังไม่ออกมาล่ะ” จุนซูว่าเสียงแห้งอย่างยอมแพ้ในท้ายที่สุด เขาตะโกนกับ
    ยูรีจนเหนื่อย ก็ไม่เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายจะลุกจากห้องด้านในออกมาที่นี่สักที


    “เจ้ารอแจจุงหรอกหรือ” ยูรีร้องว่าออกมาแค่นั้น แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อย
    อ่อน นางใช้ชายแขนเสื้อ
    ซับเม็ดเหงื่อที่ไรผม ก่อนจะถอนใจยาว


    “แจจุงออกไปตั้งแต่ตะวันเพิ่งจะทอแสงรำไรที่ขอบฟ้าน่ะจุนซู”


    “หา!”


    “ยุนโฮวอนจามารับแจจุงออกไปชมทุ่งบุปผาด้วยกัน”


    “หา!!”


    “เช่นนั้น ท่านคงต้องเป็นผู้รับรองอาคันตุกะในวันนี้แล้วล่ะจุนซู” แขกเมืองผู้ทรงเกียรติ
    ที่รับฟังวิวาทะของทั้งสองคนมานาน ช่วยสรุปให้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ในหน้า พลางสืบเท้า
    เข้ามาใกล้ร่างของจุนซูด้วยกริยาที่ไม่น่าวางใจเลย


    รอยยิ้มที่แปลความยาก กริยาจาบจ้วงอย่างถือดี การแตะต้องอย่างหยาบคายเมื่อคืนนี้
    และสายตาที่จ้องมองราวกับจะเปลื้องผ้าเขาออกทั้งตัว ทั้งหมดนี้สร้างความสะพรึงกลัว
    ให้แก่นักร้องเอกแห่งชุงรยงอย่างยากจะระงับได้


    ยิ่งกับจุมพิตที่เป็นเหมือนฝันร้าย สัญลักษณ์แห่งความรักที่ควรจะมอบให้แก่คนรักกลับถูก
    ช่วงชิงไปอย่างน่าละอาย ฉะนั้นแล้ว อย่าหวังเลยว่า คนอย่างคิมจุนซูจะยอมอ่อนข้อให้
    กับอีกฝ่ายในฐานะแขกเมืองผู้ทรงเกียรติ! 


    “ข้าจะไปล้างหน้า” จุนซูพูดแค่นั้น ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนพักด้านหลัง แต่ด้วย
    มารยาทที่พึงมี เขาก็ได้แต่สั่งให้ยูรี จัดเตรียมน้ำชามารับรองจักรพรรดิวารีผู้นี้สักกาหนึ่ง


    “ขนมล่ะจุนซู” ยูรีส่งเสียงท้วง ไม่รู้ว่าแสร้งไม่รู้หรือปรารถนาจะแก้เผ็ดอาคันตุกะผู้นี้กันแน่
    แต่จุนซูก็อาศัยโอกาสอันดีงามนั้น เหน็บแขกเมืองที่เชื้อเชิญตัวเองลงนั่งกับเก้าอี้ไม้
    เสียเต็มปากเต็มคำโดยไม่รักษาบุคลิกนักร้องเอก ผู้งามพร้อมใดๆ อีกแล้วว่า


    “เจ้าก็ช่วยกันกับเพื่อนๆ ลองชิมขนมพวกนั้นดูก็แล้วกันยูรี ถาดไหนชิมแล้วไม่ถูกลิ้น
    ก็ยกไปสนองแก่ท่านปาร์คเถอะ ประเดี๋ยวท่านจักรพรรดิวารีก็กลับแล้ว จะจัดหาของใหม่
    ให้สิ้นเปลืองไปทำไมกัน”






    ทุ่งบุปผาของชุงรยง แม้จะได้ชื่อว่าทุ่งบุปผา หากในความเป็นจริงแล้ว ทั่วทั้งท้องทุ่ง
    สีเขียวขจีแห่งนี้ ที่เบ่งบานประชันขันแข่งก็เป็นเพียงดอกหญ้าธรรมดาสามัญ สีสันแปลก
    ตา ชูช่อดอกและเรียวใบสีเขียวซีดท่ามกลางการโอบล้อมของขุนเขาสีขาวโพลนเท่านั้น
    ส่วนไม้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งเหล่าบุปผา เพิ่งจะพลิกฟื้นจากการหลับใหลอัน
    ยาวนานภายใต้ปุยหิมะของเหมันตกาล และแตกหน่อสีเขียวเล็กๆ บนกิ่งก้านแห้งโกร๋น
    หาได้ผลิดอกงดงามให้ชื่นชมไม่


    ยามนี้เร็วเกินไปจริงๆ สำหรับการชมทุ่งบุปผา และเวลาที่เหมาะสมซึ่งโหราจารย์กำหนด
    ให้เป็นราชพิธีชมบุปผาของชุงรยง ก็ต้องทอดเวลาหลังจากหิมะสุดท้ายละลายไปอีก
    สี่สัปดาห์


    เวลานั้นอาจจะเหมาะสมสำหรับการกิน ดื่ม และชื่นชมทิวทัศน์อันงามตระการของทุ่ง
    บุปผาก็จริง แต่ทว่าหากผู้รู้ใจไม่ได้ร่วมชมดอกไม้เคียงข้างกัน มวลมาลีนับร้อยนับพัน
    ดอกที่บานสะพรั่งยามนั้นจะมีความหมายได้อย่างไรเล่า?


    ดังนั้นแล้ว แม้ทิวทัศน์ยามแรกฤดูวสันต์ ณ ที่นี้ จะไม่สวยงามอะไรนักหนา มีเพียง
    ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ปุยเมฆขาว และท้องฟ้าสีคราม ทอดตัวอิงแอบกับภูไพรกว้าง
    ทว่าในสายตาของยุนโฮวอนจา น่ากลัวว่าทุ่งบุปผาของชุงรยงในเช้าวันนี้จะงดงามยิ่งกว่า
    สวนสวรรค์ของปวงเทพเจ้าไปเสียอีก คงจะงามยิ่งนักเมื่อมีผู้รู้ใจควบขับอาชาเคียงใกล้
    และงามบาดตาเหลือใจ เมื่อยามที่แสงแดดจัดกล้าสีทองนั้น สาดประกายกับใบหน้า
    ที่เรื่อด้วยรอยยิ้มสุกสว่าง


    ไม่มีสิ่งใดสำคัญเลยสำหรับแม่ทัพผู้ผ่านศึกเหนือมาเป็นสิบเป็นร้อย ไม่สำคัญเลยสักนิด
    กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเปรื่องปราดในการศึกอย่างหาคนจับยาก มาในวันนี้กระทั่งหมู่องครักษ์
    ที่ควบม้ารายล้อม นัยน์ตาเรียวยาวคู่นี้ก็มืดบอดไปสิ้น 


    ทุกสิ่งของคนผู้นี้ครอบงำความรู้สึกทั้งมวลของเขาไว้จริงๆ และยังย้อมอาบหัวใจดวงนี้
    ให้โลดแรงด้วยความมึนเมาอย่างยากจะไถ่ถอนได้


     “เหนื่อยหรือไม่แจจุง” คำถามอ่อนโยน ได้รับเพียงรอยยิ้มสดชื่นเป็นคำตอบกลับมา
    จากนั้นอีกชั่วอึดใจ เจ้าตัวจึงค่อยแย้มริมฝีปากสีสดน้อยๆ  


    “ข้าขึ้นเหนือล่องใต้มานานปี ท่านอย่ากังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้เลย”


    นัยน์ตาดำสนิทกวาดมองทั่วร่างของผู้ที่ควบม้าเคียงข้างอย่างไม่ยอมผ่อนปรน
    มองลึกลงไปใต้รอยยิ้มสะคราญอย่างค้นคว้า แล้วจากนั้นชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจ
    แผ่วเบา 


    “ขึ้นเหนือล่องใต้มานานปี” เขาพึมพำเสียงขื่น ก่อนจะทอดถอนใจด้วยความปวดร้าว
    “ลำบากเจ้ามากแล้วจริงๆ”


    ลำบาก? เช่นนั้นหรือ? แจจุงรำพึงกับตนเองเงียบๆ มองใบหน้าเรียวงามดั่งหยกสลัก
    ที่อยู่ใกล้แน่วนิ่ง ก่อนจะสลัดความคิดเกี่ยวกับความยากลำบาก ที่ตนเองต้องเผชิญ
    ตลอดระยะเวลาแห่งการพลัดพราก ทิ้งอย่างไม่ไยดี


    ...ในเมื่อข้าเลือกที่จะทำเพื่อท่าน และผลตอบแทนของการกระทำนั้นก็เป็นเพื่อท่าน
    ยังจะมีความยากลำบากใดให้ต้องกล่าวอ้างถึงอีกหรือ?


    “ต่อให้ลำบากกว่านี้อีกสักสิบเท่า ข้าก็ไม่มีทางพูดเช่นนี้หรอก” เจ้าของดวงตากลมโต
    ได้แต่บอกออกมาเช่นนั้น พร้อมกับเชิดริมฝีปากเสียสูงชัน


    “ท่านคิดว่าคิมแจจุงผู้นี้เป็นสตรีร่างบาง ที่ต้องอบร่ำหอม ฝังตัวอยู่ในหอห้องเช่นนั้นหรือ?
    ขึ้นเหนือล่องใต้เช่นนี้ไม่ครนามือข้าหรอก ท่านแม่ทัพใหญ่”


    “แล้วเช่นไรจึงจะให้เจ้าพูดว่าลำบากได้” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ปรารถนาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ท่าน
    แม่ทัพใหญ่แห่งชุงรยงก็ได้แต่คล้อยตามผู้บังคับบัญชาหัวใจอย่างโอนอ่อนแล้ว


    ยากจริงๆ ที่จะเอ่ยถ้อยคำใดขัดใจคนผู้นี้ได้ เพียงแค่แจจุงย่นคิ้วเพียงเล็กน้อย ก็ปวดร้าว
    ไปหมดทั้งหัวใจ


    “อาจจะเช่นว่า...” มือที่บังคับอาชาตัวงาม ผ่อนบังเหียนลง ไม่รู้ว่าเป็นด้วยความรู้สึกน้อย
    เนื้อต่ำใจอันยาวนาน การเจียมตัวอย่างขลาดเขลา หรือว่าด้วยความประหวั่นที่ฝังลึก
    อยู่ในน้ำเนื้อหัวใจหรือไม่ ที่ทำให้แจจุงหลุดปากออกไปว่า


    “...ท่านไม่ปรารถนาข้าอีกแล้ว ท่านตัดสินใจเลือกชายาอย่างจริงจังเสียที และมองข้า
    เป็นเพียงสหายรู้ใจผู้หนึ่งกระมัง”


    ใต้แสงตะวันสุกสว่าง อาชาที่ห้อเคียงคู่กันพลันถูกมือแข็งแรงรวบกำบังเหียน
    อย่างรวดเร็ว แล้วร่างในชุดสีขาวที่นิ่งคิดเผลอไผล ก็พลันถูกกระชากรั้งเข้ามาร่วมอานม้า
    สีดำสนิทอย่างดุดันโดยไม่ทันให้ตั้งตัว


    “ท่าน!” แจจุงอุทานออกมาเสียงดัง หัวใจเต้นโครมครามผิดจังหวะขึ้นมาทันที


    เดิมทีเขาคิดจะต่อว่าฝ่ายนั้นสักหลายคำ ค่าที่ทำตัวได้ราวกับทารก เห็นเขาเป็นสิ่งของ
    หรือไรกัน ที่พอนึกจะคว้าขึ้นมาอุ้ม ก็หยิบฉวยจากหลังม้าที่กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าขึ้นมาอุ้ม
    ง่ายๆ


    คนเขาจะตกใจตายเพราะท่าน รู้หรือไม่ยุนโฮวอนจา!


    แต่แล้วเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นข้างหู และริมฝีปากอุ่นที่ประทับจุมพิตซ้ำๆ บนเรือนผม
    ยาวอย่างถนอม แจจุงจึงได้แต่ทอดตัวนิ่งๆ ในพันธนาการที่แสนแน่นหนา แล้วรับฟัง
    ถ้อยคำเจรจาอย่างสงบ  


    “ได้โปรดอย่าพูดเช่นนี้อีก ได้โปรดอย่ากล่าวคำเลวร้ายแบบนี้อีกได้ไหมแจจุง” อ้อมแขน
    แข็งแรงโอบรัดแน่นรอบกาย ใบหน้าคมสันซุกซบลงกับซอกคอขาวผ่องอย่างสิ้นแรง


    แม้การกระทำนั้นจะดุดันเยี่ยงอยู่ในห้วงสมรภูมิสักเพียงใด ทว่าแจจุงก็ได้แต่ยอมรับกับ
    ตนเองอย่างปลื้มใจว่า อันตรายที่เกิดจากอ้อมกอดของยุนโฮวอนจา สำหรับตัวเขาแล้ว
    ที่ร้ายแรงที่สุดคงมีจะแต่ความตระหนกใจเท่านั้นกระมัง ด้วยอ้อมกอดนี้ทะนุถนอมเขา
    อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก จะแตะจะสัมผัสที่ใดก็นิ่มนวลระแวดระวัง ราวกับกลัวว่า
    ฝ่ามือหนาซึ่งคุ้นเคยต่อการกำจับด้ามอาวุธจะเผลอทำร้ายให้เขาต้องเจ็บปวด


    เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการกระทำนั้นแม้สักปลายก้อย หาก...คำพูดของเขา
    คำพูดที่ขาดการไตร่ตรองประโยคนั้น กลับทำร้ายหัวใจคนรักอย่างหนักหน่วง


    ประโยคที่พึมพำข้างหู จึงได้เข้มงวดจนข้นเข้มปานนั้น


    ...ผิดอีกแล้ว ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เหนือสิ่งที่ควรกระทำ


    “ข้าขอโทษ” แจจุงได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ เช่นนั้น ขณะเอนกายอิงกับเรือนร่างงามสง่า
    แล้วปล่อยให้แสงแดดรังรอง และความอบอุ่นจากอ้อมแขน ซึมซาบผ่านสัมผัสอ่อนโยน
    ที่พันธนาการกาย


    เสียงของหัวใจที่ไหวสะท้อนด้านหลัง ดังหนักแน่น


    เป็นหัวใจของท่าน? ของข้า? หรือว่าของเรา?


    “จะให้ข้าควักหัวใจออกมาให้เจ้าดูดีหรือไม่แจจุง ให้รู้กันไปเลยว่า ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
    ไปจากเจ้าตราบชั่วชีวิต”


    “ถ้าหากท่านควักมันออกมา แล้วจะเหลือหัวใจที่รักข้าอยู่อีกหรือบนแผ่นดินนี้” เสียง
    หวานถามเนิบนาบ ร่างโปร่งบางทอดพิงแผ่นอกกว้างอย่างเกียจคร้าน ช้อนดวงตากลม
    โตคู่งามขึ้นประสานสายตากับเขา แล้วร้องว่า “ให้มันอยู่กับท่านเถอะยุนโฮวอนจา แล้ว
    ท่านก็ร้องบอกข้าเช่นนี้ทุกครั้งในยามที่ข้าร่ำร้องอยากได้คำตอบหวานๆ สักวันละ
    สามเวลา ได้หรือไม่ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้วุ่นวายในราชกิจ”    


    วันละสามเวลา ร้ายกาจเกินไปแล้วคิมแจจุง!


    “เด็กเอาแต่ใจ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วอย่างดุดัน ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะขบเม้มละเลียดไล่
    ตามลำคอขาวผ่องอย่างเชื่องช้า ลมหายใจผ่าวร้อนเป่ารดตามผิวเนื้อนวลเนียน


    สัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับ แทบจะทำให้แจจุงหลอมละลายอย่างสิ้นแรงในอ้อมกอดอบอุ่น


    “จะให้ข้าลงโทษเจ้าอย่างไรดี”


    ลงโทษเช่นนั้นหรือ? ยุนโฮวอนจาเห็นรอยยิ้มอ่อนหวานของคนในอ้อมแขน เงยขึ้นถาม
    ความเช่นนั้น


    จะตัดใจลงโทษข้าได้จริงๆ หรือ? แววตาไหวระริกด้วยรอยยิ้มหัว ปรือปรอย ถามไถ่ซ้ำ


    มือเรียวงามผลักไสแขนแข็งแรง ดูคล้ายกึ่งโอนอ่อนกึ่งปฏิเสธ


    ...เป็นยอดสุรา ที่ทำให้มึนเมาแค่เพียงได้สูดกลิ่นจรุงจริงๆ


    ลมหายใจผ่าวร้อน เป่าผ่านเข้ามาในหูของแจจุงเบาๆ อย่างกลั่นแกล้ง และเมื่อคนใน
    อ้อมแขนย่นคอหัวเราะคิกคัก เอนกายหลบอย่างไร้เดียงสา ริมฝีปากแดงระเรื่อซ่านกลิ่น
    หอมที่แย้มยิ้ม ก็พลันถูกผนึกตราประทับอย่างอ่อนโยน


    “ตราบชั่วชีวิตดีหรือไม่แจจุง ให้ข้าลงโทษเจ้าเช่นนี้”


    สายตาสบประสาน ความในใจหวานล้ำถูกเรียงร้อยผ่านประกายตาพราวแพรว


    “เพียงพอหรือ?” เสียงกล่าวเพิ่งขาดหาย ริมฝีปากสีแดงปานหยาดหยดก็ถูกช่วงชิง
    อีกครั้ง


    ...กับการลงโทษที่หวานล้ำเช่นนี้ หาได้เพียงพอต่อความปรารถนาเลยจริงๆ


    ลมฤดูวสันต์หอบกลิ่นหอมกำซาบซ่านเต็มอก ปลายลมแผ่วพลิ้วหยอกล้อไล่กับปลายผม
    ยาวที่กวัดไหวอ่อนโยนบนลาดไหล่เข้มแข็ง เสียงกระซิบกระซาบของสองคนสำรวล
    ลั่นก้องทุ่งกว้าง


    พิณไม้อู่ถงกังวานใสไหลระเรื่อย นุ่มนวลระรื่นโสตอย่างอ่อนโยน ด้วยเสียงเอื้อนใสเสนาะ
    ขับคลอทำนองพิณหวานล้ำ เพลงนั้นกล่าวถึงความรักอันตรึงตราที่มั่นหมายจะให้ยืนยาว
    ดั่งวิหคสวรรค์ ที่โผบินคู่กันด้วยปีกคนละข้างทั่วผืนฟ้า


    “ให้ท่านเป็นดั่งปีกข้างซ้าย และข้าเป็นดั่งปีกข้างขวา ใต้ผืนนภาแห่งนี้มีเพียงเราสอง ครองคู่กันตราบชั่วกาล ครองคู่กันตราบชั่วกาล...ชั่วนิจนิรันดร์”  


    ปลายเสียงทอดยาวอ้อยอิ่ง แผ่วไกลถึงสรวงสวรรค์ ดั่งคำสวดอ้อนวอน







    Let's talk
    หายไปนาน แถมมาเรื่องเดียวอีก ฮี่ฮี่ น่าเกลียดเนอะ ^^
    ขออ้างว่าช่วงนี้ปาล์มวุ่นวายกับการย้ายบ้าน ย้ายถิ่นฐานและที่ทำงานค่ะ
    ในตอนนี้ไม่เชิงว่าเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่อะไรมันเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาหน่อย
    ยังไม่มีเน็ตใช้ที่ห้องนะคะ ต้องรบกวนที่ทำงานอยู่เลย ดังนั้นมาได้ทีละขยักเท่านั้น
    เลือกมาต่อเรื่องนี้ด้วยเหตุผลว่าหายไปนาน แล้วก็อยากจะแก้ตัวในบทที่แล้ว
    ที่ความหวานมันน้อยไปหน่อย ยุนโฮวอนจาเลยถูกท่านผู้อ่านบอกว่าไม่รักแจจุงจริงนี่นา
    แหม อ่านบทนี้แล้วขอถามว่า ยังคิดว่ายุนโฮวอนจาไม่รักแจจุงอีกไหมคะ ฮี่ฮี่
    คือจะบอกว่าเขียนไปแล้วแอบคิดในใจว่านายเอกปาล์มนี่ช่างแรงจริงๆ
    แต่อย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่แอบแรงก็ไม่ใช่แจจุงคนงามสิ (มั่นใจสุดๆ บุคลิกนายเอกชั้นต้องมั่นเท่านั้น)
    ส่วนอีกคู่ ไม่อยากจะบอกว่า ยิ่งเขียนไป ทวนไปในวันเกิดปาร์คคุงแล้วก็ขอโทษน้องในใจ
    รายนี้ยิ่งเขียนก็ยิ่งโรคจิตน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำให้สมรักกับจุนได้อย่างสมจริงไหม
    ท่านผู้อ่านที่รักจะยอมรับได้กับสิ่งที่พาไปหรือเปล่าหนอ อืมมมม แต่มันยังอีกนานนะคะ ^^
    ส่วนเรื่องต่อไป กะว่าจะเอามักเน่มาลงค่ะ เก็บปาร์คในฮักไว้ก่อน
    อยากเขียนถึงชางมิน คิดถึงคนนี้ใจจะขาด
    ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่หนอ T.T
    แล้วพบกันตอนหน้านะคะ



    Micky sarang     น้องแกนคะ เสียงทวงบอกว่าอยากอ่านเรื่องนี้มากกกก หลอนจนพี่เอาไปฝัน
    เลยต้องเอามาแปะตอนนี้อย่างว่อง (ตาพลิกกลับค่ะ เห็นนะว่าค้อนตาคว่ำ ปากขมุบขมิบว่าอย่างว่องเหรอคะ ฮา)
    ตอนนี้มีแต่ฉลากเขียว คู่สามัญประจำบ้าน คงอ่านได้เนอะ ฮี่ฮี่
    ส่วนปีศาจราคะท่านนั้น ยังโรคจิตและร้ายได้อีกค่ะ จุนก็ร้ายพอกัน กะว่าให้ฟัดกันเลืออาบท่าจะสนุกดี
    แบบขิงก็ราข่าก็แรง เด็กดื้อเจอกับคนหื่น น่าจิสนุกดีเนอะ ฮิฮิ
    มารอเลื่อยขาเก้าอี้กันดีไหมมมม แต่สงสัยว่าตอนนี้ออกไป น่าจะมีแต่คนกรีดร้องว่า
    ยุนโฮฮฮฮฮ เค้าจิเอาแบบนี้มั่ง มากกว่ามั๊ง


    piya  ยังยืนยัน นั่งยันว่า ยุนรักแจน๊าาาาาาาาาา ดูเอาสิตอนนี้น่ะ ฮึ
    แจของปิยะไม่ได้รักข้างเดียว ข้าวเหนียวนึ่งนะเออ ยุนก็รั๊กกกกกแจน๊าาาาาา
    เค้าแค่กั๊กตอนที่แล้วเอาไว้มากไปหน่อย แก้ตัวบทนี้นะค๊า หวังว่าคงให้อภัย
    และยูชอน ฮิยะยะ ชายท่านนี้เหลือจะกินจริงๆ ค่ะ


    nana น้องน้ำต้องลับมีดรอเชือดพี่แน่ๆ ในฐานที่หายไปนานมากกก
    เอ่อ ขออำภัยอย่างแรงนะคะ แต่กลับมาแบบยาวพอประมาณ หวังว่าคงให้อภัย
    ส่วนกรณีที่น้องน้ำเจอเนี่ยน๊า เป็นพี่พี่ทำแบบจุนค่ะ ไม่ถึงขนาดต่อย แต่อย่างน้อยก็ต้องโดนสักอย่าง
    อาจจะเล่นลับหลังแต่ไม่ยอมให้รอดไปเด็ดๆ (สตรีผู้นี้น่ากลัว ฮ่า)
    จุนซื่อไร้เดียงสาแต่ก็แมนนะเออ ถึงจะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก ยังคิดถึงการกุมมืออยู่
    แต่ออร่าหื่นของตาปาร์คก็น่ากลัวจนน้องรู้สึกได้ค่ะ
    ความรู้สึกรักของยุน อืมม บทนี้ไหวไหมนะ ขอให้ช่วยตัดสินหน่อยเถอะค่ะ ^^


    เด็กยกตู้เย็น   น้องพู่ขา น้องไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ค่ะ มีอีกหลายเสียงยืนยันความไม่หวานของยุน
    ดังนั้นแก้ตัวด้วยบทนี้ค่ะ ขออภัยอย่างรุนแรง
    ส่วนแจเนี่ยก็นะ เค้าสวยเลือกได้ และคนที่ทำให้หวั่นไหวก็น่าเคี้ยวเหลือเกิ๊นนนน ฮ่า
    และปาร์คกะจุน เป็นอะไรที่รู้สึกสนุกเวลาเขียนมากเลยค่ะ เขียนลื่นพรืดมากมาย
    ได้รับกำลังใจแล้วนะคะ ^^


    พี่แอ๊นท์ ขอบคุณที่ชอบจุนบุคลิกนี้นะคะ
    ส่วนอีกคู่และอีกคนน่ะ พี่แอ๊นท์คะ เราได้ชื่อว่าแม่ยกพี่ยกชางมิน
    มีหรือคะที่จะทำให้น้องวืดดดดดดด ไปเสียง่ายๆ
    รับรองว่าชางมินน่ะ มีคู่แน่นอนค่ะ ฟันธงงงงง


    shim     ขอบคุณค่า ฟิคเรื่องนี้พีเรียดเยิ่นเย้ออลังการ์นิดนึงนะคะ
    คุณชายปาร์คมิอยากจิบอกว่าเขียนง่ายมาก แค่นิดถึงน้อง แคแรคเตอร์นี้ก็ลอยมาแล้ว ฮ่าฮ่า
    ส่วนคู่ยุนแจและชางมินนั้น อุ๊บอิ๊บ อุอุ อิอิ
    เห็นด้วยว่าชายผู้นั้นช่างเท่ห์เกินห้ามใจจริงๆ ค่ะ


    โซลอง     พี่น้องทูคิมเป็นอะไรที่น่ารักสุดๆ ปาล์มก็ชอบโมเมนต์แจดูแลจุนมากเลยค่ะ
    ส่วนฤทธิ์ตาปาร์คก็ต้องดูกันต่อปายยยยยยนะคะ
    ยุนแจน่ะ หวังว่าจัดมาบทนี้จะรู้สึกถึงยุนมากขึ้นนะคะ
    ปาล์มน้อมรับความผิดพลาด การอมพะนำบทที่แล้วค่ะ
    ท่านผู้อ่านที่รักเลยคิดว่ายุนไม่รักแจกันไปหมด เอิ่มมม อภัยให้ปาล์มต้นใหญ่ๆ ด้วยนะคะ


    kawhom      โอ้วววว การคาดเดาของคุณข้าวหอมน่าตะลึงตึงตึงอะไรเช่นนี้
    แหมมมมม ก็นะคะ ไม่งั้นปาล์มจะให้เจอกันบทแรกเหรอ (อ้าววววว ฮ่า)
    บทนี้หวานก็ไม่หวานเจี๊ยบนัก คุณข้าวหอมต้องบอกว่าขมติดปลายลิ้นอีกชัวร์
    มันก็เป็นเช่นนี้ล่ะค่ะ เรื่องนี้น่ะ
    ขอยืมคำพูดของน้องพัชแจมาบอกว่า ความยุติธรรมไม่มีในโลกหรอกและตาชั่งข้าพเจ้าก็เอียงสุดชีวิตตตต


    sweetmeatball     ขอบคุณที่ติดตามอีกเรื่องนะคะ
    แกนบอกว่าเธอชอบเรื่องนี้มากกว่าเพราะมันปลาบู่ทองดี ฮา
    ขอบคุณที่ชอบเรื่องสำนวนนะคะ เพราะก็ต้องเกลาคำนานเหมือนกันกว่าจะหาสำนวนที่เหมาะใจได้
    เรื่องเนื้อคู่ของแจจุงนั้นไซร้ คงต้องบอกว่าความยุติธรรมไม่มีในโลกของปาล์ม (ฮา)
    แต่ตอนนี้ยุนโฮแจ็คสันโผล่มาเยอะนะเออ น่าจะสัมผัสถึงความรักเราสองได้บ้าง
    เลือดยุนแจเหรอคะ (ยิ้มหวานแบบโมนาลิซ่า) น่าจะถูกใจตอนนี้นะคะ ^^
    จุนแมนน๊า เพียงแต่น้องซื่ออาจจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนทราม (เอิ่มมม หลุดปากด่าไปแล้ว ฮ่า )
    ดังนั้นรายการย้วยระทวยคงบังเกิดในสักวันค่ะ
    ขอบคุณนะคะที่ตามอ่านทุกเรื่องเลย จุ๊บๆ


    frery     หวัดดีค่า
    ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ จะพยายามให้มากขึ้นค่ะ ^^


    minjito   และแล้วอินโทรก็ขุดหลุมปาล์มอีกรอบ ฮาาาาา
    ไม่ต้องกังวลค่ะ น้องไม่ใช่รายแรกที่อ่านอินโทรไม่รู้เรื่อง ทุกคนบอกทั้งนั้นว่าปาล์มเมายาหรือเปล่าตอนลงอินโทร
    คือแบบเขียนเองเออเองจับตอนกลางเรื่องมาแปะ ตูรู้เรื่องของตูคนเดียว
    ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากที่ไม่มีใครเข้าใจกับปาล์มค่ะ
    ขอบคุณที่ชอบสำนวนและวิธีวางเรื่องนะคะ
    และดีใจมากที่ชอบบุคลิคชางมินเรื่องนี้ โฮ่ ชายผู้นี้น่ารักน่าลากจริงๆ >///<
    ส่วนเป็นเล่มรออออออหน่อยนะคะ คนเขียนเขียนได้ช้ารุนแรง ขออภัยจริงๆ ค่ะ ^^









    และแล้วก็ไม่สามารถลืมเรื่องการอวยพรวันเกิดปาร์คยูชอนไปได้
    ให้มันเข้ากับฟิคพีเรียด รูปก็เลยนิดนึงนะคะ
    Happy Birth Day จ้า ยูชอนคุง ^^





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×