ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Hug...อ้อมกอดดวงดาว

    ลำดับตอนที่ #5 : 4th step:: Welcome to Sin City 2 :: [Yunho]

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 53













    ในขณะที่เสียงดนตรีอันพลิ้วไหว ก้องกังวานอยู่ที่คอฟฟี่ช็อฟด้านบน เสียงเพลงแร็พที่มีจังหวะ
    บีทหนักหน่วง ก็แผดเสียงกระหึ่มอยู่ในไนท์คลับด้านล่าง



    ยุนโฮเลือกมานั่งดื่มที่นี่เป็นที่สุดท้าย และตั้งใจว่าเมื่อเบียร์กระป๋องนี้หมด เขาจะกลับขึ้นห้องพัก
    เสียที



    วันนี้ทั้งวัน เป็นวันที่สนุกและเหนื่อยมากที่สุดวันหนึ่งของชีวิต แต่มันก็มีค่ามากมายเหลือเกิน
    ในความทรงจำของเขา เหมือนกับได้เก็บเกี่ยวเอาช่วงชีวิตสมัยวัยรุ่นที่ขาดหายไป
    เพราะการเป็น‘ยูโนว์ ยุนโฮ’กลับคืนมา



    เมื่อมานั่งนับนิ้วดูแล้ว กิจกรรมที่เขาทำในวันนี้ มันมากยิ่งกว่ากิจกรรมนอกตารางงาน ที่ได้ทำมา
    ตลอดระยะเวลาของการเป็นนักร้องเสียอีก



    เขาได้ตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วก็นั่งสัมผัสกับความงามของแสงแดดอ่อนอุ่นสีทอง โดยไม่มีตารางงาน
    บังคับ จากนั้นก็ได้ไปเล่นเครื่องเล่น ในสวนสนุกมากเท่าที่ใจปรารถนา ได้หัวเราะกว้างๆ กับตัวตลก
    ที่ยืนขายรอยยิ้ม ได้กินไอศกรีมที่ทั้งหอมทั้งหวานกับปุยฝ้ายนุ่มฟูเกือบสิบไม้ โดยไม่มีเสียงค่อน
    ขอดเรื่องการจำกัดอาหารลอยตามลมมา แล้วก็สามารถแหกปากร้องด้วยความตกใจ เมื่อเข้าไปใน
    บ้านผีสิงได้ โดยไม่ต้องห่วงภาพพจน์ความเป็นนักร้องดัง



    พอตกค่ำเขาก็ตระเวนเข้าออกโรงแรมต่างๆ เพื่อดูโชว์ตามโปรแกรมโฆษณา ทุกอย่างตระการตา
    ไปหมด มีทั้งมายากลที่น่าตื่นตาตื่นใจ ละครสัตว์ที่เล่นในเต้นท์ใหญ่สีม่วง แล้วยังโชว์เต้นแท้ปอีก
    จังหวะที่คึกคักของโชว์มันช่างเชิญชวนให้เขากระโดด ขึ้นไปร่วมแสดงด้วยเหลือเกิน



    เป็น ชีวิตอย่างที่ยุนโฮอยากจะเป็นเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น แต่มันก็ไม่สายเกินไปที่เขาจะลิ้มรสมัน
    ในวันที่อายุย่างเข้าสู่ปีที่ 34 ของชีวิต



    แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ต้องผ่านความยากลำบากอย่างนั้น หรือมากกว่านั้นอีกเป็นสิบเท่า เมื่อให้
    ตัดสินใจใหม่สักกี่ร้อยหน เขาก็ยังยืนยันที่จะเลือกชีวิตของ‘ยูโนว์ ยุนโฮ’แห่งดงบังชินกิอยู่นั่นเอง



    มันเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งไม่สามารถใช้อะไรมาเปรียบเทียบได้อีกแล้ว กับการได้อยู่
    ท่ามกลางท้องฟ้า ซึ่งดารดาษด้วยประกายดาวสีแดงแห่งความรัก ได้สัมผัสถึงความรู้สึกดีๆ
    ที่โอบล้อมรอบกาย มีโอกาสได้เห็นทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงหัวเราะที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของพวกเขา
    สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้พวกเขา ดงบังชินกิทั้ง 5 คนก้าวต่อไปข้างหน้า



    แม้จะเหนื่อย แม้จะท้อสักเท่าไร แต่เมื่อเห็นแสงไฟสีแดง ที่ส่องสว่างนำทางเหล่านั้นแล้ว
    ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังใจแรงกล้า ในการกระทำทุกหนทางเพื่อตอบแทน
    ความรักเหล่านั้น กลับไปอย่างเท่าเทียม



    แต่ก็นะ...ยุนโฮยักไหล่ แล้วกระดกกระป๋องโลหะ ดื่มน้ำสีเข้มเป็นอึกสุดท้าย...นานๆ ทีจะมีโอกาสดีๆ
    อย่างนี้ผ่านเข้ามาบ้าง เป็น‘ชองยุนโฮ’แทน‘ยูโยว์ ยุนโฮ’ก็ไม่เลวอยู่



    เพลงแร็พของนักร้องผิวดำที่เขาเคยมีโอกาสไปร่วมงานด้วย ยังกึกก้องทั่วห้องสีมืดทึม บ่งบอกว่า
    ราตรีนี้ยังเยาว์นัก จังหวะบีทที่เร่งเร้า กระตุ้นหัวใจซึ่งซึมซับเอาแอลกอฮอล์ดีกรีสูงไว้เต็มพิกัด
    ให้สูบฉีดเร็วขึ้น ระส่ำระสายขึ้น และมันคงส่งปฏิกิริยาบางอย่างต่อสายตา ระหว่างที่มือกำลังควัก
    ธนบัตร มันถึงได้ไพล่มองไปที่อื่นอย่างนั้น



    เอาเป็นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ มีผู้หญิงเอวองค์ทรงงามเดินผ่านเข้ามาในระยะ
    สายตาแบบกระชั้นชิด เป็นหุ่นที่แม้แต่ผู้ชายวัย 80 ยังต้องมองเหลียวหลัง แต่ผู้หญิงคนนั้น
    ไม่ได้ทิ้งสายตาให้เขา อย่างที่‘ยูโนว์ ยุนโฮ’มักจะได้รับ จากเพศตรงกันข้ามหรอก เธอแค่เดินผ่าน
    เขาไปเฉยๆ ไปหาผู้ชาย 4 คนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะตรงมุมห้อง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งเจรจาอะไรบางอย่าง
    ด้วยท่าทางเครียดเคร่ง



    เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทำให้เขาไม่สามารถบอกได้ว่าบทสนทนาคืออะไร แต่จากสีหน้าของคู่สนทนา
    เดาว่า...ไม่น่าจะใช่เรื่องดีนัก



    ผู้หญิงคนนั้น ที่น่าจะมีเชื้อสายละตินอเมริกา เพราะดวงตาสีดำสนิทคมกริบบาดใจ ตบโต๊ะดังปัง
    แล้วก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยโทสะแรงกล้า



    ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำนัก...เมื่อคุณเป็นผู้หญิง และกำลังถูกห้อมล้อมด้วยชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่
    ถึง 4 คน



    และผลมันก็เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ตามที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมที่ฟอนเฟะ ผู้หญิงคนนั้นถูกกระชาก
    แขนอย่างแรงเข้าหาฝรั่งหน้าเหี้ยมที่หัวเราะร่าอย่างลำพองใจ จากนั้นผู้ชายทั้ง 4 คนก็ลากผู้หญิง
    ที่กำลังดิ้นเร่าๆ เดินลอยชายออกไปที่ประตูไนท์คลับ



    ทุกอย่างควรจะดำเนินไปเหมือนๆ กับทุกวันที่ผ่านมา มีหญิงสาวมากมายที่ต้องจบชีวิตวัยสาว
    อันงดงามของหล่อนลง ด้วยการตัดสินใจผิดพลาดเพียงชั่วครู่ รู้จักคนผิด มองโลกอย่างผิดๆ
    และอยู่ในสถานที่ที่ผิดพลาด



    เหมือนกับใบไม้สีเขียวสดที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่แผ่นดิน เงียบเหงาและไร้ค่า



    สายตาแต่ละคู่ถ้าไม่มองอย่างสมเพช ก็ยกนิ้วให้อย่างห่ามหื่น กับเหยื่อคนงาม
    ที่เอาตัวมาประเคนถึงที่



    ธรรมดาของการรักตัวกลัวตาย ย่อมไม่มีใครที่คิดจะไปมีเรื่องกับนักเลงเจ้าถิ่น หากไม่เมาได้ที่
    หรือเสียสติอย่างปัจจุบันทันด่วนในวินาทีนั้น



    ยุนโฮก็คิดว่าตัวเองทั้งยังไม่เมาและก็ไม่ได้บ้า แต่เขาโทษเจ้าระดับแอลกอฮอล์ที่มีมากกว่าปกติ
    ในกระแสเลือด ที่มันทำให้การยับยั้งชั่งใจบางอย่างของเขาลดลง



    ความยับยั้งชั่งใจต่อความโกรธ เมื่อเห็นการทำร้ายผู้หญิงเกิดขึ้นต่อหน้า



    และเพิ่มความรุนแรงในการตัดสินปัญหา โดยใช้กำลังเข้าแก้



    ยุนโฮไม่ได้ส่งเสียงเตือนอะไรเลย สติของเขามันขาดผึงไปตั้งแต่ในตอนที่เห็นผู้หญิงคนนั้น
    ถูกลากออกมาลิ่วๆ ด้านหน้า ในทันทีที่ทั้งขบวนผ่านเข้ามาใกล้ ขาของเขามันก็ตวัดเตะเข้าไปที่ท้อง
    ฝรั่งตัวใหญ่เต็มแรง แล้วในวินาทีเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็หมุนตัวปล่อยปลายเท้าอีกข้าง เสยเข้ากับ
    ใบหน้าของคนที่ฉุดกระชากผู้หญิงแบบเน้นๆ สองคนผงะหงายราวกับนกปีกหัก



    ส่วนอีกสองที่ถลันเอาหน้าเข้ามาใกล้ รายหนึ่งโดนกระป๋องเปล่าของเบียร์ยี่ห้อดัง ฟาดครึ่งปากครึ่ง
    จมูกเห็นเลือดสีแดงฉานไหลนอง และมืออีกข้างของยุนโฮ ก็จ่ายหมัดกระแทกเข้าที่เบ้าตาของคน
    สุดท้ายเข้าไปจังๆ



    อานุภาพของมันอาจไม่ได้ร้ายแรงขนาดทำให้ใครสลบ หรือถึงแก่ความเจ็บปวดอย่างหนักหน่วง
    อย่างลูกเตะของแชมป์คิกบ๊อกซิ่ง หากมันก็สร้างความมึนงง และความประหลาดใจแก่ลูกพี่ใหญ่
    ประจำถิ่นนี้พอใช้



    และเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ง่ายๆ



    ชายหนุ่มคว้าแขนของหญิงสาวที่ยังมีท่าทางตกตื่นออกวิ่ง เหยียดเต็มฝีเท้าเท่าที่ขายาวๆ ของตน
    จะทำได้ โดยไม่สนใจคนที่ถูกลากตามมาด้วย ว่าจะไปชนอะไรถลอกปอกเปิกขนาดไหน



    เขาพาผู้หญิงคนนั้นวิ่งทะลุออกจากประตูหลังของร้าน แล้วก็ลัดเลาะไปตามถนนสายแคบๆ
    ที่ทึบทึม เสียงแหลมๆ ที่หอบหายใจกระเส่าด้านหลัง ร้องบอกให้เขาเลี้ยวซ้ายแล้วขวาเป็นระยะ
    อย่างคนเจนพื้นที่



    จนกระทั่งลมหายใจเกือบหมดปอด ยุนโฮถึงได้พบว่าตัวเองวิ่งวนจนมาถึง ด้านหลังของสวนสนุก
    ขนาดยักษ์ที่เที่ยวเล่นอยู่เมื่อตอนกลางวัน



    เหนื่อยจนพูดไม่ออกน่ะใช่ แต่ที่ปิดปากได้นิ่งสนิทมากกว่า คือใบหน้าที่ลอยอยู่ใกล้ในระยะประชิด
    ใบหน้าที่คมเข้มแบบสาวละตินอเมริกา ที่กำลังหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนข้างๆ เขา



    “แล้วจะเอายังไงต่อ” ชายหนุ่มถามปนหอบ หลังจากที่ควานหาลิ้นตัวเองจนเจอ แต่ผู้หญิงคนนั้น
    ทำหน้าสับสนเหมือนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เธอชี้มาที่เขาแล้วถามเบาๆ ว่า



    “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม”



    และนั่นล่ะ...ชองยุนโฮถึงเพิ่งรู้ว่า ตัวเองพูดภาษาบ้านเกิดออกไปเต็มๆ ประโยค



    “คุณจะเอายังไงต่อ” ชายหนุ่มพลิกลิ้นกลับเป็นภาษาสากลในทันที เขาชี้ไปทางด้านหลัง
    ในทิศที่ตัวเองเพิ่งจะเอาชีวิตรอดมาได้



    “คุณไปยุ่งอะไรกับแก็งสเตอร์พวกนั้นน่ะ”



    “ไม่ใช่ฉัน” คู่สนทนาของเขาโบกมือระวิง สีหน้าท่าทางยังเคียดแค้นเดนสังคมพวกนั้นอยู่มาก



    “พ่อเลี้ยงฉันไปติดหนี้พนันเอาไว้ แล้วตัดสินใจเอาน้องสาวฉันไปเป็นตัวขัดหนี้น่ะสิ ทุเรศชะมัด”



    เรื่องธรรมดา แบบเดิมๆ ของเมืองลาสเวกัส การพนัน การเป็นหนี้ การทวงหนี้ การล้างแค้น
    วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จักจบจักสิ้น



    “ฉันไปเจรจาขอผ่อนผัน แล้วจะส่งเงินให้เป็นงวดๆ แต่ไอ้เฮงซวยนั่นมันหน้ามืด ฟังว่าฉันจะเอาตัว
    เองส่งหนี้จนไม่สนใจอะไรเลย” หญิงสาวใส่กลับมาเป็นชุด แถมด้วยความโกรธเคือง เธอยังสบถ
    คำหยาบๆ คายๆ พวกศัพท์สแลงอย่างแปลกหูออกมาอีกยาวเหยียด



    แต่แค่เพียงมายืนจ้องตากับผู้หญิงคนนี้ไม่ถึง 5 นาที แล้วมองปากสีแดงสดที่กำลังเจรจาเจื้อยแจ้ว
    ยุนโฮก็รู้แล้วว่าทำไมไอ้พวกนั้น มันถึงได้หน้ามืด จนหูลายตาลายอย่างนั้น



    เธอเป็นคนสวยจัด แถมไม่ใช่สวยแบบธรรมดาเสียด้วย ขนาดอยู่ในเสื้อสเว็ตเตอร์สีดำกับเดนิมสีเทา
    อย่างรัดกุม แรงดึงดูดทางเพศก็ยังชัดแจ้ง ทุกส่วนสัดบนใบหน้าและร่างกายของหญิงสาว
    เป็นกองไฟดีๆ นั่นเอง และยิ่งเมื่ออารมณ์โกรธปะทุขึ้น ทรวงอกขนาดน่ามองมันก็ขยับขึ้นๆ ลงๆ
    ตามการหอบหายใจ แก้มสีแทนสวยก็เริ่มจะบ่มสีก่ำเหมือนกับมะเขือเทศสุก ดวงตาทอประกายเจิดจ้า
    แถมริมฝีปากอิ่มก็ดูชวนเชิญเหลือเกิน ยิ่งเฉพาะในยามที่มันชุมฉ่ำไปด้วยเลือดฝาดของวัยสาว



    “เอ่อ...” ด้วยอารมณ์และความรู้สึกแบบสุภาพบุรุษ ยุนโฮจัดแจงเบือนสายตาหนีจากริมฝีปากเต็มตึง
    ในทันที เขากลืนน้ำลายลงในคออย่างยากลำบาก แล้วก็เบี่ยงเบนประเด็นของเรื่องไปยังความ
    ปลอดภัยของหญิงสาว ...เรื่องที่น่าจะปลอดภัยกับสุขภาพหัวใจ ที่กำลังเต้นกระหน่ำของเขา
    มากกว่าด้วย



    “ถ้าคุณกลับไปที่บ้านตอนนี้ 4 คนนั่นเขาจะตามไปที่บ้านของคุณหรือเปล่า”



    คู่สนทนาของเขาไม่ตอบคำถามนั้นในทันที เธอแค่เอียงคอแล้วก็จ้องมองมาที่เขานิ่งๆ จากนั้นก็
    อมยิ้มในหน้าด้วยท่าทางขบขันอะไรบางอย่างในใจลึกๆ



    และจากสายตาที่แสดงความรู้เท่าทันคู่นั้น ก็อดที่จะทำให้ยุนโฮหน้าแดงขึ้นมาแว่บหนึ่งไม่ได้



    เธอรู้เท่าทันความคิดของเขา และก็ฉลาดพอใช้ทีเดียว ที่จะเลือกการแสดงความรู้นั้นผ่านทางสีหน้า
    และแววตาแทนคำพูด ที่รังแต่จะสร้างความลำบากใจให้กับทั้งสองฝ่าย



    ผมสีดำสนิทที่เป็นลอนน้อยๆ ถูกเจ้าตัวจับพาดไปไว้ที่บ่าด้านหนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะเปล่งคำ
    สบถหยาบคาย ที่ตรงกันข้ามกับหน้าตาอันสวยสะออกมาเต็มปากเต็มคำ



    “ชิท!”



    “มันตามไปได้แน่ ก็ไอ้บ้าปาโกเป็นลูกหนี้มันนี่”



    “ปาโก?”



    “พ่อเลี้ยงเฮงซวยของฉันไง นี่ถ้าไม่มีอูโก้ป่านนี้ฉันแทงมันไส้ไหลไปนานแล้ว”



    มีชื่อคนไม่รู้จักหลุดออกมาอีก 1 ชื่อแต่ยุนโฮก็คร้านเสียแล้วที่จะถามหาคำอธิบาย เพราะยิ่งเจรจา
    กับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งกลัวตัวเอง ที่เริ่มจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมประหลาด อันไม่สามารถ
    คาดเดาได้ของอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น



    มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เพราะการกระทำที่ตรงกันข้ามกับหน้าตาแบบนั้น มันถอดแบบมาจาก
    แจจุงชัดๆ โดยเฉพาะคำพูดห้วนๆ แบบขวานผ่าซากอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์นั่น



    เขาย่อมคุ้นเคยกับแจจุงดี เพียงแต่ถ้าเป็นหมอนั่นยังพอไหว เพราะมันเป็นผู้ชาย แต่พอผู้หญิงพูด
    อย่างนี้ แล้วเขายังรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้...ชายหนุ่มแอบระบายลมหายใจออกมายาวๆ นึกห่วงอนาคต
    ของตัวเองขึ้นมารำไร ...ถ้ารู้สึกคุ้นเคยกับพฤติกรรมแบบนี้ได้ แสดงว่าตัวเขาเองก็คงจะเริ่มไม่ปกติ
    ตามเพื่อนไปแล้วเป็นแน่



    แม่สาวหุ่นดินระเบิดคนนั้นยังบ่นไม่ขาดปาก แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ยอมจบลงง่ายๆ เสียด้วยกับ
    พฤติกรรมอันเลวร้ายอย่างบัดซบ ของพ่อเลี้ยงตนเอง จากภาษาอังกฤษในตอนต้น ตอนนี้มันก็เริ่มจะ
    กลายไปเป็นภาษาอีกตระกูลหนึ่ง ที่ยุนโฮเองก็ฟังไม่ออก



    เขาก็ไม่อยากจะไปขัดจังหวะการบ่นของเธอหรอก เข้าใจดีเลยว่าหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา
    ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องระบายความเครียดกันบ้าง แต่สติสัมปชัญญะที่มันคืนกลับมาทั้งหมด
    หลังจากการยืดเส้นยืดสายเมื่อครู่ ก็ทำให้เขานึกถึงสถานภาพแสนล่อแหลมของตนเอง และเพื่อนรัก
    อีกหนึ่งหน่อที่หอบหิ้วมาด้วยกันขึ้นมาได้



    และในขณะเดียวกันก็เพิ่งจะเอะใจว่า วันนี้ทั้งวันแจจุงยังไม่ได้ส่งแมสเสจหาเขาเลย ผิดวิสัย
    พ่อเพื่อนซี้ตัวดีเป็นที่สุด



    ไม่รู้ว่าป่านนี้จะนั่งน้อยใจที่เขาไม่ได้ชวนออกมาเที่ยวด้วยกัน หรือว่าโกรธจนพูดไม่ออกกันแน่



    “แล้วคืนนี้คุณจะไปพักที่ไหน” ทั้งๆ ที่สมควรจะปลีกตัวออกห่างเป็นกำลัง แต่ด้วยมารยาท
    ของสุภาพบุรุษที่ค้ำคออยู่ รวมกับอะไรบางอย่างที่มันกระซิบกระซาบอยู่ข้างในใจ ทำให้ยุนโฮหลุด
    คำถามนี้ออกไปง่ายๆ อย่างไม่คิดจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน แต่ถามออกไปแล้วก็ได้แต่นิ่ง นึกไม่ออก
    ว่า ถ้าเธอตอบว่าไม่มีที่ไป เขาจะทำอย่างไรกับเธอต่อไปดี



    จะช่วยก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด อย่างที่หัวใจซึ่งเต้นตุ้บตั้บอยู่ในอกกระซิบบอกเล่ห์นัยร้ายกาจให้
    หรือถือคติว่ารวมกันเราตายหมู่ แยกอยู่เรารอด แบบที่สมองกำลังร้องเตือนดี ?



    “ฉันพักอยู่ที่โรงแรมกับเพื่อน ไม่ได้พักที่บ้านหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วหญิงสาวคนสวย
    ก็ยกมือขึ้นมาตบบ่าของเขาอย่างถือสนิท



    “ขอบใจมากนัก ถ้าไม่ได้คุณวันนี้ฉันคงแย่แน่ๆ”



    เพียงเจอการกระทำแบบแมนเกินร้อยแบบนั้น ก็ทำเอาอึ้งพอแรงแล้ว แต่เมื่อมันต่อด้วยจุมพิตหนักๆ
    ที่แก้มเข้าอีกครั้งหนึ่ง ยุนโฮก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองโดนหมัดเข้าไปเต็มๆ ท้อง จุกจนมองเห็นดาว
    แพรวพราวเลยทีเดียว



    “ลีลีอานา” หญิงสาวกระซิบข้างหูเบาๆ ก่อนผละออกมา



    “ขอบใจอีกครั้งนะ เอเชียบอย ความใจดีของคุณทำให้ฉันนึกถึงอูโก้จริงๆ”











    เรื่องมันจบลงอย่างทื่อๆ ง่ายๆ เช่นเดียวกับการเริ่มต้น ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนอกจากนั้น หญิงสาว
    คนสวยโบกมือบ้ายบายยุนโฮแล้วก็จากไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนชายหนุ่มหลังจากตั้งสติได้
    ก็โคลงศีรษะให้กับความห่ามห้าวของอีกฝ่าย แล้วก็ปัดเรื่องวุ่นวายใจออกจากสมอง
    ภายในเวลาไม่ถึงนาที



    ถือเสียว่าตัวเอง ไม่มีโชคเรื่องผู้หญิงในวันนี้



    ดูเอาเถอะขนาดจะขอบใจ เธอยังเลือกแก้มของเขาแทนริมฝีปากเลย



    เป็นความขำขันในโชคชะตาที่เล่นตลกกับตนเองมากกว่าอย่างอื่น ถึงทำให้เขาเดินทอดน่อง
    พร้อมกับผิวปากอย่างสบายอารมณ์กลับโรงแรม สองเท้าก้าวไปตามแสงไฟพรับพราวที่ไม่มีวันหลับ
    ใหลของเมืองใหญ่ ผู้คนจำนวนมากมายยังหัวเราะร่าเดินคล้องคอกัน และสรวลเสเฮฮาเหมือนกับ
    ชีวิตนี้ไม่เคยมีความทุกข์ยาก และบ้างก็ส่งเสียงเชิญชวนให้เพื่อนร่วมโลก ที่บังเอิญได้พบปะกัน
    ร่วมสังสรรค์ด้วย



    ยุนโฮโบกมือขอตัวจากคนกลุ่มที่ 3 ที่คะยั้นคะยอให้เขาร่วมดื่ม เพื่อฉลองความสำเร็จในการเล่น
    รูเล็ต



    ลาสเวกัสก็ดีตรงนี้ล่ะ มีคนมากหน้าหลายตาปะปนกัน คนพลุกพล่าน หลากหลายเชื้อชาติ และต่าง
    คนต่างมาที่นี่เพื่อตักตวงความสุขใส่ตัว ไม่มีใครสนใจใคร ก็ไม่ก็คร้านที่จะไปใส่ใจผู้อื่น
    มันก็เลยทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนกับเป็นคนธรรมดาทั่วไปบ้าง ไม่ต้องระมัดระวังตัว
    จนแทบจะกลายเป็นโรคประสาทจากปาปารัซซี่



    ระหว่างที่ย่ำเท้าไปตามฟุตบาท มีอะไรมากมายหลายอย่างผ่านเข้ามาในความคิดของชายหนุ่ม
    มันกระโดดไล่ตั้งแต่งานมากมายที่เขาทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ความเหน็ดเหนื่อยของนัมอุนซูผู้จัดการวง
    ไปจนถึงความเดือดดาลของลีกียุลประธานบริษัทคนใหม่ หลังจากรับรู้เรื่องของพวกเขา และลงท้าย
    ความคิดทั้งหมด ด้วยเพื่อนอีก 3 คนที่แยกย้ายกันไป



    ไม่รู้ว่าน้องๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง จะสนุกและได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแบบที่เขากำลังทำอยู่หรือเปล่า
    ยูซอนจะได้นั่งจิบกาแฟนานๆ แล้วแต่งเพลงเพราะๆ ได้ไหม จุนซูล่ะฟุตบอลที่นายอยากไปดูนัก
    ไปดูหนา ป่านนี้เฝ้าติดขอบสนามไปกี่ที่แล้ว ส่วนชางมิน...ใบหน้าเรียวยาวแหงนขึ้นมองท้องฟ้า
    ...เขาไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นมันคิดอะไรอยู่ ถึงได้เลือกแผนพักร้อนหลุดโลกแบบนั้น หวังว่าคงจะ
    สนุกกับสิ่งที่เลือกและได้ทำมันอย่างคุ้มค่าที่สุดนะ ไอ้น้องชาย



    เขาเดินผ่านลานน้ำพุแห่งนั้นไปแล้ว และมองผ่านมันไปเฉยๆ แต่ของขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้ากระแทกตา
    โดยไม่ตั้งใจต่างหาก ที่ทำให้ยุนโฮซึ่งคิดอะไรอยู่หลายเรื่องต้องเผลอยิ้มออกมา



    “กาอิน” เขาพึมพำชื่อเจ้าตัวโตของแจจุงเบาๆ เป็นช้างตัวเดิมนั่นล่ะ แต่มันย้ายนิวาสสถานมาหากิน
    ในที่ใหม่ ที่ไกลจากหน้าโรงแรมที่เขาพักพอสมควร



    “อ้าวน้องชาย” คนที่ดูแลช้างร้องทักทายเอะอะ เมื่อจำได้ว่าชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เป็นใคร



    “เพื่อนน้องชายไม่มาด้วยหรือ”



    “เขาพักอยู่ที่โรงแรมครับ” ยุนโฮตอบเสียงสุภาพ พลางขยับมือไปแตะที่งวงนิ่มๆ ของกาอินเบาๆ



    ดวงตาตี่ๆ ของเจ้าตัวโต ที่ไม่สัมพันธ์กับขนาดร่างกายเลย จ้องมองมาที่เขา และดูเหมือนมันกำลัง
    กล่าวหาเขาเสียด้วยว่า ‘นายทิ้งเพื่อนเอาไว้ต่างหาก’



    “เขากินอะไรบ้างหรือครับ”



    “อ๋อ ก็กล้วย อ้อย แล้วก็ผักสด แต่น้อยชอบกล้วยสุกๆ มากกว่าอะไรทั้งหมด” ชายคนนั้นหยิบของ
    ต่างๆ ให้ดูอย่างกระตือรือร้น



    “นอย” ยุนโฮทวนชื่อเรียกของกาอินซ้ำ มันเรียกไม่ค่อยยากเพราะมีแค่พยางค์เดียว แต่ก็มีท่วง
    ทำนองคล้ายเสียงดนตรี



    “น้อย” คนดูแลช้างว่า พลางทำมือยกขึ้นสูง



    “ไม่ใช่นอย แต่เป็นน้อย ขึ้นเสียงสูงๆ น่ะ”



    “น้อย” คราวนี้ได้อย่างที่ต้องการ ถึงไม่ใช่เป็นนักดนตรีที่มีหูดีมากอย่างล้ำเลิศ แต่การร้องเพลง
    ประสานเสียงมันก็ต้องจับจังหวะ และท่วงทำนองได้แม่นยำ เขาลองซ้อมๆ ลากเสียงตามที่อีกฝ่าย
    สอน มันก็ออกมาสำเร็จ



    “ผมจะได้ไปบอกกับเพื่อนว่า เจ้าตัวนี้ชื่อน้อย ไม่ใช่กาอิน”



    “เพื่อนน้องเขารักช้างจริงๆ นะ” อีกคนว่าปนด้วยเสียงหัวเราะ เขาส่งกล้วยในมือให้กับยุนโฮแล้วทำ
    ท่าบุ้ยใบ้ให้ป้อนเจ้าช้าง ซึ่งพอชายหนุ่มยื่นไปตามคำแนะนำจริงๆ งวงนิ่มๆ ที่ดูเหมือนไม่มีพิษสง
    อะไร ก็คว้ากล้วยไปดังฉับ จนแทบจะมองตามไม่ทัน



    “โอ้โห” ยุนโฮอุทาน ปนด้วยความนับถือ เขาคิดว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจความคิดของแจจุงแล้วว่า
    ทำไมถึงเห็นว่าเจ้าตัวโตนี่มันน่ารักนัก ก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอมันกินกล้วยไปแล้ว แล้วยังเอางวง
    มาแตะๆ ตามใบหน้าและเนื้อตัวของเขาเป็นการอ้อนเพื่อขอของกินเพิ่มอีกนี่สิ น่ารักเป็นบ้า



    “น้อยน่ารักจริงๆ ด้วย” ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรเลย เขาคว้าเอากล้วยจากมือพี่คนดูแลช้างมาทั้งหวี
    แล้วก็ปลิดส่งให้เจ้าน้อยอย่างเพลิดเพลิน



    “พี่กับน้อยมาจากที่ไหนหรือครับ” ชายหนุ่มหันไปถามพี่ชายคนนั้นเมื่อกล้วยทั้งหมด ไม่เหลืออีกแล้ว



    “ประเทศไทย รู้จักไหมล่ะ” เสียงตอบเจือด้วยความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด และมันยิ่งเจิดจ้ามากยิ่ง
    ขึ้นเมื่อยุนโฮผงกศีรษะรับอย่างกระตือรือร้น



    “เป็นประเทศที่สวยมากทีเดียวครับ มีแดดอุ่นตลอดปี แล้วก็อาหารอร่อย”



    “น้องชายเคยไปมาแล้วหรือ” คนถามก็ดูจะถามด้วยความยินดีจริงๆ และคนตอบก็ยินดีจริงๆ เช่นกันที่
    จะตอบถึงความทรงจำอันน่าประทับใจ



    “หลายครั้งครับ ไปที่นั่นทีไรแล้วได้ความสุขและกำลังใจกลับมาทุกครั้ง”



    “น้องชายตอบดีนะ ดีมาก ดีกว่าฝรั่งอีกเยอะที่พี่เจอที่นี่” ท่าทางของคนพูด ดูไม่ค่อยจะมีความสุข
    กับสิ่งที่ได้ยินมานัก แต่ความสงสัยของยุนโฮที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะลบมันลงได้ง่ายๆ เขาขมวดคิ้ว
    แล้วก็ถามฝ่ายนั้นออกไปต่อทันทีว่า



    “ทำไมหรือครับ เขาพูดอะไร ผมก็เห็นว่าประเทศไทยดี คนไทยเป็นมิตรแล้วก็ให้การต้อนรับที่อบอุ่น”



    “เขาบอกว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าประเวณี ฝรั่งทุกคนรู้จักแต่พัทยา พัฒน์พงศ์ ไม่ค่อยมี
    ใครพูดแบบน้องชายหรอก” มือข้างหนึ่งของผู้พูดลูบใบหูของช้างตัวโตเบาๆ มันพันงวงเข้าที่มือของ
    คนเลี้ยง เหมือนกับจะร้องบอกว่า ‘อย่าเสียใจไปเลย ยังมีช้างที่รู้ความจริงที่นี่อีกตัวหนึ่งนะ’



    ยุนโฮอึ้งไปครู่ใหญ่ เขาสัมผัสความเจ็บปวดของคนที่มองโลกอย่างซื่อๆ ได้ ประสบการณ์แบบนี้
    เขาก็เคยเจอมันมาก่อน ตั้งแต่แรกเดบิวต์เป็นดงบังชินกิ และเรื่อยมาจนกระทั่งถึงบัดนี้



    จะว่าชาชินก็คงไม่ใช่ เพราะมันยังคงเจ็บปวดทุกครั้ง ที่เสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้นผ่านหูเข้ามา
    แต่เขาคงคุ้นเคยกับมันมากกว่า ...คุ้นเคยกับความเจ็บปวด เจ็บใจ แล้วก็ต้องก้มหน้ารับเอาคำว่าร้าย
    พวกนั้นไว้ โดยไม่มีโอกาสได้ปริปากแก้ตัว



    เรื่องร้ายๆ มักจะถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเสมอ โดยไม่มีใครใส่ใจว่ามันมีมูลแห่ง
    ความจริงสักแค่ไหน จะถึง 1 เปอร์เซ็นต์ไหมกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และรู้แล้วก็ยิ่งใส่สีตีไข่อย่างสนุก
    สนาน ไม่ได้แยแสเลยด้วยซ้ำว่า คำพูดด้วยความสนุกปากของตน จะนำความเจ็บปวดมาสู่ผู้ถูกว่า
    ร้าย มากและยาวนานขนาดไหน



    ในขณะที่ข่าวดีๆ ข่าวที่สร้างกำลังใจและมอบรอยยิ้มให้ กลับแทบจะไม่มีโอกาสได้นำเสนอผ่านสื่อ



    “สิ่งที่พูด ย่อมเป็นตัวสะท้อนความคิดของผู้พูดครับ” ยุนโฮบอกชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง
    เขายกมือขึ้นแตะที่งวงของน้อยเบาๆ และมันก็ตอบสนองกลับอย่างอ่อนโยน ด้วยการไล้ปลายงวง
    เข้ากับใบหน้าของเขา



    “ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เห็นว่ามันดีที่สุดแล้ว และพิจารณาแล้วว่ามันไม่ได้เป็นไปตามคำพูด
    นั้น ก็ไม่เห็นจะต้องไปเสียใจอะไรนี่ครับ เราก็เก็บคำพูดพวกนั้นไว้แล้วก็พิสูจน์ให้มันเห็นไปเลยว่า
    ไม่จริง” ไม่รู้ว่าเขาพูดประโยคนี้ออกมากี่ครั้งแล้ว จะถึงพันครั้งอย่างที่จุนซูเคยค่อนว่าหรือเปล่า
    แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาคิดและเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ในยามที่ต้องเผชิญกับมรสุมข่าวลือ และแรงกดดัน
    มหาศาลจากการแข่งขันในวงการเพลง



    มันเป็นสิ่งที่เขาใช้บอกตัวเองซ้ำๆ และใช้มันย้ำเตือนกับเพื่อนอีก 4 คนในวง



    เพียงแต่...แค่พูดหรือทำอย่างนั้น มันไม่ยาก...หากที่ลำบากคือการทำใจ



    พวกเขาแค่ทำในสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่ตนเองจะทำได้ แล้วนั่นมันยังไม่เพียงพออีกหรือ?



    “ขอบใจมากนะน้องชาย” ดูเหมือนความจริงใจของเขาจะสื่อไปถึงผู้ฟังได้ พี่ชายที่มาจากประเทศ
    ไทยเอ่ยคำขอบใจเบาๆ และนอกจากนั้นแล้ว เขายังได้รับจูบที่แก้มจากกาอินของแจจุงอีกฟอดหนึ่ง



    ตลกตรงที่ มันเป็นด้านเดียวกันกับที่ สาวสวยคนนั้นประทับริมฝีปากลงไปเสียด้วย



    คนเลี้ยงช้างค้นอะไรกึกกักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่งตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปช้างให้กับยุนโฮ



    “มันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายหรอกนะ” พี่แกว่าพลางเอามือลูบศีรษะอย่างขัดเขิน
    “เทียบไม่ได้กับเงินที่น้องชายให้วันนั้นด้วยซ้ำ แต่พี่อยากขอบใจสำหรับคำพูดดีๆ เกี่ยวกับเมืองไทย
    แล้วก็คำปลอบของน้อง มันทำให้พี่กับน้อยมีความสุขมากทีเดียว”



    เขาจำรอยยิ้มแบบนี้ได้ มันเป็นรอยยิ้มเหมือนกับตอนที่แฟนเพลงบอกว่า พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจ
    ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนสำหรับเธอ รอยยิ้มที่บอกว่าเธอทำงานต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้ก็เพราะมี
    พวกเขาเป็นกำลังใจเบื้องหลัง และรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขยามรับฟังบทเพลงของพวกเขา



    ...รอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวันและเวลาที่หมุนไปข้างหน้า...เพราะมันมาจากหัวใจที่ซื่อตรง



    ยุนโฮรับช้างไม้แกะสลักชิ้นนั้นมาอย่างทะนุถนอม เขากล่าวคำขอบคุณความเอื้ออารีที่ได้รับนั้นซ้ำๆ
    พร้อมทั้งสัญญาว่าจะพาแจจุงมาพบน้อยอีกครั้งก่อนที่จะจากลาสเวกัสไป



    นั่นสิ...ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับข่าวลือที่ร้ายๆ มากสักแค่ไหน ต้องเจอกับความกดดัน ความไม่สมหวัง
    อะไรอีกมากสักเท่าไร รอยยิ้มที่เขาไม่อาจลืมเลือนและไม่เคยลืมได้เหล่านั้น คือแหล่งกำลังใจที่ดี
    ที่สุดในการก้าวต่อไปข้างหน้า



    และในตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องเฉพาะหน้าประการเดียว...ยุนโฮก้มลงมองของขวัญในมือ
    พลางนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงของเพื่อนสนิท



    ...เอ ช้างแกะสลักตัวนี้จะได้ผลไหมเนี่ย











    ปฏิกิริยาของแจจุงกลับผิดคาดอย่างน่าตระหนก เพราะในทันทีที่เขากลับเข้ามาในห้องพัก
    เตรียมตัวที่จะโดนบ่นหรือเผชิญกับพายุทำลายล้างลูกโต อย่างที่เคยโดนมาเป็นประจำ
    เพื่อนสนิทของเขากลับทำแค่ เงยหน้าจากของที่จ้องอยู่ในมือ แล้วก็ทักทายด้วยเสียงเนือยๆ ว่า



    “กลับมาแล้วหรือ”



    และนั่นก็ทำให้ยุนโฮกังวลถึงขนาดที่ต้อง ยกมือขึ้นแตะวัดอุณหภูมิของอีกฝ่ายทีเดียว



    “นายไม่สบายหรือเปล่าแจจุง”



    “เปล่า” ฝ่ายนั้นว่าแล้วก็จ้องกล่องใสๆ ในมือต่อ



    “อะไรน่ะ” และโดยไม่ต้องขออนุญาต ตามประสาสนิทสนมกันเป็นสิบๆ ปี ยุนโฮก็เลยคว้าเอากล่อง
    ที่อยู่ในมือของแจจุงขึ้นมาดู



    “เฮ้ย เอาคืนมานะไอ้ยุนโฮ” ไม่ทันจะได้สังเกตรายละเอียดอะไรเลย เพื่อนหน้าสวยของเขามันก็
    กระโจนคว้ากลับไปแล้วเหมือนกับเสือแม่ลูกอ่อน



    “หวงอะไรนักหนาวะ”



    เขาว่าปนบ่นด้วยหน่อยๆ ทำเหมือนหมดความสนใจลง แต่พออีกฝ่ายเผลอ ยุนโฮก็ฉกของรักของ
    หวงของแจจุงขึ้นมาดูเสียง่ายๆ อย่างนั้น แล้วก็ใช้ความสูงของตนเองให้เป็นประโยชน์ ด้วยการยืด
    แขนขึ้นไปสุดความสูงและพยายามเพ่งเจ้ากล่องใสๆ ในมืออย่างสุดความสามารถ



    “Chopin in Love” ยุนโฮอ่านออกเสียงดังๆ จากนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนที่กระโดดหย็องแหย็ง
    อยู่ข้างๆ ตัว



    “อย่าบอกนะว่าตอนนี้นายเปลี่ยนรสนิยมไปฟังเพลงคลาสสิคแล้ว”



    “เรื่องของฉัน” แจจุงตอบเสียงสะบัด หากยังไม่ละความพยายามที่จะเอาของตัวเองกลับคืนมาให้ได้



    “เอาคืนมาสิวะ ไอ้บ้ายุนโฮ”



    “ตอบฉันมาก่อนสิ ว่านายไปเอาแผ่นนี้มาจากไหน” เขายังเพ่งชื่อศิลปินไม่ออกอยู่ดีตรงภาษา
    อังกฤษเขียนว่า ‘Lynn’ น่าจะอ่านว่าลินน์ แต่ทำไมมีตัวคันจิอยู่ด้วยนี่สิ



    “จะเอามาจากไหนมันก็เรื่องของฉัน” แจจุงพูดปนหอบท่าทางโกรธจัด ยกมือสองข้างขึ้นมากำรวบ
    ดังกร๊อบบาดหู



    “จะคืนดีๆ หรือว่าอยากจะเจ็บตัวยุนโฮ”



    “ฉันก็แค่อยากรู้น่า ว่าแต่ไอ้คันจินี่มันอ่านว่าอะไร” คนตัวสูงยังทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคำเตือน
    ของเพื่อนรัก แถมยังยกมืออีกข้างหนึ่ง ชี้ไปที่ตัวหนังสือยึกยืออ่านยากนั่นด้วย



    “ว่ายังไงแจจุง มันอ่านว่าอะไรน่ะ”



    “ไอ้ยุนโฮ ไอ้เพื่อนงี่เง่า ตายซะเถอะ!”



    นอกจากจะมีท่าทางประหลาดแล้ว การจู่โจมของแจจุงในวันนี้ก็ผิดคาดไปกว่าเคย จากที่เดิมๆ จะตุ๊ย
    เข้าที่ท้อง หรือหยิกแกมหยอกแบบจั๊กจี้ให้หัวเราะกลิ้ง กลายเป็นว่าแจจุงโกรธจริง แล้วก็เตะจริงๆ เข้า
    ที่หน้าแข้งของเขาอย่างไม่คิดจะรักษาน้ำใจใดๆ เลย



    การที่ตัวเล็ก หรือมีรูปร่างโปร่งบางกว่า มันไม่ได้หมายความว่ากำลังจะน้อยตามไปด้วย กล้ามที่ซุ่ม
    ฟิตซ้อมมาอย่างดี รวมกับพลังโกรธเกินพิกัดปกติของแจจุง มันก็เล่นเอายุนโฮเซไปได้เหมือนกัน
    ซ้ำยังฟาดเข้าที่หน้าแข้งของเขาแบบเต็มๆ



    นี่...มันกะเล่นถึงตายนี่หว่า !



    “เล่นอะไรวะ เกิดเต้นไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง” คนตัวโตบ่นอู้ หลังจากที่หมดสภาพลงไปนอนคราง
    กับพื้นแล้ว



    “พักวงตั้งสามเดือน เกินจะมีเวลาไปฟื้นตัวล่ะยุนโฮ” เสียงตอบประชดอย่างทันกัน จากนั้นเจ้าตัว
    ก็ก้มลงหยิบกล่องใสๆ ต้นเหตุของการทะเลาะขึ้นมาปัดฝุ่นอย่างทะนุถนอม



    “ตกลงไปเอามาจากไหนเนี่ย” ในเมื่ออีกฝ่ายยังตื๊ออยากจะได้คำตอบ และคนที่ถูกถามเองก็เริ่มจะมี
    อารมณ์ดีขึ้น หลังจากที่ได้ออกกำลังกายแก้เซ็ง คำตอบก็เลยหลุดปากออกมาง่ายๆ



    “เจ้าของผลงานเขาให้ฉันมา”



    “ใครหว่า ไม่เห็นรู้จักเลย ลินน์” ยุนโฮพึมพำชื่อภาษาอังกฤษบนปกแผ่นเสียงนั้นเบาๆ



    “เขาก็ไม่รู้จักดงบังชินกิเหมือนกัน” คนเล่าเล่าต่ออย่างสนุก แถมเมื่ออารมณ์ดีมากพอ เหตุการณ์
    อะไรๆ ในวันนี้ มันก็เลยหลุดปากออกมาหมด ตามนิสัยช่างพูดช่างคุยของเจ้าตัว



    “คุณหลินเป็นชาวจีน ดังนั้นไอ้ตรงที่นายสงสัย ไม่น่าจะใช่คันจิหรอก น่าจะเป็นภาษาจีนมากกว่า
    คุณหลินยังเด็กอยู่เลย แต่ฝีมือการเล่นเปียโนเฉียบขาดเป็นบ้า เล่นดี เล่นเพราะ จนฉันไม่รู้จะอธิบาย
    ยังไงเลยยุนโฮ นี่ถ้ายูซอนอยู่ใกล้ๆ นะ ฉันอยากจะลากมาฟังด้วยจัง ยูซอนจะต้องมีคำวิจารณ์ดีๆ
    หรือไม่ก็ได้เทคนิกดีๆ จากคุณหลิน กลับไปเยอะแยะแน่ๆ”



    “คุณหลินเธอน่ารักมากเลยนะ จำชื่อผู้ฟังได้ทุกคนด้วย กระทั่งฉันที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน คุณหลินยัง
    อุตส่าห์ให้แผ่นเสียงของเธอมาฟังเลย บอกว่าเป็นของขวัญในการพบกันครั้งแรก คุณหลินยังชมเลย
    ว่าฉันมีเสียงเพราะนะยุนโฮ...”



    จากท่านอนหมอบกระแตกับพื้นเพราะฤทธิ์ลูกเตะของเพื่อน บัดนี้ยุนโฮเริ่มคลานเข่าขึ้นมาบนเตียง
    ทีละน้อย แล้วก็ค่อยๆ เอาหน้าซุกๆ ไปกับหมอนและผ้าห่ม ส่วนหูก็ยังเงี่ยฟังเรื่องที่แจจุงเล่าต่อ



    แต่ยิ่งนานชื่อคุณหลินก็ยิ่งมากขึ้น ไม่รู้จักจบจักสิ้น มีตามมาอีกเกือบสิบประโยค ไม่ว่าอะไรก็
    คุณหลินดี คุณหลินน่ารัก คุณหลินเก่ง จนยุนโฮเองก็ชักจะเริ่มเลี่ยนคุณหลินของแจจุงขึ้นมารำไร



    นิสัยเพื่อนของเขาก็อย่างนี้ล่ะ พอได้เจออะไรที่ถูกหูถูกตาเข้าหน่อย ก็จะเก็บมาปลื้มได้เป็นเดือนๆ
    พูดซ้ำแต่เรื่องนั้นอยู่ได้ไม่มีเบื่อหน่าย แล้วพอเจอเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่า มันก็พร้อมจะเปลี่ยนไปได้
    อีกไม่มีวันหมดสิ้น เป็นภาวะอย่างที่ชางมินแอบนินทาเอาไว้ว่า ‘พี่แจจุงช่วงคลุ้มคลั่ง’



    หวังว่าเรื่องคุณหลินมันคงจะจบได้ในเวลาไม่นานนะ เพราะถ้ามาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ แล้วต้อง
    ฟังเรื่องเดิมๆ แบบนี้กรอกหูทั้งเช้าสายบ่ายเย็น ถึงจะเป็นเพื่อนรักก็เถอะ มันก็ยากจะทนไหวจริงๆ



    ถึงจะคิดอย่างนั้นและอยากจะปรามเพื่อนมากสักแค่ไหน แต่เมื่อความเหนื่อยจากกิจกรรมที่ทำมาทั้ง
    วันปะทะกับความมึนเนื่องจากแอลกอฮอล์ดีกรีแรง และบวกด้วยแอร์เย็นๆ ที่เป่ารดใบหน้า ก็ทำให้
    ปากของยุนโฮหนักเกินกว่าจะพูดแย้งอะไรได้อีก หนังตาของเขามันปิดลงเรื่อยๆ พร้อมๆ กับหูที่เริ่ม
    จะฟังเสียงแจ้วๆ ของแจจุงเป็นเพลงกล่อมก่อนนอน



    เขาเกือบจะเคลิ้มหลับไปแล้ว ถ้าไม่มีประโยคนั่นแว่วผ่านหูเข้ามา



    “...เขาจับฉลากได้เพลงของฉันกับโชแปงล่ะ แต่คุณหลินไม่รู้จักดงบังชินกิเลย เธอถึงขอให้ฉันออก
    ไปร้องเพลงนี้ให้เธอฟัง แล้วเธอก็เลือกเพลงวาสุเระไนเดะของพวกเราแทนเพลงของโชแปงนะ
    หูเธอยอดเยี่ยมมากเลยยุนโฮ ฟังฉันร้องเพลงแค่ครั้งเดียวก็จำโน้ตได้หมด แถมยังเล่นในสไตล์ตัว
    เองได้น่าทึ่งมากๆ ด้วย คุณหลินบอกว่าเพลงของพวกเราเป็นเพลงที่ดีมากๆ...”



    “อะไรนะ” ยุนโฮเบิกตากว้าง ความง่วงปลิวหายไปในนาทีนั้น เขาชันตัวขึ้นมา แทบจะชนกับใบหน้า
    ของเพื่อนแล้วก็ถามเสียงแข็ง



    “นายทำอะไรไปนะ แจจุง”



    “ฉันก็ร้องเพลงวาสุ...อุ๊บส์!” แจจุงตะครุบปากตัวเองแทบจะไม่ทัน ในคราวนี้ไม่เพียงแต่สายตาเข้ม
    เขียวของเพื่อนเท่านั้น แต่สติสัมปชัญญะส่วนตัวด้วยอีกหนึ่งอย่างที่เตือนว่า ไอ้สิ่งที่บอกกับตัวเองว่า
    ควรจะเก็บเอาไว้เป็นความลับชั่วชีวิต บัดนี้มันถูกนำมาเปิดเผยอย่างหมดจดด้วยฝีปากของตัวเอง
    เสียแล้ว



    “นายร้องเพลงในคอนเสิร์ตนั่น อย่างนั้นหรือ คิมแจจุง” ลองได้เรียกชื่อสกุลแบบเต็มยศอย่างนี้แล้ว
    เห็นทีปรอทอารมณ์โกรธของยุนโฮ มันได้พุ่งจี๋แซงทะลุหน้าน้ำเดือดเป็นแม่นมั่น



    “อ่า ยุนโฮ คนดี๊คนดี” เพื่อนตัวดีปะเหลาะเสียงอ่อน เสียงหวาน นึกหาทางรอดเป็นพัลวัน



    “อย่าเพิ่งโกรธเลยนะ ไม่มีใครรู้จักฉันจริงๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าฉันเป็นนักร้อง...แถม...” แจจุงกัดริม
    ฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจขยายความลับอันน่าอับอายของตนเองออกไป เพื่อรักษาความ
    ปลอดภัยในชีวิต จากการประทุษร้ายของเพื่อน



    “ฉันร้องเพลงได้แย่มากๆ ด้วย ขนาดที่คุณหลินบอกว่าถ้าฝึกฝนมากกว่านี้ ฉันอาจจะได้เป็นนักร้อง
    ในอนาคต”



    จากที่โกรธจัด กลายเป็นอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง แล้วก็แปรเป็นเสียงหัวเราะลั่นกึกก้อง



    ยุนโฮหัวเราะจนน้ำตาไหล หัวเราะจนปวดท้อง แล้วก็หัวเราะเสียจนแทบจะหมดลมหายใจ
    กับคำสารภาพซื่อๆ ของเพื่อน ยิ่งมันมาประจวบเหมาะกับสีหน้าปั้นยาก แบบที่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้
    เห็นจากแจจุงคนฟอร์มจัด มันก็ยิ่งขบขันเป็นทวีคูณ



    “ฉันชักจะอยากเห็นคุณหลินของนายเสียแล้ว” ชายหนุ่มตัวโตว่า พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดน้ำตา
    ที่ไหลพราก



    “อยากจะเห็นหน้าคนที่ทำให้แจจุง ผู้มั่นอกมั่นใจในวิธีการร้องเพลงต้องห่อเหี่ยวหน่อยเถอะ
    แล้วจะได้ไปขอจับมือ แสดงความขอบคุณสักหน่อย”



    “ไม่ต้องเลยยุนโฮ” แจจุงว่า พลางเม้มปากเสียสูงชันจนแทบจะไปชนกับจมูก



    “ไม่เอาหรอก ขืนนายไปคุยกับคุณหลิน นายก็เล่าแต่เรื่องแย่ๆ ของฉันให้เธอฟังเท่านั้น”



    คำตอบของเพื่อน ทำให้ยุนโฮที่กำลังจะทิ้งตัวกลับลงไปบนหมอน ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
    อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความผิดหู



    “นายกำลังจะทำอะไรน่ะแจจุง”



    มาอีกแล้วคำถามประเภทคุณพ่อแบบนี้...คนหน้าสวยแอบค่อนในใจ พร้อมกับนึกสาปแช่งความไว
    เรื่องประสาทรับรู้ของอีกฝ่ายที่รวดเร็วไม่ผิดไปจากเจ้าโฮ่งสี่ขานัก...พูดแค่นี้ก็สะดุดหูแล้วรึ



    “ฉันอยากมีเพื่อนบ้างนี่ เพื่อนจริงๆ ที่คุยกันได้ โดยไม่ต้องรู้ว่าฉันเป็นคนดังมาจากไหน” เสียงตอบ
    งอนๆ มาพร้อมกับแก้มป่องๆ



    “เพื่อนนายก็มีเยอะแยะ” ยุนโฮว่า ทั้งอ่อนใจ ทั้งสงสารเพื่อนสนิทอย่างบอกไม่ถูก



    “จะเอาคนไหน แค่เจ้าของเบอร์โทรศัพท์อันยาวเหยียดในเมมโมรี่คาร์ดของนาย มันก็เพื่อนทั้งหมด
    ไม่ใช่หรือ”



    “แต่เขาก็รู้จักฉันในฐานะยองอุงแจจุงทั้งหมดนี่” คำตอบยังเป็นเหมือนเดิม แถมยังไร้เหตุผลมากกว่า
    เดิมด้วย



    “แล้วมันจะผิดไปตรงไหน ก็เพื่อนนายเขาก็ย่อมรู้ทั้งนั้นล่ะว่านายคือฮีโร่แห่งดงบังชินกิ”



    “แต่คุณหลินไม่รู้” เสียงตอบอย่างดื้อดึง เหมือนเด็กหัวรั้น



    “สักวันก็ต้องรู้ แจจุง เขาต้องได้เห็นนายจากหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในโทรทัศน์สักวันหนึ่งแน่ๆ”



    “คุณหลินไม่รู้หรอก เธอไม่มีทางรู้จริงๆ ถ้าไม่มีใครไปบอกเธอ”



    ฟังแจจุงเถียงอย่างนั้นแล้ว ยุนโฮก็ได้แต่ถอนใจ



    เขาเข้าใจว่าเพื่อนกำลังแสวงหาอะไรอยู่ ชีวิตในบางครั้งก็เป็นเรื่องตลก คนที่ถึงพร้อมไปทุกอย่าง
    ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียง และความสามารถ กลับขาดอะไรบางอย่างราวคนอนาถา



    แต่ยิ่งแสวงหาเท่าไรมันก็ยิ่งขาดหาย ยิ่งไขว่คว้ามากเท่าไรก็ยิ่งต้องสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น



    ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันไม่เคยขาดหรือหายไปไหนเลย นายมีมันอยู่อย่างล้นปรี่
    มีมันอยู่อย่างมากมายรอบตัว เพียงแต่นายปิดตาปิดหัวใจไม่ยอมรับรู้อย่างนั้น



    “สักวันหนึ่งถ้าคุณหลินรู้ความจริงเรื่องนี้ ทั้งนายและเธอจะต้องเจ็บปวดกับการหลอกลวงนะแจจุง”
    เขาเตือนสติอย่างคนที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกได้ดีกว่า และเข้าใจด้วยว่า ความสัมพันธ์
    ที่มีรากฐานมาจากการหลอกลวงนั้น มันไม่มีทางจีรัง ทั้งยังจะทำร้ายอย่างแสนสาหัส
    เมื่อสิ่งที่ซ่อนเร้นถูกเปิดเผยขึ้น



    “ไม่มีทางหรอก ถ้าฉันไม่บอก นายไม่บอก เขาก็ไม่มีทางรู้” เพื่อนของเขาที่ยังมองโลกแบบเด็กๆ
    เถียงเสียงแข็ง แถมยังทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาอ่อนระอา ที่ใช้มองมาของยุนโฮอีกต่างหาก



    คนเตือนก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ล้มกลับลงไปนอนกับหมอนของตัวเองแล้วก็ระบายลม
    หายใจออกมายาวๆ



    พอนานเข้ายุนโฮก็เคลิ้มหลับไปจริงๆ และเมื่อถึงตอนนั้นแจจุงถึงเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้



    คุณชายสะอาดผุดลุกขึ้นจากที่นอนตัวเอง แล้วลุกขึ้นมาเขย่าขาเพื่อนที่เริ่มส่งเสียงกรน แรงๆ



    “ยุนโฮ ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน นี่นายตะลอนๆ มาทั้งวัน แล้วจะนอนไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวสิวขึ้น
    เข้าใจไหมไอ้ตัวสกปรก”



    แต่มันสายไปแล้วล่ะแจจุงเอ๋ย เพราะปากที่เริ่มเผยอกว้างกับเสียงกรนที่หลุดรอดออกมา
    มันบ่งบอกว่าป่านนี้ยุนโฮฝันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และไม่มีทางลืมตาตื่นขึ้นมาจนกว่าจะถึงเช้าวันใหม่หรอก



    ปลุกไปก็เสียพลังงานเปล่าน่ะ แจจุง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×