ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] ตราบฟ้าสิ้นดาว [Yaoi+Rekishi]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ความผิดแห่งแสงจันทร์

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 53










    งานเลี้ยงคืนนี้คือวิบัติภัยโดยแท้ จุนซูได้แต่คิดขณะที่ก้าวตามฝีเท้าลิ่วๆ และแรงลากดึง
    ดุจโคถึกของพี่ชายกลับเรือนพัก เขาไม่เคยเห็นแจจุงโกรธอย่างนี้มานานนักหนาแล้ว
    ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ลูกชายของใต้เท้าคนหนึ่งบังอาจมาลวนลามเขา แจจุงโกรธจัดถึง
    ขนาดเอามือที่ทะนุถนอมอย่างดีสำหรับเล่นพิณของตน ฟาดปากฝ่ายนั้นเสียยับเยินไป
    หมด แล้วก็ร้องบอกกับอาจารย์ที่ฝึกสอนการร้องเพลงว่าจะกลับบ้านนอก


    ‘บ้านนอกที่ไหนกัน’ ไม่เพียงแต่อาจารย์ผู้สอนหรอกที่แปลกใจ กระทั่งจุนซู
    ผู้เป็นน้องชายยังกังขา


    ...ท่านพ่อและท่านแม่ของพวกเขาสิ้นบุญก่อนหน้านี้หลายปี จากการโจมตีของพวกโจร
    ร้ายบนเขา ไม่มีบ้านสักหลังให้กลับไป ยกเว้นก็แต่เรือนพักของหลวงหลังนี้ ที่จัดสรรให้
    ศิลปินฝีมือดีเป็นผู้ครอบครอง


    ‘ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีไอ้ลูกเต่าต่ำช้านั่น’ คำว่าโกรธแล้วเห็นช้างตัวเท่ามดคือคำจำกัดความ
    ความบ้าดีเดือดของแจจุงได้ดีที่สุด และไอ้ลูกเต่าต่ำช้านามสกุลลีที่ว่าก็บังเอิญมีพ่อเต่า
    เป็นขุนนางระดับสอง ที่มีระดับความสามานย์ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร มันเบี่ยงประเด็น
    พลิกลิ้นจากผิดเป็นถูกและจากถูกเป็นผิดไปสิ้น จนกรมอาญาจะเอาตัวพี่ชายเขา
    ไปลงโทษให้ได้ ด้วยเหตุที่ล่วงเกินเบื้องสูง


    ...ถ้าในคราวนั้นไม่ได้ความเอื้ออารี ไม่ได้น้ำใจใสเย็นของยุนโฮวอนจา ก็อาจจะไม่มี
    ศิลปินเอกผู้เลื่องชื่ออย่างคิมแจจุงและคิมจุนซูหยัดยืนอยู่


    “ใจเย็นๆ เถอะท่านพี่ สหายผู้นั้นของยุนโฮวอนจา...”


    “อย่าเอ่ยชื่อมันให้ข้าได้ยินอีก” พี่ชายเขากระชากเสียงดังลั่นอย่างดุร้าย แล้วก็เพิ่มความ
    เร็วของการก้าวขามากกว่าเก่าจนราวกับจะเหินบิน


    “ไอ้ลูกเต่าหน้าด้าน ไร้ยางอาย ชั่วช้าสามานย์ที่สุด ชิชะ พูดจาแต่ละประโยคนับว่า
    ไม่มีงาช้างงอกจากปากสุนัขจริงๆ  แต่ละคำเหม็นคละคลุ้งราวกับผายลม” แจจุงระดมคำ
    ด่าที่นึกออกมาได้ในตอนนั้นเป็นชุดๆ ราวประทัดแตก นี่ถ้าพี่ชายของเขาได้คลุกคลีกับ
    พวกนางรำมากกว่านี้ คงจะได้ถ้อยคำยาวๆ ที่ไม่ซ้ำกันอีกสักยี่สิบคำเป็นอย่างน้อย


    “เขาก็แค่อยากรู้จักข้า” จุนซูเถียงเสียงอ่อย ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยแก้ตัวให้เจ้าปีศาจราคะ
    น้อยนั่นหรอก เพียงแต่เรื่องขุ่นเคืองของแจจุงในยามนี้มีมากเกินไปจริงๆ เขาไม่อยากจะ
    ให้ผู้เป็นพี่ต้องมากลัดกลุ้มกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้อีก


    “เห็นสายตาที่มันมองเจ้าไหม...” คนพูดหันกลับมาเท้าสะเอวถาม ใบหน้าขึ้นสีเรื่อจาก
    ความโกรธจัด


    “ข้ารู้” ...ว่าสายตาของเจ้านั่นยังกับจะกลืนกินข้าเข้าไปทีเดียว... “แต่มันก็แค่มอง ช่าง
    เถิดท่านพี่ แค่มองไม่ได้ทำร้ายอะไรข้า เรื่องที่ควรกลัดกลุ้มหาใช่เรื่องนี้ไม่”


    “ถ้าเช่นนั้นจะมีเรื่องอะไรอีกที่ข้าควรกลัดกลุ้มมากกว่าเรื่องของเจ้า ที่เป็นน้องชายคน
    เดียวของข้า” สบสายตากับดวงตากลมโตนั่นแล้ว ก็ยากจะเชื่อว่าเจ้าตัวไม่รู้ความ
    ...แจจุงอาจจะโกรธจัดจนลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง


    “ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของยุนโฮวอนจา” จุนซูตอบเสียงเบา แล้วก็คว้าร่างโปร่งบาง
    ของพี่ชายมาสวมกอด


    “ข้ารู้ว่าท่านพี่ตระหนก”


    “ข้า...เปล่า...เปล่าสักนิดเดียว เจ้า...เจ้าเอาอะไรมาพูดจุนซู มัน...มัน...มันเป็นเรื่องที่ต้อง
    ...ยินดีมิใช่หรือ เลื่อนยศ เปลี่ยนตำแหน่ง ยุนโฮวอนจาได้...ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ กุมกำลัง
    พลร่วมสิบหมื่นของชุงรยง เป็นเรื่องน่ายินดี...ไม่ใช่หรือ” ให้เจรจาเช่นไร ให้เรียวปาก
    สีสดแย้มยิ้มเช่นไร แต่ประกายวูบไหวในดวงตาของแจจุงก็ปิดบังความนัยต่อน้องชาย
    คนเดียวอย่างจุนซูไม่ได้


    ...รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาคู่งามนั่นหรือ คือการแสดงความยินดีต่อตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
    ของยุนโฮวอนจา?


    “เขา...เขาได้กุมกำลังสำคัญ ได้กลับมายังเมืองหลวงเสียที หลังจากต้องไปลำบากที่
    ภาคเหนือหลายปี เป็นแม่ทัพเชียวนะจุนซู แม่ทัพใหญ่แห่งชุงรยง...”


    ...แล้วเจ้าชายผู้สูงศักดิ์พระองค์นั้น ผู้กุมกำลังสำคัญพระองค์นั้น ก็จะห่างท่านออกไป
    เรื่อยๆ ใช่ไหมพี่ข้า?


    “คิดดูสิ ในบรรดาโอรสนับร้อยของชุงรยงชอนฮา ยุนโฮวอนจาเพียงอยู่ใต้อึนจองแดกุน
    ...ไม่ใช่สิ อึนจองวังเซจา เพียงพระองค์เดียว เขาได้รับการยอมรับแล้วนะจุนซู ความ
    สามารถที่เปล่งประกายนั่น ได้รับการยอมรับแล้ว...”


    ...ในขณะที่ประกายแสงแห่งความรักของท่าน กลับมีแต่สลัวรางลงไปเรื่อยๆ
    เช่นนั้นหรือ?


    “จุนซู” แจจุงเรียกน้องชายที่โอบแขนรัดรอบเอวเขาเบาๆ จุนซูเงียบเสียงลงไป
    อย่างน่าแปลกใจ ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากริมฝีปากบาง นอกจากเสียงสูดลมหายใจ
    แรงๆ และเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักในโพรงอก


    “เจ้ากังวลอะไรเด็กบ้า”


    “ข้า...”


    ...และมันก็เป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา จุนซูเลือกระงับความในใจลงกับความเงียบ
    เขาดันร่างของพี่ชายออกห่าง แล้วจับจูงมือเรียวงามสมกับความเป็นนักเล่นพิณ
    ของอีกฝ่าย ไปทางอุทยานชั้นนอก


    “พระจันทร์ยามราตรีงามนัก” จุนซูว่าพลางชี้ชวนให้ผู้ที่ตามมา แหงนมองประกายนวล
    ผ่องกลางท้องฟ้า


    “ไม่ดอก ข้าเคยเห็นจันทร์เพ็ญที่งามกว่านี้หลายเท่านัก” สุ้มเสียงหวานตอบแผ่วเบา
    ปานละเมอ ดวงตากลมโตอาบไล้ด้วยประกายเงินยวงแห่งแสงเดือนราวประกายฝัน


    “งามล้ำ ดุจภาพรังสรรค์แห่งจิตรกรเอกทีเดียว”


    ภาพความงามแห่งแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำสีมืดดำประทับแน่นในใจแจจุง
    เช่นเดียวกันกับกระแสเสียงทุ้มนุ่มของชายผู้นั้นยังติดตรึงในหูไม่เลือนหาย


    ‘เหตุที่ได้ชื่อว่าชอนแอ เพราะหากมองแม่น้ำนี้ยามค่ำคืน ผืนน้ำจะเป็นดั่งกระจกเงา
    ที่สะท้อนทุกสิ่งสรรพบนผืนฟ้าลงมา หมู่ดาริกาจะทอแสงพรับพราวบนเกลียวคลื่น
    รายล้อมดวงเดือนดั่งอารักษ์ ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนั้น โค้งฟ้าจึงรักสายนทีแห่งนี้นัก
    อย่างไรเล่า’



    คนผู้ผ่านมาพบกันเพียงผิวเผินแล้วจากไป น่าแปลกนักที่แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ
    น้อยๆ แจจุงยังจำได้ติดตา จำได้กระทั่งว่า บนผิวสีน้ำผึ้งนวลตามีไฝสองเม็ดคู่ที่หลังหู
    ด้านซ้าย แล้วก็อีกเม็ดหนึ่งที่ต้นคอ


    ...ชายผู้ไม่ยอมเปิดเผยนามใดๆ แก่เขาเลยสักนิด


    “แจจุง” เสียงน้องชายคนเดียวกระซิบเรียกแผ่วเบา ฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงภวังค์ฝัน
    แจจุงเหลียวมองตามทิศที่ปลายนิ้วจุนซูชี้ และเพียงแค่เห็นชายภูษาสีเหลืองทองสะบัด
    กรายมา เขาก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด


    “ข้าจะไปรอที่โน่น” น้องชายชี้ไปที่ร่มไม้ใหญ่ สุดทางเดิน


    “เจ้ากลับเรือนพักก่อนเถอะ” แจจุงบอกเสียงเบา ตบหลังมือที่ยังละล้าละลังให้ผละห่าง


    “ไม่มีใครดักทำร้ายข้าหรอกจุนซู มันเป็นอุทยานหลวง ทหารรักษาการณ์มีมากมาย
    เจ้าไปพักผ่อนเถอะ น้ำค้างยามดึกจะทำให้เจ้าป่วยได้”


    ดวงตาเรียวยาวกลอกไปมาตลบหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดิน
    ห่างออกมาตามคำสั่ง แต่ครั้นพี่ชายละสายตาไป ผู้ที่เพิ่งผงกศีรษะรับอยู่เมื่อครู่ก็เลี่ยง
    กายซุ่มซ่อนในความมืด ไม่ได้ห่างเกินการรับฟังเนื้อความในบทสนทนาและในขณะ
    เดียวกันก็มิได้ใกล้เกินกว่าจะทำให้ใครสังเกตเห็นได้ง่ายๆ


    จุนซูจับจ้องไปที่ขบวนคดเคี้ยวที่ตามด้วยแสงตะเกียงเรืองรอง ที่เข้าใกล้ศาลาหินกลาง
    อุทยานเข้ามาทุกขณะด้วยหัวใจเต้นแรง


    เขาก็อยากจะรู้เช่นกันว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ยุนโฮวอนจาจะให้คำตอบใดแก่พี่ชาย
    ของเขา


    เป็นคำหวานที่มอบความหวังให้ดั่งเคย ใช่หรือไม่?

     



     “ไม่ได้พบกันนานนักหนา” เสียงอ่อนโยนกระซิบแผ่วข้างหู ขณะที่ปลายนิ้วอุ่นจัดรวบ
    กำมือของแจจุงเอาไว้อย่างหนาแน่น


    “3 ปี 7 เดือนกับอีก 16 วัน” แจจุงตอบความออกไปด้วยเสียงเบา ช้อนสายตาขึ้นสบกับ
    ดวงตาที่ทรงอำนาจคู่นั้นอย่างนุ่มนวล ความโหยหาระบายสีชัดแจ้งในประกายตา


    “นับตั้งแต่วันที่กองทัพน้อยของท่านยาตราผ่านเมืองหลวงของชุงรยงออกไป นับตั้งแต่
    นั้น เราก็มิได้พบปะกันอีกเลย”


    “จดหมายนับร้อยฉบับ...” ผู้ที่กุมมือของเขาเอาไว้ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ไม่มีคำพูด
    ใดจะระบายถึงความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลได้หมดสิ้นจริงๆ ต่อให้เขียนจดหมายอีกเป็นพัน
    ฉบับ ต่อให้เฝ้าเจรจาความหลายชั่วยามก็หาได้บรรเทาความรู้สึกหนักหน่วงในใจ
    ลงได้เลย


    “ข้ารับไว้จนสิ้น” คำตอบรับหวานล้ำเท่าเทียมกับสายตาที่ทอดมอง ดวงตาคู่โต
    ของแจจุงจารแจ้งถึงสิ่งที่รับรู้ สิ่งที่นอกเหนือไปจากจดหมายที่ถูกเอ่ยถึง


    ความคิดคำนึงที่ถูกส่งผ่านมากับตัวอักษรแต่ละตัว กับวลีแต่ละวลี กับประโยคแต่ละ
    ประโยค เขาได้รับมันจนครบถ้วนและผนึกความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้แน่นหนา
    กับหัวใจและจิตวิญญาณ


    “ข้าจะไถ่โทษต่อการละเลยนี้เช่นไรดี”


    “ไม่จำเป็นหรอก” แจจุงส่ายศีรษะปฏิเสธ ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ในหน้า ยิ้มหวานอย่างที่คน
    มองได้แต่ยิ้มตามแล้วเอื้อมมือไปไล้บนพวงแก้มใสอย่างยากจะยั้งใจได้


    “แค่เพียงมีท่าน ความผิดถูกนับร้อยนับพันก็หาได้ควรค่าแก่การใส่ใจไม่” พลันที่วาจานั้น
    หลุดจากริมฝีปากสีสด ดวงตาสองคู่ที่สบประสานกันก็พลันแย้มยิ้ม วันวานที่งดงามและ
    อบอุ่นดุจกระแสน้ำพุร้อนที่ปราดแล่นใต้ผืนพิภพ ก็เอิบอาบเอ่อท้นท่วมในหัวใจสองดวง


    ...ประโยคที่ตราตรึงระหว่างทั้งสอง ในวันอันแสนรื่นรมย์
    ใต้ร่มไม้ดอกกลิ่นหอมซ่านนาสา


    ‘แค่เพียงมีท่าน ความผิดถูกนับร้อยนับพันก็หาได้ควรค่าแก่การใส่ใจไม่’


    ‘เป็นเช่นนี้จริงหรือยุนโฮวอนจา’ ดวงตาคู่โตที่ฉ่ำด้วยหยาดน้ำตาของคิมแจจุงจ้องถาม
    และผู้ที่สูงกว่าด้วยศักดิ์ฐานะและอายุก็ยิ้มรับ ตอบวาจานั้นอย่างหนักแน่น


    ‘ถูกแล้ว เพื่อเจ้า ความผิดถูกใดๆ ไม่สำคัญเลย’


    ‘ท่านต้องถูกมหาอำมาตย์นัมตำหนิเพราะข้า’


    ‘หากเจ้ายืนยันว่าเจ้าไม่ผิด ข้าก็พร้อมจะเชื่อเสมอ’


    กระแสสายตาอุ่นร้อน แจ้งความรู้สึกลึกซึ้งทั้งหมดต่อแจจุงอย่างเปิดเผย ทุกอย่างเป็น
    ราวกับภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ องค์ชายผู้สูงศักดิ์และสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณลักษณะ
    แห่งราชนิกูลผู้นี้นะหรือที่กำลังบอกรักข้า? แจจุงได้แต่ถามตนเองอย่างเผลอไผล


    เขาไม่แน่ใจอะไรสักนิดเดียว กับเด็กกำพร้าที่แม้จะมีสายเลือดของขุนนาง
    แต่ก็เป็นแค่ชั้นปลายแถว
    กับศิลปิน...ชนชั้นที่ได้รับการยกย่องและดูแคลนในเวลาเดียวกัน
    กับบุรุษผู้เป็นเพศเดียวกัน


    ในบรรดาตัวเลือกนับร้อยนับพัน ผู้ที่เหมาะสมกว่าข้า คู่ควรกับท่านมากกว่าข้า
    ท่านเลือกข้ากระนั้นหรือ?


    ‘เจ้าคิดอะไรอยู่หรือแจจุง’ เสียงทุ้มของยุนโฮวอนจาเอ่ยถาม มือที่กระด้างเพราะกรำ
    การสงครามและอาวุธนานัป ยื่นช้อนเชยคางของคู่สนทนาขึ้นมาประสานสายตา


    ‘ข้ากำลังคิดว่า ตนเองฝันไปหรือไม่’


    รอยยิ้มจางบนวงหน้าคมสันคือการตอบรับคำพูดนั้นอย่างปรีดา ‘ข้าเสียอีกที่ควรจะพูดว่า
    การตอบรับของเจ้าคือความฝัน’


    ‘ท่านมีทุกอย่างพร้อมในฐานะองค์ชาย’


    ‘แล้วเจ้าขาดคุณสมบัติใดที่จะเป็นคนรักของข้าหรือ’


    ‘ข้าเป็นชาย...’ แจจุงเอ่ยคำนั้นแล้วชะงัก พยายามเบือนหน้าหนี แต่มือที่แข็งแรง
    ของยุนโฮวอนจารั้งใบหน้างดงามนั้นเอาไว้มั่นคง พูดประโยคออกมาอย่างหนักแน่น
    ขณะจ้องลึกลงไปในแก้วตาสีสวย


    ‘หากเรารักกัน สิ่งนั้นหาได้มีความหมายอะไรเลย แค่เพียงมีเจ้าแจจุง ความผิดถูกนับร้อย
    นับพัน คำครหาหมื่นแสน จารีตใดๆ ก็หาได้ควรค่าแก่การใส่ใจไม่’



    ความหอมหวานแห่งความหลัง ยังซ่านซึ้งซึมซาบจวบจนเวลานี้


    “ถ้าท่านไม่ได้แอบมองคนที่ดีดพิณหลังม่านไม้ไผ่ด้วยความอยากรู้” น้ำเสียงเจรจา
    กลั้วหัวเราะบางเบา “เราคงจะไม่ได้รู้จักกัน”


    “มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอกแจจุง” ยุนโฮวอนจาตรัสตอบอย่างนุ่มนวล จับจ้องไปที่ดวง
    ตาสุกสกาวที่ร้อยรัดหัวใจของเขาเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างเผลอไผล


    ...ใช่เพียงแต่แจจุงที่ผูกหัวใจเอาไว้ที่เขาอย่างมั่นคง ตัวของเขาเองมิอาจไม่พูดว่า
    หลงเหลือหัวใจสำหรับใครได้อีกต่อไป


    ลมหายใจผ่าวร้อนปัดระผ่านขมับของผู้ที่แอบอิงแนบชิด ก่อนจะก้มหน้าลงจรดปลายจมูก
    เพื่อสูดดมกลิ่นหอมหวานของผิวกายนวลผ่อง


    “ข้าเชื่อในโชคชะตา ต่อให้ข้าไม่ได้เยี่ยมหน้าผ่านม่านไม้ไผ่เข้าไป ต่อให้เจ้าไม่ได้ปราย
    สายตามองมา เราจะต้องได้รู้จักกันอย่างแน่นอนในวิถีทางหนึ่ง เพราะเจ้าเป็นของข้าและ
    ข้าเป็นของเจ้า สวรรค์ลิขิตให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแจจุง เชื่อเถอะว่าความรัก
    ของข้า ไม่มีวันคลอนแคลนไปได้เลย”
       


    จุนซูระบายลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาอย่างแผ่วเบา ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่าง
    ศาลาหินกลางอุทยานเงียบๆ


    เงาร่างสองร่างที่อิงแอบกลางแสงจันทร์ลออ งดงามราวเทพรังสรรค์ หากความงามนั้น
    ...นักร้องเอกได้แต่ถอดถอนใจออกมาอีกครั้งอย่างกลัดกลุ้ม ขณะทอดสายตามอง
    ผู้ติดตามขบวนเหยียดยาวที่ได้รับคำสั่งให้ถอยห่างออกไปในระยะสิบจ้าง ทั้งขันที
    ทั้งทหารอารักขา


    ...จะกี่ปากอีกหนอที่จะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปจนทั่ว?


    ชองบูอิน...พระมารดาในยุนโฮวอนจา จะกริ้วพี่ชายของเขาอีกสักกี่ครั้ง?


    สัมพันธ์ระหว่างบุรุษ ไม่ใช่เรื่องที่ใครติฉิน องค์ชายหลายต่อหลายท่าน อำมาตย์ใหญ่
    หลายต่อหลายคน กระทั่งลูกท่านหลานเธอเหล่านั้น ต่างก็มีบุรุษรูปงามไว้เชยชม


    ...เพียงแต่ไร้คำติฉิน ใช่หมายความว่าสิ้นคำครหา


    หากยุนโฮวอนจาไม่โดดเด่นดุจสนบนยอดเขาสูง ไม่สง่างามราวกิ่งหลิวริมฝั่งน้ำ
    ไม่ใช่พระโอรสผู้สนิทเสน่หายิ่งในชุงรยงชอนฮา และมิใช่ผู้ที่ประกาศว่าจะมีคู่ครอง
    เพียงหนึ่งเดียวแล้วไซร้ พี่ชายของเขาคงไม่ตกที่นั่งลำบากเฉกเช่นนี้


    และในขณะเดียวกัน หากแจจุงจะงามพร้อมน้อยกว่านี้ จะเป็นที่รู้จักน้อยกว่านี้ และ
    ยินยอมที่จะเป็นสองรองจากใครสักคนที่เป็นสตรี...ผู้ดำรงตำแหน่งพระชายาในยุนโฮ
    วอนจาในอนาคต ทางเลือกของยุนโฮวอนจาก็คงไม่ลำบากเช่นเดียวกัน


    ...ข้าไม่ชอบความรักที่ซับซ้อนเช่นนี้เลย จุนซูรำพึงกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ขณะเหลือบ
    มองสีหน้าเปี่ยมสุขของพี่ชาย ก่อนจะขยับกายออกห่างจากซุ้มไม้ที่ใช้ซ่อนตัว


    ควรจะพูดว่าเป็นลิขิตของสวรรค์อย่างนั้นได้หรือไม่? สำหรับการพบปะกันระหว่างพี่ชาย
    ของเขากับยุนโฮวอนจา ที่ฝ่ายหนึ่งได้ยินคำร่ำลือหนาหูเกี่ยวกับความงามกว่าบุปผาและ
    การหลบซ่อนตัวของนักเล่นพิณฝีมือเอก และในขณะเดียวกันหัวใจที่บริสุทธิ์
    ของแจจุงนั้นก็ไม่เคยมีสิ่งใดเกินกว่าเพลงพิณและดนตรีกาลมาก่อน


    สายตาสองคู่ได้สานสบกันระหว่างงานเลี้ยงฉลองของชองบูอิน และจากวันนั้นหน้าเรือน
    พักของพวกเขา ก็จะมีดอกไม้หอม มีม้วนผ้าลายวิจิตร มีขนมและอาหารหลากรส
    จากคนผู้หนึ่งมากำนัลเสมอ


    ควรจะพูดว่าคิมจุนซูอาจเป็นเครื่องมือของสวรรค์ในอีกหนทางหนึ่งได้หรือไม่? สำหรับ
    การเผยความนัยในหัวใจระหว่างพี่ชายของเขากับยุนโฮวอนจา ที่คราวเมื่อแจจุงทำร้าย
    ลูกชายของขุนนางสกุลลีเนื่องจากลวนลามเขา แล้วถูกใส่ร้ายให้ต้องโทษไปเป็นทาส
    ของแผ่นดิน


    ยุนโฮวอนจาที่ไม่เคยใช้อำนาจการเป็นองค์ชายในการใดเลย กลับสั่งให้กรมอาญาพลิก
    คดีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และนั่งสอบสวนพยานทั้งหมดด้วยตนเอง และเมื่อความทั้งหมด
    แจ้งกระจ่าง สิ่งที่ชัดแจ้งยิ่งกว่าความบริสุทธิ์ต่อคำกล่าวหาของคิมแจจุง ก็คือความ
    สัมพันธ์ของพี่ชายของเขากับยุนโฮวอนจา


    องค์ชายผู้นั้นยินดีที่จะประกาศอย่างชัดเจนว่า คู่ครองของตนมีเพียงผู้เดียวและคนผู้นั้นจะ
    เป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากศิลปินเอกแห่งชุงรยงผู้มีนามว่าคิมแจจุง


    ...จากครานั้นเนิ่นนานปี คำสัญญาที่กระซิบพร่ำพรอดต่อกัน จะยังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่
    ในความสัมพันธ์อันทอดยาว ทั้งคู่จะกุมมือผ่านวิบากที่รออยู่อย่างมากมายได้หรือ?


    เมื่อนึกถึงว่าพี่ชายจะทุกข์ใจมากเพียงใด กับการกลับมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
    แห่งชุงรยงของยุนโฮวอนจา จุนซูก็อดวูบในใจไม่ได้ และยืนเหม่อลอยที่ซุ้มไม้นั้น
    อีกพักใหญ่ 


    ดวงตาใสกระจ่างดั่งหยาดน้ำค้าง กวาดมองรอบกายอย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงหัน
    กายกลับ หมายจะเดินไปยังเรือนพักของตน ตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้กับพี่ชาย


    แต่เพียงแค่หมุนกาย จุนซูก็พบว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของมือคู่หนึ่ง
    ที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดถึงอาจหาญขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงเพียงนี้


    “เป็นท่าน!” จุนซูกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ในใจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ


    ...เป็นเจ้าปีศาจราคะน้อย จักรพรรดิราคะที่ชื่อปาร์คยูชอนคนนี้จริงๆ


    สวรรค์! นี่ท่านจะให้เขากับข้าห่างไกลกันสักสิบหมื่น แปดพันลี้ไม่ได้เชียวหรือ


    “เป็นข้า” น้ำเสียงยียวนกวนโทสะนั้น ก็ยังเป็นเช่นเดิมมิได้ผิดเพี้ยน พูดแบบเดียวกับที่
    พยายามโอ้โลมปฏิโลม ชักชวนให้เขาไปเยี่ยมเยียนเรือสำเภาที่จอดเทียบท่าในแคว้น
    วูยองของตนเอง ด้วยเหตุผลสารพัดจะกล่าวอ้าง


    จุนซูจำได้ว่าตนเองปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น และยืนกรานถึงที่สุดแล้วว่า ไม่สนใจการค้า
    ขายใดๆ แม้สักนิด ไม่นิยมการสัญจรทางน้ำด้วยว่ายน้ำไม่เป็น และไม่มีความสนใจในงาน
    ศิลปะของต้าซ้องที่อีกฝ่ายยกมาอวดอ้างแต่อย่างใด


    แล้วที่แท้มันมีข้อผิดพลาดตรงไหน? เจ้าปีศาจราคะนี่ถึงไม่เข้าใจอะไรเสียเลย


    “ข้าต้องการที่จะกลับเรือนพัก”


    “แต่ข้าต้องการสนทนากับท่าน”


    ...ใครก็ได้ช่วยบอกหนทางในการสลัดปลิงให้กับข้าคิมจุนซูได้หรือไม่?


    “มันดึกมากแล้ว” นิ้วมือชี้ส่งๆ ขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะยกข้ออ้างอะไรขึ้น
    มาอีก จุนซูผลักฝ่ายนั้นออกห่าง แล้วก็ก้มหน้าเดินจากไป แต่เจ้ากรรม คนที่เขาจากมา
    นั้นก็หาได้มีระดับความทานทนอย่างคนธรรมดาไม่ มือของจุนซูที่ยื่นออกไป
    จึงถูกจับเอาไว้แล้วดึงรั้งกลับมาหาตัว


    เดิมทีจุนซูแค่คิดจะผละจากไปเงียบๆ ด้วยเห็นแก่ความเป็นสหายของยุนโฮวอนจาและ
    ศักดิ์ฐานะแขกเมืองของชุงรยง แต่โดนอย่างนี้ซ้ำๆ ซ้อนๆ เข้าโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอก
    ตั้งแต่กลางงานเลี้ยงก็ระเบิดโพล่ง


    “ท่านเข้าใจภาษามนุษย์หรือไม่ ข้าบอกว่าไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ยินดีกับสิ่งกำนัลใดๆ
    ของท่านทั้งสิ้น ท่านจะเลิกตอแยข้าสักทีได้หรือไม่”


    มือที่ถูกจับยึด จุนซูดิ้นรนสลัดมันจนหลุด แล้วก็ปาดถูที่ข้อมือนั้นอย่างแรง สำแดงความ
    รังเกียจออกมาอย่างชัดแจ้งต่อหน้าคู่สนทนา


    แต่ว่าสวรรค์เอย...ข้าคิมจุนซู ไม่เคยพบผู้ที่หน้าหนา หน้าทน ได้เทียมเท่ากับปีศาจราคะ
    ตัวนี้มาก่อน พอเขาถูมืออย่างรังเกียจ คนน่าชังผู้นั้นก็ยิ้มกริ่มถือวิสาสะยื่นมือมาจับปอย
    ผมที่ระใบหน้าของเขาขึ้นไปสูดดมดังหมับ มิหนำซ้ำยังตีสีหน้าอิ่มเอิบดั่งได้ดอมดม
    ดอกไม้ทิพย์ก็ไม่ปาน


    ชายผู้นี้มากเกินไปแล้วจริงๆ !


    ควรรู้ก่อนว่าคิมจุนซูเป็นคนสุภาพมีมารยาทมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการกวดขันจาก
    ครูอาจารย์มานานหลายปี เมื่อเขาต้องขึ้นเวที ต้องพบปะกับผู้คนหลากหลาย ถึงไม่กล้า
    อวดอ้างว่าเป็นผู้มีมารยาทดีงามที่สุดในแผ่นดิน แต่ก็ย่อมเป็นผู้ประพฤติตนได้อย่าง
    เหมาะสมอย่างแน่นอน ทว่าในวันนี้เขาถูกลวนลามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนๆ หนึ่ง ต่อให้มี
    นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน มีมารยาทดีงามเพียงไร เป็นใครก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ทั้งนั้น


    “สมองเจ้ามีปัญหา หรือว่าสติของเจ้าไม่สมประกอบกันแน่” จุนซูตะโกนใส่หน้าจักรพรรดิ
    วารีอย่างเหลืออด และฝ่ายนั้นก็หัวเราะคลอเบาๆ ในคอ ก่อนจะกระทำการอุกอาจยิ่งไป
    กว่าเก่า ด้วยการยื่นปลายนิ้วอุ่นลูบไล้ริมฝีปากที่กำลังเจรจาความอย่างแผ่วเบา


    จุนซูถึงกับอ้าปากค้าง คิดอะไรไม่ออก ไปชั่วขณะ


    “งามนัก” เสียงแหบพร่ารัญจวนกระซิบกระซาบ ก่อนที่วงหน้าคมคายจะโน้มเข้าใกล้อย่าง
    ยั้งใจไม่อยู่ มือแข็งแรงของยูชอนบังคับใบหน้าของจุนซูให้หยุดนิ่ง ก่อนจะทาบริมฝีปาก
    ของตนลงไปอย่างจาบจ้วงถือดี


    รสชาติของริมฝีปากสีสดนั้นหวานล้ำ ละลายแผ่ซ่านบนปลายลิ้น ดุจดั่งโอสถทิพย์ ดุจดั่ง
    ธารธาราแห่งคีรี(ภูเขา)
    พิสุทธิ์ ยิ่งกว่าความคาดหมายหลายเท่านัก ยูชอนตักตวงมันอย่าง
    หิวกระหาย ละโมบดั่งเด็กน้อยที่ได้ลิ้มรสกษิรธารา(น้ำนม)เป็นครั้งแรกในชีวิต


    ดวงหน้าที่อยู่ใกล้ทั้งร้อนจัด ทั้งหอมกรุ่นจนชวนให้ลุ่มหลง ให้ลิ้มรสสักเท่าใด
    ก็ไม่มีวันเพียงพอได้เลย


    หากเมื่อลมหายใจใกล้จะขาดห้วง เมื่อยูชอนละริมฝีปากห่างออกมา กำปั้นที่หนักพอจะ
    ทำให้มองเห็นดาวพร่างพรายได้ ก็หวดเข้ามาที่ปลายคางของเขาอย่างดุดัน
    อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว


    สาบานว่าเจ้าของหมัดหนักอึ้งอันนั้นคือคิมจุนซู คนที่เขาเพิ่งขโมยจุมพิตไปเมื่อสักครู่!


    ชายหนุ่มคนนั้นเหยียดสายตามองเขาอย่างกร้าวกระด้าง ด้วยสีหน้าเย็นชาราวสายลมใน
    ฤดูเหมันต์(ฤดูหนาว) คล้ายจะพูดถ้อยคำใดออกมาสักอย่าง แต่แล้วก็ตัดสินใจถ่มมัน
    เอาไว้กับพื้นตรงหน้าเขาแล้วปราดเดินห่างไปทันที


    ยูชอนยกมือข้างหนึ่งปาดหยาดโลหิต ที่ไหลรินตามรอยปริแตกของริมฝีปาก เพราะ
    พิษสงของหมัดจากนักร้องเอก  แล้วปาดลิ้นไล้เลียรอยแผลนั้นอย่างแผ่วเบา


    รสเค็มคาวปร่าวูบของโลหิตที่ซ่านซึมตามรอยแผลแผ่ซ่านให้ลิ้มรสได้ แต่ถึงกระนั้นรสชาติหวานหอมที่ได้สัมผัสเมื่อสักครู่ ยังย้อมมอมเมาเขาอยู่จวบจนถึงเวลานี้


    ในสงครามทางการค้าที่ต้องอาศัยการชิงไหวชิงพริบมากมาย เขายังไม่พรั่นพรึงอะไรเลย
    แล้วนับประสาอะไรกับสงครามหัวใจที่มีคนต้องใจเป็นเดิมพันเล่า


    “ให้เป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอ ให้เป็นพันครั้งก็หาได้จุใจไม่”


    ...สาบานต่อจันทรางามกลางราตรีนี้คิมจุนซู ข้าจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน
     





    Let's Talk
    แอบประหวั่นพรั่นใจว่า ท่านผู้อ่านจะรู้สึกอย่างไรต่อพฤติกรรมของตัวละครทั้งหลายโดยเฉพาะคิมจุนซู
    คือปาล์มตั้งใจจะให้น้องแมนโค่ดๆ โคตรแมนๆ แล้วก็ต้องมาเจอกับโรคจิตระดับพระกาฬอย่างท่านปาร์คพี่ (555+)
    แล้วปาล์มก็อยากรู้ว่ารักนิรันดร์มันมีจริงไหม (น่าน โป๊ะเช๊ะ สปอยล์ซะ)
    คนดีที่ดีได้ตลอดกาล มีจริงหรือเปล่า แล้วอย่างไรคือความเป็นคนดี ^^
    นั่นล่ะค่ะ ความสนุกในการเขียนเรื่องนี้
    ไม่มีพจนานุกรมท้ายบทบทนี้ เพราะมันน้อย แล้ววงเล็บไว้แล้วนะคะ
    น่าจะอ่านได้ง่ายกว่า แล้วเป็นรูปแบบที่เหมาะที่สุด
    แต่ขี้เกียจแก้บทข้างหน้า หยวนให้นิดนะคะ

    เอ้าคุยกันหน่อย

    พาย
    ขอบคุณสำหรับคำชมและกำลังใจนะคะ
    จะพยายามมากขึ้นค่ะ

    Micky sarang
    แจและยุนผูกใจกันได้ยังไง มันจะค่อยๆ คลี่ออกมาใจเย็นๆ น้อง
    และไม่ปลวกแน่นอน ดูคิมจุนเป็นตัวอย่างสิ 555+
    ปกติก็ไม่นิยมเรื่องหลายใจ 3-4 พีไรงี้ค่ะ อ่านแล้วปวดตับ
    ดังนั้นปาร์คกะจุน แกนสบายใจได้เลย เรื่องมันเกิดกับตัวเองนั่นล่ะค่ะ
    แต่คราวนี้คู่ยุนแจเนี่ย มีประเด็นที่อยากพูดอยากสื่อ อยากสะท้อนในอีกมุมมองหนึ่ง
    ซึ่งมันจะออกมาได้ก็ด้วย เราสามคน ค่ะ

    nana
    สารภาพว่าพี่ก็หิวตอนเขียนและกล้ามากที่หม่ำเค้กยามดึกค่ะ คารวะเลย
    ปาร์คเป็นอะไรที่ตัวเองคิดว่า เขาต้องเล่นบทอย่างนี้อ่ะ อย่างนี้ต้องปาร์คเท่านั้น
    บรรจงสรรค์สร้างสุดฤทธิ์ค่ะ
    คิมจุนนอกจากหม่ำเก่งยังแมนนะเออ อย่าว่าน้องอย่างนั้น
    เรื่องนี้แมนโค่ดๆ ล่ะค่ะ (หรือเปล่า 555+)
    ส่วนน้ำส้มสายชู เขียนไม่ครบจริงๆ ล่ะค่ะ น้อมรับความผิดโดยดุษณี

    พี่แอ๊นท์คะ
    แหม คิมน้อยออกจะน่ารัก นึกถึงตอนเล่นเซียซาร์ทเยอะๆ นะคะ
    โมเม้นต์นั้นจะลอยมาสู่ใจพี่ สะกดจิตตัวเองจุนสวย จุนแบ๊ว จุนน่ารัก


    kawhom
    ตั้งใจจะให้เรื่องขำค่ะถูกต้องเลย ชอบอ่านงานที่เรื่อยๆ ยิ้มได้น้อยๆ ไม่เศร้าบาดจิตหรือปวดตับน่ะค่ะ
    เพราะระหว่างการเขียนเราก็จะมีความสุขไปกับมันด้วย
    ปาร์คเนี่ยขอบอกว่าสนุกมากในการคิดฉากเขา โหยมาเป็นเข่งๆ ระหว่างยูซู
    เดี่ยวจะโยนไปเยอะๆค่ะ ให้คิมแจตามงับตามล่า
    แต่ข่าวว่าตอนนี้เธอระทวยกับยุนโฮวอนจาจนไม่เห็นน้องแล้ว 555+
    ปาล์มพยายามตอบเม้นต์ของผู้อ่านทุกคนค่ะ เพราะรู้สึกว่า
    สิ่งที่สำคัญสำหรับตัวเองคือปฏิสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างกัน
    มันเป็นสิ่งที่ได้มาง่ายๆ แต่มีค่ามากมายมหาศาลในความรู้สึกค่ะ ^^





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×