ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] ตราบฟ้าสิ้นดาว [Yaoi+Rekishi]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 แรกพบสบตา

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 53




    ***reading suggestion***
    ตอนนี้ปาล์มจะซ่อนคำแปลภาษาเกาหลีและภาษาบาลีเอาไว้ในประโยค ด้วยตัวหนังสือสีขาวนะคะ
    ถ้าต้องการจะอ่านแบบเนียนๆ เพื่อซึมซับอรรถรสทางภาษา อ่านข้ามไปเลยค่ะ
    แล้วค่อยมาดูพจนานุกรมท้ายเรื่องเอารวดเดียว
    แต่ถ้าต้องการอ่านง่ายๆ แบบเข้าใจตามไปด้วยกัน ก็กดคร่อมประโยคอ่านนะคะ








    ในบรรดาอาณาจักรใหญ่น้อยบนคาบสมุทรซอนวอน(บุตรแห่งมหาสมุทร) แคว้นชุงรยง
    ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปะ ด้วยเหตุที่ว่าวิถีชีวิตของชาวเมืองชุงรยงนั้น
    ล้วนผูกพันอยู่กับความงามอันประณีตไปทุกสิ่งอย่าง ทั้งเคหะสถาน ผืนผ้าแพรพรรณ
    อาหารชั้นเลิศ และงานศิลป์ทุกสาขา


    ว่ากันว่าบ้านเรือนของชาวชุงรยง เต็มไปด้วยงานสลักไม้ลวดลายลออแปลกตา ตามช่อง
    ลม ประตู บานหน้าต่าง สลักไว้ด้วยรูปลายพิลาสล้ำ ยิ่งเป็นวังหลวงของแคว้นด้วยแล้ว
    ความงามของคันทวยอ่อนช้อยบนหลังคาสูงแห่งตำหนักสุวรรณ ดูมีชีวิตชีวาราวลมพัด
    ก็จะแกว่งไกวดั่งยอดอ่อนของเถาไม้ได้ หรือแม้กระทั่งขั้นบันได ยังสลักลายโปร่งบาง
    ละเอียดอ่อนดั่งการฉลุผืนผ้าประดับ 


    ว่ากันว่าผ้าทอมือของชุงรยงเพริศพรายนัก ถ้าวาดลายผีเสื้อบนเส้นไหมแล้วให้กระสวย
    ถักทอเป็นผืนผ้า ผีเสื้อก็ราวกับจะโผผินออกมาจากพื้นสีเข้ม และถ้าปักเป็นลายดอกไม้
    ดอกไม้นั้นก็จะงามดั่งนิมิต(ความฝัน) ระริกกลีบชูช่อยามสายลมผ่านไหว มิพักต้องเอ่ยถึง
    ความโสภิตแห่งผ้าหลวงเลย ผืนผ้าเหล่านั้นยิ่งวิจิตรบรรจงเหลือจะพรรณนาได้สิ้น
    ทุกฝีเข็มทุกเส้นไหมแนบเนียนต่อเนื่องดั่งสายน้ำหลาก สีที่ย้อมเมื่อพิศดูแล้วจะเงาระยับ
    ดุจรุ้งเลื่อมพราย กระทั่งผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยก็ยังปักซ้อนปัก ฉลุซ้อนฉลุ ไม่มีที่ใดเลย
    บนผืนผ้าที่ดาษดื่นธรรมดา


    ว่ากันว่าอาหารคาวหวานของชุงรยง เป็นอาหารที่ต้องสัมผัสด้วยประสาททั้งห้าจึงจะลิ้ม
    รสได้หมดสิ้น เพราะนอกจากรสชาติโอชาเด่นล้ำด้วยชิวหาสัมผัสแล้ว ยังมีกลิ่นเครื่อง
    เทศกรุ่นหอมซ่านนาสา ยังมีการจัดแต่งประณีตที่ประทับความงามในดวงตา ยังมี
    เสียงกรุบกรอบให้สดับยามกัดเคี้ยว และยังมีผิวสัมผัสของอาหารที่นุ่มนวลดั่งหลอม
    ละลายในปากได้ แค่ชั้นอาหารสามัญธรรมดาอย่างข้าวสีขาว ที่รู้จักอย่างแพร่หลายใน
    ทุกถิ่นแคว้น ชาวชุงรยงยังดัดแปลงนำข้าวนั้นมาย้อมหุงเสียจนเป็นสีเรื่องเรืองดั่งทองทา
    ในมื้อหนึ่งๆ มีอาหารจานเล็กจานน้อยที่จัดสรรพอคำ ให้ได้ลิ้มชิมรสเป็นร้อยอย่าง
    กระทั่งเพิงขายบะหมี่ข้างทางยังอร่อยผิดสามัญกว่าแคว้นอื่น


    ว่ากันว่างานดนตรีคีตศิลป์ของชุงรยงเป็นเลิศในแผ่นดิน มีคณะนางรำที่สรรค์สร้างระบำ
    หมู่ได้พร้อมพรักดั่งเป็นองคาพยพบนร่างกายเดียวกัน มีนักร้องที่ขับขานบทเพลงได้
    หวานล้ำดั่งการเวกวิหค และมีนักดนตรีเอกในแขนงต่างๆ เปี่ยมฝีมือกว้างขวาง
    ประดุจคนธรรพ์จากแดนสวรรค์


    ดังนั้นแล้ว งานเลี้ยงฉลองที่วังหลวง จึงสมควรยิ่งใหญ่ปานใดเล่า? ใช่จะทำให้คนต่างถิ่น
    ต้องจ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนน่าขันใช่หรือไม่? ใช่จะทำให้สุนัขหิวโซนอกเขตกำแพง
    เมือง ต้องร้องครวญครางโหยหวนใกล้คลุ้มคลั่ง ตามกลิ่นอาหารที่หอมกำจายไปร้อยลี้
    อย่างนั้นหรือ? และใช่จะทำให้หมู่นางฟ้าที่ชำนาญการขับร้อง ต้องซ่อนหน้าอย่างอับอาย
    หรือเปล่า?


    ถูกแล้ว งานครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่างานใดๆ ที่เคยจัดในสมัยของชุงรยงชอนฮา(กษัตริย์แห่ง
    ชุงรยง)
    พระองค์นี้จริงๆ งานทั้งงานจึ่งงดงามกว่างานใดๆ ที่เคยเห็น วิจิตรบรรจงเสียยิ่งกว่างานเลี้ยงเทพเจ้าในนิทานเสียอีก ธงทิวสีสดปลิวไสว แพรต่วนคลี่คลุมจับจีบเป็นแนว
    ยาวพาดไขว้เหมือนสายรุ้งหลากสี พรมประดับห้องที่งามตระการดั่งภาพวาด ผืนแล้วผืน
    เล่า ถูกสะบัดฝุ่นแล้วนำมาแขวนข้างผนังเป็นแถวยาว ประดับเล่าเรื่องราวของประวัติ
    ศาสตร์เก่าแก่ในชาติ 


    ส่วนอาหารโอชารสที่เป็นตัวเอกของงาน ก็ถูกประดับตกแต่งดั่งราวกับชะลอพงพนา
    มาไว้กลางห้องโถงใหญ่ ทั้งเป็ดอ้วนพีผิวสีน้ำตาลเงา หมูย่างหนังกรอบหอมน้ำราดสีเข้ม
    เนื้อแพะชุ่มฉ่ำ ไก่ตอนนึ่งด้วยสุราบ๊วยอย่างดี ปลาหิมะทอดสามฤดู เนื้อตุ๋นน้ำผึ้ง
    ต้มทะเลหม้อไฟ ซุปโสมในรังนก เหง้าบัวตุ๋นเยื่อไผ่ หัวผักกาดหวานผัดหูฉลาม
    ลูกชิ้นหมี่มรกตน้ำแดง ผักนึ่งสมุนไพร น้ำแกงเคี่ยวข้นใส่พุทราแดงและเป๋าฮื้อ ยังไม่รวม
    ถึงของหวานชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่บรรดาซังกุงแห่งห้องเครื่องบรรจงสรรค์เสกขึ้นมา บ้างเป็น
    ดอกไม้ขนาดเท่าปลายนิ้ว บ้างเป็นรูปสัตว์ในนิทานปรัมปรา และบ้างเป็นอักษรอวยพร
    แปะชิ้นทองเล็กๆ พรับพราว อบร่ำหอมกรุ่น จัดสีแบ่งรูปเหมือนหมู่มาลีที่ค่อยๆ
    คลี่กลีบออก


    ทั้งหมดนี้ถูกลำเลียงผ่านห้องเครื่องวังหลวง ต่อเนื่องเป็นสายยาวจากเช้าจรดค่ำ
    เหล่าขันทีต่างวิ่งวุ่นมือเป็นระวิง ไม่มีใครได้พักเหนื่อยสักนิด ทุกคนร้องว่าเหนื่อย
    ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ แต่จากนั้นก็จะระบายยิ้มกว้างๆ ในหน้า ก่อนจะขมีขมัน
    กลับไปทำงานต่อ


    ชุงรยงกำลังจะจัดงานอะไรหรือ?


    จุนซูหาคำตอบได้ หลังจากการกลับเข้ามาอยู่ในเรือนพักของตนและพี่ชาย ในเช้าวันที่
    สามของการเตรียมงานใหญ่ และคือวันสุดท้ายก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มในคืนนี้


    ไม่รู้ว่าชายหนุ่มไปกระโดดโลดเต้นเช่นไร แต่หลังจากกลอกนัยน์ตาเรียวกระจ่างของตน
    ไปๆ มาๆ อยู่ค่อนวัน ชะเง้อมองตามกลิ่นหอมหวนของอาหารจานแล้วจานเล่า ที่ผ่าน
    หน้าเรือนพัก ตาไม่กะพริบ นักร้องเสียงทองแห่งแคว้นชุงรยงก็หายตัวไป จากนั้น
    พักเดียวก็หอบถาดใส่ผลไม้แช่อิ่มหลากรสพูนถาดมาในมือหนึ่ง และแบกจานใส่ขนม
    หวานกลีบบุปผาเพียบแปล้ไว้ในอีกมือหนึ่ง ส่วนที่ปากก็คาบก้านไม้หอมที่เจียรประดับ
    ด้วยน้ำตาลพันเป็นรูปมังกรตัวสีเขียวกลับมาด้วยอีกสองไม้


    แล้วก็วางทุกอย่างดังโครม! ลงข้างๆ ศีรษะของแจจุงที่ซบอยู่กับโต๊ะไม้จันทน์อย่าง
    เงื่องหงอย


    “ท่านพี่จะทำตัวน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไรกัน งานสำคัญคืนนี้กำลังจะเริ่มแล้ว
    นะ” เขาแผดเสียงว่าดังลั่นข้างหูพี่ชาย


    ดวงตากลมโตที่มีแววเลื่อนลอย ไร้ชีวิตชีวา กวาดมองบรรดาอาหารที่กองตรงหน้าชั่ว
    แวบหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ่งทำหน้าเบื่อโลกยิ่งไปกว่าเก่า


    “ยุนโฮวอนจายังไม่มาพบข้าเลย” เสียงตอบรันทดท้อเสียจนจุนซูอยากจะยัดผลตัลกิ
    (สตรอเบอร์รี่)แช่อิ่ม รสเปรี้ยวจัดชิ้นนี้ เข้าไปในปากฝ่ายนั้นสักหกชิ้นนัก


    สวรรค์! พี่ชายข้าฟั่นเฟือนไปเพราะตกน้ำตกท่าใช่ไหม เหตุใดจึงบ่นพิรี้พิไรราวแม่แก่
    เช่นนี้ ก็ใครเล่าที่ดีอกดีใจราวเสียบปีกบินได้ เมื่อตอนขบวนรถเข้ามาในกำแพงเมือง
    แล้วรู้ว่าองค์ชายยุนโฮยังอยู่ในวังหลวง ก็ใครเล่าที่พร่ำพูดจาว่าองค์ชายยุนโฮคงจะต้อง
    ทำงานหนักน่าดู ข้าจะเป็นกำลังใจให้พระองค์ แล้วก็ใครเล่าที่เพิ่งวิ่งวุ่นควานหาชุด
    ที่จะสวมใส่ประกอบการแสดงอยู่เมื่อครู่


    ข้าหายตัวไปไม่ถึงชั่วยาม แล้วนี่มันเกิดเหตุกลียุคอะไรขึ้น?


    “ท่านพี่บอกกับข้าไม่ใช่หรือว่า ระยะนี้องค์ชายมีภารกิจมาก” จุนซูว่าพลางหยิบขนม
    หวานชิ้นเล็กด้วยปลายนิ้วใส่ปาก แล้วหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมฟุ้งของดอกจังมิ
    (กุหลาบ)ที่อบอวล ก่อนจะจุปากชมเชยว่า


    “อืม ฝีมือของลีซังกุง ไม่ตกเลยจริงๆ”


    จุนซูชอบของหวานยิ่งนัก ชอบเป็นชีวิตจิตใจ รอบตัวของเขาจะต้องมีขนมหวานๆ มีน้ำผึ้ง
    หอมๆ ให้จิบดื่มเสมอ ยิ่งกับขนมกลีบบุปผาฝีมือของลีซังกุงผู้เลื่องชื่อจานนี้ด้วยแล้ว
    ต่อให้ต้องตายไปหลังจากแทะเล็มชิ้นขนมตรงหน้า จุนซูก็จะไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าสักนิด


    ลำพังแค่ขนมจานนี้ นับว่างานฉลองยิ่งใหญ่ ควรค่าแก่การเฝ้ารอจริงๆ


    ผิดกับพี่ชายของเขาเป็นที่สุด ช่างเป็นตัวทำลายบรรยากาศอย่างเลวร้ายเหลือเกิน
    ในขณะที่เขากำลังชื่นชมกับกลิ่นหอมหวานของขนม แจจุงก็ถอดถอนใจใหญ่ ถอนใจราว
    คนแก่อายุร่วมร้อย แล้วจากนั้นก็ร้องว่าน้ำเสียงคร่ำครวญ ทำท่าจะปล่อยน้ำตาออกมา
    ให้สมกับความเสียใจ


    “ยูรีบอกข้าว่า ยุนโฮวอนจาเพิ่งออกจากตำหนักหลวงเมื่อครู่”


    จุนซูหันไปหานางรำที่ชื่อยูรี ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ใช้สายตาถามว่าจริงหรือ


    ใบหน้าหมดจดของนางผงกรับน้อยๆ


    “เจ้าไปรู้มาจากไหน” เขาถามเสียงเขียว ขัดใจกับเรื่องนี้เป็นที่สุด หมดความอยากใน
    บรรดาของหวานอย่างสิ้นเชิง


    จุนซูกำชับแล้วกำชับอีก ให้คนในคณะของเขาระวังปากให้มาก คิดสักสองสามชั้น
    ก่อนจะพูดถึงชื่อยุนโฮวอนจาออกมาให้แจจุงได้ยิน


    ปกติแล้วพี่ชายของเขาก็พึ่งพาได้ ฉลาดเฉลียวและปราดเปรื่องพอใช้ มิฉะนั้นคงไม่
    สามารถเอาตัวรอด พาคณะดนตรีของตนล่องผ่านแคว้นต่างๆ ได้แน่ แต่เจ้ากรรม
    ดาวข่มของแจจุงนั้นมีเพียงประการเดียวคือยุนโฮวอนจา ขอให้เอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมาเถิด
    จะเป็นในแง่ร้ายหรือดี คิมแจจุงก็พร้อมจะร่ำไห้หรือสรวลเสกับเรื่องเล็กน้อยที่สุด
    ไปก่อนแล้ว


    อย่างคราวที่บอกว่ายุนโฮวอนจาโดนธนูจากชนเผ่าเร่ร่อน ตอนที่เกิดการปะทะ
    แจจุงก็ถึงแก่กินไม่ได้นอนไม่หลับไปร่วมเดือน ใครบอกว่าองค์ชายหายดีแล้วก็ไม่เชื่อ
    ร่ำร้องถึงขนาดจะตามไปยังดินแดนภาคเหนือแสนขุกเข็ญให้ได้ ดีที่จดหมายม้วนยาว
    ฉบับนั้นจากยุนโฮวอนจามาถึงมือแจจุงก่อน หากมิเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้...


    จุนซูสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ เมื่อนึกถึงดวงตาโตๆ ที่เด็ดเดี่ยวยามประกาศกร้าว
    ของแจจุง


    ...ดินแดนภาคเหนือที่ร้างผู้คน จะต้องกลายเป็นเป้าหมายในการเปิดการแสดง
    ของพวกเขาแน่!


    “ข้าเพียงนั่งเจรจากับเด็กๆ ที่ระเบียงด้านหลัง” ยูรีชำเลืองมองท่าเซื่องซึมของแจจุง
    แล้วกล่าวต่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก "แล้วก็เห็นขบวนของยุนโฮวอนจาเคลื่อนผ่านตำหนัก
    หลวงออกไป ข้าแค่พูดกับเด็กๆ ว่า ยุนโฮวอนจาใช่ไหม เพียงเท่านั้นจริงๆ นะจุนซู
    แล้วแจจุงก็พุ่งออกมา”


    “ยุนโฮวอนจา อาจจะมีภารกิจต่อ” จุนซูถอนใจก่อน จากนั้นก็ปลอบพี่ชายด้วยถ้อยคำ
    เสนาะหู “งานมากมาย เป็นแม่ทัพใหญ่ภาคพื้นพายัพ สมควรเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่หรือ”


    “เพียงแค่เรียกชื่อข้าเบาๆ เพียงหยุดทักสักชั่วครู่” คำโต้แย้งของแจจุงยิ่งมายิ่งเซื่องซึม
    ยิ่งฟังยิ่งหดหู่ จนผู้เป็นน้องไม่รู้จะทำเช่นไรดี ได้แต่เอามือลูบไปตามเส้นผมยาว
    ที่คลี่คลุมบนบ่าบางๆ อย่างปลอบโยน


    ...อยากจะพูดความจริงที่ตระหนักแก่ใจ แต่ริมฝีปากบางก็พูดสิ่งนั้นไม่ออก


    “ทำไมท่านพี่ ถึงผูกใจกับยุนโฮวอนจานักเล่า” จุนซูถามเสียงเบาหวิว


    ศีรษะที่ฟุบอยู่กับโต๊ะไม้เงยขึ้นมา นึกมิถึงเลยว่า เจ้าน้องชายคนนี้ ยังมีเรื่องดีๆ
    พูดให้ได้ยินด้วย อา...นับว่าสวรรค์ยังมิได้ทอดทิ้งตระกูลคิมของเราจริงๆ


    “ข้าบอกไม่ถูกหรอก” แจจุงว่าทำหน้ามุ่ย แต่ดวงหน้าขาวเรื่อสีอย่างน่ามอง
    “ทุกสิ่งที่เป็นยุนโฮวอนจาคือสิ่งที่ผูกใจข้าเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าวิธียิ้ม การขยับมือ วิธีพูด
    น้ำเสียงเจรจาที่เสนาะหู ดอกไม้ที่กำนัลแก่ข้า(ให้) ม้วนลิขิตที่จารความต่างๆ นานา...”


    ...และยาวประดุจกำแพงเมือง จุนซูต่อความในใจอย่างเหนื่อยหน่าย ขณะคิดถึงม้วน
    จดหมายนับร้อยนับพันฉบับที่ทั้งสองต่างส่งถึงกัน เมื่อเวลาห่างไกล แล้วก็ได้แต่ฝืนใจ
    ยอมรับว่า ยุนโฮวอนจาก็ทรงผูกใจอยู่กับพี่ชายของเขาไม่น้อยจริงๆ หากมิเป็นเช่นนั้น
    บุรุษผู้ถนัดกำด้ามกระบี่ กรายทวน และใช้ชีวิตเยี่ยงทหารบนหลังม้าศึก จะสามารถปั้น
    ถ้อยคำหวานซึ้ง ได้ยาวเป็นจ้าง (หน่วยวัดความยาวจีนโบราณ ประมาณ2เมตร)
    เช่นนั้นหรือ


    “...ทุกสิ่งของยุนโฮวอนจา ผูกใจข้าเอาไว้หมดสิ้นจริงๆ จุนซู”


    “ท่านทั้งสองเป็นบุรุษ...” เพียงฟังความแค่นั้น แจจุงก็รู้แล้วว่าจุนซูหมายความถึงสิ่งใด
    ดวงตากลมโตทอประกายระยับ ยามกล่าวออกไปอย่างจริงจังว่า


    “ความรู้สึกของข้า ไม่เกี่ยวกับความเป็นชายของเราเลย ข้ารู้เพียงว่ารักยุนโฮวอนจา
    และยุนโฮวอนจาก็รักข้า เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”


    “ท่านไม่อยากได้สตรีที่จะช่วยอุ่นเตียงยามค่ำคืนหรือ ไม่อยากได้มือนุ่มๆ อุ่นๆ ที่กุมแนบ
    ชิดยามผ่านวิกาลอันยาวนานด้วยกันหรือ ไม่อยากได้บุตรธิดาตัวน้อยๆ ที่วิ่งล้อมรอบบ้าน
    ดอกหรือ” จุนซูไต่ถามผู้เป็นพี่อย่างอ่อนโยน นิ้วมือเรียวงามดั่งลำเทียนของแจจุงในอุ้ง
    มือของเขาเย็นเยียบ หากแต่คิ้วเฉียงจรดปลายหางตาของอีกฝ่ายขมวดมุ่น หาได้ซาบซึ้ง
    ไปกับวาจาไพเราะนั่นไม่


    “กุมมือแนบชิดยามผ่านวิกาลอันยาวนานด้วยกัน” แจจุงทวนประโยคหวานซึ้งของ
    น้องชายด้วยน้ำเสียงกังขา มองใบหน้าอิ่มใสที่ทอประกายจริงจังนั่นแล้ว ก็ต้องหันไปมอง
    ยูรีด้วยอีกผู้หนึ่ง


    “เจ้าคิดเช่นไรยูรี”


    “ข้าหรือ” นางรำตัวน้อยกวาดสายตาเลิ่กลั่กระหว่างสองวงหน้า แล้วจากนั้นก็หัวเราะคิก
    คักออกมาคำหนึ่ง


    “ให้ผ่านวิกาลสักคืนหนึ่งคงพอทำเนา แต่หากต้องแต่งกับพวกเจ้าสองพี่น้อง ข้าคงจะหัว
    ร่อมิออกร่ำไห้มิได้เป็นแน่แท้”


    “หมายความว่าอะไรน่ะยูรี” จุนซูย้อนถามอย่างฉงน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายและ
    สหายต่างเพศผู้นี้กำลังเจรจากันอยู่เลย


    ...เหตุใดจึงผ่านวิกาลร่วมกันได้ แล้วเหตุใดจึงแต่งงานด้วยไม่ได้เล่า ยูรีชักจะเลอะเลือน
    ตามแจจุงไปแล้วหรือไร


    “เจ้าสองพี่น้องงามเกินไป” นางว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง เหลือบสายตามองใบหน้าครึ่งยิ้ม
    ครึ่งบึ้งของแจจุง แล้วก็แย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานให้ฝ่ายนั้น


    “ไม่มีสตรีใดกล้าครองคู่กับบุรุษผู้งามกว่าตนเองดอกจุนซู ยกเว้นว่านางนั้นบื้อใบ้ และ
    ยินยอมซุกซ่อนกายในเงามืดชั่วชีวิต”


     ฟ้าดินเป็นพยานความจริงใจของเขาได้ จุนซูอยากจะกระโดดงับคอนางมารร้ายตัวน้อย
    คนนี้เหลือเกิน นี่ยูรีกล้าดีอย่างไรถึงมาแช่งภรรยาในอนาคตของเขาว่า บื้อใบ้
    และต้องซุ่มซ่อนกายในความมืด


    ภรรยาของคิมจุนซูจะต้องเป็นหญิงงามผู้ลือลั่นทั่วท้องปฐพี และมีรอยยิ้มงดงามตรึงตา
    ไม่แพ้พี่ชายของเขาต่างหากเล่า ยายบ้า


    “แต่ข้ากลับสงสัยเรื่องอื่นมากกว่า” แจจุงว่าพลางระบายยิ้มเจ้าเล่ห์


    “ใครบอกน้องข้ากันว่า สามีภรรยาเขา‘กุมมือ’แนบชิดผ่านวิกาลอันยาวนานด้วยกันหรือ”


    “เฒ่าชเว” จุนซูบอก รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ชอบที่จะเป็นตัวโง่งมในสายตา
    ใครเลย แล้วนี่อะไรกัน เหตุใดท่านพี่กับยูรีจึงเอาแต่หัวเราะลั่น น้ำตาไหลพรากเล่า


    “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ เหตุใดจึงหัวเราะขำขันกันเช่นนี้”


    “เจ้าว่าท่านพ่อกับท่านแม่ มีเราสองพี่น้องได้อย่างไรหรือ” แจจุงจ้องถาม ดวงตากลมโต
    ของเขาเรื่อประกายวาววับ และแน่นอนคำตอบจากน้องชายคนดี ก็ไม่ทำให้ให้ผู้เป็นพี่ผิด
    หวัง ดวงตาเรียวของจุนซูกลอกไปมาตลบหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวังว่า


    “มิใช่นกกระสา คาบมาหย่อนไว้ที่ชานบ้าน ตามบัญชาสวรรค์ดอกหรือ”


    ฮ่า ฮ่า คำตอบควรค่าแก่การบันทึกเอาไว้แท้ๆ  คิมจุนซูอายุ 18 ปี ตอบข้าว่า ทารกคือสิ่ง
    ประทานจากสวรรค์ ด้วยการหย่อนของนกกระสา!


    “เจ้าช่างน่ารักนัก” เขาว่าพลางเอื้อมมือไปหยิกพวงแก้มอิ่มของน้องชายเบาๆ จิตใจแจ่มใส
    เบิกบานขึ้นมาอย่างฉับพลัน รู้สึกว่าภารกิจมากมายของยุนโฮวอนจาก็คล้ายจะไม่เลวนัก


    แจจุงขยับกายอย่างกระฉับกระเฉง ฮัมบทเพลงเบาๆ ในลำคอ แล้วก็ฉวยเอาผลไม้เชื่อม
    ที่จุนซูหยิบมาฝาก โยนเข้าปากอีกสองสามชิ้น


    แต่ดวงหน้าเล็กๆ ของน้องชายยังคงงอเง้า แก้มตุ่ย ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


    “ท่านแกล้งข้า” ทารกที่โตแต่ตัว หากหัวใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทำหน้าเบ้ น้ำตาจะร่วง
    เผาะลงมาอีกหลายหยด


    “ข้าจะเขียนจดหมายไปฟ้องท่านแม่ว่า ท่านพี่แกล้งข้าอีกแล้ว ท่านพูดจาอะไรก็ไม่รู้
    แล้วก็เอาแต่หัวเราะเยาะข้ากับยูรีอยู่นั่น”


    “โถๆ จุนซูคนดี” แจจุงประจบหน้าระรื่น ยื่นมือไปใกล้ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมยาวๆ ที่มัดสูง
    ตามธรรมเนียมของชุงรยงแล้วก็ลูบสัมผัสอย่างอ่อนโยน


    “พี่แค่ขันคำที่เฒ่าชเวบอกเจ้าต่างหาก ไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้าสักนิด แล้วเรื่องงานเลี้ยง
    เล่า ที่เจ้าบอกจะไปสืบความมา ได้เรื่องเช่นไร”


    พอพูดถึงเรื่องกินเรื่องเล่น ใบหน้าบูดบึ้งของจุนซูก็หายไปฉับพลัน เขาเงยหน้าขึ้นบอกกับพี่ชายอย่างกระตือรือร้น
    เบิกดวงตาเรียวเล็กของตนเองเสียกว้าง แล้วก็พร่ำพรรณนาความงามของสถานที่และอาหารเสียหลายประโยค ก่อนจะ
    จบท้ายด้วยใจความสำคัญจริงๆ จังๆ ว่า


    “...ใต้เท้ามุน บอกกับข้าว่า งานเลี้ยงคืนนี้นอกจากจะเป็นการแต่งตั้งตำแหน่งวังเซจา
    ...องค์ชายรัชทายาท อย่างเป็นทางการ แด่อึนจองแดกุน(แดกุน:ตำแหน่งของราชโอรส
    ที่ประสูติจากพระมเหสี
    )แล้ว ยังเป็นการเลี้ยงรับรองอาคันตุกะอีกสองท่าน
    จากแดนไกล...” สีหน้าลับลมคมในของจุนซู ทำให้ทั้งยูรีและแจจุงเขยื้อนศีรษะเข้ามา
    ใกล้เพื่อรับฟังเนื้อความต่อจากนั้นอย่างใจจดใจจ่อ


    “...คนหนึ่งฟังว่าเป็นผู้กุมอำนาจทางการค้าจากวูยอง ยิ่งใหญ่กว่าวูยองชอนฮา(กษัตริย์
    แห่งวูยอง)
    เสียอีก ใต้เท้ามุนบอกกับข้าว่า เขามีเรือสำเภาในบังคับเป็นร้อยลำ ล่องขาย
    สินค้าระหว่างคาบสมุทรซอนวอนและแผ่นดินต้าซ้อง(จีน) กุมอำนาจการขนส่งสินค้าทั้ง
    หมดไว้ในมือ สมกับสมญานามว่าจักรพรรดิวารี ส่วนอีกคนคือฮวายงกงจู(เจ้าหญิง)จาก
    แทซัน”


    เพียงแค่ชื่อฮวายงกงจูแห่งแทซัน ก็บอกทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องสรรค์คำอื่นมาอธิบายให้
    เปลืองน้ำลายเพิ่ม


    ฮวายง เป็นชื่อที่หมายถึงงามดุจบุปผา หากความงามของเจ้าหญิงผู้นั้น ใช้ว่าเปรียบเทียบ
    กับมาลียังถือว่าด้อยเกินไปด้วยซ้ำ เป็นเจ้าหญิงที่งามอย่างลือเลื่อง สะท้านสะเทือนไป
    ทั่วทุกแคว้นจริงๆ


    “ใต้เท้ามุนว่า นางมาเจริญสัมพันธไมตรีแทนแทซันชอนฮา(กษัตริย์แห่งแทซัน)ผู้เป็น
    พ่อ” จุนซูป้องปากกระซิบกระซาบสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “คราวนี้ล่ะ ข้าจะได้ยลโฉมสะคราญ
    ที่ว่าเลิศล้ำในต่ำใต้ด้วยสายตาตนเองสักครั้ง”


    เป็นบุรุษพูดเช่นนั้นก็สมควรอยู่ แต่มิใช่กับแจจุงแน่แท้!


    ริมฝีปากสีสดขบเม้มเข้าหากันอย่างขัดใจ หมากตานี้ของแทซันร้ายกาจจริงๆ ส่งหญิง
    งามมาหยั่งลาดเลาในแคว้นชุงรยง เพื่อแสวงหามิตรและคู่ครองที่ควรค่ากระนั้นหรือ?


    ระหว่างยุนโฮวอนจาของข้า กับอึนจองแดกุนผู้รั้งตำแหน่งวังเซจา ใครจะคู่ควรกับโฉม
    งามมากกว่ากันเล่า?


    ไม่ต้องขบคิดก็ได้คำตอบชัดแจ้งแก่ใจ


    อึนจองแดกุนก็ถือว่าไม่อัปลักษณ์นัก ทั้งยังเชี่ยวชาญเชิงดาบไม่น้อย ปฏิภาณไหวพริบ
    ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ หากแต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับยุนโฮวอนจาผู้พี่ กลับด้อย
    นัก ด้อยค่าราวกับนำห่านมาเทียบหงส์ วางดอกท้อคู่ดอกโบตั๋น


    ตำแหน่งรัชทายาทนั้น ราวกับเอาแก้วขาวขุ่นมาแทนที่มุกประกายราตรีก็ไม่ปาน


    ก็ใครใช้ให้ยุนโฮวอนจารูปงามนักเล่า ก็ใครบ่มเพาะให้ไหวพริบปฏิภาณของยุนโฮวอนจา
    แหลมคมนักเล่า ก็ใครสั่งสอนเชิงดาบ กระบี่ และสรรพาวุธให้ยุนโฮวอนจาปราดเปรียว
    นักเล่า


    องค์ชายที่ถือกำเนิดจากพระสนมจึงโดดเด่นดั่งรวิยามเที่ยงวัน เป็นที่โจษจันอย่างกว้าง
    ขวางในแผ่นดินชุงรยง เหนือล้ำกว่ารัชทายาทผู้ถือกำเนิดจากมเหสีเอกเสียอีก


    ก็ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ดวงเนตรของโฉมงามจะไม่จับจ้องที่ยุนโฮวอนจาของข้า
    ตาไม่กะพริบหรือ?


    สวรรค์! คิมแจจุงคนนี้ยอมไม่ได้อย่างแน่นอน


    “ไปเลือกชุดที่จะใส่คืนนี้กับข้า จุนซู” ปุบปับแจจุงก็ฉุดกระชากน้องชายขึ้นจากเก้าอี้
    จนล้มหัวทิ่มหัวตำ “ข้าจะต้องเด่นที่สุดในงาน งามจนจันทราต้องเร้นกายหนีทีเดียว”


    “ท่านพี่จะเลือกเสื้อผ้าไปทำไมเล่า” จุนซูร้องว่า หน้าตาเหรอหรา “ก็ร้องเพลง เล่นพิณ
    หลังม่านไม้ไผ่ ใส่ชุดใดก็ได้ มิต้องงามกระไรหรอก”


    “เช่นนั้นบอกเฒ่าชเวเอาม่านไม้ไผ่ออก” แจจุงบอกอย่างดุร้าย ไม่ใส่ใจกับดวงตาของ
    จุนซูที่เหลือกค้างไปตั้งแต่ฟังคำสั่งให้เอาม่านไม้ไผ่ออกแล้ว


    “ข้าจะเล่นพิณกลางธารกำนัลในงานนี้นี่ล่ะ จุนซูก็ด้วย เจ้าต้องขับเพลงฮียูกับข้า”


    สวรรค์ จุนซูกรีดร้องอย่างโหยหวน เขาไม่เข้าใจอะไรสักนิดเดียว ก็แค่อยากเห็นฮวายง
    กงจูเป็นบุญตาสักครั้ง แล้วทำไมพี่ชายจะต้องทำเรื่องเลวร้ายอะไรเช่นนี้กับเขาด้วยเล่า


    ...ท่านก็รู้อยู่ว่าข้าไม่สามารถร้องเพลง ในที่ที่มีสายตาเป็นร้อยเป็นพันคู่จับจ้องมาได้
    ข้าเกลียดสายตาหยาบคายพวกนั้นนัก


    แจจุง ท่านพี่บ้า ท่านทำเยี่ยงนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่านนะ


    ฮือออ แม่จ๋า ช่วยข้าด้วย








    มันเป็นเรื่องเลวร้าย เลวอย่างบัดซบไม่มีผิดเพี้ยนดั่งที่จุนซูคิดเอาไว้จริงๆ แม้งานเลี้ยงนี้
    จะเป็นงานเลี้ยงใหญ่ของแคว้นชุงรยง ที่มีเฉพาะอาคันตุกะผู้มากยศ เปี่ยมด้วยศักดิ์ฐานะ
    อย่างสูงลิบลิ่วสักแค่ไหน แต่ลงท้ายแล้วคนก็คือคน มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาก็คือ
    มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา หาได้เป็นเซียนชั้นฟ้าผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ไม่


    บรรยากาศในงานเลี้ยง จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่จุนซูเกลียดชังเป็นที่สุด


    ไม่ว่าจะเป็นสายตาของทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มฉกรรจ์ สตรีเยาว์ชันษา ที่ต่างคนต่างกุมจอก
    สุรา บ้างก็ตะเกียบเงินคีบค้าง ขณะจับจ้องมองมาที่สองพี่น้องอย่างไม่อาจละสายตาได้


    สายตาเคลิบเคลิ้ม ลุ่มหลง ราวปลาตายเหล่านั้น บอกให้รู้ว่า ไม่ว่าเขาจะร้องว่าอะไร
    แจจุงจะบรรเลงเพลงพิณเช่นไร ล้วนแต่เป็นเรื่องด้อยค่าไปสิ้น ที่สำคัญที่สุดคือใบหน้า
    และรูปกายที่งามล้ำของเขาทั้งสองต่างหาก


    ...สิ่งที่ไม่อาจซื้อหาได้ด้วยเงินตราใดๆ ทั้งสิ้น


    มันแย่ตั้งแต่ตอนที่เฒ่าชเวประคองพิณไม้อู่ถง(ไม้ที่ใช้ทำเครื่องดนตรีของจีน)โบราณ
    ป้ายยี่ห้อของแจจุงออกมาวางบนโต๊ะไม้จันทน์แดงแล้ว บรรยากาศงานเลี้ยงที่ครึกครื้น
    ตั้งแต่หัวค่ำ เงียบสงัดในบัดดล และยิ่งเมื่อยูรีประคองกระถางกำยานที่ทำจากหยกเนื้อดี
    ออกมาจุดวาง ควันสีขาวอ้อยอิ่งที่แหวกว่ายกลางอากาศ ยิ่งทำให้ทั้งโถงใหญ่นั้นเงียบ
    งันราวป่าชัฏ


    กลิ่นหอมอ่อนๆ ซ่านซึมฟุ้งเข้าไปในนาสา พร้อมกับร่างสง่าของแจจุงลัดเลาะออกมา
    จากลับแลไม้ ชุดสีเขียวอ่อนที่พี่ชายของเขาสวมใส่ ยิ่งขับเน้นความงามเฉิดฉัน
    ดั่งดวงตะวันสุดจะเอื้อนเอ่ย


    เนื้อชิ้นหนาชุ่มฉ่ำถูกละทิ้งอย่างไม่แยแส สุราหมักอย่างดีถูกทิ้งขว้าง กระทั่งสาวงามที่
    ปรนนิบัติข้างกายยังคล้ายเป็นดั่งอากาศธาตุ


    ความงามของแจจุงมีอานุภาพตรึงตาปานนั้นจริงๆ


    แต่ครั้นเมื่อสายพิณที่ขึง ถูกดีดขึ้นมาเป็นเสียงแรกแล้ว จากดวงสุริยาที่อ่อนละมุน
    ดุจรุ่งอรุโณทัย ก็กลายเป็นรวิยามเที่ยงวันที่แผดแสงร้อนไม่หยุดหย่อนขึ้นมาได้
    เมื่อบทเพลงที่ควรจะอ้อยอิ่ง กำซาบโสตอย่างอ่อนโยน ดั่งเพลงบรรเลงในวาระมงคล
    ทั้งหลาย กลับกลายเป็นสิ่งที่แจจุงหาเลือกเฟ้นไม่!


    พี่ชายของเขาเลือกเพลงที่จังหวะฮึกหาญ บรรเลงเสียงม้าศึกแผดร้อง เสียงรัวกลองศึก
    กระหน่ำอย่างกราดเกรี้ยว เสียงอาวุธฟาดฟัน และเสียงเผาะผ็อยของห่าโลหิตที่กระจาย
    พร่างพรู นิ้วเรียวงามดั่งหยกทั้งสิบพรมดีดอย่างรวดเร็ว บังเกิดเป็นเสียงเข่นฆ่าที่พาให้ใจ
    ปั่นป่วน


    ...ภายใต้รอยยิ้มเรียบเรื่อยในหน้าของพี่ชาย คล้ายจะมีบางสิ่งไม่ถูกต้องอยู่จริงๆ


    ส่วนต้นเหตุของเพลงที่ร้ายกาจนั้น... จุนซูเยี่ยมหน้ามองตามช่องสลักบนลับแลสายสิงห์
    แล้วก็นึกรู้ได้ในทันทีว่า ทั้งการเอาม่านไม้ไผ่ออก ทั้งบทเพลงกราดเกรี้ยวนั้น
    ทั้งหมดเกิดจากสิ่งใด


    ...ไม่ควรเลยจริงๆ ยุนโฮวอนจา การที่ท่านปรนนิบัติดูแลฮวายงกงจูต่อหน้าต่อตาของ
    แจจุงเช่นนี้ ถือเป็นความผิดอุกฉกรรจ์อย่างที่สุด ท่านไม่ทราบจริงๆ เลยหรือว่า พี่ชาย
    ของข้ามีชื่อเกี่ยวกับการกินน้ำส้ม(หึงหวง)มากมายเพียงใด และในตอนนี้กระทั่งกำแพง
    เมืองชุงรยง คงไม่สามารถสกัดกั้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวพุ่งขึ้นฟ้าอันนี้เอาไว้ได้อีกแล้ว    


    เมื่อกังวานเสียงสุดท้ายของบทเพลงศึกจบ ก็ถึงคราวของบทเพลงฮียู เพลงแห่งการ
    เฉลิมฉลองรื่นเริง ที่จุนซูจำต้องออกไปขับร้องร่วมกับการบรรเลงพิณของแจจุง


    ก่อนจะพบว่า การร้องเพลงครั้งนี้ มันเป็นเภทภัยชัดๆ!


    ไม่ว่าจะเป็นเสียงพิณที่ใส่จังหวะกระแทกกระทั้นจากพี่ชาย สายตาของผู้ฟังที่วนเวียน
    มองเขาสลับกับแจจุงอย่างมากด้วยราคะจริต จุนซูพยายามตั้งสมาธิกับจังหวะที่แกว่ง
    ไกวตามอารมณ์ของผู้ดีดพิณ แล้วก็เปลี่ยนสายตาไปมองที่พรมบนผนังเสีย ร้องออกไป
    โดยไม่แยแสต่อสิ่งใด ทำอย่างที่เคยทำสัมฤทธิ์ผลหลายต่อหลายครั้ง


    หากในยามนี้ ต่อให้เขาจ้องมองผนังจนแทบทะลุ เพ่งจนดวงตามืดบอด ก็ดูเหมือนกับ
    ไร้ผล


    มีอะไรบางอย่าง มีสายตาบางคู่ที่สร้างความอึดอัดใจอย่างประหลาด ยากจะทนทาน
    แก่เขา


    จุนซูตวัดสายตากลับมา เพียงเพื่อจะพบว่าในบรรดาสายตาลุ่มหลงเหล่านั้น กลับมีสายตา
    อีกคู่หนึ่งที่จับจ้องมองเขาอย่างจาบจ้วง มองราวกับจะเล็งแลทะลุให้เห็นทุกสิ่ง
    ใต้อาภรณ์สีเหลืองอ่อนที่เขาสวมใส่ มองอย่างแรงร้อนดุจอัคคีผลาญกาย
    และมองคล้ายกับเขาเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ควรค่าแก่การครอบครอง!


    สายตานั้นมาจากชายผู้หนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับยุนโฮวอนจา อึนจองแดกุน
    และฮวายงกงจู


    ...เป็นคนที่จุนซูมองข้ามไปในทีแรกจริงๆ


    คนผู้นั้นเป็นคนแปลกหน้า แล้วก็เป็นบุคคลที่จุนซูไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต
    แต่ต่อจากนี้ ต่อให้เป็นแค่เงาหลังก็ตามที จุนซูคิดว่าเขาคงจะไม่มีทางหลงลืมชายผู้นี้ได้
    อีกเลยตราบชั่วชีวิต


    ช่างเป็นชายที่มีลักษณะพิกลอย่างยากจะหาในหมู่ชนสามัญจริงๆ เป็นชายอย่างที่จุนซูนึก
    ถึงคำว่าปล่อยตัวไม่สำรวมออกมาได้ชัด ด้วยผมยาวนั้นถูกรวบตรงกลางกระหม่อมเป็น
    มวยหลวมๆ ด้วยปิ่นหยกสีขาวสะอาด ทิ้งปอยผมยาวระตามบ่าอย่างน่ารำคาญ และทั้ง
    เนื้อทั้งตัวแม้จะแต่งกายอย่างหรูหราแต่ก็หละหลวมยิ่งนัก สาบเสื้อชั้นนอกและใน
    เผยกว้าง ให้เห็นแผ่นอกสีนวลแข็งแรง ยิ่งกับใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ที่มีดวงตา
    เกียจคร้านง่วงงุนคู่นั้นประกอบด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้จุนซูรู้สึกว่า ช่างเป็นชายที่ไม่มีความ
    รู้สึกเป็นมิตร หรือชวนให้ใกล้ชิดแม้แต่น้อย


    แล้วดูสิ เมื่อเขาประสานสายตาด้วยโดยบังเอิญ ริมฝีปากอิ่มสีแดงจัดคู่นั้นก็ขยับโค้งเป็น
    รอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากอย่างยั่วเย้าแล้วก็ยกจอกสุราในมือขึ้นมาชูให้อย่างล้อเลียน
    ก่อนจะกระดกน้ำเมาทั้งจอกลงในคอรวดเดียว


    เป็นเจ้าตัวเลวทรามอย่างบัดซบ สมควรตายจริงๆ


    จุนซูถลึงตาใส่ชายผู้นั้นอย่างเคืองแค้น ร้องเพลงต่อทั้งๆ ที่ในใจสาปส่งเจ้าปีศาจราคะ
    นั่นไม่มีชิ้นดี ขอให้มันสำลักชิ้นเนื้อที่คีบกินตาย ขอให้มันสำลักสุราที่ดื่มเข้าไป
    จนตาเหลือก แล้วก็ให้มันป่วยไข้ตายๆ ไปเสีย หลังจากใส่เสื้อเปลือยแผ่นอกนั่นด้วย


    อย่าให้ต้องมาพบมาเจอกันอีกเลยชั่วชีวิตนี้!


    หากมิว่าอย่างไรเพลงพิณต้องจบ บทขับร้องต้องหมดสิ้น แจจุงลุกขึ้นค้อมกายคำนับรับ
    เสียงปรบมือกึกก้องอย่างนอบน้อม พร้อมกับฉุดมือเจ้าน้องชายที่วันนี้ดูอารมณ์ไม่คงที่
    อย่างน่าประหลาด ให้โค้งตัวพร้อมๆ กัน


    มิทันที่เสียงปรบมือจะขาดหาย เสียงตึงหนึ่งของการกระทบของบางสิ่งบนโต๊ะไม้จันทน์
    ก็ดังตัดบรรยากาศขึ้นมา แจจุงกับจุนซูเหลือบมองข้างกายแล้วจึงได้เห็นว่า บัดนี้บนโต๊ะ
    ไม้กลับมีไข่มุกน้ำงามขนาดเกือบเท่าไข่ไก่กลิ้งอยู่


    มุกนั้นเป็นของชั้นดีอย่างไม่ต้องแยกแยะ ด้วยประกายนวลใย ด้วยขนาดใหญ่โต มันเป็น
    มุกน้ำงามที่มีค่าควรเมืองจริงๆ


    เพียงแต่น่าเสียดายนัก วิธีกำนัลของเช่นนี้ออกจะหยาบคายและดูถูกแจจุงไปสักเล็กน้อย


    วงหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาของแจจุงจึงทอประกายเย็นชาขึ้นมาในฉับพลัน
    เขาจ้องมองมุกล้ำค่าเม็ดนั้นแล้วก็เมินผ่านอย่างไม่ใยดี


    ต่อให้สูงค่ากว่านี้เป็นพันเท่า ก็หาอยู่ในสายตาของเขาไม่!


    ประเสริฐแท้ มิทราบว่าเป็นขุนนางตาไร้แววผู้ใดกัน จึงสรรหาวิธีกำนัลของได้ต่ำช้าเยี่ยงนี้


    “แจจุง” ยุนโฮวอนจาที่รู้ใจของแจจุงยิ่งกว่าผู้ใด ร้องเรียกให้ศิลปินเอกเข้าไปหา เขารู้
    แล้วว่าฝ่ายนั้นโกรธนัก ดวงตากลมโตที่หลุบลงพื้น ก่ำแดงด้วยความระอุกรุ่น และคล้าย
    จะมองเห็นควันบางเบาแผ้วผ่านเข้าไปแก้วตาสีสวย


    “อย่าเพิ่งโกรธไป สหายของข้าเป็นคนนอก เขารับรู้ประเพณีของชุงรยงเพียงผิวเผิน
    จึงทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์”


    สหายของยุนโฮวอนจา?  แจจุงเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ กวาดสายตาผ่านวงหน้างามสะคราญ
    ของฮวายงกงจูโดยไม่สนใจ เจ้าหญิงคนงามประทับนิ่งตรงนั้นและคงไม่ได้เป็นผู้กำนัล
    มุกเม็ดนั้นแน่ ก็เหลือเพียงแต่...


    “ปาร์คยูชอน” ยุนโฮวอนจาตรัส พลางผายพระหัตถ์แข็งแรงไปทางชายผู้จ้องมองจุนซู
    เขม็งตั้งแต่ต้น


    ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่แจจุงหวงแหนที่สุด ยุนโฮวอนจายังเป็นอันดับสองด้วยซ้ำ เมื่อ
    ต้องวางชั่งคู่กับน้องชายคนเดียวที่มีอยู่ แจจุงหวงจุนซูยิ่งกว่าไข่ในหิน ทะนุถนอมน้อง
    ชายราวสมบัติล้ำค่า ดังนั้นแล้วจะไม่รับรู้หรือว่าสหายผู้นี้ของยุนโฮวอนจาประสงค์สิ่งใด
    จากจุนซู


    ชายหนุ่มเลื่อนตัวเข้าไปบังร่างเล็กๆ ของน้องชาย จากนั้นจึงค่อยใช้สายตายโสอย่าง
    จองหอง ถลึงจ้องอีกฝ่ายกลับอย่างกราดเกรี้ยว


    ลำพังแค่การกำนัลอย่างโง่เง่าก็ขัดหูขัดตาพอแรง แล้วนี่ยังอาจหาญมาทำท่ากรุ้มกริ่ม
    ไร้กาลเทศะต่อหน้าจุนซูของข้า คงไม่ได้คิดจะตายดีกระมัง? 


    “เขาเป็นหัวหน้าวาณิชทั้งมวลแห่งวูยอง” เสียงทุ้มนุ่มทรงอำนาจตรัสต่อ ด้วยประสงค์
    จะทำความเข้าใจศักดิ์ฐานะของผู้ที่นับเนื่องเป็นสหายผู้นี้ให้แจ่มแจ้ง


    และมันก็เป็นผล ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับขึ้นมาในทันที


    สวรรค์! ชายหยาบช้าผู้นี้คือจักรพรรดิวารี ผู้กุมอำนาจทางการค้าและการขนส่งทางน้ำ
    ทั้งหมดของคาบสมุทรซอนวอนอย่างนั้นหรือ


    ...ฝันไปเถอะ ถ้าคิดว่าแจจุงจะยอมรามือเพราะนามของคน เงาของไม้เช่นนี้ 


    “รับฟังชื่อเสียงมานาน ข้าได้คำร่ำลือว่าท่านยูชอนมีบุคลิกไม่ธรรมดา มีความสามารถ
    เดิมทีในใจยังคล้ายยากจะเชื่อ หากมาวันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ...” รอยยิ้มเฉิดฉัน
    งามจับตายิ่งนัก แจจุงพูดต่อไปไม่หยุดราวสายมุกที่ร่วงหล่นบนจานหยกว่า


    “ความปล่อยตัวหละหลวมของท่านนับว่าเกินสามัญธรรมดาจะเทียมเทียบได้ ยิ่งวิธีกำนัล
    ของด้วยแล้วยิ่งแปลกประหลาดขึ้นไปใหญ่ นับว่าประพฤติตัวได้ดีงามเกินกว่าคำสั่งสอน
    ใดๆ ของปวงปราชญ์โบราณจริงๆ นับถือนับถือ” คำว่านับถือนั้นแจจุงพูดซ้ำเป็นสิบครั้ง
    พร้อมกับโค้งกายคำนับอย่างนอบน้อม สร้างความรู้สึกคันคะเยอยากจะเกาขึ้นมา
    ในใจของผู้รับคำเยินยอจริงๆ


    เป็นคำสรรเสริญที่แฝงการเหน็บแนมอย่างสุภาพ และเป็นการด่าอย่างร้ายกาจ อย่างที่
    ยูชอนผู้เป็นจักรพรรดิวารีคนนี้ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต


    หากแต่เขาหาได้สนใจกับดวงตะวันที่ส่องประกายเจิดจ้าดวงนี้ไม่ มันงามจับตาและ
    แหลมคมเกินไป จันทรานวลลออที่ซ่อนแอบอยู่ด้านหลังดวงตะวันดวงนั้นอย่างเขินอาย
    ต่างหากเล่า คือเป้าหมายที่มุ่งมาดปรารถนา


    เขาชมชอบดอกไม้พิสุทธิ์กลีบบาง ไร้สิ่งเจือปน ชอบที่จะมองหิมะสีขาวสะอาดโปรย
    ปรายลงมาจากฟากฟ้า


    ...มันไม่น่าสนุกหรอกหรือ ที่จะได้ขยี้กลีบอ่อนด้วยอุ้งมือของตน แล้วประทับรอยคล้ำ
    บนพื้นหิมะสีขาว


    “แล้วน้องชายของท่านเล่าแจจุง ทราบว่าเป็นนักร้องลือนาม จะมิปริปากพูดสิ่งใดให้ข้า
    ได้สดับน้ำเสียงหวานล้ำนั่นอีกสักครั้งเทียวหรือ”





    Talk
    บทที่ 2 คลอดห่างจากบทแรกนานมาก เพราะไปยุ่งโน่นนี่นั่นอยู่
    ยังยืนยันว่าไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ ค่อยๆ เขียน ค่อยๆ อ่านกัน เพราะเข้าใจว่าเรื่องนี้อ่านยากพอสมควรทีเดียว
    ในเรื่องนี้เป็นประเทศสมมุติ ในสภาพภูมิประเทศสมมุติ ที่มีวัฒนธรรมระหว่างเกาหลีกับจีนโบราณปะปนกัน
    ลักษณะภาษาปาล์มจะใช้ภาษาเกาหลีและจีนปนกันนะคะ เพราะบางคำไม่ทราบภาษาเกาหลีจริงๆ
    อย่างหน่วยเงินตราจะใช้เป็นตำลึง หน่วยวัดความยาวเป็นลี้เป็นจ้าง แบบจีนทั้งหมด
    และจะให้ประเทศแถมนี้มีความสัมพันธ์แบบอิงแอบกับจีน ซึ่งในตอนนั้นเรียกต้าซ้องนะคะ
    ก็ประมาณสมัยราชวงศ์ซ้องของจีนล่ะค่ะ
    ชุดแต่งกาย คงมิใช่ฮันบกเป็นแน่แท้ เนื่องจากปาล์มว่าฮันบกไม่เซ็กซี่พอ 555+
    คือฮันบกสวยนะคะ แต่มันไม่กระชับรูปร่าง ซ้ำมีหมวกด้วย จิ้นน้องๆ ใส่ชุดเกาหลีแบบโบราณไม่ออกจริงๆ
    ดังนั้นนึกว่าน้องๆ ใส่ชุดแบบพระเอกหนังจีนกำลังภายในนะคะ ชุดผ้าบางๆ หลายชั้น ผมยาวๆ นั่นล่ะใช่เลย
    และแจจุงก็เล่นพิณ ไม่ใช่คายากึมค่ะ ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าฟังคายากึมไม่เป็น
    แล้วปาล์มไม่สามารถรับรู้ถึงความไพเราะของคายากึมได้เหมือนพิณเลย แถมแอบชอบรูปลักษณะของพิณจีนมากกว่า
    ดังนั้นวัฒนธรรมเรื่องนี้จึงผสมผสานระหว่างภาษาเกาหลี แต่ดนตรีจีน อาหารจีน หน่วยวัด เสื้อผ้าแบบจีนนะคะ
    ต่อมาคือตัวเอกอีกคน 555+ เปิดตัวออกมาแรงพอใช้ เป็นบุคลิกแบบที่อยากเขียนให้ปาร์คยูชอนมานานแล้วค่ะ
    คนที่กึ่งดีกึ่งเลว มักทำอะไรตามอารมณ์ ไม่สนใจความถูกต้องนอกจากความต้องการของตน
    และจุนซูผู้แสนไร้เดียงสา ^^ เป็นส่วนผสมที่น่าเขียนถึงอย่างยิ่งยวด
    ยังไม่รวมถึงเรื่องวุ่นๆ ระหว่างแคว้น ภายในแคว้นที่ยังคุกรุ่น
    ตอนต่อไปเรื่องนี้จะมาเร็วนิดนึง เพราะที่จริงคือ ตอนนี้มันยาวมาก ปาล์มตัดเก็บไว้หนึ่งบทเลยค่ะ แต่ยังเกลาคำไม่เสร็จ
    เอาเรื่องนี้มาให้อ่านก่อน เพื่อดูว่า คนอ่านจะชอบบุคลิกอย่างนี้ของปาร์คยูชอนไหม
    ยุนโฮบทนี้ยังไม่ชัดเจน แต่ตัวตนของเขาบทหน้าจะได้เห็น
    ขอบคุณอีกครั้งที่ตามปีนบันไดอ่านเรื่องนี้นะคะ


    พจนานุกรม
    ภาษาบาลี
    -นิมิต แปลว่า ความฝัน
    -กำนัล แปลว่า ให้

    ภาษาเกาหลี
    -ซอนวอน แปลว่า บุตรแห่งมหาสมุทร ในที่นี้ใช้เป็นชื่อคาบสมุทรค่ะ
    -ตัลกิ แปลว่า สตรอเบอร์รี่
    -จังมิ แปลว่า กุหลาบ
    -ต้าซ้อง แปลว่า ประเทศจีน

    ลำดับญาติของราชวงศ์
    -ชอนฮา พระราชา
    -ชุงจอน พระมเหสี พระราชินี
    -บูอิน พระสนม
    -กงจู เจ้าหญิง
    -วอนจา ตำแหน่งโอรสองค์โตของพระราชา จะเกิดกับมเหสีหรือสนมใดๆ ก็ได้
    - แดกุน ตำแหน่งของราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสี
    -วังเซจา ตำแหน่งรัชทายาท
    ดังนั้น ยุนโฮวอนจา จึงเป็นลูกชายคนโตของราชาเมืองชุงรยงค่ะ แต่ด้วยความที่เขาเกิดจากแม่ที่เป็นพระสนม
    จึงมีศักดิ์แค่วอนจาเท่านั้น ต่างกับน้องชายที่เกิดจากแม่ที่เป็นมเหสี จึงได้ยศแดกุนและได้ครองตำแหน่งรัชทายาท
    ไปโดยปริยายค่ะ

    ความรู้เกี่ยวกับจีนเล็กน้อย
    -ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาวจีนโบราณ มีระยะเท่ากับ 10 นิ้ว
    -จ้าง เป็นหน่วยวัดความยาวจีนโบราณ มีระยะประมาณ2เมตร
    -ลี้ เป็นหน่วยวัดความยาวจีนโบราณ มีระยะเท่ากับ 500 เมตร
    -ไม้อู่ถง เป็นไม้สำหรับใช้ทำเครื่องดนตรีของจีน เป็นไม้เนื้อแข็ง มีสีขาว
    -การกินน้ำส้ม อันนี้เป็นสำนวนจีนที่ชาวหนังกำลังภายในน่าจะเคยผ่านตามาบ้าง ชาวจีนเขาเปรียบเทียบว่า
    ความหึงหวงคือการกินน้ำส้มค่ะ ทั้งฝาดเปรี้ยว กลิ่นเหม็น ไม่มีใครอยากจะดื่มมันหรอก ประมาณนั้นน่ะค่ะ




    ตอบจอมอนะคะ

    Micky sarang    แสดงว่าอ่านอย่างพออกพอใจจริงๆ ซึ้งค่ะคุณน้อง T^T ดีใจที่ฝันถึง 555+
    เป็นคนหยิ่งยะโสอวดดีอย่างยิ่งยวดทั้งคู่ค่ะ แล้วมาประกันกับอีกหนึ่งหน่อที่ไม่แพ้ใครในตอนนี้
    ขอบอกว่านี่เป็นคาแรกเตอร์ปาร์คที่พี่ชอบมาก 555+ ตั้งใจปั้นอย่างยิ่งให้สมกับน้องชายคนดีที่แกนรัก 555+
    ความเนียน บทนี้คาดว่าเป็นเนียนหลอกด่าใครสักคน
    รับรองว่าไม่หายไม่ตาย ไม่ทิ้งค่ะ แต่อาจใช้เวลาปั้นมากหน่อยเท่านั้น 555+
    ส่วนใจนางเปลี่ยนได้อย่างไร เห็นจะมีแววรำไรใช่ไหมคะ น้องแจเรื่องนี้ก็มิปลวกค่ะ 555+
    (ชั้นชอบจังน้องปลวกที่แกนใช้เนี่ย เห็นภาพมาก) ในขณะเดียวกันคนแสบกว่าชื่อว่าปาร์คยูชอน 555+

    kawhom    คาดว่าจบบทนี้คุณข้าวหอมทราบแน่ๆ ว่าใครคือชายหนุ่มปริศนา
    เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีชื่อออกมา แต่เปิดตัวอย่างเท่ ด้วยความลำเอียงของคนเขียน 555+
    ตอนแรกก็จะสามแคว้นค่ะคุณข้าวหอมตามดั่งดวงหฤทัยด้วย
    แต่เนื่องจากพล็อตมันมีประเด็นต้องสี่ มิฉะนั้นไม่ลงตัว เลยงอกมาเป็นสี่แคว้นยุ่งเหยิงค่ะ
    นางเอกเจาะเวลา อ่าใช่ค่ะเธอเป็นนักเล่นพิณ แต่ปาล์มอ่านเรื่องนี้ไม่จบ
    เนื่องจากฉากรักเยอะมากจนตาลาย ผู้หญิงที่เป็นคู่รักพระเอกเยอะมากจนทนไม่ไหว
    รวมๆ กันแล้ว บายเรื่องหวงอี้ไปทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้ค่ะ ปาล์มชอบโกวเล้ง กิมย้งมากกว่า
    รักที่ลึกซึ้งของเอี้ยก้วย ซื่อๆ แบบก๊วยเจ๋ง จริงใจแบบเตียบ่อกี้ ประทับใจปาล์มมากกว่าค่ะ

    โซลอง    ขอบคุณมากๆ นะคะ ส่วนการต่อปากต่อคำของสองพี่น้องสกุลคิม
    มาตามรีเควสต์แล้วค่ะ คาดว่าน่าจะสนุกพอดู กับความหวงน้องชายของแจจุง

    เด็กยกตู้เย็น     น้องพู่  ขอบคุณมากที่พยายามอ่านค่ะ แม้จะไม่ถูกโรคกะพีเรียดกำลังภายใน
    สำเนียงปาล์มชัดมากขนาดนั้นเชียว อ่า ขอบคุณมากนะคะ
    ส่วนคนสวยเนี่ยขอบอกว่าเธอยังแรงต่อเนื่องค่ะ เป็นตัวเอกของเรื่องที่บทเด่นที่สุดจริงๆ
    เป็นคิมแจจุนอย่างที่นึกสนุกกับการคิดสีหน้าของเขาตอนอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ค่ะ

    nana     แหม อย่าเพิ่งหมั่นไส้แจจ๋าเรยค่ะ เธอน่ารักออก
    ปาล์มชอบคนที่ตรงต่อความรู้สึกของตัวเองที่สุดค่ะ เขียนถึงแล้วสนุกดี
    จุนจังตอนนี้เพียบเลยค่ะ เป็นคู่ที่น่าสนุกเวลาเขียนถึงอีกคู่หนึ่ง
    และหมีชองก็ยังสติลรับเชิญเล็กน้อย เดี๋ยวมายาวๆ บทหน้าค่ะ
    (เจาะเวลาหาจิ๋น ปาล์มก็อ่านไม่จบค่ะ ไม่ชอบวิธีเขียนของหวงอี้เป็นการส่วนตัว ทำยังไงก็ไม่สนุกกับนิยายของเขา
    ปาล์มเป็นแฟนของกิมย้งและโกวเล้งค่ะ น่าเสียดาย ท่านหนึ่งจากไปเสียแล้ว)
    ขอบคุณที่ชอบภาษาและสำนวนน๊า พี่ก็อาการเดียวกันค่ะ เขียนไปเปิดคู่มือแปลไป
    สิ่งที่จำได้เกี่ยวกับเกาหลีมี 3 อย่าง หนึ่งดงบัง สองกิมจิ และสามโซจู 555+
    ส่วนซองฮวาง เดี๋ยวไม่นานก็ทราบค่ะว่าซองฮวางคืออะไร ^ ^

    jing_sng   ปาล์มเคยอ่านเรื่องนั้นค่ะ ชูมือด้วยอีกหนึ่งเรื่อง ดาวๆ ฟ้าๆ นี่ล่ะค่ะ ของคุณช่อลัดา
    มันจบเศร้ามากกกกกกกกกก จนซึมไปเลยเมื่ออ่านจบ รู้สึกคล้ายถูกหลอก
    แต่เรื่องนี้ไม่เศร้าเท่าไรค่ะ คนที่แลดูจะดีก็ดี คนที่แลดูจะร้ายก็ดี เอ๊ะยังไง 555+
    ปาล์มสุขนิยมค่ะ พี่สบายใจได้หนึ่งอย่าง ถ้าไม่จำเป็นปาล์มจะไม่ทำร้ายตัวละครโดยไร้เหตุผลค่ะ
    แต่ไม่เป็นไรนะคะ จะรอให้คดีเสร็จแล้วค่อยมาเจอกันเรื่องนี้ค่ะ

    prince'ChangMin     น้องวีไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก

    chimim   น้องมิ้มขอบคุณนะคะ

    LUVPARK    น้องปิงคะ ชุดฮันบกเช่ามาหรือยัง ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×