ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Hug...อ้อมกอดดวงดาว

    ลำดับตอนที่ #3 : 2nd step:: Antinomy :: [Jejung]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 436
      0
      2 เม.ย. 53
















    บทเรียนแรกที่ควรรู้สำหรับการเป็นเพื่อนกับคิมแจจุง


    ‘การแยกแจจุงที่บ้าเลือดออกจากเหยื่อเป็นเรื่องที่ลำบาก...แต่เรื่องที่ลำบากกว่าคือการแยกแจจุง
    ที่บ้าคลั่งออกจากเป้าหมาย’


    บันทึกโดยยุนโฮผู้น่าสงสาร ที่เกือบจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งกลางถนนในสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์
    อันน่าอดสูสิ้นสุดลง


    ...


    ...


    ...


    รถแวนที่สองหนุ่มโดยสารมา จอดเทียบที่หน้าโรงแรมหลังงามทรงปิรามิดอย่างเรียบร้อย
    และเมื่อกระเป๋าสัมภาระถูกขนลงจากรถจนหมด คนขับรถผู้เคราะห์ร้ายก็จัดแจงห้อเจ้าแวน
    คันเก่าแก่ตั้งแต่ปีค.ศ.2013 ออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็วราวกับมีสัตว์ประหลาดต่างดาว
    กวดไล่อยู่ด้านหลัง


    “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า จู่ๆ จากทะเลทรายแห้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย มันจะมีเมืองผุดขึ้นมาได้” แจจุงซึ่ง
    เหลียวหน้าเหลียวหลังมองแสงไฟหลากสีรอบตัว พูดออกมาเสียงเพ้อๆ และดวงตาสีน้ำตาลไหม้
    คู่นั้น ก็สะท้อนแสงไฟพราวแพรวทีเดียวในยามที่เจ้าตัวกวาดเก็บภาพความงดงามตรงหน้า
    เอาไว้ในความทรงจำ


    “มันสวยมากเลยนะยุนโฮ แม้ว่าภาพที่เคยเห็นจะดูสวยแค่ไหนก็ตาม แต่ก็เทียบไม่ได้เลย
    กับการยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ น่าทึ่งมาก ที่ความพยายามของคนทำให้เกิดเมืองใหม่ขึ้นมา
    ทั้งเมือง จากการไม่มีอะไรเลยก็เกิดสิ่งก่อสร้างที่ตระการตาขึ้นมา ฉันต้องขอบใจนายมากจริงๆ นะ
    ยุนโฮ ที่ชวนฉันมาที่นี่”


    ไอ้สายตาซาบซึ้งที่มองมา หรือว่าคำขอบคุณเสนาะหูของแจจุง ใดๆ เหล่านี้ไม่ได้แผ้วผ่าน
    เข้าไปในสมองของยุนโฮเลย เพราะความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่ม ตกอยู่ที่กระเป๋าสัมภาระ
    จำนวนมหาศาลที่กองอยู่ตรงหน้า


    เขาจำได้ว่าตัวเองหิ้วกระเป๋าลงมาแค่ใบเดียวเท่านั้น ส่วนแจจุงก็เอามาสมทบอีกสองใบ


    ไอ้ที่แตกหน่อออกมาได้เป็นสิบใบ มาจากไหน?


    ยังไม่ทันที่คนตัวสูงซึ่งตกตื่นอยู่กับจำนวนกระเป๋า จะได้มีโอกาสเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ ตัว
    อย่างที่เพื่อนเขากำลังทำอยู่ หรือปริปากออกเสียงอะไรออกมาให้ได้สักครึ่งที่ฝ่ายนั้นพูดออกมา
    เจ้าของกระเป๋าเดินทางลายโมโนแกรม ต้นเหตุปริศนากระเป๋าแตกหน่อได้ ก็หันไปเห็นเป้าหมายใหม่
    เข้าแล้ว


    “อ๊า มีช้างด้วยยุนโฮ มีช้าง” ไม่ทันจะขาดเสียงเลย ไอ้คุณเพื่อนตัวดีก็ถลาออกจากหน้าโรงแรม
    ไปหาสัตว์โลกแสนรัก ที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเหมือนกับเป็นเหล็กชิ้นเล็กๆ ที่โดนแม่เหล็ก
    กำลังสูงดูด


    ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แถมยังทำเหมือนกับลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ตัวเองยังมีกระเป๋าที่รอการจัดการ
    อยู่ด้านหลัง


    “กลับมาจัดการกระเป๋านายเลย แจจุง” ยุนโฮที่เพิ่งจะขบปริศนากระเป๋าออก หลังจากที่เห็นว่า
    พวกมันหน้าตาเหมือนกันอย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับกระเป๋าอีกสองใบของเพื่อน
    ก็ล็อคเข้าที่คอของคนหน้าหวาน แล้วก็จัดแจงลากร่างที่กำลังฟาดหัวฟาดหางเพราะถูกขัดใจ
    ออกมาลิ่วๆ


    “ฉันจะเอาช้าง ช้าง ช้าง”


    “เอากระเป๋าขึ้นห้อง ก่อนจะเอาช้างเถอะแจจุง”


    “ช้าง ช้าง”


    แค่วินาทีเดียวที่ยุนโฮปล่อยมือ เพื่อคว้ากระเป๋าขึ้นมา ร่างสูงโปร่งก็โผกลับไปหาช้าง...อีกแล้ว


    กรรมจริงๆ...


    ...


    ...


    ...


    เอาเป็นว่า ความลำบากในการแยกแจจุงออกจากคนขับรถปากเปราะ มีไม่ถึงหนึ่งในสามของการแยก
    แจจุงออกจากช้างตัวเป็นๆ ที่เจ้าตัวเพิ่งจะได้เห็นใกล้ๆ ครั้งแรกในชีวิต


    และเพื่อนของเขามันก็บ้า ขนาดจะซื้อช้างกลับไปเลี้ยงที่เกาหลี...แถมต้องเป็นตัวนี้เสียด้วย


    “นายเข้าใจคำว่าพรหมลิขิตไหมยุนโฮ” แจจุงว่า ทำสายตาปิ๊งๆ


    “พระเจ้าลิขิตเอาไว้แล้วว่า ฉันจะได้มาเจอกับกาอินที่นี่ และตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้ง มันเป็นลิขิต
    สวรรค์นะยุนโฮ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถต้านทานได้”


    “มันชื่ออะไรนะ” เขาชี้ไปที่ช้างตัวโต ที่เพิ่งจะมีรักแรกพบกับแจจุง รู้สึกเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาเป็นริ้วๆ


    ในเวลาไม่ถึง 5 นาที ไอ้ตัวโตนี่ มีชื่อภาษาเกาหลีแล้วเรอะ


    “กาอิน” เสียงตอบหนักแน่น จนคนฟังอยากจะกรีดร้องเสียงแหลมแบบจุนซู


    ...กาอิน...ที่แปลว่าสาวงาม


    พระเจ้า ไอ้นี่มันตัวผู้ไม่ใช่หรือ?


    “แจจุง เกาหลีอากาศหนาวนะ” ยุนโฮบีบไหล่เพื่อน พร้อมกับบอกเสียงต่ำเพื่อเรียกสติ


    “ช้างเป็นสัตว์เมืองร้อน มันอยู่ในที่ที่มีหิมะตกอย่างบ้านเราไม่ได้หรอก”


    “ถ้าอย่างนั้น ก็สร้างบ้านให้ช้างอยู่สิ เอาหลังใหญ่ๆ ขนาดสนามฟุตบอลแล้วก็ติดฮีตเตอร์”


    อืม...ยังบ้าได้อีกเพื่อน


    “เราขนช้างไปที่เกาหลีไม่ได้หรอกนะ มันตัวโตเกินไป”


    “อ้าว แล้วเขาขนมาที่อเมริกาได้ยังไง ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของช้างนี่นา” บทจะฉลาดแจจุงก็สามารถ
    ทำได้ เถียงแบบมีเหตุผลเสียด้วย แต่ทำไมไม่รู้ ถึงต้องมาเลือกฉลาดเอากับเรื่องปัญญาอ่อน
    แบบนี้ด้วยวะ


    “ถ้าซื้อช้างมา จะมีโรงแรมที่ไหน เขายอมเปิดห้องให้ช้างบ้าง” ยุนโฮว่าเสียงแข็ง แล้วก็เลือกที่จะ
    หยิบจุดอ่อนของเพื่อนเกี่ยวกับความสะอาดขึ้นมาโจมตี


    “ไม่อย่างนั้นคืนนี้ เราก็จะต้องเร่รอนหาที่นอนกับช้างข้างถนนล่ะ แจจุง”


    ถือว่าได้ผลพอใช้ เพราะพอโดนเรื่องนี้เข้าหนุ่มอนามัยจัดก็เริ่มตีหน้าม่อย หากสองมือก็ยังเกาะ
    ขาช้างไม่ปล่อย


    “แต่กาอินน่าสงสารมากเลยนะยุนโฮ”


    ...ตรงไหน?...เขายังเห็นว่ามันเป็นช้างตัวผู้ที่อวบอ้วน แข็งแรงดี มีงาสั้นๆ หนึ่งคู่ ไม่มีรอยแผล
    ตรงไหนเลย แถมควาญช้างที่ดูแล ก็ดูจะรักมันมากๆ เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วก็ป้อนกล้วยกับผักสด
    ให้ตลอด


    มันยังมีร่องรอยทารุณกรรมอะไรหรือ ที่นอกเหนือไปจากรอยแมลงขบกัด


    “กาอินตกหลุมรักกับฉัน ถ้าเราต้องแยกจากกัน คงจะต้องเป็นความรักที่ตรอมตรมมากเลยนะ
    เราสองต้องแยกจากกันไปไกล ต่างฝ่ายต่างจ้องมองท้องฟ้า แล้วก็เฝ้าภาวนาให้เราได้พบกัน
    อีกครั้งหนึ่ง”


    “ดีแล้วล่ะแจจุง นายจะได้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการแต่งเพลง” ยุนโฮพูดได้แค่นั้นจริงๆ
    หลังจากที่ต้องทนฟัง คำพรรณนาแสนหวานไหวเกี่ยวกับความรักข้ามสายพันธุ์ของเพื่อนรักจบ


    และเมื่อเข้าใจแล้วว่า ตนเองไม่มีทางพูดกับคนบ้ารู้เรื่องแน่ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
    ที่จะเจรจากับคนมีสติแทน


    “พี่ชาย ผมให้ร้อยดอลล่าห์” เขาหยิบเงินสดในกระเป๋า ขึ้นมาจ่ายให้กับควาญช้างที่ยังคงมีสีหน้างงๆ


    “ถ้าเป็นค่ากล้วย ก็แค่ 5 ดอลล่าห์นะน้อง”


    “ไม่ใช่ครับ” ยุนโฮปฏิเสธเสียงหนักแน่น เขายัดเงินลงในมือผู้ชายชาวเอเชียคนนั้นเพิ่มอีกใบหนึ่ง
    แล้วก็เอ่ยปากบอกสิ่งที่ตนเองต้องการออกมาตรงๆ ไม่สนใจทั้งนั้นว่า เพื่อนที่ยังทำตาปรอยอยู่ข้างๆ
    จะอ้าปากค้างกับวาจาที่ได้ยินกว้างขนาดไหน


    “พี่ช่วยพาช้างไปที่อื่นเถอะครับ เพื่อนผมสติไม่ค่อยดี เดี๋ยวช้างพี่จะถูกทำร้ายเอา”


    ควาญช้างมองหน้าคนที่เพิ่งให้เงินมา สลับกับคนที่ถลาเข้าหาช้างของเขาครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจ
    เชื่อผู้ชายที่มีท่าทางมั่นคงกับเงินอุ่นๆ ในมือ มากกว่าผู้ชายตาแป๋วหน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิง ที่ทำท่า
    เหมือนกับจะเริ่มร้องไห้


    “ถ้าจะให้ดี ช่วงเดือนนี้ ไม่ต้องพาช้างมาที่หน้าโรงแรมเลยนะครับ” ยุนโฮป้องปากตะโกนบอกส่งท้าย
    พร้อมกับโบกมือลา ‘กาอิน’ ของแจจุงไหวๆ


    จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับไปหากระเป๋าที่ยังอยู่ที่เดิม แล้วก็จัดแจงยกกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา...ซึ่งมัน
    ก็แค่ใบเดียว


    ส่วนกระเป๋าที่แตกลูกแตกหลานออกมาเป็นสิบใบ...


    ของใครก็เชิญจัดการเอาเองแล้วกัน!











    คืนนั้นกว่าที่แจจุงที่ยังเสียอกเสียใจไม่เลิกกับเรื่องช้าง จะข่มตาลงได้ก็เป็นเวลาย่ำรุ่ง เพราะหลังจาก
    ที่อาละวาดโวยวาย พร้อมกับร้องว่ายุนโฮใจร้ายเป็นร้อยๆ ครั้ง แล้วไม่ได้รับการตอบสนอง
    จากเพื่อน ความเหนื่อยจากการเดินทาง รวมกับการแสดงคอนเสิร์ตที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงไป
    ในวันเมื่อวาน ก็ทำให้เขาผล็อยหลับลงทั้งๆ ที่ปากยังงึมงำร้องหากาอินไม่หยุดหย่อน


    และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอิ่มเอม เข็มสั้นของเข็มนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลข 5 เหมือนกับตอนเข้านอน


    ไร้วี่แววของเพื่อนร่วมห้องตัวโตในสายตา


    ‘นายอยากไปลาสเวกัสทำไมน่ะ ยุนโฮ’ แจจุงจำได้ว่าตัวเองถามเพื่อนรักอย่างนั้น หลังจากการ
    สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ รายการหนึ่งสิ้นสุดลง กับคำถามที่ว่า...สถานที่ท่องเที่ยว
    ที่คุณอยากไป


    ‘ไม่อยากไปทะเลอย่างชางมิน หรือไปดูบอลที่อังกฤษแบบจุนซูหรือ’


    ‘ไม่ล่ะ ฉันอยากไปลาสเวกัส มันมีการแสดงดีๆ หลายอย่างมากเลยนะ’ เพื่อนสนิทของเขาตอบ
    พร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตาหยี


    ‘ฉันเคยเห็นแผ่นพับโฆษณา เรื่องมายากล โชว์ละครเพลง คาบาเร่ต์ ละครสัตว์ อะไรตั้งเยอะแยะ
    มากมาย มันคงจะดี ถ้าได้ดูสิ่งพวกนั้นด้วยตาตัวเองจริงๆ’


    ‘ฉันนึกว่านายอยากไปเสี่ยงโชคเสียอีก’ เขากระเซ้าฝ่ายนั้น แล้วก็ได้รางวัลเป็นหมัดต่อยเบาๆ
    เข้าที่ไหล่ทีหนึ่ง


    ‘ไม่มีทาง เรื่องอะไรจะละลายเงินกับเรื่องไร้สาระ’ ยุนโฮตอบอย่างหนักแน่น พร้อมกับเชิดหน้าขึ้น
    ตามนิสัยปกติของเจ้าตัว


    ท่าทางอย่างนี้ล่ะ ที่มักจะเห็นจนชินตาเวลาออกสื่อ มั่นอกมั่นใจและเข้าใจตัวเองเป็นอย่างดี
    รู้เสมอว่าตนเองเป็นใคร กำลังทำอะไรอยู่ ต้องการอะไร และจะทำอย่างไรให้ได้สิ่งที่ประสงค์นั้น


    ยุนโฮไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว รัศมีของความสำเร็จ มันทอประกายเจิดจ้าอยู่เหนือศีรษะ
    ที่เชิดสูง สุกสว่างบาดตา

    ...เสียจนในบางครั้ง แม้แต่เขาที่เฝ้ามองอยู่ ก็ยังอดที่จะนึกอิจฉาฝ่ายนั้นไม่ได้


    แจจุงถอนใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงของตัวเอง


    ...ป่านนี้ยุนโฮคงจะตระเวนดูโชว์ที่ตัวเองสนใจอย่างสนุกไปแล้ว...


    ...ส่วนเหตุผลที่เขามาที่นี่ล่ะ? มือขาวๆ ที่กำลังรื้อหาอุปกรณ์อาบน้ำในกระเป๋าชะงักนิดหนึ่ง
    ก่อนจะขยับไปตามปกติ


    ...นั่นสินะ เขาตามยุนโฮมาที่ลาสเวกัสทำไม?


    ‘นายจะไปกับฉันจริงๆ หรือ’ ตาเรียวๆ ของยุนโฮจับจ้องมองมาที่แจจุงอย่างสงสัย ในตอนที่เขา
    ออกปากว่าขอตามมาที่ลาสเวกัสด้วย


    ‘ทำไมไม่ไปเมืองไทย อย่างที่นายเคยบอกล่ะ’ ยูซอนซึ่งนั่งๆ นอนๆ อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
    ก็หันมาถามอย่างประหลาดใจ


    ‘ไปดูช้างอย่างที่พี่ชอบ หรือว่าไปนั่งรถตุ๊กๆ ที่เคยอยากนั่งสิ ปลอมตัวดีๆ แคสซี่ที่นั่นเขาจำไม่ได้
    หรอก’ ชางมินที่ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องพัก ก็ยื่นหน้าเข้ามามีส่วนร่วมในการออกความเห็น
    อีกหนึ่งเสียง


    ‘ฉันก็อยากจะไปดูอะไรแปลกๆ ที่ลาสเวกัสบ้างนี่นา’ พี่ใหญ่ของวงตอบเสียงขุ่น แถมทำหน้าบึ้ง
    ส่งให้น้องๆ ทั้งสองคน


    ‘หรือว่านายไม่อยากให้ฉันไปด้วย’ เขาพูดอย่างนั้นกับยุนโฮ ตอนที่หันกลับไปสบสายตา
    ด้วยความน้อยใจเป็นกำลังไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรหรือเข้าใจอะไรบ้าง แต่ในเมื่อยุนโฮ
    ตอบกลับมาด้วยเสียงปนหัวเราะว่า


    ‘ใครว่า ดีเสียอีกฉันจะได้มีเพื่อนไปเที่ยวด้วย’


    ...เขาก็ดีใจ


    ส่วนเหตุผลจริงๆ ที่ตามยุนโฮมานะหรือ...


    ...เหตุผลงี่เง่า...


    ...


    ...เขาเหงา...











    ห้องอาบน้ำของโรงแรมกว้างพอใช้ มีที่ทำน้ำอุ่นอย่างที่แจจุงชอบเสียด้วย เขาก็เลยเผลอนอนแช่น้ำ
    อุ่นไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กลิ่นเกลืออาบน้ำหอมๆ รวมกับไอน้ำที่ฟุ้งอยู่รอบตัว มันทำให้ร่างกาย
    ที่เหนื่อยล้า และสมองที่กำลังเขม็งเกลียวด้วยความเคร่งเครียดผ่อนคลายลง


    มันนานจนแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำไปว่า เขาเคยมีเวลานอนจนเต็มอิ่ม แล้วก็ได้มาแช่น้ำ
    อย่างสบายใจแบบนี้ ด้วยหรือ ตารางงานที่แสนแออัดและกิจกรรมที่มีจำนวนมากมาย ดึงเวลา
    ที่ควรจะมีเหล่านั้นไปจนหมด


    จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ในท้ายที่สุดแล้ว กระทั่งยุนโฮผู้มีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยม ก็ทนการทำงาน
    แสนหนักหนานี้ไม่ไหว


    ‘ตารางงานใหม่’ คนที่เพิ่งจะกลับมาจากการประชุมงานหลังคอนเสิร์ต ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว
    แล้วก็ร้องบอกกับสมาชิกที่เหลือด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ไม่เหลือรอยยิ้มกว้างๆ และแววตาที่เจิดจรัส
    เหมือนตอนที่อยู่บนเวทีอีกต่อไป


    สีหน้าเครียดเคร่งของยุนโฮรวมกับกระดาษปึกใหญ่ ที่ถูกทิ้งลงบนโต๊ะแรงๆ ทำให้อีกสี่คนซึ่งนั่งๆ
    นอนๆ อยู่รอบๆ ห้อง ชันตัวขึ้นมา แล้วก็คว้าเอากระดาษปึกนั้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย


    ‘หา เริ่มถ่ายเอ็มวีตัวใหม่พรุ่งนี้ตอน 7 โมงเช้าที่กรีซ’ แจจุงร้องอุทานเสียงหลง ส่วนจุนซูที่อยู่ใกล้ๆ
    กันก็ตะโกนออกมา อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเลื่อนลงมาเห็นข้อความในบรรทัดถัดไป


    ‘5 โมงเย็น มีนัดพบปะแฟนๆ ที่รัสเซีย’


    ‘แล้วนี่...’ ยูซอนจิ้มนิ้วลงไปที่บรรทัดถัดไป ’20 นาฬิกา มินิคอนเสิร์ตที่กัวลาลัมเปอร์’


    ‘จะบ้าหรือเปล่า’ สามคนร้องอุทานออกมาพร้อมๆ กัน แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองลีดเดอร์เป็นตาเดียว


    ‘ไหนนายบอกว่าผู้จัดการนัม อนุญาตให้เราได้พัก 3 วันหลังจากคอนเสิร์ตครั้งนี้จบลงไปไง
    แล้วตารางพวกนี้มาจากไหนกัน’


    ‘ประธานลี’ ยุนโฮตอบสั้นๆ แล้วก็พาดศีรษะลงบนพนักเก้าอี้


    สาเหตุของตารางงานที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนทีเดียว...เมื่อประธานบริษัท SM Town คนใหม่
    ออกคำสั่ง มันจะมีหนทางเป็นอื่นได้หรือ


    ‘พี่อุนซูเขาก็ช่วยพวกเราไม่ได้’


    ‘แต่นี่มันเกินไปแล้วนะ’ กระทั่งชางมินที่ไม่เคยมีปัญหากับตารางงานที่แน่นขนัด และมองในแง่บวก
    เสมอว่าการมีงานเยอะๆ ย่อมดีกว่าไม่มีงานเข้ามาเลย ก็ยังอดรนทนไม่ได้ขึ้นมา


    ‘จะให้เรานั่งไอ้เครื่องบินเหนือเสียง บินไปบินมาทั่วโลกในเวลาแค่วันเดียว ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า’
    แจจุงร้องออกมาแล้วก็เขย่าแขนเพื่อนที่ยังนอนมองเพดานห้องนิ่งๆ


    ‘นายลองเจรจากับ‘เขา’หรือยัง’ เขาที่แจจุงพูดถึง ก็ไม่พ้นลีกียุล...ประธานรุ่นที่สองของ SM Town
    ที่เพิ่งจะเข้าสู่ตำแหน่งเป็นเวลาไม่ถึง 6 ปี


    ‘โทรคุยแล้วด้วยซ้ำ หลังจากที่พี่อุนซูเอาตารางงานมาให้’ และมันก็คือคำตอบว่า ทำไมยุนโฮ
    ถึงใช้เวลาในการประชุมงานนานกว่า 3 ชั่วโมง


    ‘ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการให้เราทำตามแผนงานพวกนี้’


    ‘แผนงานทาสน่ะสิ’ จุนซูร้องอย่างรังเกียจ เมื่อพลิกหน้าต่อไป แล้วก็เห็นว่า มันก็เต็มไปด้วยงาน
    ที่แน่นขนัดไม่ต่างกัน


    ในหน้านั้นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาต้องถ่ายแบบให้กับนิตยสาร 4 ฉบับ ถ่ายโฆษณาเครื่องสำอาง
    ผู้ชาย 1 ชิ้นและงานทั้งหมดจะสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 3 นาฬิกา ก่อนจะเริ่มใหม่เมื่อ 7 นาฬิกา
    ของวันรุ่งขึ้น


    ‘ฉันทนกับตารางงานบ้าๆ ของคุณลีไม่ไหวแล้วนะ’ ยูซอนโพล่งออกมาด้วยความอึดอัดใจ
    เขาเป็นคนเดียวที่มักจะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง ต่อการทำงานของประธานบริษัท
    คนใหม่ และมันก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง เวลา 1 ปีที่ผ่านมา ความไม่พอใจนั้นแปรผันตามตาราง
    งานที่แสนเหน็ดเหนื่อย และเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่บริษัทเหมือนสายน้ำ ในขณะที่
    พวกเขาก็หลั่งเหงื่อและน้ำตาออกมาไม่ผิดจากสายฝน


    ‘เขาเร่งให้พวกเราแต่งเพลงใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ถ้าตารางงานยังเป็นอย่างนี้ ใครที่ไหนมันจะมีปัญญาไป
    แต่งเพลงแม่งได้วะ’


    ‘ยูซอนใจเย็นๆ’ จุนซูที่อยู่ใกล้ๆ เอื้อมมือมาบีบไหล่เพื่อนรักด้วยความเห็นใจ ความสามารถที่มีของ
    แต่ละคนก็ย่อมได้รับความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป สำหรับยูซอนคือความต้องการเพลงใหม่ๆ
    เพลงที่ไพเราะ มีเมโลดี้ติดหูและมีเนื้อเพลงที่สร้างความซาบซึ้งใจให้แก่ผู้ฟัง ยูซอนเป็นนักแต่ง
    เพลงตัวกลั่นของค่าย แต่ในขณะเดียวกันด้วยบทบาทของความเป็นดงบังชินกิ เวลาว่าง
    ที่แสนจะหายากซึ่งควรจะใช้สำหรับแต่งเพลงของเขา ก็เลยวับหายเหมือนกับน้ำค้างโดนแสงแดด


    ‘ไม่ต้องปลอบฉัน นายเห็นส่วนของนายหรือยังล่ะ’ ชายหนุ่มผมยาวประบ่า คว้ากระดาษที่อยู่ในมือ
    ของแจจุง ยื่นส่งให้เพื่อนอย่างกระแทกกระทั้น เขาจิ้มมันลงไปที่ด้านล่างของหน้ากระดาษแรงๆ


    ‘ลีกียุลไม่เคยฟังพวกเราเลย’


    ต้นเหตุความไม่พอใจของยูซอน คือตัวอักษรเล็กๆ ที่พิมพ์ติดกันเป็นพืด ขนาดเท่ากับตามด
    แบบที่เขามักจะใช้กันเพื่อซ่อนข้อความสำคัญ หรือข้อยกเว้นอะไรสักอย่างต่อท้ายคำสัญญา


    ‘พวกเรา 4 คนไปออกรายการเกมส์โชว์ ส่วนนายไปคุยกับโปรดิวเซอร์ เพื่อวางแผนอัลบั้มเดี่ยว’


    ‘เฮ้ย!’ คนตาตี่ที่ตอนนี้ไม่ตี่อีกแล้ว ด้วยมันเบิกโพลงเกือบสามเท่าของความกว้างดวงตาตามปกติ
    ร้องลั่น คว้ากระดาษใบนั้นเอาเข้ามาจ่อที่หน้า สะกดทุกตัวอักษรที่เรียงรายในแผ่นกระดาษ
    อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง


    สุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีคำตอบเป็นอื่น ใบหน้าที่มักจะระบายด้วยรอยยิ้มร่าเริงก็สลดลงในทันที


    ‘ลีกียุลบอกตั้งนานแล้วว่า วงของพวกเราเป็นอะไรที่เสียของแล้วก็ไร้สาระเป็นที่สุด
    ที่เอาคนซึ่งมีศักยภาพมากเกินพอที่จะเป็นศิลปินเดี่ยว มาทำเป็นศิลปินกลุ่ม และเขาก็ไม่เคย
    เปลี่ยนความคิดนั้นเลยแม้แต่น้อย’ เสียงยุนโฮบอกมาเรียบๆ อย่างไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น


    ความหมายของประโยคนั้นฟังยาก ว่าเจ้าตัวพอใจหรือไม่พอใจอะไรบ้าง แต่สำหรับแจจุง
    เขาคิดว่ายุนโฮกำลังแก้ตัวแทนประธานบริษัทอยู่


    ‘แต่ทำอย่างนี้ มันเป็นการมัดมือชกจุนซูนะยุนโฮ’ คนหน้าหวานท้วงเสียงขุ่นคลั่ก โกรธจนอยากจะ
    เอาหมัดตุ้ยเข้าที่ท้องของลีดเดอร์ที่ยังเข้าข้างเจ้านายตะพึดตะพือ


    อะไรวะ ขนาดโดนประธานลีทำเอาหนักหนาอย่างนี้แล้วแท้ๆ ยังจะทนใจเย็นเป็นน้ำอยู่ได้


    ‘มันมัดมือชกพวกเราทุกคนต่างหาก’ น้องน้อยของวงสรุปความเห็นได้อย่างเฉียบคม
    และตรงประเด็นที่สุด ชางมินกวาดสายตาไล่ไปที่วงหน้าซึ่งแสดงอารมณ์แตกต่างกันของพี่ๆ
    แล้วก็พูดต่อไปว่า


    ‘ดงบังชินกิเป็นวงที่เกิดจากพวกเราทั้ง 5 คน ถ้าไม่ครบ 5 คนก็ไม่ใช่ดงบังชินกิ ถ้าพี่จุนซู
    ถูกแยกออกไปวงของเราก็คงจะต้องยุบอย่างแน่นอน และเชื่อได้เลยว่าทางค่ายเตรียมแผนงาน
    เดบิวต์พวกเรา เป็นศิลปินเดี่ยวเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ’


    ‘แล้วนายก็ยังนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้อยู่ได้อีกหรือ ยุนโฮ’


    เพื่อนของเขาไม่ตอบคำถาม ยุนโฮยังคงจ้องมองเพดานเนิ่นนาน แล้วจู่ๆ คนที่มีความรับผิดชอบ
    เต็มเปี่ยมคนนั้นก็ดันตัวเองขึ้นจากท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง เปิดยิ้มกว้างขวางด้วยดวงตาพราวระยับ


    ความรื่นรมย์สะท้อนในแก้วตาสีดำสนิท และมันก็ระบายด้วยเฉดสีสดใส ในยามที่เจ้าตัวบอกด้วย
    เสียงปนหัวเราะว่า


    ‘เราจะไปพักผ่อนกัน’











    กระจกที่เป็นฝ้าเพราะถูกไอน้ำเกาะ ยังคงสะท้อนภาพได้อย่างซื่อสัตย์ตามหน้าที่ของมัน
    แม้จะรางเลือนและหม่นมัว แต่ภาพที่มองสะท้อนกลับมาจากกระจกเงา ก็ยังคงเป็นภาพของเขา
    คนเดิม มีวงหน้าที่คุ้นตาเหมือนเดิม


    ...และยังอ้างว้างเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา


    มีใครสักคนเคยบอกเอาไว้ว่า สิ่งที่มาพร้อมกับความสำเร็จคือความโดดเดี่ยว


    น่าเสียดายที่ในเวลานั้น แจจุงไม่ได้ตระหนักกับสิ่งที่ได้ยินเลย ด้วยวันที่เยาว์วัยและประสบการณ์
    อันน้อยนิด ทำให้เขามองทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในโลกใบเล็กๆ ของตนเองเป็นเรื่องสนุก
    มองการแข่งขันทางธุรกิจดนตรีเป็นเรื่องท้าทาย และมองความสัมพันธ์เป็นเรื่องฉาบฉวย


    คนที่เข้ามา ถ้าไม่ถูกดึงดูดด้วยรูปลักษณ์ ก็เป็นด้วยชื่อเสียง แล้วจากนั้นก็เลิกรากันไป เมื่อต่างฝ่าย
    ต่างได้ในสิ่งที่ตนประสงค์ ไม่มีภาระผูกพันใดๆ ต่อกัน เป็นแค่ความสัมพันธ์สั้นๆ ชั่วครั้งคราว
    แล้วก็สิ้นสุดลง


    แต่มันตลกตรงที่...เป็นเขาที่เสียใจกับการจากลานั้น...ทุกครั้ง


    มันคงจะดีถ้าคิดได้แบบยุนโฮว่า การเป็นแฟนกับการแต่งงานเป็นคนละเรื่องกัน หรือจะคิดแบบจุนซู
    กับชางมิน ที่เมื่อคบใครสักคนก็ต้องคิดถึงการแต่งงานกับคนนั้น หรือแม้แต่จะคิดแบบยูซอน
    ที่ไม่เคยมีเรื่องแต่งงานอยู่ในสมองมาก่อน


    ทุกคนทำตามความคิด ทำตามความเชื่อของตนเองได้ทั้งหมด แล้วก็ปรกติสุขดีกับการกระทำ
    ของตัวเองด้วย


    ต่างกับเขา...คนโง่ที่หลงคิดว่าเข้าใจตัวเองดี ทำอย่างยูซอนแล้วก็ดันคิดตื้นๆ ว่าตัวเองเหมือนยุนโฮ
    ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้ว เขาคิดและรู้สึกไม่ต่างจากจุนซูและชางมิน...จริงใจและจริงจังกับความสัมพันธ์
    ที่เกิดขึ้น


    และเมื่อวันผ่านพ้นไป ความเสียใจก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ความหวาดกลัวแปรเป็น
    ความขลาดเขลา แจจุงเลือกที่จะซ่อนตัวเองที่แสนอ่อนแอด้วยรอยยิ้มในหน้า เป็นหอยทากขี้อาย
    ที่ยกเปลือกขนาดใหญ่เป็นโล่กำบัง และท้ายที่สุดก็ขดตัวอยู่ในโลกที่แสนสงบของตนเองเพียงลำพัง


    ปฏิเสธที่จะสร้างสัมพันธ์กับใครคนอื่นอีก


    รอบตัวเขาคือเพื่อน คือคนที่ปรารถนาดี คือคนที่เรียกว่าเป็นครอบครัว เพียงแค่นี้ก็คงไม่ต้องการ
    อะไรเพิ่มเติม


    เขานึกขำ ที่ทุกครั้งเวลาพูดว่าครอบครัว ใครๆ ก็ต่างคิดว่า มันต้องประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก


    เพียงเท่านั้นก็แสดงถึงความเป็นครอบครัวแล้วหรือ


    เพียงแค่การมีเลือด ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ได้รับการถ่ายทอดสู่กัน


    เพียงแค่นั้นก็เรียกว่าครอบครัวได้?


    ...น่าขัน


    ครอบครัวของเขา...ไม่มีใครเลยที่มีสายเลือดเดียวกัน ทุกคนมาจากต่างถิ่น ต่างสังคม ไม่มีใคร
    เหมือนใคร แต่ทุกคนคือสมาชิกคนสำคัญของครอบครัว คนสำคัญที่ไม่อาจหาใครมาทดแทนได้
    เวลาที่เขาได้อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ คือเวลาเดียวที่เขาไม่รู้สึกแปลกแยก ไม่รู้สึกเหมือนกับตัวเอง
    เป็นส่วนเกิน ได้รับการยอมรับอย่างไร้ข้อแม้ ได้ร้องไห้ ได้หัวเราะ ได้แบ่งปันสิ่งต่างๆ ร่วมกัน
    ผ่านวันและเวลาที่ล้ำค่ามากมาย


    ...ครอบครัวของเขา...ดงบังชินกิ


    มันจึงเป็นเรื่องตลกร้ายจนหัวเราะไม่ออก เมื่อท้ายที่สุดแล้วแผนขบถของยุนโฮต่อประธานลีกียุล
    คือการพักวง แยกย้ายกันหนีไปเที่ยวที่ไหนสัก 3 เดือน อย่าให้ใครตามตัวได้


    คิดเหมือนเด็กๆ...หนีปัญหา


    แต่ก็นั่นล่ะ ด้วยแผนแบบเด็กๆ ของยุนโฮ ถึงค่อยคืนชีวิตชีวาให้แก่เพื่อนๆ และน้องๆ ทั้ง 4 คนได้บ้าง
    หนุ่มๆ สี่คนต่างทุ่มเถียงกันเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอย่างสนุก ต่างคนต่างมีแผนการท่องเที่ยว
    ที่ตนเองอยากไป


    ...เหลืออยู่เพียงคนเดียวคือตัวเขา ที่นึกอะไรไม่ออก


    ให้กลับโซลหรือ...บ้านพักที่ต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียว คงไม่ใช่บ้านอีกต่อไป


    บ้านที่ต่างจังหวัด...หลังไหนล่ะ ที่เป็นบ้านที่แท้จริงของเขา


    บ้านใหม่? บ้านเก่า?


    ...ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ใช่บ้านของเขาทั้งนั้น


    โชคดีที่ยุนโฮยินยอมให้เขาตามมา ไม่อย่างนั้นแจจุงก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ระยะเวลา 3 เดือน
    ที่แสนยาวนาน มันจะทรมานมากสักแค่ไหน ถ้าต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียว กินอาหารคนเดียว
    นั่งฟังเพลงคนเดียว


    ...เดินเตร็ดเตร่อยู่ในโลกกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่รู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจทุกครั้ง
    เมื่อตระหนักว่า ไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นของเขาและรักเขาที่ตัวของเขาจริงๆ...นอกเหนือไปจากคน
    สำคัญในครอบครัวทั้ง 4 คน


    ที่จริง จะออกปากขอตามน้องคนไหนสักคน...ก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ


    แต่เขาไม่อยากจะไปรบกวนโลกส่วนตัวที่แสนสงบของชางมิน ไม่อยากจะไปขัดขวางขณะที่ยูชอน
    กำลังอยู่กับครอบครัว และไม่อยากจะแทรกกลางระหว่างคู่แฝดจุนซูและจุนโฮ


    ยุนโฮเพื่อนสนิทจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


    ...แต่ถึงอย่างนั้น


    แจจุงระบายลมหายใจออกมายาวๆ เขายื่นมือไปเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่บนกระจกออก
    ภาพของผู้ชายที่มองกลับมายังคงเงียบเหงาและหม่นมัว


    ปลายนิ้วของชายหนุ่ม ไล้แผ่วเบากับกรอบหน้าที่ปรากฏบนผิวสะท้อน


    มันสวยงาม...ใช่...เขาไม่ปฏิเสธหรอก


    เพียงแต่เขาอยากได้ใครสักคน ที่จะมองผ่านรูปลักษณ์อันสวยงามนี้เข้ามา มองเห็นตัวตนที่แท้จริง
    ของเขา ที่หลบซ่อนอยู่เหมือนกับเด็กขี้อาย


    ใครสักคนที่ช่วยลบความเหงาข้างในหัวใจ


    ใครสักคน...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×