ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Hug...อ้อมกอดดวงดาว

    ลำดับตอนที่ #2 : 1st step:: Beyond one's ken :: [Yunho+Jejung]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 656
      1
      2 เม.ย. 53













    แสงไฟจากกล้องถ่ายรูปจำนวนร่วมร้อย กระหน่ำเข้าใส่ร่างอวบท้วมในชุดสูทสีน้ำตาล
    ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะแถลงข่าวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ในทันทีที่ชายคนนั้นทรุดตัวลงนั่ง
    บนเก้าอี้โลหะสีเงิน



    นัมอุนซูหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทออกมาซับเหงื่อ ที่พร้อมใจกันถะถั่งออกมา
    ในคราวเดียวราวกับสายฝนอย่างจืดเจื่อน อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนเลย มันติดจะเย็นด้วยซ้ำ
    เพราะยังอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว แต่ทำไมก็ไม่รู้เมื่อต้องมาเผชิญกับกล้องถ่ายรูป ไมโครโฟน
    และกล้องบันทึกภาพเหล่านี้เข้า เหงื่อที่ไม่มีที่มาที่ไปเหล่านี้ มันก็หลั่งไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก



    “ตกลงว่าดงบังชินกิพักงานเป็นเวลา 3 เดือนใช่ไหมครับ” ยังไม่ทันที่ไมโครโฟนซึ่งวางอยู่ตรงหน้า
    เขาจะถูกกดเปิดขึ้นมาเลย คำถามแรกก็พุ่งตรงเข้ามาเสียแล้ว


    “เอ่อ...” แค่เริ่มเปิดปากพูด ก็ทำท่าจะไม่ไหวเสียแล้ว ปากคอมันแห้งไปหมด


    “แล้วที่ว่าหายตัวอย่างลึกลับหลังงานคอนเสิร์ตละครับ”


    “เอิ่ม...”


    “แล้วเรื่องที่โชยองแอออกมาประกาศจบความสัมพันธ์กับแจจุงล่ะครับ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”


    “อ่า...”


    “ยุนโฮกลับมามีอาการบาดเจ็บที่เข่าจากการซ้อมเต้นอีกใช่ไหมครับ”


    “เอ...”


    “จุนซูมีปัญหากล่องเสียง จนไม่สามารถร้องเพลงได้อีกตามข่าวลือหรือเปล่า”


    “คือ...”


    “ที่ชางมินมีปัญหากับสต๊าฟอย่างรุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเป็นความจริงหรือเปล่าครับ”


    “อะ...”


    “ข่าวที่ว่ายูซอนทำผู้หญิงท้องแล้วปัดความรับผิดชอบล่ะครับ ทางต้นสังกัดจะมีคำตอบอย่างไร”


    ...ไม่ว่าข่าวไหนก็ไม่จริงทั้งนั้น...คนที่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการร้องลั่นในใจ สลับกับใช้ผ้าเช็ดหน้า
    ซับเหงื่อที่เริ่มจะไหลอีกระลอกหนึ่ง เมื่อได้ยินคำถามที่ประดังเข้ามาจากทั่วสารทิศเหมือนกับ
    ลมพายุ


    อย่างโชยองแอนางงามเกาหลีคนนั้นนะหรือ...นัมอุนซูส่ายหน้า เท่าที่มีข่าวอยู่เรื่อยๆ
    ก็เป็นการเต้าข่าวของฝ่ายหญิงเพียงอย่างเดียว แจจุงจบความสัมพันธ์กับหล่อนตั้งแต่
    การเดทครั้งแรกด้วยซ้ำ



    ต่อมาก็ยุนโฮ...บาดเจ็บที่เข่าจากการซ้อมเต้นอะไรกันโกหกทั้งเพ หมอนั่นยังสบายดี
    ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่แกล้งทำเป็นเจ็บ ก็เพื่ออ้อนน้องสาวสุดรักสุดหวงที่เริ่มจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน
    ให้กลับมาสนใจตัวเอง ฮี่โธ่...อ้อนน้องแล้วยังมาเดือดร้อนถึงแฟนคลับอีก



    จุนซูก็อีกคน ไปดูฟุตบอลคู่เด็ดสะท้านโลกมา แล้วก็เชียร์บอลจนเสียงแหบเสียงแห้ง
    อย่างไม่ระวังสังขาร เมื่อไปออกรายการโทรทัศน์ ผลมันก็เลยออกมาเป็นข่าวลือประหลาดๆ
    อย่างนั้น



    ส่วนชางมิน...ผู้จัดการหนุ่มคิดไปถึงใบหน้าคมคายที่ติดจะนิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์นั่น
    แล้วก็นึกไม่ออกว่า คนปล่อยข่าวลือใช้อะไรคิด ถึงได้บอกว่าผู้ชายที่เงียบและมีโลกส่วนตัวสูง
    อย่างชางมิน ถึงแก่บันดาลโทสะชกต่อยกับทีมงาน



    สุดท้าย...คนที่นัมอุนซูอยากจะคว้าคอมาบีบแรงๆ เสียให้หายแค้นใจ ยูซอน...ไอ้หน้าหม้อ
    หลีไปทั่วจนได้ฉายาคาสโนวาประจำวงการ คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ เจอข่าวแรงๆ เข้าบ้าง
    จะได้ฟังคำเตือนของเขาเสียที



    แต่ก่อนที่ภวังค์ความคิดของผู้จัดการหนุ่มใหญ่ จะล่องลอยไปไกลกว่านี้ เสียงตะโกนของบรรดา
    เหยี่ยวข่าวที่ยืนรายล้อมรอบโต๊ะแถลงข่าวก็ฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงความคิด



    “ผู้จัดการนัมครับ ตกลงคำตอบคืออะไร” ไมโครโฟนสีดำขนาดใหญ่จ่อเข้ามาที่ใบหน้ากลมๆ
    พอดิบพอดี



    “เอ่อ...” นิสัยประหม่าเวลาที่ถูกกดดันของเขาเริ่มขึ้นอีกครั้ง มือกลมป้อมดันแว่นที่ตกลงมา
    ค้างบริเวณปลายจมูกอย่างระมัดระวัง ขยับสองสามครั้งก่อนจะให้มันเข้าที่ จากนั้นจึงค่อยๆ
    เปิดปากพูดในสิ่งที่ทุกคนรอฟังออกมา



    “เอิ่ม...ทุกข่าวที่พวกคุณถามมา เราขอปฏิเสธว่าเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงแม้สักนิดเดียว
    สมาชิกทุกคนในวงแข็งแรง มีสุขภาพดีทั้งทางกายและจิตใจ ไม่มีใครเจ็บป่วย ไม่มีใครทะเลาะกับ
    ใครถึงขั้นต่อยตี และไม่มีใครมีข่าวดีที่จะมีลูกในตอนนี้ครับ”



    “แล้วข่าวที่พักวง 3 เดือนอย่างที่แปะหน้าเวปบอร์ดล่ะ” นักข่าวอีกคนหนึ่งยิงคำถามต่อโดยไม่เว้น
    ระยะให้พักหายใจ”



    “เป็นธรรมดาครับ เมื่อทำงานใหญ่เสร็จสิ้นลงด้วยดี พวกเขาก็ควรจะได้พักผ่อนบ้าง”



    “มันนานเกินไปไหมคะ 3 เดือน ทุกครั้งคือเวลา 10 วันไม่ใช่หรือคะ” เสียงหวานๆ ถาม



    ...แสดงว่าทำการบ้านมาดี...ผู้จัดการนัมพึมพำในคอ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับแถวๆ
    หน้าผากอีกครั้งหนึ่ง



    “ครั้งนี้พิเศษสักหน่อยครับ พวกเขาทำงานกันหนักมาก เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วที่พวกเขาทำงาน
    เหมือนกับไม่มีวันหยุดเลย และเราก็เห็นว่าตารางงานในช่วง 3 เดือนนี้ไม่ยุ่งยากนัก ก็เลยสามารถ
    ที่จะเคลียร์ให้เป็นช่วงพักผ่อนยาวๆ ได้” เป็นคำตอบที่สวยหรูดูดีที่สุด แถมยังมีการพูดทิ้งท้าย
    ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกว่า



    “หลังจากการพักผ่อนครั้งนี้ รับรองว่าดงบังชินกิ จะมีของขวัญพิเศษสำหรับแฟนเพลงของเขาครับ
    ส่วนที่ว่าคืออะไรนั้น ทางเราขอเก็บเอาไว้เป็นความลับนะครับ”



    ภายใต้ท่าโค้งแทบจะถึงพื้นของนัมอุนซู ดูเผินๆ คือการแสดงความจริงใจอย่างยิ่งต่อคำพูด
    ที่กล่าวออกไป แต่ในความเป็นจริงที่เจ้าตัวรู้แก่ใจดี มันคือการซ่อนแววตากระดากยามที่ต้องพูด
    โกหกคำโตต่างหาก



    ก็เรื่องจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดเลย...แม้แต่น้อย












    “ถึงไหนแล้วเนี่ย” คนที่หลับคอพับคออ่อนมาตลอดการเดินทาง แถมยังถือวิสาสะเอาไหล่ของเขา
    เป็นหมอนหนุนนอนอย่างน่าโมโหนั้น ปรือตาขึ้นมาถามเสียงใส มิหนำซ้ำหลังจากที่เจ้าตัวขยับบิด
    ไล่ตัวขี้เกียจที่ร่วมมือร่วมใจกันเกาะเป็นพรวน ตั้งแต่เมื่อคืนกลางดึกออกเสียหลายท่า แทนที่จะขยับ
    ออกไปเมื่อตื่นเต็มตาก็ยังอุตส่าห์เอนตัวกลับมาพิงที่เดิมเสียอีก



    “จะเข้าลาสเวกัสแล้ว” คนตอบตอบอย่างข่มอารมณ์หนักหน่วง คันมือคันไม้อยากจะผลักศีรษะ
    ที่เอนมาซบบ่าออกไปห่างๆ เต็มที



    เพื่อนเขาคนนี้มันก็ช่างกระไรเลย ยังทำท่าเหมือนเด็กช่างอ้อนอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่ที่พบกันใน
    ตอนแรกๆ จนตอนนี้ก็ปาเข้าไปปีที่ 18



    ก็อย่างนี้สิเล่า ใครต่อใครเขาถึงได้คิดว่า เขากับเจ้านี่เป็นคู่เกย์กัน!



    “ออกไปห่างๆ เลยแจจุง” ชายหนุ่มว่าพลางผลักศีรษะของเพื่อน ออกไปห่างๆ ดังคำพูด



    “ยุนโฮใจร้าย” ชายหนุ่มอีกคนที่ถูกเรียกชื่อว่าแจจุง...คนที่มีหน้าตาสวยหวานอย่างกับผู้หญิง
    ทำปากยื่น พร้อมกับร้องประท้วงลั่นรถ



    “ยุนโฮใจร้าย ยุนโฮใจร้าย”



    “ใจร้ายตรงไหน น่าจะเป็นฉันมากกว่าที่บอกว่านายใจร้าย รถที่เช่ามาคันหนึ่งตั้งกว้าง นายก็ยังมานั่ง
    เบียดกับฉันที่ที่นั่งด้านหลัง บอกให้ไปนอนที่เบาะก็ไม่ไป แล้วที่ฉันอุตส่าห์เป็นหมอนให้นายตลอด
    ทั้งคืนนี่นะหรือคือใจร้าย” บทจะพูดขึ้นมา คนที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยบ่นอย่างยุนโฮก็หลุดปากออกมา
    ได้เป็นชุดยืดยาวอย่างน่านับถือ ส่วนเพื่อนสนิทที่ติดสอยห้อยตามกันมานั้น เลิกฟังไปตั้งแต่คำบ่น
    คำแรกแล้ว ซ้ำยังเอามือสองข้างขึ้นปิดหู ร้องว่า ‘ยุนโฮใจร้าย’ อยู่อย่างนั้นเหมือนกับเด็กๆ



    “แจจุง” คนที่ถูกหาว่าใจร้ายพูดเสียงเรียบ พยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดเป็นที่สุด



    “นายจะเลิกร้องโวยวายอย่างนี้ได้หรือยัง”



    “ยุนโฮใจร้าย ยุนโฮใจร้าย” ก็ยังไม่หยุดปาก แต่คราวนี้เสียงว่าเริ่มจะกลายเป็นเพลงทำนอง
    ประหลาดๆ ที่คลอด้วยคำร้องที่ว่ายุนโฮใจร้ายได้อย่างพิลึกพิลั่น



    และเมื่ออะไรก็ไม่มีผล ไม้ตายขั้นเด็ดขาดสำหรับจัดการกับคนดื้อเงียบ ก็คือขืนเอาด้วยพละกำลัง
    ที่เหนือกว่า ง้างเอามือที่แนบหูออก แล้วตะโกนกรอกลงไปด้วยเสียงทุ้มต่ำของตัวเองว่า


    “ไอ้บ้าแจจุง!”



    “โอ๊ย ทำอะไรของนายน่ะ” คนที่ร้องว่าเขาอยู่เมื่อครู่ร้องลั่น ผงะตัวออกห่างอย่างน่าขอบคุณยิ่งนัก



    “หูอันแสนมีค่าของฉัน นี่มันต้องเอาไว้ใช้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะนะยุนโฮ ไม่ใช่เสียงว้ากไร้รสนิยม
    ของนาย”



    “ถ้าไม่ฟังก็ต้องเล่นอย่างนี้ล่ะ” ชายหนุ่มคนที่มีนัยน์ตาเรียวสีดำสนิทบอกปนด้วยเสียงหัวเราะ
    เขาหันไปดูคนที่ทำแก้มป่องอย่างงอนๆ นิดหนึ่ง ก่อนจะชะโงกหน้าไปบอกคนขับรถเช่าที่จ้างมา
    ตั้งแต่เมื่อคืน ให้แวะที่ปั๊มน้ำมันข้างหน้าเพื่อเข้าห้องน้ำ



    “ข้างทางก็เป็นทะเลทราย ถ้าปวดท้องจอดรถข้างทางก็ได้” คนขับที่เป็นหนุ่มผมทองตาสีเขียวจัด
    ร้องบอกอย่างประสงค์ดี



    “ปั๊มน้ำมัน อยู่ห่างกันมาก เดี๋ยวจะทนไม่ไหวเสียก่อน”



    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเจอปั๊มน้ำมันก็จอดด้วยแล้วกัน” ยุนโฮบอกกับคนขับรถไปอย่างนั้น
    แล้วก็เอนหลังกลับมาพิงกับเบาะหนังที่เดิม



    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่โตจับจ้องมาที่เขาอยู่แล้ว



    “ขอบใจนะ” เพื่อนที่เมื่อครู่ยังร้องว่าอยู่ไม่ขาดเสียงส่งยิ้มกว้างมาให้



    “นายจำได้เสมอเลยนะว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”



    “ก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนี่” คนตัวโตตอบไปอย่างนั้น ก่อนจะตะแคงศีรษะพิงกับกระจกรถใน
    องศาที่เล็งเอาไว้แล้วว่า น่าจะนอนหลับได้สบายที่สุด จากนั้นก็พริ้มตาลงอย่างคนที่อยู่ง่ายกินง่าย
    และไม่นานลมหายใจที่ผ่านเข้าออกจากทางเดินหายใจของชายหนุ่มก็ทอดระยะยาว เป็นสัญญาณ
    ที่บอกว่าเจ้าตัวเข้าสู่ภวังค์นิทราอย่างสงบ ทิ้งให้คนที่หลับเต็มตื่นมาแล้วอย่างแจจุง นั่งเท้าคาง
    มองท่านอนปกติวิสัยของเพื่อนที่เริ่มจะอ้าปากกว้างอย่างแปรผันกับเวลาในการหลับด้วยความสนุก
    นิ้วขาวๆ จิ้มไปที่แก้มยุ้ยๆ หนึ่งที เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกแกล้งไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมากวนได้อีก
    เขาก็ทอดสายตามองอีกฝ่ายอย่างขบขัน



    “เป็นพี่น้องกันหรือครับ หน้าตาดีทั้งคู่เลย” เสียงคนขับรถที่ถูกยุนโฮจ้างมา ร้องถามจากเบื้องหลัง
    พวงมาลัยในลักษณะชวนคุย



    “เห...พี่กับน้อง?” คนหน้าหวานทวนสิ่งที่ได้ยินซ้ำอีกครั้ง อย่างไม่ค่อยแน่ใจประสาทหูของตัวเอง


    เขากับยุนโฮนี่นะพี่น้อง...หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันสักนิด พี่คนขับตาถั่วหรือเปล่า...หรือจะเป็นอย่างที่
    เขาว่ากันเอาไว้ ฝรั่งมักจะแยกคนเอเชียไม่ออกหรอก เข้าใจว่ามีตาหยีๆ กับหน้ากลมๆ แป้นๆ
    เหมือนกันไปหมด



    เอ๊ะ...หรือว่าภาษาอังกฤษของเขามันจะตกต่ำลงระดับติดลบอีก...คนคิดมากอุทานกับตัวเอง
    เอะอะ...ก็น่าจะดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือไง อุตส่าห์ใช้เวลาช่วงที่ต้องไปเป็นทหารติวภาษาอังกฤษโดย
    เฉพาะนะ



    “พี่ชายคุณดูแลน้องสาวดีมาก จนผมนึกอยากให้ลูกชายตัวเองมันดูแลน้องสาวให้ได้อย่างนี้บ้าง”



    อืม...ยุนโฮดูแลพวกเขาดีจริงๆ นั่นล่ะ แจจุงพยักหน้ารับคำพูดของคู่สนทนาหงึกหงัก จากนั้นก็หันไป
    มองเพื่อนที่ยังนอนอ้าปากหวออย่างนึกขอบคุณความเอื้ออารีของฝ่ายนั้นในใจ



    ...นายเป็นลีดเดอร์ที่ดีมากยุนโฮ...จำได้หมดว่าใครชอบอะไร ดูอย่างเรื่องห้องน้ำนี่ปะไร
    คงจะรู้ว่าถ้าฉันตื่นขึ้นมา แล้วไม่ได้สำรวจความเรียบร้อยก่อนจะไปพบใคร ก็จะอารมณ์เสีย
    ไปตลอดทั้งวัน



    แค่เรื่องเล็กๆ อย่างนี้นายยังจำได้...ขอบใจมากๆ นะเพื่อน



    แต่เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน!



    แจจุงชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปบิดแก้มของเพื่อนสนิทดังกึก แล้วก็หันไปสบตากับพี่คนขับ
    ทางกระจกมองหลัง



    ‘พี่ชายกับน้องสาว?’ นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม



    “พี่ชายกับน้องสาวหรือครับ” แจจุงย้อนถามเสียงเข้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมยังทำหน้าเคร่ง
    แบบที่ชางมินมักจะทำบ่อยๆ เป็นการขู่ไปด้วยในตัว



    “อ้าว ไม่ใช่พี่ชายกับน้องสาวหรอกหรือ” คู่สนทนาของเขาร้องอย่างเสียดาย และแจจุงกำลังจะยิ้ม
    ออกมาแล้วกับประโยคที่ได้ยิน ถ้าไม่ติดว่ามันจะมีอีกประโยค ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิมตามมาเสียก่อน



    “แหม ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคู่รักที่น่ารักมากเลยครับ”



    “คู่รัก” ชายหนุ่มจ้องกลับ ตาแทบพลัดหลุดจากเบ้า



    ...โฮก...



    ...นี่เขาคิดว่าตัวเองพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้มาหลายปีแล้วนะ ไอ้เรื่องที่ใครต่อใครมองว่าเขาเป็นเด็ก
    ผู้หญิง...เป็นคู่รักของยุนโฮ...



    ไอ้นี่มันอยากตายใช่ไหมถึงได้พูดเรื่องต้องห้ามนี่อีก หา!



    “จอดรถ” คนหน้าหวานบอกด้วยเสียงต่ำที่สุด เท่าที่ความสามารถของเสียงบาริโทนอันใสกิ๊ง
    ของเขาจะทำได้



    “เอ ไม่สะดวกมั๊งครับ แถวนี้มันโล่งไปหมด อีกไม่นานจะถึงปั๊มน้ำมันแล้ว อดทนสักนิดนะครับ”
    พี่คนขับว่าพลางเหลือบสายตามองสองข้างทางด้วยความกังวล อดที่จะเป็นห่วงน้องผู้หญิง
    หน้าตาน่ารักคนนี้ไม่ได้



    แหม...เดี๋ยวเห็นรถผ่านไปผ่านมาจะเขินจนฉิ๊งฉ่องไม่ออกนะน้อง



    “จอดรถ” แจจุงย้ำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และในคราวนี้เพิ่มความโหดลงในน้ำเสียงเป็นเท่าตัว จนคนขับรถ
    เองก็ชักจะหวาดๆ



    “ปลุกน้องผู้ชายให้ลงไปด้วยดีไหมน้อง”



    ไอ้ประโยคหวังดีแต่ประสงค์ร้ายนี่ล่ะ ที่ทำให้ความอดทนของแจจุงที่กำลังเขม็งเกลียวเป็นเส้นด้าย
    บางๆ ขาดผึงลงในนาทีนั้น เขาตะเพิดเสียงลั่น จนแม้แต่ยุนโฮที่นอนหลับอยู่ยังต้องสะดุ้งลืมตา
    ขึ้นมามองแบบงัวเงีย



    “จะจอดหรือไม่จอดหา”



    “อะไรน่ะแจจุง”



    พี่คนขับเหยียบห้ามล้อดังเอี้ยดด้วยความตกใจ ก่อนที่ยุนโฮจะถามออกมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น
    เมื่อคนที่กำลังหลับร้องถามออกมา คำตอบที่ได้รับ จึงเป็นเสียงปิดประตูห้องโดยสารดังปังสนั่น
    ลั่นจนแก้วหูแทบจะออกมาเต้นระบำแทน



    “เขาเป็นอะไรน่ะ” เมื่อคนก่อเรื่องไม่อยู่ ก็เป็นหน้าที่ของคู่สนทนาที่จะตอบคำถาม



    ปกติแจจุงก็ออกจะสุภาพกับคนอื่นนะ...ยุนโฮมองตามร่างโปร่งบางของเพื่อนอย่างครุ่นคิด
    ...เป็นคนสุภาพและติดจะขี้เกรงใจคนอื่นด้วยซ้ำ เรื่องทะเลาะถ้าไม่ใช่กับน้องๆ ในวงหรือเพื่อนที่
    สนิทด้วยจริงๆ แล้วล่ะก็ ขนาดชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจ หมอนั่นยังไม่กล้าจะทำเลย



    “มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามคนขับรถอย่างเคร่งเครียดขึ้น



    เขาไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งเลย มันทำให้เสียสุขภาพจิต แล้วยังทำให้ความผาสุก
    ทางอารมณ์ของผู้ที่ไม่ได้เป็นคู่กรณีพลอยลดถอยลงไปอีกต่างหาก



    “น้องเขาคงจะปวดท้องมากนะครับ” ฝรั่งตาสีเขียวบอกอย่างเห็นใจ



    “บอกให้จอดรถเสียงสั่นทีเดียว ขนาดผมบอกว่าปั๊มน้ำมันอยู่ใกล้ๆ เขายังไม่รอเลยด้วยซ้ำ”



    คำตอบของคนขับรถสมเหตุสมผลพอใช้ แจจุงคงจะปวดท้องมากนั่นเอง



    ...นั่นสิถึงได้ตัดสินใจรูดซิบเอา ‘แจจุงน้อย’ ออกมารับลมเสียอย่างนั้น


    ...


    ...




    ...เฮ้ย ไม่ใช่ ยุนโฮร้องอุทานตาเหลือก รีบคว้าที่จับประตู เลื่อนเปิดออกแทบจะไม่ทัน



    “ไอ้บ้า ทำอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าซวยกันหมดทั้งวง นึกจะมาโชว์อะไรกันที่ข้างถนนวะ”



    “คนขับรถมันหาว่าฉันเป็นผู้หญิง” คนหน้าหวานต้นตอแห่งความเข้าใจผิดบอกเสียงสูง แถมยังสั่น
    อีกด้วย เสียงที่สูงแหลมแล้วก็สั่นนี่น่ะมันเกิดจากความโกรธล้วนๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่โกรธจัดจน
    ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่



    “มีอีกหลายวิธีที่นายจะยืนยันความเป็นผู้ชายนี่หว่า” ลีดเดอร์คนเก่งชักอยากจะฆ่าตัวตายเป็นกำลัง



    แจจุงนี่นะ ดีทุกอย่าง เสียอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องความเป็นลูกผู้ชาย จุดอ่อนใหญ่หลวงที่ถ้ามีใคร
    มาบอกว่าหน้าหวานอย่างกับผู้หญิง รับรองได้โกรธจนควันออกหู มองเห็นช้างเป็นมดไปหมด



    “เก็บไอ้แจจุงน้อยของนายเลย คนขับรถเขาเห็นเต็มสองตาแล้วล่ะ ไม่เห็นรึไงอ้าปากค้างอยู่นั่น”



    ไม่รู้ว่าเจอภาพติดตาเกินความคาดหมายเข้า หรือเป็นเพราะความผิดหวังครั้งใหญ่หลวงกันแน่
    ที่ทำให้สายตาของฝรั่งผมทองเริ่มเปลี่ยนไป



    คนขับรถไม่ปริปากพูดอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงปั๊มน้ำมันที่พักรถ ก็ยังทำตัวเรียบร้อยไม่มีวาจาแสลงหู
    ให้ได้ยิน พอเติมน้ำมันผสมแอลกอฮอล์เก้าสิบเปอร์เซ็นต์เข้าไปเรียบร้อย ยุนโฮก็ส่งเงินสดที่ติดตัว
    มาให้กับคนขับแทนเครดิตการ์ดที่ฝ่ายนั้นรูดไป



    ซึ่งต้องขอบคุณสมองแสนชาญฉลาดของชางมิน ฝ่ายนั้นเตือนให้เขาพกเงินสดติดตัวไปเยอะๆ
    และหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตให้มากที่สุด



    ‘ถ้าไม่อยากให้ใครตามตัวพี่เจอในเวลา 24 ชั่วโมง’ น้องรักเตือนเอาไว้อย่างนั้นก่อนที่จะแยกย้ายกัน
    ไปเมื่อคืนวาน



    ...ก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ดูหนังสือพิมพ์ที่เขาซื้อติดมือมาสิ มันยังพาดหัวเลยว่า ‘ดงบังชินกิ
    หายตัวลึกลับทิ้งข้อความขอพักผ่อน 3 เดือน’



    ยะฮู้...จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกไหม



    ...กลิ่นหอมของอิสรภาพ



    “เอ้า แจจุง” ยุนโฮส่งกาแฟมอคค่ายี่ห้อโปรดที่ซื้อมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ ให้เพื่อน ซึ่งคนรับก็มี
    สีหน้าดีขึ้นมากหลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตา แล้วก็สำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งตัวในห้องน้ำ



    “จะแต่งอะไรมากมาย” ก็ว่าจะไม่พูดอะไรแล้วนะ แต่พอเห็นชุดของอีกฝ่ายก็อดที่จะค่อนขอดไม่ได้
    เขาชายตามองกางเกงสีเทาทรงนำสมัยกับรองเท้าบู้ตรุ่นล่าสุดของฝ่ายนั้น มันช่างเข้ากันอย่าง
    เหมาะเจาะกับสเวตเตอร์สีฟ้าหมอกเหลือเกิน...ดีเกินกว่าจะปลอมตัวหนีออกมาแล้วเพื่อน!



    “เดี๋ยว แคสซี่ก็จำได้หรอกว่าเป็นนาย”



    “ไม่มีทาง” หนุ่มหน้าหวานเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจ “ฉันแต่งตัวโทรมลงไปตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์
    ไม่มีทางหรอกที่แคสซี่ที่รัก จะเห็นฉันเป็นคิมแจจุงที่เพียบพร้อมคนนั้น”



    ยุนโฮอ่อนใจกับคำตอบที่แสดงความมั่นใจสูงลิบลิ่วของเพื่อนเหลือเกิน เขาก้มลงมองพูลโอเวอร์
    เก่าๆ สีน้ำเงินของตนเองกับเดนิมตัวเก่งแล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ



    หวังว่าคราบปลอมตัวของเขามันจะใช้ได้ผลดี จนสามารถปิดบังรัศมีซูเปอร์สตาร์ของฝ่ายนั้นได้
    มิดชิดละนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เป็นต้องได้หนีนักข่าวกันหัวซุกหัวซุนจนกว่าจะหาที่หลบภัยใหม่แน่ๆ



    และเพราะอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ยุนโฮมั่นใจเหลือเกินว่า ถ้าความลับจะแตก มันก็ต้องแตกจาก
    คิมแจจุงแน่นอน ไม่มีทางที่จะเป็นเขาเสียล่ะ










    เส้นทางที่จะไปยังลาสเวกัสไกลพอใช้ ขนาดหลับๆ ตื่นๆ ไปอีกพักใหญ่ก็ยังมองเห็นแต่ทรายแห้งๆ
    ดินแล้งๆ กับต้นไม้ไร้ใบต้นโกร๋นๆ ยืนระยะสุดลูกหูลูกตา



    มันน่าเบื่อจนแม้แต่คนขับรถที่อุตส่าห์เก็บปากเก็บคำ ตั้งแต่เจอช็อตเด็ดของแจจุงเข้าไปเมื่อตอน
    สายๆ ก็ยังต้องหันมาชวนผู้โดยสารสองคนในรถตู้คุยเป็นการฆ่าเวลา



    จากเรื่องการเมืองในประเทศอเมริกา ไปถึงการเมืองในเอเชีย เศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีใหม่ๆ
    โรคภัยที่น่ากลัว ปัญหาสังคม การก่อการณ์ร้าย ลามไปจนข่าวซุบซิบดาราคนดัง จนมันหมด
    แทบจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว สุดท้ายก็มาลงเอยที่เรื่องของแจจุงกับยุนโฮได้อย่างไรก็ไม่รู้



    “คบกันนานหรือยังครับ”



    “เท่าไรแล้วนะ” คนขี้ลืมหันมาถามเพื่อนที่นั่งชมวิวทิวทัศน์ข้างทางอย่างเบื่อหน่าย



    ตากลมๆ สีน้ำตาลเข้มเหลือบมองแว่บหนึ่ง แล้วก็ตอบเสียงเรื่อยๆ ว่า “ปีที่ 18 แล้ว”



    “นานน่าดูนะครับ...แต่เอ๊ะ” พี่คนขับเจ้าปัญหาเหลือบสายตามองผู้ชายเอเชียสองคน คนหนึ่งผมดำ
    อีกคนผมทองอย่างเพ่งพินิจ



    “รู้จักกันตั้งแต่เกิดเลยหรือครับ”



    “ตั้งแต่เกิด” แจจุงทวนคำพูดที่ไม่เห็นว่าจะน่าขันตรงไหนนั้น ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ค่อย
    ทวีความดังขึ้นเสียจนท้องคัดท้องแข็ง นี่หน้าตาเขายังไม่พ้นเกณฑ์เด็กวัยรุ่นสหรัฐอเมริกาอีกหรือ



    “ไม่ใช่หรอกครับ” เสียงตอบกลั้วหัวเราะ



    ส่วนยุนโฮเองก็มีสีหน้าขัดเขิน ไม่ต่างไปสักกี่มากน้อย แต่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
    ดีกว่า เขาก็เลยบอกกับคนขับรถออกไปด้วยเสียงนิ่งๆ อย่างสำรวมว่า



    “พวกเราเพิ่งฉลองวันเกิดปีที่ 34 มาไม่ถึงเดือนครับ”



    “โอ้โห” ฝรั่งคนเดียวในรถอุทานดังลั่น ท่าทางอัศจรรย์ใจจนออกนอกหน้า เขาเหลือบมองคนสองคน
    ทางกระจกหลัง สลับกับมองเส้นทางข้างหน้าอย่างติดใจ



    “ถ้าให้ทาย ผมทายว่าพี่สองคนอายุไม่เกิน 25 ปีด้วยซ้ำ” คนขับที่เพิ่งจะลำดับอาวุโสกับผู้โดยสารได้
    หันกลับมาคุยเสียงลั่น ท่าทางถูกใจจริงๆ กับคนเอเชียสองคนที่หน้าตาห่างจากอายุเป็น 10 ปี



    “มิน่า ยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไม พ่อแม่พี่ถึงยอม...” พูดแล้วศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีทอง
    ก็โคลงไปมาเบาๆ



    “เป็นผมก็ทำใจลำบากนะ”



    “อเมริกาไม่เข้มงวดขนาดนั้นมั๊ง” แจจุงเหลียวหน้ากลับมาทางเพื่อนสนิทเพื่อขอความเห็น



    “ใช่ไหมที่ยูซอนบอกว่าเขาสอบใบขับขี่ได้ตั้งแต่อายุ 16” พอยุนโฮผงกศีรษะรับ ชายหนุ่มก็หันไป
    บอกกับคนขับรถด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ว่า



    “นี่นายคงไม่ได้คิดว่า ฉันกับยุนโฮหนีออกจากบ้านมาหรอกนะ”



    ฝรั่งตาสีเขียวกะพริบตาปริบๆ มองไปที่คนข้างหลังแล้วก็ส่ายศีรษะปฏิเสธแข็งขัน แต่ก็ไม่ยอม
    บอกออกมาอยู่ดีว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ทำท่าอึกๆ อักๆ น่ารำคาญจนคนรอฟังอดทนไม่ไหว



    “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่พูดออกมาให้จบล่ะ” ผู้ชายใจร้อนถามออกมาตรงๆ พลางผลักเพื่อนขี้อ้อน
    ที่เริ่มจะกลับมายึดไหล่เขาไปเป็นหมอนอีกครั้งหนึ่งออกไปห่างๆ



    “หมอนข้างหลังรถก็มีนะแจจุง”



    “แต่ไหล่นายนอนสบายกว่านี่นา” เป็นเหตุผลบ้าบอคอแตกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา มีอย่างที่ไหนกัน
    ไหล่แข็งๆ ของเขานี่นะ จะสบายกว่าหมอนยัดไส้ขนห่านอย่างดีที่นายหอบหิ้วมาด้วย



    “คือถ้าฉันนั่งหลับ” เจ้าตัวจัดแจงเอนตัวมาพิงบ่าเขา เพื่อแสดงการสาธิตประกอบคำอธิบาย
    ด้วยสีหน้าจริงจัง



    “ไหล่นายก็จะมีความสูงพอดีตอนฉันเอนไปพิง”



    อืมม...แล้วยังไงต่อหรือแจจุง



    “แต่ถ้าเป็นหมอนมันก็ไม่ใช่ใช่ม้ายุนโฮ มันต้องเสียเวลาไปหาที่ตำแหน่งเหมาะๆ ที่จะวางหมอน
    อีก แล้วพอเผลอมันก็จะเลื่อนไปไหนอีกก็ไม่รู้ สู้ไหล่ของนายก็ไม่ได้ มั่นคงหนักแน่น อยู่อย่างไร
    ก็อย่างนั้น” ว่าแล้วคนพูดก็ซบศีรษะลงบนไหล่ของเขาอย่างสบายที่สุดเสียอย่างนั้น มิหนำซ้ำ
    ยังส่งสายตาวิบวับ ปรอยยิ้มหวานๆ กลับมาให้อีกต่างหาก



    ยุนโฮระอาใจกับความขี้อ้อนของเพื่อนตัวดีเป็นกำลัง แต่ที่ระอาใจมากไปกว่านั้นก็คือความใจอ่อน
    ของตัวเอง ที่พอเห็นแจจุงทำสีหน้าอย่างนั้นทีไร ก็มีอันต้องยอมแพ้ไปเสียทุกที ไหล่ของเขาก็เลย
    ต้องอุทิศให้กับเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ยังต้องคอยประคองไม่ให้ศีรษะที่แอบอิงอยู่ พลัดหล่นไปตาม
    ความแรงของรถ



    ท่าทางของผู้ชายสองคนที่ปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน น่ารักจนแม้แต่คนขับรถที่ลอบชำเลืองมอง
    ทางด้านหลังก็ยังอดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และมันก็ยังคงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง
    ยุนโฮเบือนสายตากลับมาเห็น



    “คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยว่า เรื่องอะไรที่ทำให้คุณลำบากใจ”



    “...ก็นะ” หนุ่มผมทองเหลือบสายตามองสองคนที่อยู่ที่นั่งด้านหลังอีกครั้งหนึ่ง



    “เรื่องที่คุณเป็นคู่รักกันอย่างไรละครับ”



    “แจจุงเป็นผู้ชายนะครับ” ยุนโฮย้ำอีกครั้งหนึ่ง...เผื่อว่าฝรั่งคนนั้นอาจจะลืมช็อตเด็ดของคิมแจจุง
    แห่งดงบังชินกิ



    “คุณก็เห็น”



    “ยากจะลืมทีเดียว” คู่สนทนาของเขายอมรับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วก็ใช้มือข้างหนึ่ง
    ยกขึ้นเกาศีรษะอย่างขัดเขิน



    “แต่มันก็ไม่แปลกหรอกครับ...” คนพูดยังพูดต่อไป โดยไม่ได้เหลือบสายตากลับมามองด้านหลัง
    เวลาที่ย่ำค่ำทำให้การขับรถในถนน ที่มีเส้นทางสวนกันทำได้ยากลำบากขึ้น ทั้งต้องระวังไม่ให้แสง
    ไฟบดบังวิสัยทัศน์ของผู้ที่ขับรถสวนมา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับไฟให้เหมาะสมเมื่อไม่มี
    รถสวน จะได้เห็นเส้นทางได้ชัดเจน



    เขาก็เลยไม่มีโอกาสได้เห็นว่า คนที่คิดว่าหลับไปแล้วนั้น กำลังเบิกตาโพลง เงี่ยหูฟังคำพูดทุกคำ
    ที่อยู่ในบทสนทนาอย่างไม่มีตกหล่น



    “...สมัยนี้แล้วคู่รักเพศเดียวกันเป็นที่ยอมรับพอๆ กับคู่รักชายหญิง ตอนแรกผมก็เสียดาย
    ที่พวกคุณอายุยังน้อยไม่น่าจะรีบตัดสินใจอย่างนั้น แต่พอทราบว่าคุณคบกันมานานตั้ง 18 ปี
    ก็โล่งใจครับ มันคงเป็นรักแท้แล้วล่ะ อวยพรให้โชคดีนะครับ ผมก็เจออย่างนี้มาหลายคู่
    หลังจากที่มีการประกาศกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ ก็มีคนไป
    จดทะเบียนที่ลาสเวกัสกันเยอะแยะ...อึ้ก...อึ้ก...” ที่จริงคำพูดของชายหนุ่มผู้ปรารถนาดีคงจะยังไม่จบ
    แค่นั้นเป็นแน่แท้ แต่ที่ต้องเงียบเสียงลงอย่างกะทันหัน แล้วปล่อยให้รถตู้แล่นส่ายเป็นงูเลื้อยตาม
    ยถากรรมอย่างนั้น ก็เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของผู้ชายหน้าหวานที่ชื่อคิมแจจุง ที่โผนเข้าใส่คนขับรถ
    ปากมากแล้วก็บีบเข้าไปที่คออวบหนาสุดแรงเกิด



    “ฉันจะฆ่าแก กล้าดียังไงมาหาว่าฉันเป็นคู่เกย์กับไอ้ยุนโฮวะ!”



    สาบานได้เลยว่ามันเป็นเสียงตะโกนที่แหลมสูง แล้วก็สั่นมากที่สุดในชีวิต
    ที่ยุนโฮเคยได้ยินจากปากของเพื่อนคนนี้จริงๆ






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×