ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Hug...อ้อมกอดดวงดาว

    ลำดับตอนที่ #8 : 7th step:: Gifts from Destiny 2 :: [Changmin]

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 53













    เปลที่นอนไหวยะยวบเบาๆ นอกจากจะเป็นการแกว่งไกวตามการโยนตัวของเรือที่ต้องคลื่นแล้ว
    ส่วนหนึ่งของความแรงที่เกิดจากการกระแทกและเสียงดังบริเวณข้างเรือ ทำให้ชางมินสะดุ้งตัว
    ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่า เรือซึ่งควรจะมีเขาเป็นผู้ครอบครองเพียงลำพังลำนี้ กลับมีอาคันตุกะ
    ที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยือนแล้ว


    เท่าที่ความทรงจำอันเลือนรางเพราะฤทธิ์น้ำเมาจะอนุญาตให้ระลึกได้ ก็คือ เรือเข้าเทียบท่าที่ฮ่องกง
    ตอนประมาณสองยามนิดๆ อย่างที่อู่ขิ่นบอกไว้ และเมื่อผ่านกระบวนการทางศุลกากรได้ ชายฉกรรจ์
    ทั้งหมดที่อยู่ร่วมกันในเรือเป็นอาทิตย์ ก็โห่ร้องอย่างยินดี แล้วก็ปรี่ลงจากเรือแบบไม่เหลียวหลัง
    ต่างคนต่างก็มุ่งจะแสวงหาความสำราญอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ต้องอัดอั้นอยู่นานเป็นสัปดาห์
    ในสถานที่ที่มีแต่ผืนฟ้าและเกลียวคลื่น


    ชางมินโบกมือขอตัวกับพรรคพวก บอกเลยว่าตัวเองไม่ไหวที่จะไปทำอะไรในเวลานี้ เหล้าสีใสไม่ผิด
    ไปจากน้ำเปล่าขวดนั้นยังไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด และแผ่ซ่านไปทุกอณูเนื้อ จนสมองคิดอะไร
    ไม่ออก นอกจากการล้มลงไปนอนเพียงอย่างเดียว เขาก็เลยอาสาที่จะเฝ้าเรือให้


    หากคนเมาก็ไม่สามารถจะหลับได้ดังใจปรารถนา เพราะทันทีที่หลับตาไปไม่เต็มตื่นดี ก็มีสิ่งมา
    รบกวนนิทรารมย์อันแสนสุขเข้าเสียก่อน นอกจากการไหวตัวของเรืออย่างผิดปกติแล้ว ยังมีเสียง
    เอะอะโวยวาย ด่าทอเป็นภาษาจีนสำเนียงกวางตุ้ง สลับกับเสียงตุ้บตั้บจากการใช้ของแข็ง
    หวดเข้าที่ของบางสิ่ง ดังอึกทึกเสียจนปลุกให้ชางมินต้องปรือตาขึ้นมามองอย่างหัวเสีย
    เขาเดินโงนเงนไปที่กราบเรือ แล้วก็ชะโงกหน้าไปดูต้นเหตุของเสียงดัง


    บนฝั่งมีผู้ชายสามคนกำลังมะรุมมะตุ้มอยู่กับกระสอบที่วางแทบเท้า และเมื่อแสงไฟจากประภาคาร
    ท่าเรือสาดผ่านไปในตำแหน่งนั้น ก็ทำให้พอจะจับรายละเอียดได้ว่า ผู้ชายทั้งหมดใส่ชุดสีดำทึบทึม
    และหนึ่งในนั้นมีรอยแผลเป็นพาดเป็นเส้นยาวจากข้างแก้มจรดปลายคาง


    ไม่รู้ว่าในกระสอบมีอะไร แต่พอพวกนั้นทั้งกระทืบ ทั้งทุบตีอย่างสาแก่ใจ ก็ช่วยกันยกกระสอบไปที่
    ริมน้ำ แล้วก็โยนมันดังตูม ลงไปกับผืนนทีสีมืดคล้ำ


    เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผิดสังเกตเอาการ แต่ด้วยความง่วงงุนที่ยังมีอยู่มาก ประกอบกับความ
    สับสนทางความคิดจากฤทธิ์เมรัย ทำให้ชางมินถอนใจยาวๆ ให้กับความเงียบสงบที่กลับมาเยือนอีก
    ครั้งอย่างพึงใจ และไม่ได้คิดอะไรไกลจากการหลับตาลงอีกสักตื่นหนึ่งเลย


    เขาหมุนตัวกลับไปที่เปลนอน เดินสะเงาะสะแงะในความมืด เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า นอกจาก
    เสียงดังหนวกหูที่เกิดขึ้นภายนอกเรือแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างผิดสังเกตบนเรืออีกประการหนึ่ง
    ที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา


    และทันทีที่ระลึกถึงเรื่องนี้ได้ ชางมินก็แช่งชักไอ้ตีนแมวสิ้นคิด ที่จะทำการยกเค้าเรือประมงโกโร
    โกโสลำนี้อย่างไม่มีชิ้นดี


    อะไรมันจะวุ่นวายขนาดนี้วะ...ชายหนุ่มสบถในคอเบาๆ เป็นคำสุดท้าย แล้วก็ขยับตัวจากเสาที่ผูกเปล
    นอนไปทางหัวเรือ ความมึนงงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ยังครอบครองสติส่วนใหญ่อยู่ ทำให้การ
    เคลื่อนไหวของร่างกายช้ากว่าที่เคยเป็น และตัดสินใจอะไรได้ยากกว่าที่เคยทำได้ จนแม้กระทั่งการ
    เดินง่ายๆ เขาก็ยังทำพลาด


    ชายหนุ่มนิ่วหน้าเบาๆ ให้กับความเจ็บปวดที่พุ่งปราดจากปลายเท้า สงสัยเขาคงไปเตะอะไรเข้าสัก
    อย่างในความมืดเสียแล้ว อาจจะเป็นลังไม้ที่เพื่อนชาวพม่าชอบเอามาใช้ต่างโต๊ะ แล้วก็วางเพ่นพ่าน
    จนไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันควรจะอยู่ตรงไหน หรือมิเช่นนั้นก็เป็นสัมภาระจำนวนมากมาย ที่ระเกะระกะ
    ตรงหัวเรือ    


    ร่างสูงๆ ย่อตัวลงต่ำ แล้วก็ควานมือออกไปในระดับอกเพื่อหาต้นเหตุของอาการเจ็บในความมืด
    กะว่าจะผลักมันออกไปให้พ้นทาง จากนั้นค่อยไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือบลูเวฟที่ตัวเองนอนเฝ้าอยู่


    แต่เมื่อมือที่ยื่นออกไป ดันไปคว้าเอาอะไรบางอย่างที่อวบหยุ่นและนุ่มมือเข้าแทน เสียงร้องดัง
    “เฮ้ย” ก็เลยหลุดออกมาจากริมฝีปากดังลั่น ก่อนที่การไตร่ตรองใดๆ ของสมอง จะมีผลต่อการกระทำ
    ทั้งหมดทั้งสิ้นเสียอีก


    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่สิ่งที่ฝ่ามือสัมผัสคืออะไร เพียงแต่เจ้าของของ‘สิ่งนี้’ มาอยู่ที่นี่ บนเรือลำนี้
    ที่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ สิบกว่าคนได้อย่างไร


    ชางมินยังไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เลย สาบานได้จริงๆ ว่าตัวเขามีแต่ความตกตื่น แถมยังคิดว่า
    ตัวเองยังไม่สร่างเมาด้วยซ้ำถึงได้ฝันอะไรเป็นตุเป็นตะได้เหมือนจริงเช่นนี้ แต่พอเขาจะอ้าปากร้อง
    ออกมาอีกคำหนึ่ง แสงไฟจากประภาคารก็กราดผ่านลำเรือ แล้วสัมผัสอุ่นร้อนของบางสิ่ง
    ก็แนบประทับลงมากับริมฝีปากหยักลึกในนาทีนั้น


    นอกจากสัมผัสที่ริมฝีปากแล้ว สิ่งที่สัมผัสร่างกายของชายหนุ่มเป็นลำดับถัดไป คือเรือนร่างกลมกลึง
    ที่โผทับลงมาในอ้อมแขน เป็นของแถมชิ้นใหญ่ ที่ไม่ผิดไปจากการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
    แบบซ้ำซ้อนแต่อย่างใด 


    ทั้งหมดเต็มไปด้วยความอบอุ่นและหอมกรุ่น เกินกว่าจะคิดได้ว่าอยู่ในโลกของความเป็นจริง


    หากก็มีเพียงแค่นั้น!


    เป็นความฝันที่น่าขัดใจอะไรอย่างนั้น!


    ร่างอรชรแค่ทับลงมา แล้วก็ประกบปากกับเขา แค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ ไม่มีอะไรอื่นอีก เหมือนกับแค่ล้ม
    ทับลงมา แล้วก็แข็งทื่อ ค้างเอาไว้เหมือนปูนปั้นอย่างน่าขัดใจ


    ชางมินกล่าวโทษน้ำเมาที่เขาดื่มลงไปล้วนๆ เพราะมันแท้ๆ ถึงทำให้สติและการยับยั้งชั่งใจของเขา
    เตลิดหายไปจนหมด ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติในชีวิตจริง รับรองได้เลยว่าจะไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้
    เกิดขึ้น


    ชเวกังชางมินจะดันตัวหญิงสาวปริศนา ออกจากอ้อมแขนอย่างละมุนละม่อมเป็นที่สุด จะเอื้อมมือไป
    ประคองให้เธอลุกขึ้นนั่งอย่างสุภาพบุรุษเป็นที่สุด แล้วก็จะถามไถ่ด้วยน้ำเสียงสุภาพอบอุ่นเป็นที่สุด
    เพื่อคลายความเขินอายลง


    จะไม่ทำอย่างที่ชิมชางมินกำลังทำในความฝัน อย่างเวลานี้ !


    ด้วยการผลักดันจากอะไรหลายอย่าง ซึ่งมันอาจจะหมายรวมถึง บรรยากาศที่พาไป สายลม แสงดาว
    เสียงคลื่นที่ซัดซ่า แอลกอฮอล์ในกระแสเลือด และความรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน
    สมัยเป็นหนุ่มรุ่นกระเตาะ


    ไม่ว่าจะเป็นด้วยอะไรก็ตามที่ยกขึ้นมาอ้างถึง หากทั้งหมดก็มีผลลัพธ์เพียงประการเดียว คือสัตว์ร้าย
    ที่ซ่อนอยู่ในตัวของชางมิน คำรามเสียงแผ่วเบาอย่างพึงพอใจกับสัมผัสยวนใจนี้แล้ว


    ในเมื่อมีริมฝีปากอุ่นแนบประชิดอยู่อย่างนี้ มีหรือที่ผู้ชายซึ่งเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จะปล่อยให้มันผ่าน
    ไปเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ และถึงร่างที่ทาบทับจะแข็งทื่อไร้อารมณ์เหมือนศิลาสลัก
    สักแค่ไหน แต่เมื่อผิวสัมผัสที่กราวกับผิวเนื้อ คือเนื้อนวลนุ่มละมุน ที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมของ
    แซนดัลวูดและส้ม ในนาทีนั้นต่อให้เป็นนักบวชผู้ทรงศีลก็ยากที่จะเหนี่ยวรั้งตัวเองได้อีกต่อไป


    เขาเลาะเล็มกลีบปากเต็มตึงนั้นอย่างแผ่วเบาและยั่วเย้า ปลายหูได้ยินเหมือนมีเสียงร้องอย่างขัดใจ
    จากคนที่ทาบตัวอยู่ด้านบน การขยับตัวออกห่าง และเล็บแหลมที่จิกครูดไปบนแขน
    พอเรียกเลือดซิบๆ


    หากชายหนุ่มก็ยอมเสียมารยาทสุภาพบุรุษอันพึงมี พึงเป็น ด้วยการวาดวงแขนโอบรัดร่างที่ดิ้นรนหนี
    เข้าหาตัวอย่างแนบแน่น บอกกับตัวเองในนาทีนั้นเลยว่า ขืนปล่อยตัวหญิงสาวออกไปในเวลานี้
    ก็เท่ากับเป็นไอ้โง่ชัดๆ


    จากวงแขนที่กอดรัด ฝ่ามือแข็งแรงค่อยๆ ไล้ผ่านแผ่นหลังอย่างเชื่องช้า สัมผัสที่ได้รับแสดงให้รู้ว่า
    คนในอ้อมแขน ใส่ชุดรัดรูปที่แนบไปกับผิวเนื้อเหมือนกับเป็นผิวหนังอีกชั้น ทว่าชุดรัดรูปนั้นไม่ได้
    ช่วยให้สถานการณ์ล่อแหลมนี้ดีขึ้นเลย  เพราะเมื่อบดเบียดก็เหมือนยิ่งใช้เนื้อแนบเนื้อ ยิ่งผืนผ้าที่กาง
    กั้นเบาบางก็ยิ่งทำให้ประสาทสัมผัสแหลมคม


    ไอร้อนที่ก่อตัวขึ้นระหว่างสองคนทวีความเริงร้อนขึ้นเรื่อยๆ


    ผ่าวร้อนตามฝ่ามือที่ลากไล้บนผิวเนื้อนวล ไม่ผิดไปจากหัตถ์แห่งเปลวไฟที่ลุกไหม้จากการสัมผัส
    ผ่าน


    และลามเลีย เริงโรจน์สว่างโพลงด้วยประกายไฟแห่งความปรารถนา


    ปลายลิ้นของชางมินค่อยๆ ไล้เลียผ่านริมฝีปากนิ่ม เข้าไปหาโพรงปากอุ่นร้อน เขาหยอกล้อกับ
    ปลายลิ้นที่หลบหนีอย่างตื่นกลัว ด้วยความขบขัน ขยับรุกไล่ทีละนิด ก่อนจะตวัดเกี่ยวพันด้วยชั้นเชิง
    และประสบการณ์ที่เหนือกว่ามาก


    เพียงไม่นาน จากการขัดขืน เจ้าของริมฝีปากหวานฉ่ำก็แตะรับการสัมผัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปฏิกิริยา
    ตอบรับนั้น ทำให้ชายหนุ่มครางออกมาอย่างพอใจ เขาประคองศีรษะเล็กๆ เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
    แล้วก็สอดแขนข้างหนึ่งขึ้นรับน้ำหนักตัวของหญิงสาว ไซ้ปลายนิ้วสอดไปบนเรือนผมที่มุ่นอย่างแน่น
    หนา ก่อนจะปลดปล่อยพันธนาการให้มันออกมาปัดไล้กับใบหน้า


    กลิ่นของแซนดัลวูดหอมแรงขึ้น


    สัมผัสที่ปัดป่ายบนผิวกายร้อนแรงขึ้น


    และหัวใจที่แนบกับอกของเขาเต้นระรัวขึ้น


    ชางมินขบย้ำบนกลีบปากบาง แล้วบดขยี้จุมพิตไล่ลงมาตามลาดโค้งของลำคอ สัมผัสของเส้นผม
    นุ่มละมุนอย่างน่าเหลือเชื่อ มันหยอกเย้ากับผิวกายของเขา ละลายความคิดทั้งหมดของเขาลง
    ให้เหลือเพียงแต่ความปรารถนาที่พร่างพราย


    ชายหนุ่มพลิกตัวหญิงสาวลงแนบกับพื้นเรือ เลื่อนไล้ปลายลิ้นไปยังแอ่งฐานลำคอ ก่อนจะขยับมือ
    ปลดซิปที่อยู่ด้านหน้าของชุดสีทึบออก


    เสียงโลหะขยับลากยาวในความมืด ก่อนที่แสงไฟจากประภาคารจะสาดส่องมาอีกครั้ง ให้เขาได้เห็น
    ผ้าลูกไม้โปร่งบางสีดำสนิท ที่ซับเนื้อนวลวับแวม


    ผิวเนื้อขาวผ่อง ผลิงามราวกับจะเรืองแสงได้


    และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ชิมชางมินได้เห็น ก่อนทุกอย่างจะมืดดับลง...










    เสียงเจรจาโหวกเหวกข้างหู ประกอบกับการเขย่าตัวแรงๆ  ปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอย่าง
    เชื่องช้า นอกจากความรู้สึกหนักอึ้งในศีรษะ เหมือนกับมีใครสักคนเอาหินก้อนใหญ่มาถ่วงเอาไว้
    แทนกะโหลกแล้ว เขายังแสบตาเป็นกำลังกับแสงแดดยามสายที่ส่องกระทบเข้ามาจนเต็มตา


    ชางมินขยับศีรษะเบาๆ แล้วก็หยีดวงตาทั้งสองข้างหลบแสงจ้า จนเมื่อร่างกายกลับสู่สภาพปกติที่สุด
    เท่าที่มันจะมีได้ในยามเมาค้างแล้ว เขาก็เหลียวมองรอบกายอย่างงๆ จากนั้นจึงค่อยรับรู้ได้ว่าตนเอง
    กำลังอยู่ในสถานการณ์ใด


    เขายังอยู่บนเรือประมงลำเดิม หากแต่รอบตัวในยามนี้ มีแต่ใครก็ไม่รู้ล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด ผู้คน
    เหล่านั้นพูดจากันด้วยเสียงโวยวาย เป็นภาษาจีนสำเนียงกวางตุ้งแปลกหู


    ชางมินคงจะยังนั่งงงอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ถ้าไม่มีมือข้างหนึ่งลอบมาสะกิดด้านหลัง


    “มิน” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นเบาๆ


    “อู่ขิ่น” ชายหนุ่มอุทานออกมา พร้อมทั้งเหลียวหลังกลับไปตามเสียงเรียกด้วยความยินดี แต่อีกฝ่าย
    รีบสั่งมาอย่างเฉียบขาด


    “ไม่ต้องหันกลับมา ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”


    “เกิดเรื่องอะไร” ชางมินก้มหน้ากระซิบถามเสียงเบา สังหรณ์ร้ายบางประการแล่นปราดเข้ามาจับหัวใจ


    “ตำรวจมาค้นเรือ เขาหาว่าเรานำของผิดกฎหมายเข้ามาในฮ่องกง”


    “ก็เรือประมง มันจะมีอะไรนอกจากปลาอีกล่ะ ปูหนีภาษีหรือไง” เขาถามติดตลก พยายามทำให้มันขำ
    แต่ก็ไม่รอด มุขตลกที่ฝืดยิ่งกว่าของจุนซู จืดเจื่อนราวน้ำเปล่า เมื่อต้องมาเจอกับคำตอบ ที่เต็มไป
    ด้วยความทุกข์ร้อนของผู้พูด ซึ่งโพล่งออกมาเร็วรี่ราวกระแสคลื่นหน้ามรสุม


    คำตอบที่บอกให้รู้ว่า ไม่ได้มีเพียงปลาอย่างที่คาดคะเนเสียแล้ว


    ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำอย่างน่ากลัว


    “ม่องแอ มันติดยาบ้า” คำตอบกระซิบกระซาบชัดเจน ดังกรอกสองข้างของรูหู


    ‘ม่องแอ’ชื่อของเพื่อนร่วมเรือชาวพม่าที่วันๆ เอาแต่เหม่อ นั่งมองขอบฟ้าตาลอย กลายเป็นเจ้าของ
    ยาบ้า ที่ก่อเรื่องเดือดร้อนให้อย่างไม่คาดคิด


    “มันพกยามาด้วยเป็นสิบเม็ด วางหราอยู่บนโต๊ะที่เคบิน ตอนนี้ต่างคนต่างเปิดหนีกันหมด ด้วยความที่
    ไม่มีหนังสือเดินทางเข้าฮ่องกงด้วย เลยไม่มีใครกล้าอยู่รับหน้าตำรวจ”


    “เหลือแค่ฉันกับนายอย่างนั้นหรือ” ชางมินถามเสียงแหบต่ำ แห้งผากไปหมดทั้งปากทั้งคอ และพร้อม
    กันนี้ ความรู้สึกเย็นเยียบ ราวกับข้างในร่างกายกำลังถูกน้ำแข็งห่มคลุม ก็ค่อยๆ แผ่ซ่านจากช่อง
    ท้องอย่างแช่มช้า


    รู้ได้เลยว่าจะต้องเป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต ข่าวมโหฬารอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อตำรวจฮ่องกงประกาศว่า
    จับตัวชเวกังชางมินแห่งดงบังชินกิได้ พร้อมกับยาบ้าของกลางนับสิบเม็ดแบบคาหนังคาเขา ขณะที่
    ลอบเข้ามาค้ายาเสพย์ติดในฮ่องกง


    อนาคตทางการงานดับวูบแน่ๆ และยังไม่ต้องคิดไปถึงพี่ๆ อีก 4 คนเลย พวกนั้นจะต้องโกรธจัดเป็น
    กำลัง แม้จะเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำดังข่าวที่ออกไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่การดูแลตัวเองที่หย่อนยาน
    ขาดวินัย ก็สมควรจะได้รับหมัดหนักๆ สักหมัดจากแจจุงเป็นการตักเตือน 


    แล้วไหนจะยังเหล่าแคสสิโอเปียอีก...พวกเขาจะผิดหวังในตัวชเวกังชางมินสักเพียงไหน


    คิดมาได้แค่นี้ ไหล่ทั้งสองข้างของชางมินก็ห่อเข้าหากันอย่างห่อเหี่ยว ไม่เคยรู้สึกเลยว่า ตัวเองถูก
    ต้อนเข้าสู่จุดอับ อย่างเดียวดายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต


    ไม่มีใครให้พึ่งพา ไม่มีพี่ๆ คอยปลอบขวัญ แล้วก็ไม่มีบ่าไว้ซับน้ำตาอย่างที่เคยเป็น


    “ฉันหลบออกไปแล้ว เหลือแต่นายนี่ล่ะที่ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น ถึงต้องทิ้งเอาไว้อย่างนี้
    ขอโทษจริงๆ นะ”


    ชางมินเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดี ในนาทีนั้นไม่ว่าใครก็ต้องคิดเรื่องเอาตัวรอดไว้ก่อน ที่อู่ขิ่นทำไม่ผิด
    หรอก ที่ผิดเห็นจะเป็นตัวเขา ต้องโทษตัวเขา ที่ประมาทและเผอเรอมากเกินไป ปล่อยให้ความสนุก
    สนานและความคึกคะนองเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตมากเกินไป  เสียจนลืมสิ่งสำคัญที่ควรทำ
    สิ่งสำคัญที่ควรรักษา


    ทุกอย่างมันพังด้วยน้ำมือของเขาเองแท้ๆ


    “มีอะไรพอที่ฉันจะช่วยนายได้ไหมมิน” อู่ขิ่นถามเสียงแผ่วเบา


    ในตอนนั้น ด้วยสถานการณ์รอบตัวที่บีบคั้น ด้วยความตึงเครียดจากความผิดหวัง ด้วยความมึนเมา
    ในสมองที่ยังท่วมท้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และด้วยอะไรอีกหลายอย่างรวมกัน มันผลักดันให้
    ชางมินคิดเรื่องบ้าๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


    อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมที่สุด แต่เขาก็คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว


    “เป้ของฉันอยู่ตรงท้ายเรือ” เขาเลียริมฝีปากแห้งเกราะของตนเองอย่างชั่งใจ ช่วงวินาทีที่รีรอและ
    สวดภาวนาหาความช่วยเหลืออย่างไร้ความหวังนั้น ไม่มีคำตอบอื่นใดผุดขึ้นมาในสมองอีก


    ทุกอย่างนิ่งเงียบ สงัดตัดกับสถานการณ์รอบตัวที่วุ่นวาย ราวขาวกับดำ


    “เอาหนังสือเดินทางในเป้ของฉันไปเสียอู่ขิ่น จะเอาไปทิ้ง ไปทำลาย หรือว่าเผาไฟก็ได้ เอามันไปให้
    พ้นๆ ก่อนที่ตำรวจจะค้นเจอ” ชางมินพูดอย่างตัดใจ


    “บ้าหรือเปล่ามิน” เสียงกระซิบถามกดต่ำ แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าผู้พูด ห่วงกังวลในตัวเพื่อนใหม่คนนี้มาก
    เพียงใด


    “ถ้าเอาหนังสือเดินทางไป นายจะโดนข้อหาลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายอีกกระทงหนึ่งนะ”


    “เอามันไป ก่อนที่ตำรวจจะได้มัน” ชางมินเค้นเสียงตอบดุเดือด เลื่อนมือตนเองไปด้านหลัง
    บีบกระชับกับมืออีกข้างที่ยื่นส่งมา


    “เอามันไป เพียงแค่นี้นายก็ช่วยฉันได้มากแล้ว”


    ไม่มีเสียงตอบจากคนที่อยู่ข้างหลังอีก มีเพียงแรงบีบกระชับเร็วๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่มือสากๆ ของอู่ขิ่น
    จะหายไป


    เขาระบายลมหายใจออกมายาวๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่อยู่ในชุดเครื่อง
    แบบสีฟ้าดำอย่างสงบ


    นายตำรวจเหล่านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ แล้วก็หยิบห่วงโลหะสีเงินเงาที่เรียกว่ากุญแจมือ ออกมากวัด
    แกว่งตรงหน้า


    ภาษากายเหล่านั้น สื่อสารได้ดีกว่าภาษาพูด ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจกันเลยได้อักโข


    ชางมินก้มศีรษะยอมรับการกระทำเหล่านั้นอย่างเงียบงัน เขายื่นมือไปเบื้องหน้าแล้วก็หลุบสายตาลง
    ต่ำ ซ่อนประกายตาสับสนเอาไว้กับปลายเท้าของตนเอง


    ...หวังว่าอู่ขิ่นจะจัดการกับหนังสือเดินทางได้ทันเวลา










    “ไหนบอกว่าเรือมาจากบาหลี ทำไมไอ้หมอนั่นมันถึงพูดภาษาอินโดนีเซียไม่ได้ล่ะ” นายตำรวจที่รับ
    หน้าที่สอบปากคำชางมิน กระแทกแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือลงกับโต๊ะแรงๆ


    “มันเป็นชาวอินโดนีเซียจริงหรือเปล่า”


    “หน้าตาก็น่าจะใช่นะครับผู้หมวด” ลูกน้องที่ยืนห่างออกมา หันกลับไปพินิจผู้ต้องสงสัยอีกครั้ง
    ก่อนจะยืนยันเสียงหนักแน่น


    “มีเค้าชาวมาเลย์หรือไม่ก็อินโดอย่างชัดเจนทีเดียว”


    “แต่มันไม่กระดิกหูกับภาษาอินโดนีเซีย ที่ฉันพ่นใส่เลยสักคำเดียวนะเว๊ย”


    “สำเนียงเพี้ยนหรือเปล่าครับ” อีกคนให้ความเห็นปนด้วยเสียงหัวเราะครืดคราด แล้วก็ได้รับมะเหงก
    จากลูกพี่เป็นของกำนัล


    นายตำรวจสามสี่คนตรงนั้น ยังคงยืนเจรจาหยอกเย้ากันด้วยภาษาจีนสำเนียงกวางตุ้ง ที่ฟังยากและ
    แปลกหูเช่นเคย แต่เมื่อต้องมานั่งๆ ยืนๆ อยู่ในห้องสอบปากคำแคบๆ เป็นชั่วโมง แล้วก็แวดล้อมด้วย
    ภาษาจีนแปร่งๆ เหล่านี้ตลอดเวลา ก็ทำให้คนหัวไวอย่างชางมิน พอจะจับประเด็นในถ้อยคำสื่อสาร
    ภาษาจีนกวางตุ้งพวกนั้นได้บ้าง



    ไม่เหมือนกับภาษาจีนแมนดาริน ที่เขาได้เรียนรู้มาทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีความละม้ายในการ
    วางรูปประโยค และถ้อยคำแบบไวยากรณ์จีนอยู่มาก เพียงแต่เพี้ยนเสียงสูงต่ำและรูปคำบางอย่าง


    หลังจากปะติดปะต่อประโยคแหว่งวิ่นพวกนั้นเข้าด้วยกัน เท่าที่จับใจความได้ก็คือ ตำรวจกำลังจับ
    สังเกตว่า เขามาจากอินโดนีเซียจริง อย่างข้อมูลที่กรอกเอาไว้ที่ศุลกากรหรือเปล่า ทำไมถึงตอบโต้
    เป็นภาษาอินโดนีเซียไม่ได้


    แสดงว่า ไอ้ที่พูดแปลกๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ใส่หน้าเขาตลอดเวลาการสอบปากคำ คือภาษาอินโดนีเซีย
    หรอกหรือ?


    ยังไม่ทันที่การสอบปากคำจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เสียงเปิดประตูและปิดประตูอย่างแรง ก็ดึงความ
    สนใจทั้งหมดของคนในห้องแคบๆ ไปรวมกันที่จุดเดียวอย่างไม่ได้นัดหมาย


    หน้าประตูมีตำรวจหนุ่มหน้าตาคมสัน ราวกับพระเอกในภาพยนตร์ฮ่องกงยืนอยู่หนึ่งนาย มีฝรั่งผม
    ทองท่าทางสำคัญยืนอยู่หนึ่งคน แล้วก็...ไม่รู้ว่าจะให้คำจำกัดความอะไรดี...ตำรวจแต่ละนาย ต่าง
    แลกสายตาแสดงความประหลาดใจ ออกมาพร้อมๆ กันอย่างโจ่งแจ้ง...เอาเป็นว่า...มีบรรณารักษ์
    หญิงหน้าตาเฉยชา ไม่รู้ร้อนหนาวอีกหนึ่งคน


    “สารวัตร” ตำรวจในห้องนั้นลุกขึ้นวันทยหัตถ์ แสดงความเคารพผู้บังคับบัญชากันพรึบพรับ


    “มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกคดีหนึ่ง” คนพูดพูดด้วยภาษาจีนแมนดาริน ตอบกลับภาษาจีนกวางตุ้ง
    ของลูกน้องอย่างคล่องแคล่ว และทั้งๆ ที่ปากพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ดวงตาเรียวที่ฉายแวว
    เฉลียวฉลาด กลับตวัดมองมาที่ชางมินอย่างพินิจพิเคราะห์


    ประกายตาวาววับนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สบายใจได้เลย


    “เป็นคดีฆาตกรรม มีคนแจ้งว่าเจอศพบริเวณท่าเรือ”


    ไม่รู้ว่าเป็นด้วยโชคหรือเคราะห์ของชางมิน ที่ทำให้ท่านสารวัตรรูปหล่อ พูดประโยคนั้นออกมาเป็น
    ภาษาจีนกลางอีกครั้ง เขาก็เลยได้รับรู้มันพร้อมๆ กับนายตำรวจคนอื่นๆ


    “เพศหญิง อายุราวๆ ยี่สิบปีอย่างมาก มีร่องรอยการทารุณกรรมทางเพศชัดเจน ตอนนี้นิติเวชกำลัง
    ตรวจสอบเนื้อเยื่อที่เก็บได้จากบริเวณซอกเล็บของศพ รวมกับตรวจหาดีเอ็นเอจากน้ำเชื้อในช่อง
    คลอด คงจะรู้ผลได้ไม่เกินเช้าวันพรุ่งนี้”


    “แล้ว...” ลูกน้องบุ้ยใบ้ไปทางฝรั่งผมทองกับผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง


    “อินเตอร์โปล” ตอบสั้นๆ ด้วยชื่อย่อที่รู้จักอย่างแพร่หลาย INTERPOL...The International Criminal
    Police Organization...องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ ผู้ทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยเหลือ
    องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ระดับนานาชาติ ในภารกิจป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมระหว่าง
    ประเทศ


    คำถามที่ว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานตำรวจสากล ถึงมาเตร็ดเตร่ในโรงพักเล็กๆ ของฮ่องกง?
    ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของผู้รับสารในทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่านั้นกระจ่างเต็มสองหู หากต่างคน
    ต่างก็ปิดปากสงวนความอยากรู้เป็นอันดี


    เก็บงำทุกความคิดไว้ใต้ฉากหน้าของความกระตือรือร้น แล้วก็ใช้ความช่างสังเกต พินิจอย่าง
    สัญชาตญาณของสุนัขล่าเนื้อ เร้นหลบอยู่เบื้องหลัง


    “เจ้าหน้าที่คาเว็นดิช” นายตำรวจชี้ไปที่ฝรั่งผมทอง ตาสีเขียวจัด ในชุดสูทมาดโก้หรู แล้วก็ผายมือ
    ต่อไปยังผู้หญิงที่ใส่เสื้อคอเต่าปิดไปจนถึงคาง กระโปรงยาวรุ่มร่ามจนถึงตาตุ่ม ผมขมวดเป็นมวยตึง
    แน่น แล้วก็สวมแว่นตากรอบกระ ขนาดเบ้อเริ่มเทิ่มบดบังใบหน้าเกินครึ่ง


    “เจ้าหน้าที่โซโคลอฟ” นอกจากรูปลักษณ์ที่สะดุดตาในทางลบ อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตำรวจสากล
    ได้แล้ว ชื่อที่เรียกขานของหญิงสาวสะดุดหูไม่แพ้กัน นอกจากจะไม่ใช่ชื่อสามัญอย่างที่ได้ยินดาษ
    ดื่น มันยังบอกถึงเชื้อชาติของเจ้าตัว ที่มาจากดินแดนหนาวเย็นแถบยุโรปตะวันออก ดินแดนที่มีผู้คน
    น้อยรายนักที่จะได้เข้าร่วมในองค์การสากล ที่มียักษ์ใหญ่อย่างอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นโต้โผหลัก


    “ทาเทียน่า โซโลคอฟ แต่เรียกฉันว่าทาช่าดีกว่าค่ะ” เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ของตำรวจในคราบ
    บรรณารักษ์สาว บอกมาด้วยภาษาจีนแมนดารินอย่างชัดเจน แจ่มแจ๋ว และมันคือคำอธิบายที่ไม่ต้อง
    พูดให้มากความว่า ทำไมท่านสารวัตรถึงต้องพูดเรื่องทุกเรื่องออกมาเป็นภาษาจีนกลาง


    ไม่ทันที่ความตื่นตะลึงจากหญิงสาวผู้นี้จะจางไป ฝรั่งผมทองที่ยืนข้างกัน ก็บอกด้วยภาษาจีน
    แมนดาริน สำทับมาอีกหนึ่งเสียงว่า


    “รูเพิร์ต คาเว็นดิช เรียกผมว่าร็อบก็ได้ครับ” สำเนียงพูดของเขาอาจจะไม่ดีอย่างหญิงสาว แต่มันก็สื่อ
    ความหมายได้ชัดเจนพอ พ่อหนุ่มคนนี้ยิ้มขยิบตานิดๆ ให้กับกลุ่มคนที่มีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างขี้เล่น
    แล้วจากนั้นเขาก็เปลี่ยนสุ้มเสียงอย่างเป็นงานเป็นการ เพื่อถามถึงสิ่งที่ต้องการว่า


    “ผลการสืบสวนผู้ต้องสงสัยรายนี้ ไปถึงไหนแล้วครับ”


    ร้อยเวรผู้ทำหน้าที่สอบสวน เหลือบสายตามองผู้บังคับบัญชาสายตรงแวบหนึ่ง เมื่อได้รับการพยัก
    หน้าเป็นเชิงอนุญาต ตำรวจนายนั้นจึงตอบออกไปว่า


    “ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมครับ”


    “เฮ้ย อะไรวะ ทำไมถึงไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่างล่ะ” เจ้านายร้องขัดขึ้นมา ด้วยความรู้สึกเสียหน้า
    ในความด้อยประสิทธิภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นกำลัง


    “ก็ข้อมูลบอกว่ามาจากบาหลี นี่ผมก็ไปหาดิกชันนารีภาษาอินโดนีเซีย มาเปิดถามแล้วนะครับ แต่
    หมอเล่นนิ่งเงียบเป็นใบ้ ไม่ตอบสักคำ แล้วมันจะคืบหน้าได้ยังไง” เสียงโอดครวญแหบแห้ง สีหน้า
    เหนื่อยหนักอย่างที่บอกจริงๆ


    แต่ท่านสารวัตรไม่ฟังเสียงโอดครวญของลูกน้องสักนิด ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเข้าใส่ แล้วก็หันกลับไป
    ถามฝรั่งที่มาด้วยกันเป็นการแก้เกี้ยวว่า “คุณมีความเห็นอย่างไรสำหรับกรณีนี้ มิสเตอร์คาเว็นดิช”


    คนที่ถูกถามไม่ตอบ แต่ชี้นิ้วไปที่แขนของชางมินเงียบๆ และการกระทำนั้นก็ทำให้เจ้าของแขน
    ซึ่งยังสับสนกับตนเองและเหตุการณ์รอบตัว ต้องยกแขนขึ้นมาดูบ้าง


    เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำตาลแดง แขนสั้นเสมอไหล่ นอกจากจะเปลือยต้นแขนสีแทน ที่หนั่นแน่นด้วย
    มัดกล้ามอย่างน่าอิจฉาในสายตาเพศชายด้วยกันแล้ว ในขณะเดียวกันมันก็แสดงให้เห็นริ้วรอยลาก
    ยาว ที่ฝังลงในเนื้อข้างละสามเส้น รอยแผลที่เริ่มจะมีสะเก็ดเลือดสีแดงคล้ำเกาะตัวจางๆ 


    ด้วยหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ ไม่ต้องให้ใครอื่นบอกอีก บัดนี้ชางมินก็รู้ตัวว่า เขากำลังตกที่นั่ง
    ลำบากอย่างหนักเสียแล้ว


    เมื่อจู่ๆ ความฝันท่ามกลางอิทธิพลของน้ำจัณฑ์ กลายมาเป็นความจริงได้อย่างน่าพิศวง


    ศพที่พบบริเวณท่าเรือ...ผู้ต้องสงสัยไม่มีทางเป็นใครอื่น...นอกจากตัวเขา!










    “แต่เขายังไม่ยอมตอบอะไรสักคำเลยนะครับ” นายตำรวจที่ท่าทางอารมณ์ดีที่สุดในทีมสอบสวน
    ยื่นหน้าเสนอความเห็นที่ไม่มีใครร้องขอดังๆ


    “เราสรุปสำนวนอย่างนี้ไม่ได้”


    “ทาช่า” เจ้าหน้าที่คาเว็นดิช หันไปหาคู่หูที่มาด้วยกันอย่างฝากความหวัง


    ไม่มีใครรู้ว่า ฝรั่งรายนี้ต้องการอะไรจากหญิงสาวท่าทางเฉิ่มเชย บทวิเคราะห์ที่เป็นหลักฐาน ตัวอย่าง
    สำนวนคดี หรือว่าตัวบทกฎหมายที่แสดงให้เห็นว่า การสรุปสำนวนสามารถกระทำได้ แม้ผู้ต้องสงสัย
    จะไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลยก็ตามที อย่างนั้นหรือ?


    ถ้าเป็นการสอบ ตำรวจแต่ละนายที่วิเคราะห์เหตุการณ์อย่างนั้น ก็มีอันต้องสอบตกกราวรูดไปหมด
    แล้ว เมื่อ‘ความหวังของเจ้าหน้าที่คาเว็นดิช’ เบือนหน้าไปทางผู้ต้องสงสัย แล้วก็ร้องถามออกมา
    ด้วยภาษาหนึ่งว่า


    “คุณพูดภาษามาเลย์ได้ไหม” และเมื่อไม่มีการตอบรับจากชางมิน นอกจากสายตาที่มองกลับมา
    อย่างงุนงง เธอก็พลิกลิ้นไปเป็นอีกภาษาหนึ่งอย่างว่องไว


    “มลายูล่ะ”


    “อินโดนีเซีย?”


    “ตากาล็อก?”


    “สิงหล?”


    “ทมิฬ?”


    “ฮินดี?” 


    “เบงกาลี?”


    “อูรดู?”


    “พม่า?”


    “เขมร?”


    “ไทย?”


    ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรที่ฝ่ายนั้นพ่นออกมา ชางมินก็ได้แต่ทำสีหน้าเลื่อนลอยเข้าใส่ทั้งสิ้น


    เอาล่ะ...ยอมรับก็ได้ว่าคุ้นกับคำว่าสวัสดีในภาษาไทย แต่นอกจากคำนั้น ประโยคที่พอจะพูดใน
    ภาษาไทยได้ ก็แทบจะนับนิ้วมือไม่ครบห้าด้วยซ้ำ


    ไม่รู้ว่าตำรวจแต่ละนาย เดาว่าเขามาจากที่ไหนกัน นี่จะไม่มีจริงๆ หรือ ที่ใครสักคนจะลองพูดเกาหลี
    ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งภาษาจีน อันเป็นภาษาแม่บนผืนแผ่นดินนี้กับเขาสักครั้ง


    เอ้า ภาษาอังกฤษ ภาษาสากลของโลกด้วยก็ได้


    หน้าตาเขา มันไม่เข้าพวกขนาดนั้นเลยหรือ


    “แย่จัง ฉันพูดภาษาแถบอินโดจีนได้แค่นี้ล่ะค่ะ” สาวแว่นตาโตพูดอย่างเสียอกเสียใจจริงจัง หากนั่น
    ก็แทบจะทำให้คนที่เหลือในห้อง แทบจะทรุดตัวลงไปกราบกรานสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ชิ้นใหม่ของ
    โลกแล้ว


    เธอพูดออกมาได้ว่า พูดภาษาแถบอินโดจีนได้ ‘แค่นี้’ นี่มันเกินสิบภาษาไปแล้วนะแม่คุณ


    “ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่า เขาอาจจะเป็น โรฮินญาอพยพน่ะค่ะ”


    เธอเว้นวรรคหายใจนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดแจกแจงต่อว่า


    “พวกนี้จะมีภาษาเป็นของตนเอง ใช้ภาษายะไข่ปนกับเบงกาลี และได้รับอิทธิพลศัพท์จากพม่าและ
    ฉิ่น ดังนั้นภาษาของเขาค่อนข้างซับซ้อน จนฉันไม่มั่นใจที่จะใช้มันได้อย่างแตกฉานนัก”


    ซึ่งก็หมายความว่าแท้ที่จริงแล้ว สาวแว่นสุดเฉิ่มก็พูดภาษานี้ได้ด้วย!


    “เธอเป็นหุ่นยนต์แปลภาษารุ่นล่าสุด ใช่ไหมครับสารวัตร” ตำรวจนายเดิมสะกิดถามผู้บังคับบัญชา
    หน้าตามึนๆ และด้วยอารมณ์ขันอันไม่มีที่มาที่ไป ท่านสารวัตรก็เลยตอบกลับไปอย่างหน้าตายว่า


    “เธอกินวุ้นแปลภาษาของโดราเอมอน มาน่ะหมวด”


    ข้อสังเกตของหญิงสาวคนเดียวในห้องทำเอาชางมินสะดุ้งเฮือก ต้องพลิกแขนทั้งสองข้างของ
    ตัวเองขึ้นดูเป็นพัลวัน และนึกอยากได้กระจกมาส่องหน้าตัวเองเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่ม
    ออกเดินทางมา


     กราฟความหล่อของเขา มันตกต่ำถึงขนาดติดลบได้ในระยะเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์หรือ?


    “สรุปแล้วเราจะทำยังไงกับผู้ต้องสงสัยรายนี้ดีครับ” เสียงใครสักคนร้องถามลอยๆ และเมื่อทุกสายตา
    แปรมาจับจ้องที่ชายหนุ่มเป็นจุดเดียว ท่านสารวัตรรูปหล่อก็คลี่ยิ้มที่มุมปาก บอกเสียงราบเรียบ


    “ฝากขังเอาไว้ก่อน รอผลชันสูตรจากนิติเวชพรุ่งนี้ แล้วเราค่อยมาคุยกัน”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×