ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 6th step:: Gifts from Destiny 1 :: [Yunho+Jejung+Changmin]
เสียงว้ากลั่นด้วยความดังสูงกว่า 100 เดซิเบลของยุนโฮ ทะลุเข้าหูซ้ายแล้วก็เสียบทะลวงเข้าสู่หูขวา
ของชางมิน อย่างไม่ปรานี และอานุภาพของมันก็ไม่ผิดไปจากธนูที่พุ่งเข้าเป้าอย่างฉมังเลย
ชนิดที่ว่าแม้จะเตรียมตัวเอาไว้แล้วอย่างดี ด้วยการเหยียดโทรศัพท์ออกจนสุดปลายแขน
เขาก็ยังได้ยินเสียงที่ดาลเดือดด้วยโทสะของพี่ชายอย่างแจ่มชัด เหมือนกับเจ้าตัวมาตะโกน
กรอกหูอยู่ข้างๆ
ชางมินแยกเขี้ยวให้กับความเข้มงวดของอีกฝ่าย และไม่ต้องอาศัยการสั่งการของสมองเลย
แค่ระบบสั่งการอัตโนมัติจากไขสันหลัง ก็ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจกดปุ่มปิดโทรศัพท์ได้แล้ว
เขาโยนเจ้าเครื่องมือสื่อสาร ที่บัดนี้หมดพิษสงอย่างสิ้นเชิงลงไปในกระเป๋าเป้ รวมกับเสื้อผ้า
สองสามชิ้นที่หอบหิ้วติดตัวมาด้วย แล้วก็ผละจากสัมภาระไปหาเพื่อนร่วมเรือ ที่กำลังตั้งวงกรึ่มได้ที่
อูขิ่น ลูกเรือพม่าที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีที่สุด เป็นคนส่งแก้วน้ำที่บรรจุของเหลวใสๆ
เหมือนน้ำเปล่า ยื่นให้ มันเป็นเหล้าอย่างถูกที่สุด แล้วก็มีรสชาติบาดคอที่สุดเท่าที่ชางมิน
เคยลิ้มลองมา เขาดื่มมันได้แค่สองแก้วแล้วจากนั้นทั้งหน้าก็จะแดงเหมือนกับผลแอ๊ปเปิ้ล
“ผสมอะไรลงไปด้วยเนี่ย” ชางมินดมแก้วในมือฟุดฟิด
“กระทิงแดง” นายคนที่แนะนำตัวเองว่า เป็นพม่าผู้รักประชาธิปไตยและเทิดทูนอองซานซูจี
ดั่งวีรสตรี ตอบเสียงยานคาง
“อร่อยนา ลองชิมดูแล้วนายจะติดใจนะมิน”
ชื่อสองพยางค์ของเขาเรียกยาก แล้วก็ทำให้คนที่ไม่คุ้นลิ้นกับภาษาเกาหลี ไพล่เรียกมันออกมา
เพี้ยนๆ น่าขัน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ชางมินเลยตัดสินใจแนะนำตัวเองกับเพื่อนต่างชาติ
ด้วยชื่อสั้นๆ ว่า ‘มิน’ และถึงจะเรียกง่ายอย่างนั้น แต่เพื่อนร่วมเรือคนอื่นนอกจากอูขิ่นและไต้ก๋งเรือ
ก็ยังเรียกเขาว่า‘หมิ่น’ได้อยู่ดี
“เอาแบบเพียวๆ ดีกว่า” เขาว่าพลางส่งแก้วในมือกลับไป แล้วก็ฉวยเอาแก้วเปล่าอีกใบหนึ่ง
มารินน้ำใสๆ จากขวดแบนใส่แทน
ไม่ใช่ว่าเขาระแวงเพื่อนร่วมทางหรอก เพียงแต่เรื่องพรรค์นี้มันก็ควรจะมีการระวังตัวกันบ้าง
คนร้อยพ่อพันแม่ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วต้องร่อนเร่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลร่วมกันเป็นเวลา
เกือบอาทิตย์ วิธีการรู้รักษาตัวรอดปลอดภัยที่สุดก็คือ ดูแลตัวเองอย่างดี อย่าริลองอะไร
ที่ไม่ควรลอง และอย่าอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่สมควรเห็น
อีกสี่คนในวงเริ่มจะร้องเพลงเสียงอ้อแอ้ ส่วนอูขิ่นนั้นยังสาดเหล้าเข้าปากเหมือนน้ำเปล่า
ไม่มีทีท่าจะเมามายเหมือนเพื่อนๆ
“นายคอแข็งชะมัด” ชางมินพูดชมในสิ่งที่เขาตระหนักมานานแล้ว และคนถูกชมก็แค่ยักไหล่รับ
แล้วเดาะเม็ดถั่วคั่วเกลือที่ถือเล่นอยู่ในมือเข้าปาก ก่อนจะถามออกมาว่า
“งานของนายเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เรื่องของเรื่องก็คือ ชางมินบอกกับชาวประมงเหล่านี้ว่าเขาเป็นนักข่าว ต้องการจะทำสารคดี
เรื่องชีวิตลูกเรือประมง จึงขออาศัยเรือมาด้วยเพื่อเก็บข้อมูลและประสบการณ์จริง
ซึ่งตอนแรกไต้ก๋งเรือก็ไม่ค่อยจะยอมรับเขาหรอก แต่ก็ด้วยเงินที่ส่งให้ปึกหนึ่งกับอูขิ่นคนนี้ล่ะ
ที่ช่วยเกลี้ยกล่อมจนลุล่วงไปได้ด้วยดี จนได้กลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกเรือบลูเวฟลำนี้
“ก็พอไหว” เขาตอบเลี่ยงประเด็น พยายามนึกว่าตัวเองได้ทำกิจกรรมอย่างที่นักข่าวเขาทำกัน
ครบหรือยัง ถ่ายรูป สำรวจอุปกรณ์ประมง สัมภาษณ์ นั่งสังเกตการณ์ แล้วก็เข้าร่วมการยกอวน
ครั้งสุดท้าย
“แล้วจากนี้จะกลับประเทศเลยหรือเปล่า” อูขิ่นถามต่อ และคำถามนั้นก็ทำให้คนที่โกหกเขาเอาไว้
คำโต ต้องมาไล่ลำดับความคิดพักหนึ่ง
ชางมินอาศัยสีผิวที่ค่อนข้างเข้มของตนเองให้เป็นประโยชน์ ด้วยการบอกกับฝ่ายนั้นไปว่า
ตัวเองเป็นชาวอินโดนีเซีย ให้สมกับที่ขึ้นเรือมาจากบาหลี และดูเหมือนคำโกหกนั้นจะแนบเนียน
พอใช้ แต่ละคนก็รับทราบแล้วก็ไม่มีใครถามเขาด้วยภาษาอินโดนีเซียสักคำ
เนื่องจากทั้งเรือมันเป็นชาวพม่า !
“ก็คงแวะเที่ยวฮ่องกงก่อนล่ะ” ชางมินตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระดกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ
อึกเล็กๆ ความร้อนของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงพุ่งปราดไปตามหลอดอาหารเป็นทางทีเดียว
“นายมีวีซ่าฮ่องกงอย่างนั้นหรือ”
“ก็มีอยู่ล่ะ อาชีพฉันต้องไปโน่นมานี่บ่อย...” เขาตอบด้วยวาจาสัตย์จริงเป็นครั้งแรก
พลางนึกไปถึงการเดินทางสู่ฮ่องกงหนสุดท้าย ที่ต้องไปโปรโมตอัลบั้มที่สิบสาม Sweet Sins
ห่างจากครั้งนี้ราวครึ่งปี วีซ่าที่มีมันจะยังใช้ได้หรือเปล่า?
...แต่ไม่เป็นไร เอาไว้คิดเรื่องนี้ทีหลัง ชางมินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
...อย่างไรเสียฮ่องกงกับเกาหลีใต้ ก็เพิ่งลงนามสนธิสัญญาเป็นมิตรทางการค้าต่อกันไม่นาน
สนธิสัญญานั้นอนุโลมให้นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ พำนักในแต่ละประเทศได้นาน 10 วัน
โดยไม่ต้องขอวีซ่า ฉะนั้นเมื่อเขาถือหนังสือเดินทางของเกาหลีใต้อยู่ ก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
ที่พูดใส่ยุนโฮน่ะ มันก็แค่การแกล้งล้อเล่นตามประสาพี่น้องที่รักใคร่กันมากๆ เท่านั้น
...ทราบใช่ไหมครับพี่ชาย
“ดีจัง ฉันก็อยากจะไปให้พ้นๆ จากเรือประมงนี่เสียที”
ดูเหมือนความคิดที่ว่าอูขิ่นไม่เมาจะเป็นสิ่งที่ผิด เพราะอย่างไรเสียสิ่งที่อีกฝ่ายกรอกลงไปในคอนั้น
มันไม่ใช่น้ำเปล่าธรรมดา เพื่อนพม่าของเขาแค่สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ความจริงแล้วน่าจะมึนพอใช้
ถึงได้หลุดปากเกี่ยวกับความในใจออกมา
“นายจบอะไรมานะอูขิ่น”
“อักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ” บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ที่ชางมินทราบประวัติ
ตั้งแต่ในวันแรกๆ ของการขึ้นเรือ ตอบเสียงหนักๆ ในลำคอ
“แต่ทุกอย่างมันพังไม่เป็นท่า ก็เพราะรัฐบาลจากนรกนั่นทีเดียว ฉันกับเพื่อนแปลบทความ
ภาษาอังกฤษจากรอยเตอร์ลงในนิตยสาร แล้วกลายเป็นว่ารัฐบาลหาว่าบทความเรื่องเศรษฐกิจ
ของประเทศอเมริกา มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาลอย่างไรก็ไม่รู้ ฉันเลยต้องหนีตาย
หัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศมาเป็นชาวประมงอย่างนี้”
ชางมินพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ฟังชะตากรรมของอีกฝ่าย เขากับเพื่อนพม่า ต่างฝ่ายต่างก็มีปม
ในชีวิตกันคนละอย่าง ฝ่ายนั้นทนทุกข์กับการถูกกดขี่และปกครอง ราวกับไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จากเพื่อนร่วมชาติ ส่วนเขาเองก็ทุกข์กับงานและภาระที่โหมเข้ามา จนเมื่อยล้าทั้งกายและใจ
อูขิ่นหนีจากรัฐบาลพม่า ส่วนเขา...ชเวกังชางมิน...กำลังหนีตัวเอง
“ถ้าสักวันหนึ่ง ประเทศของนายกลับเป็นประชาธิปไตยได้คงจะดีนะ”
“ก็คงจะเป็นเวลาเดียวกับที่ เกาหลีใต้รวมกับเกาหลีเหนือมั๊ง” คำตอบปนด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
เสียดแทงใจ
อูขิ่นไม่ได้พูดเพราะระแคะระคายเรื่องของเขาหรอก ชางมินค่อนข้างแน่ใจ
เพียงแต่ฝ่ายนั้นแค่ยกเอาเรื่องตลกร้ายขึ้นมาพูดถึง เพื่อเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เขาบอกนั้น
แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องเพ้อฝัน ที่ไม่มีทางเป็นจริงและไม่มีวันเป็นจริงได้
ในโลกบูดๆ เบี้ยวๆ ใบนี้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาฉลองล่วงหน้าให้กับประชาธิปไตยในพม่า”
“และการประสานเป็นหนึ่งเดียวของเกาหลีเหนือใต้เถอะ”
แก้วใสๆ ที่บรรจุเหล้าถูกๆ สองใบถูกยกขึ้นมาชนกัน แล้วต่างคนต่างก็ยิ้มใส่เงาของตัวเอง
ในดวงตาของแต่ละฝ่าย
“อีกนานไหม กว่าจะถึงฮ่องกง”
“สักสองยามก็น่าจะถึง”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คงเป็นวันสุดท้าย ที่เราจะได้ก๊งเหล้ากันอย่างนี้แล้วสิ” ชางมินพูดด้วยรอยยิ้ม
เปื้อนหน้า
“นี่นายกำลังจะหาเหตุผล ในการกินเหล้าจนเมาพับล่ะสิ” อู่ขิ่นชี้หน้าว่าเพื่อนใหม่อย่างรู้ทัน
แล้วก็จัดแจงฉวยเอาเหล้าแบนขวดใหม่ ที่ยังไม่ได้แกะฉลากที่ฝาออก ยื่นส่งให้
“เมาพับ” คนรับเหล้าไปผิวปากแล้วร้องลั่น ส่วนคนที่ยื่นของให้นั้น ก็ประสานเสียงรับ
อย่างพรักพร้อม
“ไม่เมาไม่เลิกรา เว๊ย”
โทรศัพท์ถูกยกขึ้นกดเป็นรอบที่ร้อย แต่สัญญาณจากปลายสายก็ร้องบอกว่า
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ และก่อนที่มันจะพูดเป็นภาอังกฤษอีกครั้ง
ยุนโฮก็กระแทกฝาปิดลงอย่างฉุนขาด
เป็นอันว่า ไอ้น้องตัวแสบมันนกรู้ ชิงปิดโทรศัพท์หนีไปแล้ว
ชิชะ นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ รับรองเลยว่าไอ้ใบหูกางๆ นั่นจะถูกจับบิดขึ้นบิดลงเป็นสิบครั้ง
โทษฐานที่เอาแต่สร้างเรื่องปวดหัว เรื่องวุ่นวายมาให้ไม่มีหยุดหย่อน
แล้วจะเอายังไงดี...ยุนโฮถามตัวเอง ขณะปรายสายตามองไปที่หนุ่มสาวสองคน
ที่กำลังสร้างโลกส่วนตัวของสองเราอยู่
และอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก ชายหนุ่มก็ขยับพาร่างสูงๆ ของตัวเอง
แหวกดงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและใบสีเขียวสด เข้าไปนั่งปุข้างๆ แจจุงอย่างไม่มีการอารัมภบท
หรือเกริ่นนำใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจากนั้นก็จัดแจงแนะนำตัวเองทันที
“สวัสดีครับ ชองยุนโฮครับ”
นอกจากแจจุงจะอ้าปากค้างอย่างน่าขันแล้ว ก็ไม่เห็นว่าคุณหลินของเพื่อนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ใบหน้าเล็กๆ ที่ล้อมกรอบด้วยเส้นไหมสีดำสนิท เงยขึ้นมองแล้วก็คลี่ยิ้มให้
เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่จู่ๆ จะมีคนแปลกหน้าเข้ามาหาและพูดแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณชองค่ะ...” ดูเหมือนท้ายประโยคจะมีบทสนทนาในทำนอง ดีใจที่ได้พบกัน
อะไรเทือกนั้นตามมาด้วย แต่เขาไม่ทันฟังให้ถนัด ก็โดนเจ้าเพื่อนซี้ล็อคคอ
ลากเข้ามาใกล้ตัวเสียก่อน
“ไอ้คุณยุนโฮ” เสียงแจจุงกระซิบข้างหูเบาๆ อย่างระวังเสียงเต็มที่ แต่ไอ้ที่ไม่มีการยั้งเลย
และยังดังแซงหน้าเสียงพูดไปไกลโข คือเสียงขบกรามกรอดอย่างแค้นจัด
“นายดันโผล่มาทำอะไรที่นี่วะ”
“อ้าว ฉันก็อยากจะรู้จักคุณหลินบ้างสิ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ความดังพอประมาณ...ประมาณ
ว่าคุณหลินได้ยินพอดิบพอดี
“เพื่อนคุณคิมหรอกหรือคะ” หญิงสาวเหลียวไปทางแจจุง และเพื่อนเขาก็เปลี่ยนเสียงได้รวดเร็ว
ราวจิ้งจกเปลี่ยนสี จากที่เข้มข้นปานจะทึ้งร่างเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มันก็กลายเป็นทุ้มนุ่มไปได้
“ครับ เพื่อนรักเลยทีเดียว”
อืม...คำว่าเพื่อนรัก ถ้าลดเสียงกัดฟันกรอดๆ ลงอีกหน่อย มันจะแนบเนียนพอใช้กว่านี้นะแจจุง
“ผมเห็นเพื่อนเล่าเรื่องคุณหลินให้ฟังทุกวัน จนอยากมาพบหน้าบ้าง” ยุนโฮใส่สีตีไข่เข้าไป
อย่างนึกสนุก ทั้งที่ความจริงแล้ว แจจุงเล่าเรื่องคุณหลินให้ฟังแค่วันแรก จากนั้นก็ปิดปากเงียบสนิท
ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรอีก ทำเหมือนกับไม่ใช่คิมแจจุงเพื่อนช่างพูดของเขา
หึ หึ บอกแล้ว...มันเป็นพฤติกรรมอปกติสุดๆ ที่สมควรจะต้องสืบสาวราวเรื่องโดยด่วน
ไม่รู้ว่าคนรับสารจะตีความไปถึงไหน คิดอย่างที่เขาต้องการจะให้คิดหรือเปล่า
แต่ก็เห็นล่ะว่าใบหน้าของหญิงสาวนิ่งเฉยมาก เหมือนกับเรื่องที่เพิ่งผ่านหูไป เป็นแค่บทสนทนา
เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศอย่างสามัญ ท่าทางสะเทิ้นอายหรือหน้าแดงสักนิดก็ไม่มีให้เห็น
ซึ่งผิดไปจากแจจุงลิบลับ รายนั้นหน้าเริ่มเปลี่ยนสี จากขาวเป็นแดง แล้วจากแดง
มันก็เริ่มจะเป็นสีเขียวจัดพอๆ กับสายตาอาฆาตที่สาดมาที่ยุนโฮ
แน่นอนว่าไม่ใช่จากความเขินอายหรอก แต่เป็นจากความโกรธจัดล้วนๆ โกรธแล้วหาวิธีระบายออก
ด้วยการใช้กำลังเหมือนเคยไม่ได้ต่างหาก
...ไอ้โกหก... เพื่อนของเขาชูกำปั้นเร่าๆ แล้วก็ทำปากพะเยิบพะยาบใส่ อ่านได้ว่าอย่างนั้น
...แต่จะใส่ใจอะไรกับคนบ้า ยุนโฮว่าพลางมองเมินผ่านใบหน้าที่พองลม เพราะความโกรธ
ของแจจุงไปยังคุณหลิน
“เพื่อนผมเขาบอกว่าคุณหลินเล่นเปียโนเพราะมาก”
“ฉันเล่นได้ตามมาตรฐาน เท่าที่ซ้อมมานะค่ะ ไม่ได้เลิศเลออะไรถึงขนาดนั้น”
เป็นปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายอีกประการหนึ่งจากหญิงสาว ปกติผู้รับคำชมทั่วไป
น่าจะยิ้มรับแล้วขอบคุณ หรือไม่ก็กล่าวถ่อมตัวอย่างนอบน้อม แต่ผู้หญิงคนนี้กลับบอกออกมาตรงๆ
ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ !
เมื่อซ้อมมาดี ก็ย่อมเล่นได้ดี...ความหมายของมันคืออย่างนั้น
เจอคำตอบแบบนี้เข้า คนที่เคยมั่นอกมั่นใจเรื่องการสนทนาและมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างยุนโฮ
ก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน นึกเข้าใจแจจุงขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่า ทำไมถึงได้มีท่าทีแปลกๆ
ตอนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้
ก็เพราะปฏิกิริยาเกินคาดพวกนี้อย่างไรเล่า ถึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
“แต่ก็เพราะนะครับ” ความพยายามเฮือกสุดท้ายของยุนโฮ คือการกล่าวคำพูดชมเชยอีกฝ่าย
เพื่อต่อบทสนทนาที่ขาดตอนไป แต่เขาก็รู้ว่ามันห่วยแตก จนแม้แต่ตัวเองยังกระดากปาก
ที่พูดเรื่องแย่ๆ พวกนี้ออกไป และไม่ต้องสงสัยเลย ว่า ทำไมแจจุงถึงหยักยิ้มพรายในหน้า
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากปากเพื่อน
ไอ้หมอนี่ก็รู้เท่าๆ กับที่เขารู้นั่นล่ะ ว่าคำชมแบบนี้เป็นอะไรที่ชองยุนโฮเกลียดที่สุด
ชมไปเรื่อย ชมอย่างไร้สติ ชมทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังผลงานมาก่อนเลย
สักแต่ว่าชม! เกลียดนัก
...รู้ว่าไม่ดี แล้วทำไมถึงยังกล้าพูดออกมา? ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของแจจุงที่จ้องเป๋ง
เหมือนกับจะส่งคำถามนั้นลอยมากับรอยยิ้มมุมปาก
และยุนโฮก็ถลึงตาตอบกลับไปในทำนองว่า ...ก็คิดไม่ออกนี่หว่า
...จนมุมล่ะซิ... เพื่อนซี้ยังเซ้าซี้มาไม่เลิก แถมมีการจิ้มตรงแก้มป่องๆ ทำกุ๋ยๆ ใส่อีกต่างหาก
...เออ จนมุม... คนขี้เก๊กยอมรับอย่างสิ้นท่า ก่อนจะแลบลิ้นใส่หน้าเพื่อน เพื่อแก้แค้นเสียทีหนึ่ง
ท่ามกลางสงครามทางสายตา ที่เริ่มจะกลายเป็นสงครามการทำหน้าตาประหลาดใส่กัน
อย่างดุเดือดของสองหนุ่ม หญิงสาวคนเดียวในวงสนทนา กลับไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นในความเงียบนั้นเลย เธอยังคงก้มหน้าแล้วก็ย่นคิ้วเข้ากันน้อยๆ เหมือนกับ
กำลังไตร่ตรองในบางสิ่งบางอย่าง จนกระทั่งข้างตัวเริ่มจะมีเสียงตุ้บตั้บ
แว่วผ่านประสาทหูเข้ามาให้ได้ยิน คุณหลินจึงได้เงยหน้าไปทางยุนโฮ แล้วถามคนพูดกลับ
ด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ว่า
“คุณชองได้ฟังฉันเล่นเปียโนแล้วหรือคะ”
แจจุงชะงักหมัดที่กำลังฟาดใส่บ่าของเพื่อนทันที สองคนหันมามองหน้ากันอย่างอึ้งปนทึ่ง
แล้วก็เป็นแจจุงที่พ่นเสียงหัวเราะดังพรืดออกมาก่อน ตามด้วยเสียงก๊ากลั่นของยุนโฮติดๆ
...ตอบได้ใจจริงๆ สาวน้อย สมควรอย่างยิ่งแล้ว ที่จะไปเป็นประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของดงบังชินกิ
เพราะพอเจอคำชมประเภทนี้ทีไร ไม่ยุนโฮก็แจจุงนี่ล่ะ ที่จะต้องบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย
ในทำนองนี้ออกมาทุกครั้ง
แหม อยากตอกหน้าคนพูดได้อย่างนี้ชะมัด
“ฉันพูดอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่าคะ” เสียงถามอย่างตกประหม่า และเมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ
ที่หันซ้ายหันขวาอย่างกังวลนั่นแล้ว มันก็ช่วยไม่ได้เลยที่จะทำให้ยุนโฮ
นึกไปถึงน้องสาวของตนเองขึ้นมา
เขาทอดสายตามองฝ่ายนั้นอย่างเอ็นดู แล้วก็ตัดสินใจทำอย่างที่ใจปรารถนา
ด้วยการเอื้อมมือไปลูบผมของหญิงสาวเบาๆ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ไม่หรอกครับ ผมเพียงแต่รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่พูดได้ตรงมาก คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น
พวกเราสองคนอยากจะพูดให้ได้สักครึ่งอย่างที่คุณพูด”
คุณหลินไม่ได้ตอบกลับ ดูเหมือนเธอจะชะงักตั้งแต่ที่ฝ่ามือของชายหนุ่มทาบที่ศีรษะแล้ว
ดวงตาสีเทาเบิกโพลงชั่วขณะหนึ่ง และด้วยการบังคับตัวที่ดีพอใช้ หญิงสาวจึงเกลื่อนมันเอาไว้
ใต้รอยยิ้มบางๆ ในหน้า
ทว่ากริยานั้น ก็ไม่พ้นสายตาจับสังเกตของยุนโฮไปได้
“ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนมากนักหรอกค่ะ ปกติแล้วจะคุยกับลาเต้” เจ้าสุนัขนำทางสีดำผงกหัวขึ้นมา
นิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงขานชื่อตนเองจากผู้เป็นนาย แต่เมื่อไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม มันก็เกยศีรษะตนเอง
ลงกับขาหน้าอีกครั้ง
“ก็เลยติดนิสัยที่คิดอะไรออกมา ก็จะพูดออกไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ไตร่ตรองว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร
ถ้าทำให้คุณลำบากใจกับมันฉันก็ขอโทษด้วย คราวหลังฉันจะพยายามระมัดระวังตัวมากกว่านี้”
“ไม่หรอกครับ ไม่ต้องเลย” ยุนโฮรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ไม่นึกเหมือนกันว่าแค่เสียงหัวเราะ
ของตัวเองนิดเดียว จะทำให้อีกฝ่ายคิดไปได้ไกลถึงขนาดนั้น
“ผมแค่ขำ ที่คุณเหมือนกับแจจุงไม่มีผิด” พูดออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ทำหน้าเหรอหรา
ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากเหมือนกับจะนึกอะไรได้
“อ่า แจจุงฉันขอโทษ” ยุนโฮว่าเสียงอ่อย แต่ประกายยิบยับในดวงตาเรียวยาว
ไม่ได้มีส่วนไหนบ่งบอกเลยว่า เจ้าตัวสลดดังคำขอโทษที่พูดออกไป มันยังเต้นระยิบระยับ
เหมือนจะฟ้องว่า เจ้าของดวงตาคู่นี้ ยินดีอย่างยิ่งยวดในสิ่งที่เพิ่งเอ่ยคำขอโทษออกไปต่างหาก
“แจจุง?” หญิงสาวคนเดียวทวนคำเสียงเบา
“ชื่อของ‘คุณคิม’อย่างไรละครับ” ยุนโฮรีบตอบออกมา โดยไม่ใส่ใจกับสีหน้าเหมือนกับ
กำลังจะฆ่าคนของเพื่อน
“ชื่อเต็มๆ คือคิมแจจุง”
“เกาหลีหรือคะ” เธอว่าอย่างนั้นแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักกับตนเอง
“ดีจัง ฉันไม่เคยมีเพื่อนเป็นชาวเอเชียเลย”
ก็แค่นั้น ไม่มีวี่แววการจำได้ว่าคิมแจจุงเป็นใคร ชื่อคุ้นหูแค่ไหน
และคิมแจจุงคนนี้ทำงานทำการอะไร
คุณหลินพอใจในส่วนที่เธอได้รู้ โดยไม่มีความสนใจอยากรู้ในสิ่งที่นอกเหนือไปจากนี้แม้สักนิด
...ประหลาดพอกันกับเพื่อนของเขา
“แล้วชื่อคุณหลิน ที่เขียนเป็นภาษาจีนอ่านว่าอย่างไรหรือครับ” ชายหนุ่มรีบรุกต่อ
เมื่อสบโอกาสเหมาะ
มันไม่มีเวลาไหนที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเรารู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ก็เป็นมารยาทอันดี
ที่จะแจ้งชื่อของตนเองกลับไป จริงไหม?
“ฉันนึกว่าพวกคุณอ่านภาษาจีนออกเสียอีก” เธอว่าด้วยเสียงปนหัวเราะ
“เห็นพูดภาษาจีนได้เป็นไฟอย่างนั้น”
ฟังคำตอบนั้นแล้ว ยุนโฮได้แต่ส่ายหน้าให้กับความเขลาปนซื่อบื้อของตนเอง
ไม่ใช่ว่าคุณหลินจงใจไม่บอก...เพียงแต่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะทราบ ตั้งแต่เห็นที่หน้ากล่องบลูเรย์
นั่นต่างหาก
“ไป่หนิงค่ะ หลินไป่หนิง ชื่อของฉันแปลว่าสันติภาพสีขาว”
เป็นชื่อที่ดีและไพเราะสมกับเจ้าตัวอย่างยิ่ง ร่างเล็กๆ ในชุดสีขาวสะอาด ต้องแสงแดดอ่อน
เป็นประกายรังรอง ดูนุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อยๆ
แต่ด้วยอะไรสักอย่างที่สะท้อนในน้ำเสียงไพเราะนั้น ที่ทำให้ยุนโฮต้องขมวดคิ้วอย่างสะดุดใจ
...เหมือนกับมีรอยหยันหยามบางๆ ในเนื้อเสียงใส
...รอยร้าวบนแก้วเจียระไนเนื้อดี
ยุนโฮขยับปากจะถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายต่อ แต่แล้วด้วยอะไรสักอย่างที่เปียกๆ หนืดๆ
ข้างใบหน้าด้านซ้าย ก็ทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองข้างตัว
แรกสุด ชายหนุ่มคิดว่าเป็นเจ้าลาเต้ของคุณหลิน ที่ย่องมางับบ่าเขาเล่นแก้เซ็ง
แต่เมื่อหันหน้ากลับไปเห็นต้นเหตุ เขาก็ถึงกับผงะ เพราะไอ้ใบหน้าที่ควรจะมีขนสีดำสนิท
ขึ้นปกคลุมเยี่ยงสุนัข กลับกลายไปเป็นใบหน้าจ้ำม่ำ ที่ล้อมกรอบด้วยหลอดผมสีน้ำตาลอ่อน
ไปได้อย่างไรก็ไม่รู้
และไอ้ที่เหนียวๆ หนืดๆ ที่สัมผัสได้บนใบหน้าและไหล่ข้างซ้ายนั้น ก็มาจากน้ำลายยืดยาว
ของเจ้าตัวเล็ก ที่กำลังเอาคางมาพาดไว้บนบ่าของเขาอย่างเหมาะเจาะ เหมือนกับท่าหนุนหมอน
ที่แจจุงชอบใช้บริการบ่อยๆ ไม่มีผิด เพียงแต่ในคราวนี้คนใช้บริการเป็นเด็กแก้มยุ้ย
หน้าตาบ้องแบ๊ว อายุไม่เกินสองปีเป็นอย่างมาก แล้วก็ดูเหมือนกับว่า
เด็กนี่จะคิดว่าเขาเป็นของเล่นไปเสียแล้ว!
“ยังไม่มีแจ้งเรื่องเด็กหายเลยครับ” นายตำรวจร่างอ้วน เจ้าของหนวดเฟิ้มเหนือริมฝีปาก
พลิกดูเรื่องร้องเรียนที่เขียนบันทึกเอาไว้ยาวเป็นหางว่าว ซ้ำๆ ไปมา
“ไม่มีจริงๆ นะครับ”
“แล้วผมจะทำยังไงดีกับเจ้าหนูนี่ล่ะ” ยุนโฮถามพลางบุ้ยหน้ามายังเจ้าตัวเล็ก
ที่ถูกอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน และบัดนี้ก็เริ่มจะยึดไหล่และอกของเขาเป็นเปลนอนไปเรียบร้อยแล้ว
“คงต้องฝากเอาไว้กับคุณก่อนละครับ” คนตอบตอบอย่างหนักใจ พอๆ กับคนอุ้มเด็ก
และคนที่มาเป็นเพื่อนยังสถานีตำรวจ
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่ถูกชะตาอะไรกับยุนโฮนัก ตั้งแต่เดินเตาะแตะมาแล้ว ก็มาอิงอาศัยกับบ่า
ของชายหนุ่มเหมือนหลักเกาะเดิน แถมยอมให้ยุนโฮอุ้มดิบดี แต่พอจะเปลี่ยนมือคนอุ้มเท่านั้นล่ะ
เป็นได้กรีดร้องเร่าๆ ราวถูกทำร้าย แหกปากตะเบ็งเสียงดังลั่น ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้
ได้ทั้งนั้น ยกเว้นร่างสูงๆ ของชายหนุ่ม เจ้าของดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคนนี้คนเดียว
จนแม้แต่ตำรวจซึ่งพยายามจะแยกเด็กส่งให้กับเจ้าหน้าที่ ที่รับเรื่องนี้โดยตรง
ยังต้องออกปากยอมแพ้กับเจ้าหนู
“แต่ผมพูดกับเขาไม่รู้เรื่องเลยสักคำเดียวนะครับ” ยุนโฮว่าเสียงอ่อย หลังจากหลอกถามหลายเรื่อง
หนุ่มน้อยแก้มกลมยังกะกระติก ก็เอาแต่ส่งภาษาต่างดาวเข้าใส่ลูกเดียว
“เพิ่งเริ่มหัดพูดก็อย่างนี้ล่ะคุณ” ท่าทางคนตอบคงจะมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กมากกว่า
เลยให้คำปลอบได้อย่างคนเจนประสบการณ์
“แล้วครอบครัวคงจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักด้วย เลยยิ่งเข้าใจกันยากไปใหญ่
แต่ไม่เป็นไรนะครับ ผมดูหน่วยก้านแล้วคุณก็ดูรักเด็กและดูแลเด็กได้ดี”
คนที่ถูกชมว่าหน่วยก้านดีทำหน้าเบ้ พลางหอบหิ้วสัมภาระชิ้นใหญ่ที่เกาะติดหนึบกับแผงอกตัวเอง
เดินตามร่างอวบท้วมไปอีกฟากหนึ่งของที่ทำการ ตรงนั้นมีบริการของศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
และเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
พอไปถึง นายตำรวจคนนั้นก็ชี้นิ้วสั่งงานเจ้าหน้าที่เป็นชุด
“มาเรีย คุณช่วยจัดนม อาหารเสริม ผ้าอ้อมสำเร็จรูป แล้วก็เสื้อผ้าสำหรับเด็กให้คุณสองคนนี่
สักสี่ชุดนะ ผมคาดว่าไม่เกินวันพรุ่งนี้คงจะสืบหาตัวพ่อแม่เด็กได้ครับ” ท้ายประโยค
นายตำรวจหันมาบอกกับผู้ชายเอเชียสองคนเป็นเชิงให้กำลังใจ
ยุนโฮนั้นหน้าซีดตั้งแต่ที่ยินคำว่าขอฝากเด็กเอาไว้แล้ว เขามีอาการเหมือนน้ำท่วมปาก
จะปฏิเสธความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้าตัวน้อยที่เก็บมาได้ ก็พูดไม่ออกด้วยความรักและสงสารเด็ก
แต่อีกใจหนึ่งที่รักและสงสารตัวเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็กำลังร้องโอดโอยลั่น
ก็เขาน่ะเคยเลี้ยงเด็กอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที่ไหนกันเล่า ถึงจะรักเด็กแค่ไหน
แต่ชีวิตของยูโนว์ ยุนโฮ ก็มีแต่งาน งาน งาน แล้วก็งาน ที่เป็นการร้องเพลงแล้วก็เต้นล้วนๆ
ยี่สิบสี่ชั่วโมง เด็กที่เจอก็คือเด็กที่ต้องทำงานด้วยกัน หรือถ้าไม่เป็นเช่นนั้น
ก็เป็นลูกของสต๊าฟที่มีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ
อย่างดีที่สุดที่เขาเคยทำ คือเล่นกับเด็กแล้วก็อุ้มเด็ก
เป็นพ่อใครก็ยังไม่เคยเลย แล้วที่ต้องมาจับพลัดจับผลู เป็นพี่เลี้ยงเจ้าหนูนี่ทั้งวันก็แย่แล้ว
ยังจะต้องดูแลคืนนี้ทั้งคืนและพรุ่งนี้ทั้งวันอีกหรือ ?
พระเจ้าครับ...ผมแค่หนีมาเที่ยว โบ้ยงานเอาไว้ให้พี่นัมอุนซูจัดการแค่นิดหน่อยเท่านั้น
ผมไม่ได้ฆ่าคนหรือทำร้ายใครเลย ท่านถึงกับต้องลงโทษสถานหนักอย่างนี้เลยหรือครับ ?
“แต่ถ้าตามหาพ่อแม่ได้ ตั้งแต่คืนนี้ก็เยี่ยมไปเลยฮะ” แจจุงที่เงียบเสียงเหมือนเป็นใบ้
ตั้งแต่แรกเจอเจ้าตัวเล็ก บ่นงึมงำในคอ พลางยกนิ้วขึ้นจิ้มที่แก้มยุ้ยๆ ซึ่งยังมีคราบน้ำตา
เปรอะเปื้อนของเด็กชายเบาๆ
“ถ้าเจ้าหนูยังแหกปากลั่นเหมือนเมื่อตอนเย็นอีก มีหวังผมสองคนได้ถูกเตะโด่งออกมาจาก
โรงแรมแน่”
“ไม่เป็นไรครับ โรงพักของเรายังมีที่ว่างให้บริการ” นายตำรวจชี้นิ้วไปทางกรงขังอย่างติดตลก
แล้วก็แบมือขอเอกสารประจำตัวชายหนุ่มทั้งสองคนมาทำสำเนาเก็บไว้
“พักที่โรงแรมอะไรนะครับ”
ยุนโฮตอบชื่อโรงแรมพร้อมกับหมายเลขห้องพัก ให้กับเจ้าหน้าที่ มือข้างหนึ่งก็ช้อนใต้สะโพก
เจ้าหนูแนบไว้กับอก ส่วนข้างที่เหลือก็ตบเบาๆ ที่หลังในลักษณะเห่กล่อม ปล่อยให้แจจุง
ล้วงหนังสือเดินทางจากกระเป๋ากางเกงของเขา ยื่นส่งให้นายตำรวจ
“โอ้โห เป็นนักเดินทางหรือว่านักข่าวครับนี่” นายตำรวจร้องครางออกมา
เมื่อเจอเข้ากับหนังสือเดินทางหนาปึ้ก ชนิดต่อกระดาษแล้วต่อกระดาษอีกของสองนักร้องดัง
และเป็นแจจุงที่รีบกลบเกลื่อนไปก่อนด้วยคำพูดว่า “ก็ทำนองนั้นครับ”
“ผมว่าคุณสองคนนี่หน้าตาคุ้นๆ นะ” ผู้สูงวัยกว่าทำหน้าติดใจ พร้อมกับเพ่งมองเอกสารในมือ
สลับไปมาระหว่างของแจจุงกับของยุนโฮ
ลีดเดอร์แห่งดงบังชินกินึกอะไรไม่ออกแล้ว พลังงานของเขาใช้ไปจนหมด กับการกล่อม
ให้เจ้าตัวเล็กฤทธิ์มาก ให้ผ่อนเสียงร้องกรี๊ดๆ ลง แล้วนอนหลับเสียที ฉะนั้นเท่าที่ทำได้ในเวลานี้
คือปรายสายตาว่างเปล่ามาทางเพื่อนสนิท เพื่อขอความช่วยเหลือโดยด่วนที่สุด
แจจุงมีสีหน้าลำบากใจแว่บหนึ่ง ก่อนจะทำปากยื่นอย่างเวลาที่ใช้ความคิดหนักๆ
ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปทางโน้นทีทางนี้ที และจากนั้นก็ดูเหมือนกับจะมีความคิดบางอย่าง
บรรเจิดขึ้นมาใต้กะโหลกสวยๆ ที่ปกคลุมไปด้วยผมสีทอง เขาเปิดยิ้มกว้างให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แล้วก็ตอบออกไปอย่างฉะฉานว่า
“อ๋อ เราสองคนศัลยกรรมใบหน้า ตามนักร้องที่กำลังดังอยู่นะครับ”
“หา !”
คราวนี้ไม่เพียงแต่ยุนโฮที่ร้องครางออกมาอย่างสิ้นท่า กระทั่งตำรวจนายนั้นก็อ้าปากค้าง
ทำตาถลน จ้องมาที่คนพูดราวกับไม่เชื่อประสาทหูตนเอง
คนที่อุ้มเด็กอยู่ ค่อยๆ เอนร่างพิงกับผนังห้องอย่างหมดแรง นึกเห็นอนาคตข้างหลังลูกกรง
ของตนเองลอยมารำไร
ว่าแล้วว่า...การปล่อยให้แจจุงพูดอะไรออกไปโดยไม่เตี๊ยมกันก่อน มันเป็นหายนะชัดๆ
แล้วนี่ตำรวจจะไม่คิดว่า เขาสองคนเป็นอาชญากรข้ามชาติ ที่จงใจปลอมตัว
หนีการจับกุมของทางการหรอกหรือ
“โอ๊ะ ใช่แล้วดงบังชินกิ” เจ้าหน้าที่หญิงที่จัดเตรียมเสื้อผ้าเด็กอยู่ หันขวับมามองเขาสองคน
ตามคำพูดของแจจุง แล้วจากนั้นก็ดีดนิ้ว อุทานเสียงดัง ด้วยความระลึกได้
“น้องสองคน เขาศัลยกรรมหน้าให้เหมือนกับนักร้องวงดงบังชินกิ น่ะจ่า”
“ใครนะ ?” จ่าที่รู้จักแต่นักมวยปล้ำชื่อดังในตำนานอย่าง ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ หรือ ดิอันเดอร์เทคเกอร์
ถามกลับด้วยความงงงวย ...ชื่อวงอะไรวะ ประหลาดพิลึก
“บอยแบนด์เกาหลี ที่ดังมากๆ นั่นไง คนนี้ฮีโร่ ส่วนคนนี้ยูโนว์” แฟนพันธุ์แท้ดงบังชินกิ
ชี้หน้าแถมระบุชื่อของสองหนุ่มได้ถูกต้องเสียด้วย
“ว่าแต่น้องไปทำหน้ากับหมอที่ไหนมาล่ะเนี่ย” เธอเดินเข้ามาช้อนหน้าของแจจุง
หันซ้ายหันขวาอย่างพินิจ มองไล่ไปแต่ละส่วนของใบหน้า จากตาไปจมูก จากจมูกไปปาก
แล้วก็วกกลับมาที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตของแจจุงอีกครั้ง
“เหมือนมากเลยน้อง แต่ตานี่นะ พี่ว่าของแจจุงเขาหวาน แล้วก็โตกว่านี้อีกหน่อย”
“หมอเขาก็ทำเต็มที่ได้แค่นี้ล่ะพี่” คิมแจจุงตอบแฟนคลับของยองอุงแจจุงออกไป ด้วยน้ำเสียงขันๆ
ดูเหมือนกับคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้น จะเป็นคำรับรองที่หนักแน่นพอใช้
นายตำรวจร่างอ้วนโคลงศีรษะ บ่นเรื่องความบ้าดาราของเพื่อนร่วมงานเบาๆ
แล้วก็ส่งหนังสือเดินทางคืนให้กับทั้งสองคน อย่างไม่ติดใจซักถามอะไรอีก
แจจุงรับกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุของใช้เด็กอ่อนมา จากนั้นสองหนุ่มก็เดินโซเซกลับโรงแรมไป
ด้วยท่าทางสะโหลสะเหลใกล้จะล้มพับเต็มที
หากเรื่องวุ่นวายทั้งหมด มันยังไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น เพราะจู่ๆ เจ้าตัวเล็กที่หลับอุตุอย่างสิ้นฤทธิ์
ก็มีอันแผดเสียงร้องแปดหลอดลั่นถนนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และพร้อมกันนี้ยุนโฮก็รู้สึกถึง
สายน้ำอุ่นวาบ ที่ไหลจากบริเวณอกของเขา ลงไปที่ท้อง แล้วก็กางเกงที่สวมอยู่จนชุ่มโชก
“แจจุง” ชายหนุ่มร้องเรียกเพื่อนที่เดินอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงจวนเจียนจะร้องไห้
“หือ?”
“ทำยังไงดี เจ้าหนูนี่ฉี่ใส่ฉันล่ะ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น