ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Hug...อ้อมกอดดวงดาว

    ลำดับตอนที่ #6 : 5th step:: UnderCurrent :: [Yunho+Jejung+Changmin]

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 53













    ถ้าคิดว่าพฤติกรรมของแจจุงเมื่อคืน ประหลาดและสร้างความอัศจรรย์ใจให้กับยุนโฮมากพอแล้ว
    แต่พอมาถึงเช้าวันนี้ ไอ้สิ่งที่เคยคิดว่าแปลกแปร่งนั่น กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปในทันที
    ที่ต้องเผชิญหน้ากับแจจุงมาดใหม่



    มันเริ่มต้นด้วยเสียงร้องดัง…ติ๊ด…สั้นๆ แค่ครั้งเดียวจากนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง หากก่อนที่ยุนโฮ
    จะได้พลิกตัว เอื้อมมือไปกดปิดเสียงปลุกอย่างที่เคยทำมาเป็นกิจวัตร เสียงร้องนั้นก็เงียบลงเสียก่อน
    ด้วยฝีมือของเพื่อนร่วมห้อง ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะได้ตื่นขึ้นมากดนาฬิกาปลุกเลยสักครั้ง คนนั้น



    แล้วมันก็ตามด้วยเสียงสวบสาบและเสียงน้ำไหลซะซ่าอย่างต่อเนื่อง ดังอยู่ครู่เดียว ก่อนที่บานประตู
    ห้องน้ำจะเปิดออกด้วยเสียงออดแอด



    ทุกอย่างอยู่ในความเงียบที่สงัดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเสียงค้นของกุกกักปลายเตียงเบาๆ แล้ว
    จากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นที่ส่งเสียงขึ้นมาได้เลย กระทั่งเสียงปิดประตูที่มักจะเกิดการพลั้งมือกระแทก
    ดังบ่อยๆ ตามวิสัยผู้ชาย แจจุงคนนี้ก็ยังอุตส่าห์งับมันเบาๆ ก่อนจะออกไปจากห้อง



    และทันทีที่ประตูปิดลง ดวงตาเรียวของยุนโฮก็เปิดขึ้นมาในทันที มันไม่มีวี่แววงัวเงียอย่างคนที่เพิ่ง
    จะตื่นนอนปรากฏแม้น้อยนิด สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววสงสัยใคร่รู้อย่างเต็มเปี่ยม และถึงแม้ว่า
    สายตาของเขาจะจับจ้องไปที่บานประตูแน่วนิ่ง แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าความสนใจของตนไม่ได้อยู่ที่นั่น
    เลย มันพะวงอยู่กับคนซึ่งเพิ่งจะก้าวพ้นออกไปจากห้องคนนั้นต่างหาก



    เอาล่ะด้วยความจริงแท้ในใจ แม้ว่าแจจุงจะเป็นคนตื่นง่าย ปลุกง่ายกว่ายูซอนก็ตาม แต่มันก็เป็น
    โอกาสแสนยากเข็ญราวหนึ่งในล้านทีเดียว ที่จะได้เห็นแจจุงตื่นขึ้นมา ก่อนเสียงนาฬิกาปลุก
    จะแผดร้องสนั่นหวั่นไหว



    ตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันเป็นสิบปี ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแค่สองครั้ง หนึ่งในนั้นคือตอนที่
    แจจุงเล่นเกมส์โต้รุ่ง แล้วกดปิดเสียงนาฬิกาเพื่อจะเข้านอนตอนเช้า และสองคือเอาเท้าฟาดไปโดน
    นาฬิกาโดยบังเอิญ



    ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม และมันแปลกตรงที่แจจุงกระทำลงไปอย่างมีสติสมบูรณ์พร้อมเสียด้วย



    แถม...ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิด เงยหน้าขึ้นดมกลิ่นหอมที่ยังกรุ่นฟุ้งอยู่ในห้อง...แจจุงใช้น้ำหอมยี่ห้อ
    โปรด สุดรักสุดหวงขวดนั้น น้ำหอมราคาแพงลิบที่บริษัทประกาศเลิกผลิตเมื่อปลายปีที่แล้ว น้ำหอม
    ที่เจ้าตัวสงวนไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ



    สรุปได้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ



    ยุนโฮพยักหน้ากับตัวเองเมื่อครุ่นคิดจนได้ข้อสรุปข้อนี้ แต่ก็ด้วยข้อสรุปเช่นนี้อีกเช่นกัน ที่ทำให้
    ความสงสัยในใจถาโถมอย่างท่วมท้นตามมาอีกระลอกว่า...แล้วสิ่งที่แจจุงกำลังจะทำและคิดจะทำ
    ต่อไปอีกล่ะ...คืออะไร?



    ตามธรรมดาแล้ว เขาค่อนข้างจะเคารพเรื่องส่วนตัวของเพื่อนและน้องๆ ในวงมากทีเดียว ยึดหลักว่า
    แต่ละคนก็ย่อมต้องการโลกส่วนตัว สำหรับคิดใคร่ครวญและเก็บเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ ดังนั้นถ้า
    ไม่มีการมาขอคำปรึกษาหรือพูดคุยจากเจ้าของเรื่องโดยตรง ถึงแม้จะรู้ตื้นลึกหนาบางมามากแค่ไหน
    หรือได้ข่าววงในมาอย่างไรบ้าง ยุนโฮก็ไม่คิดที่จะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร



    แต่กับกรณีนี้ มันกลับเป็นเรื่องพิเศษที่แตกต่างอย่างยิ่งยวด อะไรสักอย่างในตัวของเขา มันกำลังสั่น
    กระดิ่งเตือนภัยดังระงม ท่าทางที่แปลกๆ ของแจจุง การกระทำลับๆ ล่อๆ พวกนั้น...



    แม้ใจหนึ่งจะร้องเตือนว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน ไม่สมควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่อีกใจที่มีเสียงดัง
    กว่า มันตะโกนให้ลั่นว่า เพราะเป็นเพื่อนนะสิ ถึงต้องรู้เรื่องราวให้มันดีกว่านี้ จะได้ช่วยเหลือกัน
    หรือคิดอ่านหาทางแก้ปัญหา



    สองเสียงโรมรันกันเป็นพัลวันในสมอง ผลัดกันรับผลัดกันรุกด้วยเหตุผลอย่างเต็มเปี่ยม แต่ในท้ายที่
    สุดแล้ว มันก็ไปจบลงอย่างง่ายๆ ตรงที่ยุนโฮ มองเห็นแต่คำว่าอยากรู้ อยากรู้ อยากรู้ ล่องลอยอยู่
    เต็มไปหมด



    เขายอมแพ้ให้กับความอยากรู้ถึงขีดสุดของตนเองแล้ว



    ชายหนุ่มสลัดผ้าห่มออก แล้วรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องน้ำทันที บอกกับตัวเองว่า ขอไปแอบดูหน่อย
    เถอะ ว่าแจจุงกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็คิดจะทำอะไรต่อไป สัญญาเลยว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย
    เรื่องส่วนตัวของเพื่อนเป็นอันขาด



    เขาล้างหน้าอย่างเร็วและอาบน้ำลวกๆ ไม่มีเวลามาพิถีพิถันร้องเพลงหรือซ้อมเต้นในห้องน้ำเหมือน
    เคย ส่วนเสื้อผ้าคว้าอะไรจากกระเป๋าได้ ก็สวมมันไปทั้งอย่างนั้น



    ฉวยกระเป๋าเงินมือหนึ่ง โทรศัพท์อีกมือหนึ่ง แล้วก็คว้าคีย์คาร์ดพุ่งออกไปจากห้อง



    ในสมองไม่มีความคิดอย่างอื่น นอกไปจากการกระทำแปลกๆ พฤติกรรมแปลกๆ ที่อธิบายได้ยาก
    ของเพื่อนสนิท



    อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ต้องรู้ให้ได้ล่ะ ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมอปกติของแจจุงในครั้งนี้



    จะใช่ ‘คุณหลิน’ คนนั้นหรือเปล่า!









    คำตอบที่ยุนโฮสงสัย มันลอยเข้ามาหาอย่างง่ายดาย ชนิดไม่ต้องพึ่งพาความสามารถทางการสืบ
    สวนชั้นเซียนอะไรเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแจจุงไม่ได้คิดที่จะปิดบังการกระทำของตัวเอง หรือไม่ก็
    บริสุทธิ์ใจกับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ หรือแท้ที่จริงแล้ว เพื่อนของเขาคนนั้น มันไม่เคยได้ใช้สมองคิด
    อะไรเลยต่างหาก ถึงได้เดินเอ้อระเหยลอยชาย ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้



    สถานที่แรกที่แจจุงย่างเท้าเข้าไป คือร้านดอกไม้ขนาดใหญ่ อย่างที่ยุนโฮแอบดีดนิ้วให้กับความ
    ฉลาดหลักแหลมในการคาดเดาสถานการณ์ของตนเอง เห็นอย่างนี้แล้วล่ะก็ คงไม่แคล้วที่แจจุงจะไป
    หาคุณหลินเป็นแม่นมั่น ถึงได้หอบหิ้วดอกไม้ไปเป็นของกำนัลสาวแบบนี้



    ในร้านมีดอกไม้หลากสีสัน หลายร้อยพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลก บานสะพรั่งอวดความงามอยู่ ขนาดคน
    ที่เมียงมองผ่านบานกระจกเข้าไปอย่างยุนโฮ ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจแทนแจจุงเลย เพราะไม่ว่าดอกไหน
    ก็สะสวยละลานตาไปหมด คงจะต้องใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว กับการคัดสรรไม้งามมอบให้สาว
    สวย แต่เหตุการณ์กลายเป็นว่าหลังจากที่แจจุงเดินเยี่ยมๆ มองๆ กระถางทุกกระถาง ดอกไม้ทุกดอก
    แล้ว สิ่งที่เพื่อนของเขาเลือกถือติดมือกลับมา กลับเป็นดอกไม้ธรรมดาๆ อย่างดอกกุหลาบ แถมไม่
    ได้เป็นดอกใหญ่ก้านแข็งแบบพิมพ์นิยมเสียด้วย



    เป็นแค่กุหลาบพวงที่ใกล้จะโรยรา แล้วก็จัดเป็นช่อเล็กๆ อย่างง่าย ด้วยการใช้ผ้านิ่มหลากสี
    มัดรวบเข้าหากัน



    มันดูง่ายดาย ธรรมดา เล็กน้อยและ...ประหลาด เกินกว่าจะบอกได้ว่าเป็นการจัดช่อ เพื่ออิงแนวคิด
    มินิมัมลิสต์อันแสนจะโด่งดัง อะไรเทือกนี้ด้วยซ้ำไป 



    หากแจจุงก็ประคองช่อดอกไม้แปลกๆ ช่อนั้นอย่างทะนุถนอม ตลอดทางเดินไปสู่โรงแรมหรูหรา



    โรงแรมฮิลตัน...แจจุงมาทำอะไรที่นี่? ยุนโฮได้แต่ถามตัวเองอย่างงงงัน ที่ด้านหน้าของโรงแรม
    ห้าดาวสุดหรู สถานที่แห่งที่สองซึ่งแจจุงผลักประตูเข้าไป



    ที่เขาสองคนเลี่ยงไปพักที่โรงแรมสามดาวเล็กๆ ก็เพราะต้องการที่จะซ่อนตัวและหลบเลี่ยงสายตา
    จับผิดจากผู้คนแวดล้อม เป็นแจจุงเองด้วยซ้ำที่บอกให้เขาเลือกโรงแรมเล็กๆ แต่สะอาดสักแห่งหนึ่ง
    แทนโรงแรมดังๆ หรูหราที่มีแต่เหล่าคนดังมาพักอาศัย



    ‘เกิดเจอคนรู้จักเข้า ก็ซวยกันพอดีน่ะสิ’ คนช่างคิดบอกกับเขาอย่างนั้น



    แล้วในวันนี้ ไอ้คนที่เคยระแวดระวังตัวเป็นอย่างดี มันลอยละลิ่วปลิวไปกับสายลมที่ไหนแล้วเพื่อน
    ถึงได้เดินก๋าเข้าไปถามไถ่ประชาสัมพันธ์ที่เคาท์เตอร์ พร้อมกับช่อดอกไม้หน้าตาประหลาด
    โคตรจะดึงดูดสายตาแบบนั้น



    แจจุงเข้าไปคุยด้วยครู่เดียว แล้วเหมือนประชาสัมพันธ์สาวจะบอกให้รอก่อน ชายหนุ่มเลยกลับมานั่ง
    รอที่โซฟา หน้าลิฟต์



    ...ที่นั่งมิดชิดมากแจจุง ในเวลาไม่ถึงห้านาที มีคนไม่ถึงร้อยคนหรอก ที่มองนายจนเหลียวหลังตอน
    เข้าออกโรงแรม



    ตำแหน่งที่นั่งก็ไม่ธรรมดา ช่อดอกไม้ในมือก็ยิ่งไม่ธรรมดา แถมการกระทำของแจจุงก็ยังใช้คำว่า
    ธรรมดา มาจำกัดความไม่ได้อีกด้วย



    เพื่อนเขาแพ้กระจก ความจริงข้อนี้ใครต่อใครก็รู้กันดี แจจุงมันเป็นนาร์ซิสซัสกลับชาติมาเกิด
    เห็นอะไรที่สะท้อนเงาได้เป็นต้องปรี่เข้าใส่



    แต่พระเจ้า...ยุนโฮครางออกมาอย่างยากจะเชื่อสายตาตนเอง เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของเขา
    ที่ปกติก็ไม่ค่อยจะปกติอยู่แล้ว เกิดถูกอะไรเข้าสิงไม่ทราบได้ ถึงได้นึกจะเปลี่ยนท่าจากที่นั่งเอียงคอ
    ซ้ายขวา ปัดผม ขยับแว่นตา ตรวจสอบความเรียบร้อยกับกระจกเงาบานใหญ่ มาเป็นการทำจมูก
    บานๆ พะเยิบพะยาบแบบแปลกๆ แทน  



    ลำพังแค่ท่าเช็คความหล่อแบบ‘ไม่แคร์สื่อ’ก็หนักหนาพอแรง มาเจอกับพฤติกรรมหลุดโลกต่อหน้า
    สาธารณชนเข้าแบบนี้ ใครต่อใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้น ถึงได้จ้องจนตาแทบปะทุและกลั้นยิ้มกัน
    เป็นทิวแถว



    หากที่สำคัญกว่าการกระทำของแจจุงก็คือ...มีใครถ่ายภาพนี้เอาไว้หรือเปล่า? ยุนโฮถามตัวเองอย่าง
    ตกตื่น พลางเหลียวหากล้องที่อาจจะกำลังบันทึกภาพทีเผลอของซุปเปอร์สตาร์‘ฮีโร่แห่งดงบังชินกิ’
    ตามสัญชาตญาณของลีดเดอร์ที่ดี



    แต่พอมองซ้ายไม่เห็นกล้อง หันขวากลับมาแทนที่จะได้โล่งใจ กลับต้องปวดใจเข้าไปอีกสองต่อ
    กับพฤติกรรมแปลกๆ ของแจจุง จากที่ทำจมูกบานๆ ในคราวนี้เพื่อนรักของเขา มันเริ่มจะเอานิ้วมา
    แคะแกะเกาแถวๆ จมูก



    คราวนี้ยุนโฮทนไม่ได้อีกแล้ว เขาคิดว่าเป็นอย่างไรเป็นกัน ถ้าแจจุงจะเริ่มแคะจมูกล่ะก็ ต่อให้ต้อง
    โดนเพื่อนอาละวาดโวยวายสักแค่ไหน เขาก็จะลากแจจุงกลับไปที่โรงแรมแล้วก็ขังเอาไว้อย่างนั้น
    ตลอด 3 เดือนเต็ม ไม่มีวันยอมให้ภาพอันเลวร้ายนั้นปรากฏในที่สาธารณะเป็นอันขาด



    ดูเหมือนว่าชะตาของทั้งยุนโฮและแจจุงยังดีพอใช้ เพราะในนาทีที่ยุนโฮกำลังจะผลักประตูเข้าไป
    ข้างในโรงแรม เพื่อจัดการกับพฤติกรรมสุดจะทนของเพื่อน และแจจุงกำลังถูปลายจมูกที่คันยุบยิบ
    เพราะแพ้เกสรดอกไม้ คนที่นัดไว้ก็ออกจากลิฟท์มาถึงห้องโถงด้านล่างพอดิบพอดี



    “คุณหลิน” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งอย่างไม่รอช้า สายตาของเขาพุ่งตรงไปที่หญิงสาว
    ในชุดสีฟ้า แล้วก็ก้าวเดินอย่างมั่นคงไปหาเธอ



    ในช่วงนาทีนั้น ถ้าถามว่ายุนโฮที่ยืนอยู่ด้านนอก กับแจจุงที่ประจันหน้ากับฝูงชนด้านใน มองเห็น
    อะไรท่ามกลุ่มคนรอบตัว คำตอบของเขาทั้งสองคนอาจจะทำให้ผู้ฟังประหลาดใจไม่น้อย
    เพราะยุนโฮตอบว่าเขาเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กับหมา ส่วนแจจุงตอบว่า เขามองเห็นสายรุ้ง



    และถ้าถามยุนโฮต่อว่า ทำไมในคนเป็นสิบ เขาถึงเลือกมองเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง
    แทนคนดังที่เดินขวักไขว่ในโรงแรม คำตอบของยุนโฮก็จะไม่มีทางเป็นอื่นได้เลย นอกเสียจากว่า
    เขามองเห็นสิ่งนั้นด้วยสายตาของผู้เป็นเพื่อน มองอย่างที่แจจุงมอง คิดอย่างที่แจจุงคิด



    แล้วก็เลยได้เห็นคุณหลินท่ามกลางฝูงชน มองเห็นร่างเล็กๆ นั้น ได้ก่อนใครคนอื่นด้วยซ้ำ 



    “คุณมาจริงๆ ด้วยสิคะ” เธอเงยหน้าขึ้นบอกกับเขาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส มือข้างหนึ่งกำสายบังคับสุนัข
    นำทางเอาไว้หลวมๆ



    “ฉันกำลังจะออกไปด้านนอกพอดี”



    “นัดเอาไว้แล้วก็ต้องมาสิครับ” เสียงตอบทอดอ่อนโยน พร้อมกับช่อดอกไม้ถูกยื่นออกไปตรงหน้า



    กลิ่นหอมจัดของดอกไม้ ขนาดของช่อที่สามารถกำไว้ได้ด้วยมือเดียว และก้านที่ลิดหนามออก
    ทั้งหมดนี้ เมื่อมองแยกออกเป็นแต่ละส่วน ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดาษดื่นไร้ความสำคัญ แต่น่าแปลก
    นัก ที่เมื่อนำมันมารวมเข้าด้วยกันเป็นสิ่งเดียวแล้ว คุณค่าของช่อดอกไม้ที่ประทับแนบอก กลับทำให้
    หัวใจคนรับ อุ่นรื้นไปทั้งดวง



    ในของขวัญชิ้นเล็กๆ มีความใส่ใจซ่อนอยู่...ความใส่ใจที่สะท้อนถึงมุมมองความคิดละเอียดอ่อนและ
    ความรอบคอบอย่างลึกซึ้งของผู้ให้



    มีอย่างที่ไหนหรือ ที่ผู้ชายคนที่เพิ่งพบหน้ากัน จะเลือกดอกไม้ให้หญิงสาวคนหนึ่ง เป็นช่อดอกไม้
    เล็กๆ ใกล้โรยรา ที่ไม่มีโบว์ประดับแม้สักส่วนเสี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะพยายามทำความเข้าใจโลกที่
    มืดมนว่า มีแสงสว่างใดส่องประกายให้เห็นในความสลัวรางบ้าง



    ผู้ชายคนนี้เลือกที่กลิ่นหอมมากกว่ารูปลักษณ์ เพราะรู้ดีว่าความงามที่เธอสัมผัสได้คือกลิ่นอันจรุง
    ไม่ใช่กลีบดอกอวบหนา



    ช่อดอกไม้ที่แม้ไม่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างที่เคยได้รับกำนัลมา หากแต่แสดงถึงน้ำใจอันกว้างขวาง
    ที่มองทะลุไปถึงความยากลำบากในการรับของของเธอ



    และสุดท้ายก้านกุหลาบที่ไร้หนามแหลมคม รวบช่อด้วยริบบิ้นผ้าเนื้อนิ่ม เป็นสิ่งที่บอกกระทั่งราย
    ละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อุตส่าห์คิดแทน อุตส่าห์เป็นกังวล



    ...เธอนึกไม่ออกอีกแล้วว่า ในเวลาชั่วชีวิตหนึ่งนับตั้งแต่นี้ จะมีของขวัญชิ้นใด ที่สะท้อนถึงความใจดี
    ของคนให้ ออกมาได้อย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและจับใจเช่นนี้อีกไหม



     ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่เข้าใจยาก ทำให้หญิงสาวบังคับตัวเองไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ขบริมฝีปากเข้า
    หากันจนแน่น แต่กลีบปากสีสดเหนือช่อดอกไม้หอม กลับแย้มเป็นรอยยิ้มกว้าง แล้วยังเปล่งเสียง
    ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสัพยอกอีกว่า



    “คุณเป็นบาทหลวงหรือเปล่าคะ”



    และเพราะอะไรสักอย่างที่ยากแก่การทำความเข้าใจเช่นกัน ที่ทำให้คำยั่วเย้าเล็กๆ นั้น เรียกโลหิต
    ซ่านสู่ใบหน้าของแจจุงอย่างไม่รู้ตัว เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบผมอย่างประหม่า นึกไม่ออกว่าควรจะ
    ตอบโต้ด้วยวาจาเช่นไรออกไปดี



    “...เอ่อ...”



    “หรือว่าเป็นเทวดาตัวจริง” คุณหลินไม่ปรานีแจจุงเลย คำถามแต่ละประโยคที่หลุดพ้นริมฝีปากบาง
    ล้วนแต่มีอานุภาพสั่นหัวใจให้ไหวระรัวทั้งสิ้น



    หน้าของชายหนุ่มร้อนผ่าว จนไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบกับอะไรดี และด้วยความที่เป็นคนขาวจัด สีโลหิต
    มันเลยซับตั้งแต่ไรผมไปจนถึงใบหู แดงก่ำไปหมด



    เขากำลังจะจนแต้ม กำลังจะพ่ายแพ้ให้กับการสนทนา แค่ไม่ถึงห้าประโยคกับหญิงสาวคนนี้แล้ว
    แต่ก็เหมือนกับเสียงสวรรค์ เมื่อเธอเอ่ยปากชักชวน ให้ออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้วยกัน



    “ฉันอยากฟังเสียงนกร้องค่ะ” คุณหลินปิดท้ายคำพูดที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ด้วยรอยยิ้มหวานที่
    ซ่านไปถึงดวงตา



    รอยยิ้มที่ทำให้แจจุงนึกถึงสายรุ้งสีสวยหลังฝนตก ความอบอุ่นและความสดใส



    ชายหนุ่มนิ่งงันไปเสี้ยววินาทีกับรอยยิ้มหวานพิฆาตใจนั้น แล้วเขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตอบรับ
    คำชวนกลับไปอย่างกระตือรือร้นว่า



    “เอาสิครับ เดี๋ยวผมจะพาไป”  













    หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ยุนโฮเคาะโทรศัพท์ในมือลงกับหน้าขาอย่างเซ็งๆ



    หนึ่งอาทิตย์พอดิบพอดี ที่เขามานั่งเฝ้าดูแจจุงกับคุณหลิน คุยเล่นหยอกล้อกัน ในสวนสาธารณะ
    แห่งนี้ ตอนแรกก็ทำไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างสัตย์ซื่อ ก็แค่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดี
    ถึงทำให้แจจุงยอมเปิดใจตั้งแต่แรกพบ แต่พอนานวันเข้า ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกแผดเผาด้วยความ
    อยากรู้ถึงขีดสุด มันกลับไม่ได้ลดลงเลย



    เขามีแต่คำถามลอยละล่องเต็มหัว และส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของ‘คุณคิม’กับ‘คุณหลิน’ สองคนนั่น
    ล้วนๆ



    ‘คุณหลิน’ เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจทีเดียว แม้จะไม่ได้สวยจัดหรือว่าหวานหยาดเยิ้ม อย่างพวกสาวงาม
    คนก่อนๆ ที่แจจุงเคยคั่วอยู่ด้วย แต่ยุนโฮยอมรับเลยว่า เธอมีดีกว่าผู้หญิงพวกนั้นเยอะ



    เขาชอบวิธีพูดและความคิดของเธอขณะที่สนทนากับแจจุง สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆ กล่อมเกลาให้เพื่อน
    ของเขา ที่เคยเป็นเหมือนระเบิดเวลา ลดพลังทำลายล้างลง



    อืมม...เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรนะหรือ ก็บังเอิญว่าวันนั้นสองคนเขานั่งคุยกันริมน้ำ แล้วที่ริมน้ำก็
    บังเอิญมีพุ่มไม้หนา แล้วยุนโฮก็บังเอิ๊นบังเอิญไปรู้ว่า พุ่มไม้หนานี่มันนั่งนอนได้สบายไม่ผิดไปจาก
    ฟูก เขาก็เลยบังเอิญฟังเรื่องที่สองคนคุยกันได้ยืดยาวติดต่อเป็นชั่วโมง



    ส่วนใหญ่คนพูดจะเป็นแจจุง หมอนั่นมันเล่าเก่ง พูดเก่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดถึงเรื่องดนตรีที่
    เป็นความชอบส่วนตัว แจจุงยิ่งฟุ้งได้เป็นชั่วโมงไม่มีเหน็ดเหนื่อย ส่วนคุณหลินก็ออกความเห็นได้
    อย่างผู้ชำนาญด้านดนตรีเป๊ะๆ มีการเทียบสเกล เทียบโน้ตระหว่างเพลงคลาสสิคกับเพลงป๊อบ
    การเล่นเปียโนเพื่อประสานกับวงออร์เคสตร้า ฟังไปฟังมา ยุนโฮก็ยอมรับว่าตัวเองก็ได้ความรู้
    และความเพลิดเพลินจากบทสนทนาเหล่านี้เช่นกัน



    ทว่า...ความดีงามทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น กลับเทียบไม่ได้แม้สักกะผีกริ้นกับเรื่องใหญ่กว่า
    ที่สองคนนั่นจงใจจะหลีกเลี่ยงไม่เจรจาถึง



    เรื่องทั้งหมดมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าทั้งสองคนจะคุยกันแบบเปิดใจอย่างนี้กับทุกเรื่อง ทั้ง‘คุณคิม
    ’และ‘คุณหลิน’



    ก็จนป่านนี้ บุคคลที่สาม ผู้เงี่ยหูฟังบทสนทนาทุกบททุกตอนอย่างยุนโฮ ยังไม่รู้เลยว่า ไอ้ตัวอักษร
    จีนที่ห้อยอยู่ท้ายชื่อของคุณหลินอ่านว่าอะไร แจจุงก็ไม่เคยถามเรื่องนี้ และในทำนองเดียวกัน
    เจ้าเพื่อนตัวดีก็จงใจแนะนำตัวเองกับคุณหลิน ด้วยนามสกุลว่า เป็นมิสเตอร์คิมอีกต่างหาก



    คุยกันมาเป็นสัปดาห์ก็ยัง‘คุณคิม’กับ‘คุณหลิน’เหมือนเดิม ไม่มีอะไรก้าวหน้า ไม่มีอะไรใหม่
    แล้วอย่างนี้ จะให้คนที่ลุ้นจนตัวโก่งทำอย่างไรได้ นอกจากมานั่งโกรธฟ้าโกรธดินอยู่คนเดียว



    แล้วยังเรื่องอายุอีก ยุนโฮคิดว่าอายุของชาวเอเชียนี่ช่างเป็นปริศนาเหลือเกิน ขนาดเป็นคนเชื้อสาย
    เดียวกันแท้ๆ ก็ยังไม่สามารถคาดเดาอายุของอีกฝ่ายได้ หน้าตาคุณหลินของแจจุงเหมือนเด็กที่ยัง
    ไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถ้าถามถึงวิธีคิดและการพูดจา กลับดูเหมือนว่าสูงวัยกว่าแจจุงด้วยซ้ำ



    อย่างวันที่สองคนนั่นเขาถกเรื่องอิทธิพล ของเพลงคลาสสิคที่มีต่อเพลงป๊อบ แต่ละตัวอย่างแต่ละ
    ท่อนบทที่แจจุงยกขึ้นมา คุณหลินก็มีอันสรรหาเพลงคลาสสิค ที่คล้ายคลึงมาฮัมเทียบให้ฟังได้ทุก
    ครั้ง จนเพื่อนของเขาออกปากว่ายอมแพ้ ในตอนนั้นล่ะที่ใบหน้าของคุณหลินนิ่งขึงขึ้น ไม่เชิงว่าไม่
    ชอบใจ แต่เหมือนกับผิดหวังมากกว่า



    ใช่...ผิดหวัง  



    เสียงตอบโต้อย่างจริงจังและเข้มแข็งของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้น ยังก้องอยู่ในหูของยุนโฮจนถึงวันนี้



    ‘อย่าพูดว่ายอมแพ้อีกนะคะคุณคิม มันไม่มีอะไรที่ทำให้คุณแพ้ได้นอกจากใจตัวเอง อย่าหันหลังให้
    กับอุปสรรคที่เผชิญอยู่ เชื่อมั่นในตัวเองสิว่าคุณทำได้ มองตรงไปข้างหน้าที่จุดหมาย แล้วมันก็ไม่มี
    วันแพ้หรอก’



    เป็นความเข้มแข็งอย่างยิ่งใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่างเล็กๆ บอบบาง



    ไม่รู้ว่าด้วยอดีตเช่นไร หรือประสบการณ์อย่างไรในชีวิต ที่หล่อหลอมผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา มันคงไม่ใช่
    ทางเดินที่ลาดรองด้วยกลีบกุหลาบหรอก แววตาที่เหมือนกับจะมองทะลุไปจนถึงจิตใจคนบอกเช่น
    นั้น และในขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมของนักเปียโนสาว ที่ถึงแม้จะเป็นเจ้าของตำแหน่ง
    แกรนด์แชมป์รายการใหญ่โตก็ตาม แต่มันก็ไม่น่าจะเอื้อให้เธอใช้ชีวิตเช่นนี้ได้



    แจจุงอาจจะไม่ทันได้สังเกต หรือหากมิใช่เช่นนั้น ก็ด้วยวิธีการมองแบบระนาบเดียวเหมือนเด็ก
    ก็เลยไม่ได้ฉุกใจคิดว่า ค่าห้องของโรงแรมห้าดาวหรูหราระดับโลกนี่มันคืนละเท่าไร และนักเปียโน
    ที่ไหนจะมีเงินจ่ายค่าห้องพักได้นานเป็นสัปดาห์แบบนั้น



    โทรศัพท์มือถือถูกยกขึ้นมามองอีกครั้งหนึ่ง หากในคราวนี้ยุนโฮตัดสินใจได้แล้วว่า เขาควรจะขอ
    ความเห็นเรื่องนี้จากมุมมองของบุคคลที่สาม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวพันกับเรื่องนี้โดยตรงเสียที คนนอกอาจ
    จะมองเรื่องพวกนี้ได้ชัดเจนและกระจ่างกว่าเขา



    ...ว่าแต่ควรจะเป็นใคร?



    ชายหนุ่มก้มลงมองเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้อย่างชั่งใจ เขาอยากได้ใครสักคนที่มองเหตุการณ์ได้
    รอบด้าน และในขณะเดียวกันก็มองโลกอย่างเที่ยงตรง ได้อย่างที่มันควรจะเป็นโดยปราศจากอคติ



    “ชางมิน” ยุนโฮร้องสั่งโทรศัพท์ในมือเบาๆ ให้มันติดต่อไปถึงคนปลายสาย



    น้องชายคนสุดท้องของดงบังชินกิ










    “โหพี่ ว่างเกินไปหรือเปล่าเนี่ย” เสียงหัวเราะร่าดังลั่นมาจากอีกฟากหนึ่งของคลื่นสัญญาณวิทยุ
    หลังจากที่เขาเล่าเรื่องราวของแจจุงกับคุณหลินไปจนจบ



    “ผมว่าพี่ว่างเกินไปชัวร์ ถึงได้คิดเหมือนกับพ่อ ที่กังวลเวลาลูกสาวจะออกเรือนอย่างนี้” ดูไอ้น้องรัก
    มันตอบ เป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์แท้ๆ ที่ดันเลือกชางมินเป็นที่ปรึกษาปัญหากลัดกลุ้ม



    “เออ ถ้าอย่างนั้นฉันจะวางสายแล้ว” ยุนโฮตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด นึกอยากจะให้มีคนคิดค้น
    วิทยาการใหม่ แบบชนิดที่สามารถยื่นมือ ผ่านไปอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ได้ในวินาทีนั้น เขาจะได้
    ส่งมะเหงกไปให้ไอ้น้องชายตัวแสบสักสองสามโป๊ก



    “ผมก็ยังดกดำดีอยู่ ไม่ได้โล่งโปร่งเหมือนพี่ยูซอนเสียหน่อย ทำใจน้อยไปได้พี่ชายก็” ชางมินทำ
    เสียงจิ๊จ๊ะในคอตอบกลับมา แล้วจากนั้นก็ป้อนคำถาม ที่ดูเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยสักนิด
    กับเรื่องที่เขาเล่าผ่านโทรศัพท์มาให้



    “รายการโชแปงคอมเพ็ทติชั่นนี่มันใหญ่ขนาดไหนน่ะ พี่ยุนโฮ”



    “ใครจะไปรู้วะ” บ่นงึมงำออกไปก่อนกับคำถามไม่เป็นเรื่องของน้องชาย แต่ถึงกระนั้นยุนโฮก็ยัง
    อุตส่าห์ควานหาคำตอบมาให้จนได้



    “แต่ถ้ามีผลงานออกเป็นแผ่นบลูเรย์ได้ มันก็น่าจะใหญ่พอตัวล่ะชางมิน”



    “แชมป์ปีอะไรนะพี่”



    “แกรนด์แชมป์ปี 2019 คุณหลิน L-y-n-n” ชายหนุ่มสะกดตัวอักษรที่จำได้ให้อีกฝ่ายฟังช้าๆ



    “แล้วทำไมพี่ไม่ค้นอินเตอร์เน็ตดูล่ะ” ชางมินให้ข้อเสนอแนะอย่างง่ายที่สุด ที่สมควรทำเป็นลำดับ
    แรกแก่พี่ชาย



    “ก็ไอ้มือถือของพี่น่ะ ถ้าเปิดใช้อินเตอร์เน็ต มันจะเปิดสัญญาณจีพีเอสโดยอัตโนมัติ ส่วนถ้าจะใช้ที่
    โรงแรม ไอ้กฎหมายสากลที่เพิ่งออกใหม่ เกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตในสถานที่สาธารณะ บังคับให้
    ต้องกรอกรหัสประชาชน ก่อนการใช้งานทุกครั้ง ขืนไปใช้จริงเขาก็รู้กันไปทั่ว ว่าพี่อยู่ที่นี่สิ”



    คนที่อยู่ปลายสายเงียบเสียงลงครู่ใหญ่ ละม้ายว่าเจ้าตัวก็เพิ่งจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ขึ้นมาได้



    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ต่างกันหรอก” เสียงตอบแผ่วเบา



    “มือถือผมมันก็มีปัญหาเหมือนๆ กับพี่”



    “พอจะมีความคิดดีๆ อะไรอีกไหมชางมิน” ยุนโฮถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง วูบหนึ่งเขานึกสงสาร
    แจจุงขึ้นมาจับใจ ภาพวาดของหมอนั่นเพิ่งจะเริ่มระบายสีเท่านั้น แต่เขากลับกำลังคิดจะทำลายมัน
    ลงไปแล้ว



    “การเป็นแชมป์เปียโนรายการใหญ่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะครับพี่ยุนโฮ” สุ้มเสียงของชางมิน
    ราบเรียบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จริงจังอย่างที่มักจะใช้ในเวลาปรึกษางาน ความเรียบนิ่งของน้ำเสียง
    ทำให้คนฟังอดที่จะนึกถึงใบหน้าเคร่งๆ ที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน แบบที่เจ้าน้องชายชอบทำไม่ได้



    “จำที่พี่จุนซูเล่าถึงการประกวดเปียโนได้ไหม ว่ากว่าที่พี่เขาจะได้รางวัลระดับชาติ ต้องฝ่าฟันมาก
    เท่าไร ต้องซ้อมเหนื่อยแค่ไหน แล้วระดับนานาชาติละครับ คนที่ได้รางวัลแบบนี้นอกจากพรสวรรค์
    แล้ว มันยังต้องอาศัยพรแสวงที่ใช้เงินหนุนอีกเป็นจำนวนมหาศาล คุณหลินของพี่แจจุงน่ะ ไม่น่าจะ
    เป็นคนธรรมดาง่ายๆ อย่างที่มองเห็นหรอกนะครับ”



    “พี่ควรทำยังไงดีชางมิน”



    สองคนที่อยู่ห่างกันสุดปลายทวีป รับรู้ตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ยปากว่า ความหมายในประโยคที่ถาม
    ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตนเองเลย มันถามเผื่อไปถึงบุคคลที่สาม ที่พัวพันอย่างแน่นแฟ้นในบทสนทนา
    ต่างหาก



    “พี่จะให้ผมพูดในฐานะอะไรละครับ” เสียงถามย้อน พร้อมกับถอนหายใจยืดยาว



    นั่นสิ...อย่างที่ชางมินถามกลับมา ไม่ใช่แค่ฝ่ายนั้นหรอกที่มีหลายบทบาทให้เลือกสรร กระทั่งเขาเอง
    ก็ยังมีบทบาทอีกมากมายให้ต้องทำ ฝืนใจทำ หรือแม้แต่จำใจทำ



    จะให้เขาพูดกับแจจุงในฐานะไหน...เพื่อนสนิท...ลีดเดอร์แห่งดงบังชินกิ...หรือคนที่ผูกพันกันมานาน
    แสนนาน ยิ่งกว่าเพื่อน ยิ่งกว่าพี่น้อง



    “แจจุงคงเสียใจ” ยุนโฮพูดได้สั้นๆ แค่นั้นแล้วเงียบเสียง



    “พี่แจจุงไม่เสียใจหรอกพี่ยุนโฮ” น้องชายที่ความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัวแย้งเสียงแข็ง กังวานของมัน
    ชัดเจนเลยว่า ผู้พูดก็ไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่กำลังพูดและได้ยินนักหรอก



    “แต่ที่พี่แจจุงจะเสียใจ คือการที่พี่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาทุกคน แต่ไม่ยอมพูดกับเขาตรงๆ ต่างหาก”



    ...เพื่อนขี้ใจน้อยคนนั้น



    “...พี่ได้คำตอบแล้วล่ะชางมิน ว่าควรทำอย่างไรดี ขอบใจมากนะไอ้น้องชาย” เขาบอกคนที่อยู่ปลาย
    สาย ด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเริ่มแรกของการสนทนา



    และมันก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ยุนโฮหาคำตอบได้จากการช่วยเหลือของชางมิน เจ้าน้องเล็กก็เป็นอย่าง
    นี้ล่ะ มองได้ทะลุไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของคน



    ชางมินมีวิธีตะล่อม หลอกล่อ กระทั่งหลอกลวง เพื่อให้แต่ละคนได้ค้นพบคำตอบที่ตนเองแสวงหา
    จากข้างในหัวใจของตนเอง ก็เหมือนกับกรณีนี้  คำตอบที่ได้รับมันไม่ได้มาจากชางมินเลย เขามีคำ
    ตอบพวกนั้นรออยู่แล้วในใจ เพียงแต่กลัวและสับสนกับมัน มากจนเกินกว่าจะกล้าไปแตะต้อง



    “แล้วทริปพักร้อนของนาย เป็นอย่างไรบ้าง” 



    “วู้~~ สุดยอด” ชางมินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อารมณ์เครียดเคร่งในบทสนทนาหนักๆ
    หายไปแล้ว เหลือแต่ชายหนุ่มอารมณ์ดีคนเดิม คำตอบที่ปนด้วยเสียงกู่ร้องสูงๆ นั่น เหมือนกับจะ
    หอบเอาความสุขและกลิ่นไอความแจ่มใส ส่งผ่านอากาศ ลอยข้ามขอบฟ้ามาด้วย 



    “พี่ได้ยินเสียงคลื่นไหม”



    เสียงซัดซ่าที่ปลายหู แสดงว่าไม่ได้เกิดจากสัญญาณวิทยุบกพร่องอย่างที่หลงเข้าใจในตอนแรก



    “อาทิตย์นึงแล้วนะชางมิน นายควรจะเข้าฝั่งได้แล้วไม่ใช่หรือ” พอจบเรื่องของแจจุงได้ คุณพ่อแห่ง
    ดงบังชินกิก็ไม่วายมากังวลกับเรื่องใหม่ ตามประสาคนคิดมาก



    “ก็เรือมันลำเล็กนี่นา” เสียงตอบกลับมาอิดออด “มันก็เลยไปได้ช้าอย่างนี้ล่ะ”



    “นายบอกว่าจะเดินทางจากบาหลีไปจีน กับเรือมังกรทองคำหรูหราระดับโลกลำนั้นไม่ใช่หรือ เรือ
    สำราญอะไรทำไมมันแล่นช้านักละ”



    “ผมเปลี่ยนใจกะทันหัน” ชางมินว่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในคอ “ก็เลยจะเดินทางจากบาหลีไปฮ่องกง
    แทน”



    “ระยะทางแค่นั้น มันใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์หรอกนะ” ยุนโฮจับความผิดปกติเรื่องเวลาได้ทันที และใน
    คราวนี้เขาถามอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงเข้มงวดและเอาจริงเอาจัง ของลีดเดอร์แห่งดงบังชินกิออกไปว่า



    “นายกำลังทำอะไรกันแน่ ชางมิน”



    “ผมกำลังเป็นชาวประมง” เสียงตอบร่าเริงอย่างยิ่งยวด



    “หา!”



    “ชาวประมงที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเสียด้วย”



    “ฮะ!”



    “พี่ได้ยินเสียงคลื่น เสียงนกนางนวล เสียงแห่งอิสรเสรีไหมครับ มันสุดยอดมากๆ ชีวิตลูกน้ำเค็มอย่าง
    ที่ผมใฝ่ฝันจะลองสักครั้งในชีวิต ตอนนี้ผิวผมคล้ำไปกว่าเดิมสักสองเฉดสีละมั๊งครับ กลับไปคงต้อง
    ให้พี่ๆ เมคอัพอาร์ติสท์ เปลี่ยนรองพื้นใหม่ยกเซ็ท ฮ่า ฮ่า ผมลองไว้เคราด้วยล่ะพี่ยุนโฮ มันขึ้นเร็ว
    มากเลย อูขิ่นลูกเรือพม่าบอกว่าหน้าผมเหมือนกับป่าที่บ้านเขาเลย”



    “ชางมิน” ยุนโฮเรียกชื่อน้องชายคนสุดท้องเสียงเยียบเย็น ก่อนจะแผดเสียงตะเพิดใส่โทรศัพท์ลั่น
    ด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด



    “กลับโซลเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้า!”



    นี่มันนรกแตกชัดๆ พอแยกย้ายกันไปได้ แทนที่จะพักผ่อนอย่างสุขสงบเงียบๆ กลายเป็นว่า แต่ละคนก็
    เอาแต่สร้างเรื่องวุ่นวายเข้ามาในชีวิตได้ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน



    พักร้อนดีๆ พักร้อนแบบผู้เจริญน่ะ ทำกันไม่เป็นหรือไงวะ ไอ้น้องเฮงซวย!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×