ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3rd step:: Welcome to Sin City 1 :: [Jejung]
ประชาสัมพันธ์ด้านล่างบอกกับแจจุงว่า เพื่อนของเขาออกไปตั้งแต่ตอนเที่ยง และจวบจนบัดนี้
ที่เข็มนาฬิกาชี้ที่เลข 7 ยุนโฮก็ยังไม่ได้เยี่ยมกรายผ่านมาที่เคาท์เตอร์แห่งนี้อีกเลย
“แล้วมีโบรชัวร์เกี่ยวกับรายการแสดงอะไรดีๆ บ้างไหมครับ” เขาถามพนักงานคนนั้นอย่างสุภาพ
พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานๆ อันทรงอานุภาพให้
มันใช้ได้ผลเสมอไม่ว่ากับเพศไหน หญิงสาวคนนั้นเจอรอยยิ้มพิฆาตเข้าไป ถึงแก่เบิกตากว้าง
สติหลุดลอยไปพักใหญ่ ใบหน้าคมเข้มที่มีส่วนผสมของเชื้อสายสแปนิชแดงก่ำไปจนถึงใบหู
และหลังจากตั้งสติได้ เธอก็ส่งกระดาษทั้งปึกที่อยู่บนโต๊ะประชาสัมพันธ์ให้กับชายหนุ่ม
พร้อมกับชม้ายชายตา
“ถ้าสนใจรายการไหน บอกนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะลดราคาให้เป็นพิเศษ”
แจจุงกำนัลรอยยิ้มหวานๆ สำหรับความเอื้ออารีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหอบกระดาษตั้งนั้นกลับมาหา
ที่นั่งอ่านในคอฟฟี่ช็อบของโรงแรม
มีรายละเอียดของหลายรายการโชว์ทีเดียวที่น่าสนใจ และน่าจะอำนวยประโยชน์แก่เขา ในการนำ
กลับไปต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ อย่างเช่น รายการโชว์มายากลของคอปเปอร์ฟิลด์จูเนียร์
ตอนนั้นเหมือนกับชางมินเปรยๆ ว่า น่าจะลองเอามายากลมาใช้รวมกับการแสดงคอนเสิร์ตบ้าง
มันคงจะเป็นการเอ็นเตอร์เทนต์คนดูได้ดีทีเดียว แจจุงก็เลยใช้ปากกาสีเมจิกสีแดงวงกลม
รอบโชว์นั้นเอาไว้
จากนั้นเขาก็เพลิดเพลินอยู่กับแผ่นพับสีสวย และรายการโชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในหน้ากระดาษเหล่า
นั้นจนแทบจะลืมเวลา และกว่าจะรู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง คอฟฟี่ช็อปที่เขามานั่งเอกเขนกดูแผ่นโบรชัวร์
มันก็เปลี่ยนสภาพไปแล้ว
ในตอนแรกทั้งห้องเป็นโซฟาเดี่ยวนุ่มๆ ราวสิบตัว ตั้งกระจายคละกับกระถางไม้ประดับใบสีเขียวเข้ม
ในตอนนี้เห็นจะเหลือแต่โซฟาของเขาเพียงตัวเดียว ที่ยังตั้งแอบอยู่ด้านหลังเสาต้นสูง ส่วนตัวอื่นๆ
นั้นกลายสภาพไปเป็นเก้าอี้โลหะสีทองแบบวูบวาบ อย่างที่เขาเคยเห็นมันโฆษณาในหนังสือตกแต่ง
บ้านชื่อดัง รูปแบบดีไซน์ที่ดีไซเนอร์ผู้โด่งดังแห่งทศวรรษนี้บอกว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะ
อันห่างไกลของคนเผ่าในแอฟริกา และมันก็เป็นตัวเดียวกับที่ชางมินเคยชี้ให้เขาดู แล้วป้องปาก
วิจารณ์ดังๆ ว่า ‘ชนเผ่าตื่นทองน่ะสิ ประสาท’
เอาเถอะถึงมันจะดูแปลกๆ ตอนที่เห็นในหน้าหนังสือและตั้งโชว์เดี่ยวในร้าน แต่เมื่อมันมาวางเรียงติด
กันเป็นพืด มันก็ดูดีแบบแปลกๆ ล่ะ และให้บรรยากาศชนเผ่าแอฟริกาขึ้นมานิดหน่อย คล้ายๆ กับหม้อ
ยาทองคำของของหมอผีวูดู อะไรทำนองนั้น
อืม...และที่แปลกไปหน่อยก็คือ คนในชุดสูทกับชุดราตรีที่ค่อยๆ ทยอยกันมานั่งเรียงราย เป็นทิวแถว
ที่เก้าอี้พวกนั้น ไม่ค่อยจะเหมือนคนป่าสักเท่าไร
บรรยากาศมันคล้ายมินิคอนเสิร์ต...คนที่เชี่ยวชาญกับงานด้านบันเทิงงึมงำออกมาเบาๆ ก่อนจะ
เหลียวซ้ายแลขวา เพื่อหาทางหนีทีไล่เผื่อจะมีเหตุไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น
เขาไม่รู้เหมือนกันว่า นั่นเป็นมินิคอนเสิร์ตของใคร แต่วงการบันเทิงไม่กว้างเลย เขาอาจจะเจอใคร
สักคนที่รู้จักเขาเป็นอย่างดี จนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ตนเองไม่ใช่คิมแจจุงแห่งดงบังชินกิ
ดังนั้นทางออกที่เหมาะสมที่สุด คือหลบออกไปก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่มขึ้น
แจจุงคิดอย่างนั้น และกำลังจะหอบกระดาษที่ตัวเองอ่านกลับขึ้นห้องไปแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าหูซึ่งมี
ความไวเป็นพิเศษต่อเสียงดนตรีของเขา จะได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน และมันก็มีอานุภาพ
มากพอ ที่จะจับความสนใจทั้งหมดของเขา เอาไว้ในทันทีที่เสียงโน้ตตัวแรกดังขึ้น
กระแสเสียงนั้นกังวานและใส ราวกับเป็นเสียงน้ำที่หยดลงบนแผ่นกระจก มันค่อยๆ ไล่บันไดเสียงสูง
ขึ้นทีละน้อยแล้วจากนั้น ก็พร่างพรมดุจหยาดฝน ที่ตกต้องลงบนกิ่งก้านของพฤกษาต้นสูง เสียงน้ำ
แต่ละหยดที่เผาะผ็อย เสียงใบไม้ที่ไหวระริกรับน้ำฟ้า เสียงซัดซ่ายามกระทบลำต้นสูงตระหง่าน
และในท้ายที่สุดเสียงของน้ำที่ค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดินอันชอุ่มเบื้องล่าง
แจจุงไม่เคยได้ยินเสียงเปียโน ที่เหมือนกับเสียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต เสียงดนตรีที่เขาไม่มีปัญญา
บรรยายอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘เสียงสวรรค์’
หากมันยังไม่จบเพียงแค่นั้น...
เพราะในทันทีที่หยาดฝนซาลง เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกเหวี่ยงเข้าไปหาทะเลในบรรยากาศฤดูร้อน
วันที่ท้องฟ้ามีสีฟ้าจัดที่สุด แสงแดดสีทองสะท้อนทำประกายกับสายน้ำ สายลมพัดโชยรอบกาย
คลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเรื่อยซัดไล่ หยอกล้อกันบนหาดกว้าง กระทบเม็ดทราย แล้วบิดตัวพรายฟอง
คลื่นสีขาวสัมผัสแนบเนากับโขดหิน ความคมชัดและความคล่องแคล่วของนิ้วมือผู้บรรเลง
ทำให้เขาได้ยินกระทั่งถึงเสียงที่ทรายแต่ละเม็ด ค่อยๆ ทิ้งตัวตามกระแสน้ำลงสู่ห้วงทะเลลึก
ทุกสเกลในบทเพลงนั้นพลิ้วไหวอย่างน่าประทับใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขายิ่งทวีความประทับใจ
กับสิ่งที่ได้ยินมากขึ้นไปอีกนั้น ไม่ใช่เพราะความไพเราะของบทเพลงเลย หากแต่คือภาพลักษณ์
ที่ถูกสร้างขึ้นในความรู้สึก ภาพที่เขาแทบจะมองเห็นและเอื้อมมือไปจับได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้จัก
เพลงที่กำลังได้ยินต่างหาก
ความยากในการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาทางบทเพลง เป็นเรื่องที่นักร้องอย่างแจจุงรู้ซึ้งเป็นอย่าง
ดี เขาต้องสนุก ต้องเศร้า ต้องเสียใจให้มากกว่าที่เพลงนั้นบรรยายเอาไว้ เพื่อจะได้ส่งต่อความรู้สึก
นั้นแก่ผู้ฟัง
แล้วภาพอย่างไรเล่า? ที่มันกำลังแสดงอยู่ในหัวใจของผู้บรรเลงเปียโน ถึงได้สื่อความรู้สึกที่ชัดเจน
และงดงามขนาดนี้มาถึงเขา จะเป็นฝนที่เย็นเยียบและทะเลที่รุ่มร้อน หรือกระทั่งสวนดอกไม้
ที่หวานหอม...
ในส่วนสุดท้าย ผู้บรรเลงพาเขาล่องลอยไปกับสายลมที่อบอุ่น สู่ทุ่งกว้าง ดินแดนที่มีดอกไม้
หลากสีสันเบ่งบานอวดโฉม ตรงนั้นมีแมลงตัวน้อยที่ฮือห่างเมื่อมีลมพัดเข้าไปใกล้ ใบไม้เล็กๆ
ระเริงไหวตามสายลม มันแกว่งตัวอย่างน่าสนุก บนก้านสีเขียวสด แล้วก็พาให้ช่อดอกที่มีสีส้มจัดจ้า
ไกวตัวตามไปด้วย ตรงจุดโน้นมีกอไม้ดอกสีชมพู และหย่อมนั้นก็มีดอกไม้สีฟ้าสะท้อนรับกับแผ่นฟ้า
กระจ่าง สายลมช่างแกล้งเลี้ยวไล่ หยอกล้อกับดอกไม้ ใบหญ้า แล้วก็หอบเอาละอองไอสีทองอร่าม
หอมหวาน พัดพรูขึ้นสูงเทียมเท่าปุยเมฆสีขาว ก่อนจะค่อยๆ โปรยตัวอย่างอ้อยอิ่ง กลับคืนสู่ผืนหญ้า
งามลออ
นอกจากจะเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความซาบซึ้งในสิ่งที่ได้ยินแล้ว แจจุงยังตะโกนเสียงดัง
พร้อมกับตบมืออย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้กับผู้บรรเลงเพลงที่แสนจะยอดเยี่ยมพวกนั้น
มันดีเสียจนเขารู้สึกเสียดายแทนยูซอน ที่ไม่ได้มีโอกาสมาฟังเพลงนี้ด้วยกัน และเพลงนั้นก็เป็นแรง
ผลักดันที่บ้าระห่ำที่สุดในชีวิต ที่คิมแจจุงตัดสินใจจะทำมัน ทั้งๆ ที่รู้ผลของการกระทำดี
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องรู้จักผู้บรรเลงเปียโนคนนี้ให้ได้!
“คนที่เล่นเปียโนเป็นใครหรือครับ” แจจุงเตร่ไปหาประชาสัมพันธ์สาวเจ้าเดิม ที่เปิดยิ้มหวานเจี๊ยบ
รับการมาเยือนของเขาอยู่แล้ว
“อ๋อ” สาวผมดำก้มลงดูตารางการแสดงบนโต๊ะ แล้วก็ลากเสียงยาวๆ
“คุณหลิน แกรนด์แชมป์โชแปงคอมเพ็ทติชั่นปี 2019 น่ะค่ะ”
แชมป์ปีที่แล้วของรายการประกวดใหญ่ระดับโลก...แจจุงพยักหน้าหงึกหงัก...มิน่าเล่าฝีมือถึงได้ฉกาจ
ฉกรรจ์แบบนี้
“เป็นนักเปียโนอาชีพอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามย้อนอย่างสงสัยต่อไป ถึงตัวเองจะเล่นเปียโนเป็น
บ้างก็เถอะ แต่ก็เป็นเพลงป๊อบทั่วไป ไม่ได้ตะเกียกตะกายจะไปเล่นเปียโนเทคนิคแพรวพราวขั้นเทพ
แบบพวกนักดนตรีอาชีพที่เล่นเพลงคลาสสิคมาก่อน
“เอ...ก็น่าจะใช่มั๊งคะ”
เอาเข้าจริงแล้วแม่สาวคนนี้ ก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเขาสักกี่มากน้อย...แจจุงแอบถอนใจเบาๆ
แล้วก็ถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ยังรักษาระดับความนุ่มนวลเหมือนเดิมว่า
“ถ้าผมจะเข้าไปฟังมินิคอนเสิร์ตนั่นด้วย ต้องซื้อบัตรที่ไหนหรือครับ”
“ไม่ต้องหรอกคะ” คำตอบของคนที่เขาเพิ่งแอบบ่นในใจอยู่เมื่อครู่ ทำให้แจจุงอยากจะร้องขอโทษ
เธอออกมาดังๆ เหลือเกิน
“คุณเป็นแขกของโรงแรม เพียงแจ้งชื่อและห้องพักกับพนักงานที่ดูแล เขาก็จะจัดการหาที่นั่ง
ให้คุณเองค่ะ แต่อาจจะเป็นที่ด้านหลังสักหน่อยนะคะ”
แจจุงเอ่ยปากขอบคุณเธอเบาๆ เขากำลังจะก้าวเท้ากลับไปที่คอฟฟี่ช็อบอย่างยินดีแล้ว
ถ้าไม่มีมือประดับด้วยนิ้วสีแดงสดยื่นมาแตะแขนของเขาเสียก่อน
“เอ่อ...” ชายหนุ่มชะงักกึก ก้มลงมองมือสลับกับใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอย่างตกใจ
“ฉันชื่อไทร่า”
“อ่า...ครับ” จากสีหน้าอิหลักอิเหลื่ออย่างไม่เก็บกิริยา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตอนนี้คนที่ถูกจับแขนกำลัง
รู้สึกอย่างไร แจจุงไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาจับตัวเขาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่คนๆ นั้น
กำลังมองเขาด้วยสายตาวาวๆ เหมือนกับกำลังจะเขมือบเขาเข้าไปทั้งตัวด้วย
“คุณชื่ออะไรหรือคะ”
สมองของชายหนุ่มหมุนเร็วจี๋ ในตอนที่ยุนโฮกรอกทะเบียนห้องพัก เขาก็มัวแต่สนใจกระเป๋า
ของตัวเอง ไม่รู้ว่าหมอนั่นเขียนอะไรลงไปบ้าง
“เอ่อ...อุนซูครับ” แจจุงตัดสินใจเลือกชื่อที่ใกล้ตัวมากที่สุด พลางกล่าวขอโทษผู้จัดการวงในใจ
“ฉันเลิกงานประมาณเที่ยงคืน จากนั้นเราไปหาอะไรดื่มกันไหมคะ” คำว่าดื่มมาพร้อมกับลิ้นสีชมพู
ที่ กวาดเลียริมฝีปากล่าง ด้วยท่วงท่าที่เจ้าตัวมั่นใจว่าเซ็กซี่ที่สุด หากกลับเป็นอะไรที่น่าขนลุกที่สุด
สำหรับเป้าหมายของการเชื้อเชิญ
เขาคิดว่าผู้หญิงที่มาจีบผู้ชายก่อนมันก็แย่แล้ว นี่ยังมีแบบที่แย่กว่าอีกหรือ ...ชวนไปดื่มเพื่อมอมเหล้า
นี่นะ
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้จักเขาเลย ที่เธอทำอย่างนี้ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามา
ถูกดึงดูดด้วยหน้าตาที่สวยงามและรอยยิ้มหวานๆ ของเขา อยากได้อยากครอบครองรูปลักษณ์
ที่สวยงาม แต่ไม่เคยใส่ใจเลยว่า ใต้เปลือกนอกที่หุ้มห่อร่างกายของเขานั้น มันจะเป็นเช่นไร
มีความคิด ความรู้สึก อะไรบ้าง
แจจุงเหยียดยิ้มกระด้าง แล้วก็ปฏิเสธอย่างเฉียบขาดออกไปว่า
“ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง...” วงเล็บในใจว่า แบบคุณ “...นะครับ”
มันเป็นคำปฏิเสธที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายนะ แจจุงว่า เขาพูดแบบนี้ทีไรผู้หญิงใจกล้า
ที่เข้ามาหาก่อน ก็มีอันต้องถอยหลังกลับไปทุกราย ไม่ว่าจะเป็นสาวเกาหลี สาวญี่ปุ่น สาวเอเชีย
สาวยุโรป ก็มีอันต้องจอดกับคำปฏิเสธอันโหดร้ายและเย็นชาของเขาทั้งหมด
มันอาจจะดูใจร้ายและไร้มารยาทไปบ้าง แต่เขาก็ถือว่าได้พูดอย่างที่ใจตัวเองคิด แถมบุคลิกของเขา
มันก็ดูเย็นชาอยู่แล้วด้วย คงจะไม่ได้เป็นการทำให้ใครต้องผิดหวัง
...ก็พระเอกในละครโทรทัศน์ เขาก็ปฏิเสธอย่างนี้กันทั้งนั้นล่ะ ถ้าไม่ใช่นางเอกตัวจริง ใช่ไหม?
“ เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ผู้ชายคนที่พักด้วยกันกับคุณก็...” เธอเอามือทาบอก อ้าปากกว้างท่าทางเสียอก
เสียใจอย่างยิ่งยวด
“ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง...(อย่างคุณ)” เขาค้อมศีรษะให้กับประชาสัมพันธ์
สาวอย่างสุภาพ ด้วยท่วงท่าที่เลียนแบบมาจากพระเอกชื่อดังของเกาหลีในละครยอดฮิต แล้วก็เดิน
ห่างออกมาเพื่อกลับไปชมคอนเสิร์ต ที่ตนเองประสงค์
ไม่ได้รู้เลยว่า ไอ้คำพูดพวกนั้นที่เจ้าตัวคิดว่ามาดแมนสมบทพระเอกละคร และพูดอย่างนี้มาตลอด
หลายปี สำหรับใช้ตอบคำถามเชิญชวนของสาวใหญ่น้อย มันจะทำให้ใครต่อใครเขาเข้าใจผิดกันไป
ขนาดไหน และที่สำคัญมันทำให้ยุนโฮพลอยซวยไปด้วยอย่างไรบ้าง!
แจจุงได้ที่นั่งด้านหลังอย่างที่ประชาสัมพันธ์สาวคนนั้นบอกจริงๆ แต่ด้วยความที่มันเป็นมินิคอนเสิร์ต
เขาก็เลยได้ทัศนาคนเล่นเปียโนไปเต็มๆ ตา พร้อมกับรับฟังเพลงไพเราะเต็มๆ สองหู
คนเล่นเปียโนยังเด็กอยู่มาก ท่าทางอายุคงไม่น่าจะเกิน 20 ปี เขาคิดว่าอย่างนั้นจากการประเมิน
ความเยาว์วัยของใบหน้า และที่สำคัญเป็นชาวเอเชียเสียด้วย หากฝีมือของเธอไม่เด็ก
ตามหน้าตาเลย
ฟังในระยะไกลว่าไพเราะและซาบซึ้งแล้ว แต่เมื่อมาฟังในระยะใกล้ พร้อมกับได้ดูวิธีการขยับนิ้ว
และโยกตัวไปด้วย มันก็ยิ่งเพิ่มความประทับใจเป็นทบทวี
เขาชอบวิธีสื่อความหมายของเธอ มันซื่อใสและตรงไปตรงมาอย่างไม่มีหลบเลี่ยง ช่วงที่หวานก็
หวานจนน้ำตาลยอมแพ้ ส่วนช่วงเศร้าก็เศร้ารันทดจนคนฟังน้ำตาคลอ และช่วงที่สนุกสนานมันก็
ร่าเริงสดใสเหมือนกับมีเด็กๆ มาวิ่งเล่นใกล้ๆ
ไม่มีอะไร ที่นักเปียโนคนนี้จะเสกสรรมันออกมาจากปลายนิ้วของเธอไม่ได้ กระทั่งฉากสนุกสนาน
ของเทพนิยายในยุคกลาง ที่มีอัศวินและมังกร เธอก็ยังบรรเลงได้สมจริงสมจังจนเหมือนโดนลม
หายใจร้อนๆ ของมังกรเป่ารดใบหน้า
จนกระทั่งเพลงสุดท้ายที่เตรียมเอาไว้จบ พร้อมกับเสียงตบมือดังสนั่น แจจุงถึงเพิ่งสังเกตว่า
นักเปียโนสาวน้อยคนนั้นไม่ได้ใช้โน้ตดนตรีเลยสักแผ่นเดียว
บนแท่นที่วางโน้ตดนตรี มีดอกกุหลาบสีขาวก้านยาว วางอยู่เพียงเดี่ยวๆ หนึ่งดอก แล้วนอกจากนั้น
มันก็เรียบง่าย เสียจนน่าประหลาดใจว่าเป็นมินิคอนเสิร์ตจริงหรือ
ไม่มีทั้งไม้ประดับบนเวทีหรือกระทั่งดอกไม้ ที่เขามักจะจัดเอาไว้รอบตัวนักเปียโน อย่างที่เคยเห็นใน
คอนเสิร์ตใหญ่ๆ ที่มีการเดี่ยวเปียโนเป็นหลักเลย รอบแกรนด์เปียโนสีดำมีเพียงที่นั่งสำหรับคนเล่น
แล้วก็เวทีว่างๆ เท่านั้นจริงๆ
“สำหรับในโอกาสพิเศษนี้ เราจะเปิดโอกาสให้แขกผู้มีเกียรติแต่ละท่าน ได้เลือกเพลงโปรดของท่าน
ให้คุณหลินบรรเลงครับ เพียงแต่...” ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรคนนั้นหัวเราะน้อยๆ ด้วยท่วงท่า
ที่มีเสน่ห์
“ผู้โชคดีจะมีเพียงท่านเดียวเท่านั้น คุณหลินจะเป็นผู้หยิบชื่อเพลงเหล่านั้นขึ้นมา แล้วบรรเลงเป็น
เพลงปิดท้ายคอนเสิร์ตครั้งนี้”
หลายคนทยอยกันส่งกระดาษแผ่นเล็กไปให้กับพิธีกรที่อยู่บนเวที ซึ่งก็รวบรวมมันลงไปในกล่องแก้ว
ใสทรงกลม
แจจุงนั่งคิดอยู่นานทีเดียว มีเพลงหลายเพลงที่เขาชอบและคิดว่ามันจะต้องไพเราะมากเสียด้วย
ถ้าได้ฝีมือบรรเลงเปียโนอย่างนี้รังสรรค์ขึ้นมา
แต่เพราะอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเพลงๆ หนึ่งจากหลายร้อยเพลงในห้วงความคิด
ลงมาเป็นตัวอักษรสั้นๆ ไม่กี่คำในกระดาษ แล้วก็เอามันไปใส่ลงในกล่องแก้ว
ชั่วแวบที่เขาได้เข้าใกล้นักเปียโนสาวคนนั้น แจจุงถึงเพิ่งตระหนักว่า เขาคำนวณอายุเด็กสาวตรงหน้า
ผิดไปอักโข อันที่จริงเธอน่าจะมีอายุไม่เกิน 16 หรือ 17 ปีด้วยซ้ำ และต้องเป็น 16 ปีแห่งความทุกข์
ทรมานจากการฝึกซ้อมเปียโนทีเดียว ที่ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กสาวคนนี้เรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย
กับสิ่งรอบตัวเลย เธอก้มหน้าอย่างสงบกับเปียโน โดยไม่มีการเหลือบแลไปในทิศทางอื่น
คำแหน่งแกรนด์แชมป์ของเธอ คงจะแลกมาด้วยความยากลำบากและเหนื่อยยาก จนต้องหลั่งน้ำตา
เป็นสายเลือด เหมือนกับพวกเขาก่อนจะเดบิวต์แน่ๆ
แจจุงอยากจะให้กำลังใจเธอสักเล็กน้อย อยากจะบอกว่าเธอเล่นเปียโนได้ดีมาก และไพเราะอย่างที่
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน มันคงจะทำให้เธอยินดี ได้อย่างที่เขาเคยดีใจเมื่อได้รับคำชมว่าร้องเพลง
ได้ดี
แต่‘คุณหลิน’ ไม่ได้ชายตามองมาเลย เธอยังจมนิ่งอยู่กับภวังค์ความคิดอย่างนั้น แม้ในยามที่พิธีกร
บนเวทีทำเสียงสูง เรียกบรรยากาศระทึกขณะจับกระดาษในกล่องแก้วใสขึ้นมาก็ตาม
“ผมได้กระดาษที่บรรจุรายชื่อของเพลงเอาไว้แล้วครับ” ชายหนุ่มโบกกระดาษบางๆ ที่พับสี่ทบในมือ
ไปมา เขาทิ้งช่วงเว้นจังหวะหายใจหน่อยหนึ่งก่อนจะเปิดมันออก
“อ้าว...เป็นสองแผ่นซ้อนอยู่ด้วยกันครับ”
กระดาษที่พับแยกเอาไว้คงจะมาซ้อนกัน ในระหว่างที่มีการคละแผ่นเพื่อหารายชื่อเพลงที่เหมาะสม
พิธีกรจึงหยิบมันขึ้นมาโดยบังเอิญ
“อ้าว แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดีละครับ” เสียงถามอย่างมึนงง เรียกรอยยิ้มจากผู้ฟังอาวุโสได้มากโข
“ให้คุณหลินเลือกสิ” ผู้ที่อยู่ด้านหน้าร้องบอกด้วยเสียงปนหัวเราะ พร้อมกับตบมือสนับสนุนเป็น
จังหวะ และเมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม มันก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุก จนคนเล่นเปียโนเองก็อดไม่ได้
ที่จะเอี้ยวตัวมากระซิบกับพิธีกรด้วยเบาๆ
“คุณหลินตกลงที่จะเลือกให้ครับ แต่เธออยากทราบว่าเพลงที่จับได้ทั้งสองเพลง คือเพลงอะไรบ้าง”
ดวงตาสีฟ้าสดของพิธีกรก้มลงมองกระดาษในมือทั้งสองแผ่น แผ่นแรกเขาอ่านมันอย่างมั่นใจว่า
“Chopin’s Nocturne” อันเป็นเพลงคลาสสิคชื่อดัง ที่มีท่วงทำนองไพเราะของคีตกวีโชแปงผู้ลือชื่อ
เพลงที่นักฟังเพลงคลาสสิคต่างรู้จักเป็นอย่างดี หากอีกแผ่นนั่นต่างหากที่สร้างความลำบากเหลือ
เกินให้กับคนอ่าน มันถูกเขียนและสะกดด้วยภาษาอังกฤษก็จริง แต่เนื้อหาในนั้นไม่ได้เป็นภาษา
อังกฤษเลย
“เอิ่ม...วา..สุ...เร...นา...อิ...เด ผมหวังว่าผมจะออกเสียงมันถูกนะครับ วาสุเรนาอิเดของทีวีเอ็กซ์คิว
เพลงป๊อบใช่ไหมครับ” พิธีกรเองก็เงยหน้าขึ้นถามคนฟังเหรอหรา
ส่วนคนฟังที่นั่งเรียงรายกันอยู่ในนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ อาวุโสแห่งวัยและรสนิยมการฟังเพลงที่แตกต่าง
กัน ไม่ได้ทำให้ความสนใจเฉียดใกล้กับดนตรีร่วมสมัยอย่างเพลงป๊อบเลย
“สงสัยคุณหลินคงจะเลือก Chopin’s Nocturne ล่ะครับท่านผู้ฟัง” พิธีกรหนุ่มสรุปได้เองจากปฏิกิริยา
ของทั้งผู้ฟังและผู้เล่น ที่ต่างนิ่งอึ้งไปกับชื่อเพลงที่สองที่ได้ยินไปตามๆ กัน
“ถ้าอย่างนั้น ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้คุณหลินในเพลงสุดท้ายของคืนนี้...”
หากก่อนที่ชื่อเพลงจะถูกประกาศออกมา น้ำเสียงหวานใสไม่ผิดไปจากเสียงเปียโน ที่ตนเองบรรเลง
ก็ขัดขึ้นมาก่อน เธอเอียงศีรษะไปทางพิธีกร แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการบอกกับผู้ฟังที่ส่งเพลงนี้
มาเป็นตัวเลือก
“ฉันอยากจะฟังเพลง วาสุเรนาอิเดของทีวีเอ็กซ์คิว สักหน่อยน่ะค่ะ”
“เอ่อ...ใครเป็นเจ้าของความปรารถนาในกระดาษแผ่นนี้ครับ” เสียงถามติดตลก
อะไรมันไม่สำคัญเท่ากับความประหลาดใจของแจจุง ที่มีต่อการตัดสินใจของนักเปียโนคนนั้นแล้ว
ที่จริงเธอควรจะตัดเพลงของเขาออกจากสาระบบความจำในทันที ที่ได้ยินชื่อของมัน แล้วเลือกเล่น
เพลง Nocturne ของโชแปง ที่เธอคุ้นเคยและชำนาญมากกว่า
ไม่รู้ว่าคุณหลินคิดอะไรขึ้นมาถึงได้อยากฟังเพลงของพวกเขา
“เจ้าของความปรารถนาครับ ยู้ฮู คุณอยู่ที่ไหน” จนมีเสียงเรียกซ้ำนั่นล่ะ แจจุงถึงจะรู้สึกตัวแล้วลุกขึ้น
ไปที่หน้าเวที
“ผมไม่มีโน้ตดนตรีเพลงนี้เลยนะครับ” เขาบอกกับพิธีกรตรงๆ แต่คนที่ตอบเขากลับมากลับไม่ใช่
พิธีกรคนที่เขากำลังพูดด้วย
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ว่าแต่คุณร้องเพลงนี้ได้หรือเปล่า” เสียงหวานใสถามอย่างนุ่มนวล
“ฉันค่อนข้างมีหูที่ดีสักหน่อย” เธอยกมือข้างขึ้นเคาะที่ใบหูเล็กๆ ของตัวเองแล้วพูดต่อว่า
“ถ้าคุณร้องเพลงนี้ได้ ฉันก็คิดว่าตัวเองคงจะเล่นเพลงนี้ได้เช่นกัน”
แจจุงเคยได้ยินคำที่เขาบอกกันว่านักดนตรีที่ดี นักดนตรีที่เป็นอัจฉริยะ มักจะมีโสตประสาทที่ดี
สามารถแยกแยะโน้ตดนตรีและท่วงทำนองต่างๆ ได้ด้วยการฟังเพียงครั้งหรือสองครั้ง
ในชีวิตของเขาไม่เคยเจอกับคนพิเศษจำพวกนี้เลย
แต่ถ้าคุณหลินจะเป็นคนจำพวกนั้น มันก็สมควรอยู่ ก็ดูฝีมือเปียโนที่น่าอัศจรรย์ของเธอสิ!
“ผมพอจะร้องได้นิดหน่อยครับ” เขาตอบเสียงเบาอย่างประหม่า พร้อมกับนึกภาวนาให้คนที่นั่ง
อยู่ในมินิคอนเสิร์ตตรงนี้ ไม่ให้ใครรู้จักเขา ไม่ให้ใครจำเขาได้ และที่สำคัญอย่าเพิ่งให้ชองยุนโฮ
กลับมาที่โรงแรมตอนนี้เลย
ถ้าขืนยุนโฮเห็นว่า เขายืนร้องเพลงอยู่บนเวที มีแสงไฟส่องจากทุกสารทิศล่ะก็
มีหวังเจ้าเพื่อนรักมันจับเขาไปฆ่าหมกท่อระบายน้ำเป็นแม่นมั่น
“ชื่อเพลงอ่านว่า วาสุเระไนเดะครับ เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่าไม่อาจจะลืมเธอได้”
เขาบอกชื่อที่ถูกต้องของบทเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้นมาก่อน เป็นลำดับแรกด้วยภาษาอังกฤษ
แล้วก็เอี้ยวตัวไปกระซิบกับสาวน้อย ที่นั่งอยู่หลังแกรนด์เปียโนหลังงามด้วยภาษาจีนว่า
“แต่ผมพอจะร้องได้เฉพาะท่อนฮุคเท่านั้นนะครับ” เขาเดาเอาจากชื่อของเธอและใบหน้าเรียวเล็ก
ที่เงยขึ้นมอง ถึงแม้มันจะประกอบไปด้วยดวงตาสีเทาอ่อนอย่างน่าประหลาด แต่ม่านไหมสีดำสนิท
ที่ทิ้งตัวคลอเคลียอยู่ด้านหลังของเธอ ก็ทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอเป็นชาวเอเชีย ที่อาจจะมีส่วน
ผสมของเชื้อสายตะวันตกในร่างกายครึ่งหนึ่ง
และมันก็เป็นความจริงเสียด้วย ใบหน้าเล็กๆ ที่นิ่งเฉยนั้นเริ่มมีรอยยิ้มบางๆ แตะแต้ม เธอพยักหน้า
แล้วก็ตอบกลับมาด้วยภาษาจีนแมนดารินว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
ไม่น่าเชื่อว่า พอรอยยิ้มอ่อนบางคลี่ออกมาแล้ว คุณหลินก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่แจจุงไม่คาดฝันว่า
เด็กหญิงหน้าเฉยคนนี้จะเป็นได้
รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและสว่างไสวทีเดียว และด้วยอะไรสักอย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยตระหนัก
มาก่อน รอยยิ้มเล็กๆ นั้น มันซ่านเข้ามาในหัวใจที่แห้งผากและระโหยของตน เหมือนหยาดน้ำเล็กๆ
ชุ่มชื้นที่ตกต้องผืนดินระแหง
เป็นความอบอุ่นอย่างที่แจจุงไม่คิดว่า ตนเองจะรู้สึกลึกซึ้งได้ถึงขนาดนี้ กับแค่รอยยิ้มของคนแปลก
หน้า
และมันก็ยิ่งทำให้เขา...คิมแจจุงนักร้องชื่อดัง ที่ผ่านเวทีใหญ่น้อยมาเป็นเวลาสิบกว่าปี...ต้องประหม่า
มากขึ้นไปอีก เมื่อรู้สึกว่าตนเองจะต้องร้องเพลงให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง
“kaze ni natte sotto tsutsumitai…ผมอยากจะเป็นสายลมที่โอบกอดคุณไว้ในอ้อมแขนทั้งสองนี้”
แจจุงเริ่มร้องเพลงของเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา มันไม่ค่อยดีนัก หางเสียงของเขาไม่มั่นคงและควบ
คุมลมหายใจไม่ได้เลย เขาร้องเพลงของตัวเองได้เลวร้าย เหมือนกับเป็นเด็กเพิ่งเริ่มจะหัดร้องเพลง
ด้วยซ้ำ
มันแย่ชนิดที่ว่า ถ้าจุนซูได้ยิน คงจะเก็บเรื่องนี้ไปล้ออีกหลายเดือน
แต่เมื่อมาถึงท่อนที่สอง เมื่อเขาข่มความประหม่าลงได้และตั้งใจกับสิ่งที่ร้องมากกว่าเดิม
ความสามารถของเขาก็คืนกลับมาทั้งหมด กังวานหวานของน้ำเสียงนั้นลึกซึ้ง และตรึงผู้ฟังทุกคน
เอาไว้กับเนื้อเพลงที่แปลกหู และท่วงทำนองที่น่าประทับใจได้ในประโยคเดียว
“kimi ga iru sekaini sugutonde yukitai…ผมอยากที่จะโบยบินไปในโลกที่คุณอยู่
aitakutemo aitakutemo…เพราะผมอยากพบคุณ ผมอยากพบคุณ
matte rukara…และผมจะรอคุณเสมอ
tada wasurenaide…เพราะว่าผมไม่สามารถลืมคุณได้เลย”
ที่เขาเลือกร้องเพียงท่อนฮุคสั้นๆ ของเพลงที่ตัวเองแต่ง ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกเสียจาก ถ้าเขายัง
ขืนยืนอยู่บนเวทีนานกว่านี้ ก็รังแต่จะเป็นเรื่องเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น
“มันเป็นเพลงที่ดีมากเลยนะคะ” นักเปียโนสาวคนนั้นบอกเสียงแผ่วเบา ดวงตาสีเทาของเธอช้อนขึ้น
มองแจจุงนิดหนึ่ง แล้วก็พูดชมด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่ใช้ชมเด็ก
“คุณร้องเพลงได้เพราะมากค่ะ ถ้าฝึกฝนมากกว่านี้ ฉันมั่นใจเลยว่าเราจะมีนักร้องที่ดีอีกคนหนึ่ง
ในวงการเพลง”
เป็นคำชมที่ทำให้เจ็บจี๊ดเข้าไปถึงหัวใจทีเดียว มันก้ำกึ่งระหว่างความผิดหวังในการควบคุมตัวเอง
กับความอับอายที่ไม่มีที่มาที่ไป หน้าสวยๆ แดงก่ำไปจนถึงใบหู เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆ
ว่านี่ฉันคิมแจจุงแห่งดงบังชินกินะ อย่ามาชมอะไรบ้าบอแบบนี้ …แต่เขาก็ทำมันไม่ได้
แจจุงได้แต่ยืนฮึดฮัดอยู่บนเวทีอีกพักใหญ่ ข่มความรู้สึกที่อยากจะร้องเพลงแก้ตัวสัก 5 เพลงรวด
ด้วยความยากลำบาก
สุดท้ายที่เขาทำได้ ด้วยความรู้สึกอยากแก้เผ็ดแบบเด็กๆ ก็คือส่งรอยยิ้มหวานๆ ที่เขามั่นใจ
กับอานุภาพของมันนักหนาให้กับนักเปียโนสาว
เขาแค่อยากให้เธออ้าปากค้างเสียกริยาบ้าง ไม่ได้หวังถึงขนาดให้เล่นเปียโนผิดๆ ถูกๆ หรอก
มันดูใจร้ายเกินไปถ้าจะคิดอย่างนั้น
แต่คุณหลินเมินหน้าหนีรอยยิ้มของเขา!
รอยยิ้มที่ไม่มีใครเคยปฏิเสธมันมาก่อน!
นักเปียโนสาวเบือนหน้าไปทางผู้ฟังของเธอ แล้วก็บอกผลการตัดสินใจของตัวเองว่า
“ฉันชอบเพลงที่เพิ่งได้ยินมาก น่าเสียดายที่มันสั้นเหลือเกิน ถ้าอย่างไรขอฉันบรรเลงในรูปแบบ
ของตัวเองนะคะ”
ความรู้สึกราวกับถูกเหวี่ยงไปมา ระหว่างจุดต่ำสุดกับจุดสูงสุด เหมือนกำลังนั่งเครื่องเล่นในสวนสนุก
เป็นอย่างไร แจจุงก็ได้ซาบซึ้งกับมันในตอนนี้นี่เอง จากความรู้สึกเสียหน้าในคำชม ผิดหวังที่รอยยิ้ม
ของเขาที่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเคย กลายเป็นความยินดีเมื่อรู้ว่า คุณหลินเลือกเพลงของเขาแทนเพลงของโชแปง
แจจุงเบิกตากว้างกับคำตอบนั้น ความดีใจท่วมท้นจนเขาแทบจะลอยกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
ทีเดียว
เพลงที่ถูกบรรเลงด้วยฝีมือของนักเปียโนมือฉกาจ ไพเราะและถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงได้ดี
อย่างน่าเหลือเชื่อ คุณหลินจำโน้ตทั้งหมดในท่อนฮุคช่วงสั้นๆ ที่เขาร้องได้จริงๆ และเธอยังทำการ
เรียบเรียงช่วงต้นเพลงที่เขาไม่ได้ร้องให้ฟังขึ้นมาใหม่ อารมณ์ของเพลงเศร้าสร้อยอย่างที่เขาต้อง
การจะสื่อ ซ้ำมันยังบาดความรู้สึกลึกหนักลงไปยิ่งกว่าเดิม เมื่อคุณหลินปิดท้ายเพลงด้วยโน้ตเสียง
สูงที่เสียดแทงใจ แล้วค่อยๆ พรมนิ้วบางๆ เป็นการทิ้งท้าย
เพลง Wasurenaide ได้รับเสียงตบมือดังลั่น มากยิ่งไปว่าเพลงแรกที่เธอเล่นเปิดตัวด้วยซ้ำ
ไม่ว่าใครก็ต่างชื่นชมกับความสามารถของคุณหลิน ที่เหมือนกับเป็นสิ่งอัศจรรย์อันดับแปดของโลก
เธอฟังเพลงนี้ครั้งแรกและก็ใช้เวลาสั้นๆ ในการเรียบเรียงมันขึ้นมาใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนคนที่ยิ้มกว้างและตบมือดังลั่นกว่าใครทั้งหมดนั้น ก็หนีไม่พ้นคนแต่งเพลงอย่างคิมแจจุงไปได้
จบจากมินิคอนเสิร์ต เป็นการพบปะและพูดคุยกับมิตรรักนักฟังเพลง บรรยากาศการจัดงานแบบ
แปลกๆ ก็กลับเข้ามาในห้วงความคิดของแจจุงอีก
เขาเคยเห็นแต่นักดนตรีโค้งคำนับผู้ฟัง แล้วลงมาเสวนากับแขกเหรื่อเหล่านั้นด้านล่างเวที หาก คอนเสิร์ตครั้งนี้กลับมีผู้ฟังยืนต่อแถวกันขึ้นไปหาคุณหลิน ที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม
คุณหลินทักทายคนเหล่านั้นอย่างเอาใจใส่ ซ้ำยังจำได้ด้วยว่าคนที่เธอพูดด้วยเป็นใคร เธอจะเอ่ยชื่อ
เขาทันทีที่คำทักทายจบ แล้วจากนั้นก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับผลงาน และคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นใน
สถานที่ถัดไป
แถวที่ยืดยาว ค่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแจจุงที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย
“สวัสดีครับ”
“คุณนั่นเอง” เธอร้องอย่างดีใจ พลางกวักไม้กวักมือเรียกพิธีกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ให้เข้ามา
“ขอแผ่นบลูเรย์ให้ฉันสักแผ่นเถอะค่ะ”
ภาพที่แปะอยู่บนกล่องใสคือรูปของคุณหลินที่กำลังฟุบหน้าลงบนเปียโน มีแสงแดดอ่อนๆ ทาบทา
อยู่ด้านหลัง ตัวหนังสือเล็กๆ ถูกเขียนเอาไว้ที่มุมหนึ่งด้วยหมึกสีขาว เล่นหางอย่างสวยงามว่า
‘Chopin in Love’
“เป็นผลงานล่าสุดของฉันน่ะค่ะ” เสียงใสบอกอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับยื่นกล่องนั้นมาทางเขา
“คุณคงไม่เคยฟังผลงานของฉันมาก่อนเลย นี่เป็นของที่ระลึกสำหรับการพบกันอย่างไรล่ะคะ”
“คุณทราบได้อย่างไรครับว่าผมไม่เคยฟังผลงานของคุณมาก่อน” แจจุงพลิกของกำนัลขึ้นดู แล้วก็
อดที่จะถามออกไป ด้วยความสงสัยไม่ได้
“ผู้ฟังงานคลาสสิคเป็นกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นเองค่ะ” เธอตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความน้อยอก
น้อยใจในข้อเท็จจริงนั้น
“เมื่อเจอกันบ่อยๆ ฉันก็ย่อมจำพวกเขาได้ทั้งหมด และนอกจากนี้นะคะ” มือเรียวยาวอย่างนักเปียโน
ชี้ไปที่ใบหูของตัวเอง
“คุณมีเสียงที่ไพเราะมาก หากเราเคยเจอกันมาก่อน ฉันย่อมจะจำเสียงของคุณได้แน่นอนค่ะ”
เฟืองจักรอะไรสักอย่าง มันหมุนดังกึกกักข้างในหัวใจของชายหนุ่ม
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาได้รับคำชื่นชมเกี่ยวกับน้ำเสียงของตนเอง จากคนที่เพิ่งจะพบปะกัน
คนที่ชมว่าเสียงของเขาไพเราะนอกเหนือจากหน้าตาที่สวยงาม
“ขอบคุณมากครับ” แจจุงกล่าวคำพูดนั้นออกไปอย่างซาบซึ้ง คำชมนี้มีค่าสำหรับเขามากทีเดียว
“โอ ตายจริงไบรอัน รถมารออยู่แล้วหรือเปล่า” คุณหลินหันไปถามพิธีกรหนุ่มด้วยท่าทางตกใจ
เธอรีบโค้งตัวกล่าวคำขอโทษเขา อย่างระล่ำระลักเมื่อได้ยินคำตอบว่าใช่
“เราจะได้พบกันอีกไหมครับ” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้แจจุงโพล่งประโยคทื่อๆ ที่แสนจะไร้
รสนิยมนั้นออกมา คำพูดที่ยูซอนได้ยินแล้วต้องเบ้หน้าหนี พลางทำเสียงจิ้กจั้กว่ารับไม่ได้
“เอ๋...” คุณหลินก็ชะงักจริงๆ เมื่อได้ยินคำถามของเขา เธอก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้น
มาบอกว่า
“ฉันพักอยู่ที่โรงแรมฮิลตัน” ชื่อโรงแรมห้าดาวราคาแพงระยับของลาสเวกัส
“จนถึงวันมะรืนนี้ค่ะ แต่ไม่มีคอนเสิร์ตที่ไหนอีกแล้ว”
“ผมจะไปหา” ชายหนุ่มบอกอย่างหนักแน่น ความหมายของมันชัดเจนและตรงไปตรงมาอย่างที่คนๆ
หนึ่งจะสื่อออกมาได้
ริมฝีปากสีสดของคนฟังถูกขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงเบาๆ ไม่ผิดไปจากเสียงสาย
ลมพัดรำเพยว่า “ฉันจะรอค่ะ”
จนกระทั่งคุณหลินลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เล่นเปียโนตัวนั้นนั่นเอง แจจุงถึงได้รับคำตอบว่าทำไมคุณหลิน
ถึงเล่นเพลงโดยไม่ใช้กระดาษบันทึกโน้ตเพลง ทำไมคนถึงต้องต่อแถวเพื่อมาทักทายกับคุณหลิน
จนถึงด้านบนเวที
และทำไมรอยยิ้มของเขาจึงไม่ได้ผล...
สุนัขนำทางตัวใหญ่ที่มอบอยู่ตรงเชิงบันไดลุกเข้ามาใกล้ และพร้อมกันนั้น พิธีกรหนุ่มก็ส่งมือนุ่ม
ที่ตนเองประคอง ไปสัมผัสกับสายบังคับของเจ้าตัวโต
...คุณหลินตาบอด!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น