ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เลียบริมฝั่งนที
น่าตายจริงๆ
น่าตายแท้ๆ
เพราะเจ้าน้องโง่เง่าเพียงคนเดียว ที่ทำให้ศิลปินเอกแห่งแผ่นดินอย่างเขา
ต้องตกระกำลำบากถึงที่สุด จนคิดจะร้องไห้ก็ร้องมิออก คิดจะร่ำไห้ก็ร่ำไห้มิได้เช่นนี้
ใครใช้ให้เจ้าจุนซูอยากได้ดอกไม้สีแดงจ้าบนคาคบไม้นั่นกัน ใครใช้ให้คาคบไม้นั่น
เปราะบาง หักง่ายอย่างมิน่าเชื่อเช่นนี้ และที่สำคัญ ใครใช้ให้ข้า คิมแจจุง
ว่ายน้ำไม่ได้กันเล่า
สวรรค์! นี่มันที่ใดกัน?
นัยน์ตากลมโตดำขลับ กวาดมองสภาพรอบกายอย่างกังขา ภาพของพรรณไม้สูงยืนต้น
สีสันแปลกตา รวมกับก้อนศิลาริมตลิ่งน้ำที่หมอบพักอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่คุ้นตาเลย
ไม่ใช่ชุงรยงที่เคยคุ้น ไม่ใช่เส้นทางสัญจรที่เคยผ่านมา
ยิ่งเมื่อไล่สายตาไปตามอาภรณ์สีขาว ซึ่งถูกย้อมด้วยน้ำสีขุ่น จนขมุกขมัวไปทั่วทั้งตัว
แล้ว แจจุงก็ยิ่งแค้นใจนัก โกรธเกรี้ยวจนคิดจะแผดเสียงร้อง ระบายโทสะ
ไปอีกสักหลายคำ
ชุดนี้ตัดมาจากผ้าไหมเนื้อดีเลิศที่ยุนโฮวอนจามอบให้ เป็นไหมสองเส้นสูงค่าราวทองคำเทียวนะ เขาเลือกชุดนี้มาสวมใส่ เพื่อจะไปรับหน้ายุนโฮวอนจาที่ไม่ได้พบกันนานหลายปี
แต่เพราะเคราะห์กรรมแท้ๆ จึงทำให้เสื้อชุดสวยต้องเปรอะเปื้อน จนไม่มีหน้า
จะเอามันไปอวดผู้มอบให้ได้อีก
คิมจุนซู เจ้าน้องโง่ เจ้าจะต้องรับผิดชอบความผิดหวังทั้งหมดของพี่ชาย
โดยไร้ข้อบิดพลิ้ว ถ้ายุนโฮวอนจาถามถึงข้า แล้วเจ้าไม่มอบคำตอบดีๆ ให้พระองค์
กลับไปข้าจะลากลิ้นเจ้ามาสับเป็นพันชิ้น และถ้างานฉลองค่ำคืนนี้ล่ม เพราะฝีมือพิณ
อันเลวร้ายของเจ้าล่ะก็ ให้สับเป็นหมื่นชิ้น ก็ไม่สาสมกับความผิดของเจ้า
และเมื่อใจประหวัดไปถึงงานฉลองอันใหญ่โตของวังพูยง คิมแจจุงก็ได้แต่ถอนใจใหญ่
มือเรียวงามของเขาตีลงไปบนผิวน้ำสีขุ่น จนฟุ้งกระเด็นเป็นฟองฝอย
ป่านนี้ภายในวังพูยงคงจะมีริ้วผ้าประดับหลากสี มีธงทิวเรียงรายเต็มผนัง แขกเหรื่อพร้อม
พรั่งถ้วนหน้า เหล่าขันทีที่รับใช้ชองบูอิน ...พระสนมชองผู้เป็นพระมารดาในยุนโฮวอนจา
คงจะยืนหัวร่อปากกว้าง ด้วยความยินดี ที่ประมุขของวังได้กลับสู่เมืองหลวงของชุงรยง
หลังจากต้องไปกรำศึกกับเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนืออยู่นานหลายปี
แล้วเขามาทำอะไรอยู่ที่นี่เล่า?
ฝีมือพิณอันเหนือล้ำกว่าผู้ใดในแผ่นดินนี้ ควรจะได้ร่วมอวยพรกับวาระอันน่ายินดียิ่งนี้
มิใช่มากลิ้งล้มอยู่ข้างลำน้ำ เพราะปีนไปเก็บดอกไม้ให้เจ้าน้องชายโง่นั่น
โอย ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจนัก
“คิดอย่างไรถึงลงไปเล่นน้ำ” เงาของใครสักคนวูบไหว ผ่านสายตาเข้ามาให้เห็น
และในระหว่างที่เขากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เสียงสนทนาถัดมาก็ดังตามติด
ราวประทัดแตกว่า
“นี่ถ้าเจ้าไม่ตีน้ำเป็นเสียงดัง นายน้อยของข้าก็ไม่รู้หรอกว่า มีคนอยู่ที่ริมตลิ่งนี่
โชคดีเชียวนะเจ้า แล้วลงไปทำอะไรที่ลำน้ำชอนแอ ไม่รู้หรืออย่างไรว่า ถึงจะย่างเข้าสู่
วสันตฤดูแล้ว แต่อากาศในเดือนนี้ก็ยังหนาวเกินกว่าจะให้เจ้าลงไปเล่นน้ำ...”
เสียงดังๆ ที่พูดพรวดรวดเดียวราวเหวี่ยงประคำทั้งสายลงมาชะงักงัน เมื่อเห็นว่าผู้ที่นั่ง
แช่อยู่ในน้ำนั้น ห่างไกลจากการลงเล่นน้ำ ดังคำพูดตนเองหลายขุม
เส้นผมดำยาวเปียกลู่แนบศีรษะ รวมกับริมฝีปากขาวจนซีด ให้ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นการ
ลงเล่นน้ำไปได้ ยิ่งเมื่อกวาดสายตามองลงมายังเสื้อผ้าที่ปกคลุมกาย ซึ่งเปียกมะลอก
มะแลกไปทั้งเนื้อตัวแล้ว หางเสียงที่ใช้ถามต่อมาจึงอ่อนยวบยาบอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้าลุกขึ้นยืนได้หรือไม่?”
ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดท่านก็เห็นว่า ข้าไม่ได้เล่นน้ำ ...แจจุงคิดในใจอย่างประชด
ก่อนจะกวาดสายตามองคนที่เข้ามาใกล้อย่างระแวดระวัง แล้วก็ชักเสื้อคลุมตัวนอก
ที่เปียกน้ำจนโชกชุ่ม เข้ามากระชับตัว
ประสบการณ์เกี่ยวกับความคดของคน มีมากเกินพอสำหรับเขา
ผู้ชายตรงหน้าเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ ตาโปนราวกระดิ่ง และพูดจาเสียงดัง
เหมือนฟ้าร้อง ท่าทางเป็นคนหยาบกระด้างที่คุ้นกับงานใช้แรงงานมากกว่างานหนังสือ
และการที่ฝ่ายนั้นพูดถึง ‘นายน้อย’ ก็น่าจะหมายความว่า เป็นชนชั้นแรงงาน รับใช้เจ้านาย
ตามบ้าน คล้ายพวกทาสในเรือน
ที่ใจชื้นได้เล็กน้อย ก็เห็นจะเป็นชายคนนี้ มิได้พบเขาเพียงลำพังผู้เดียว คล้ายจะมี
ผู้เป็นนายกำกับดูแลอยู่ด้วย
“ข้าไม่แน่ใจนัก” เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงไม่สู้จะมั่นคง พลางขยับขาที่แช่อยู่ในน้ำ
เป็นเวลานานขึ้นมา มีรอยถลอกเล็กน้อย สภาพพอใช้ แต่เมื่อเอียงขาไปด้านหนึ่ง
ถึงค่อยพบว่าอาการเจ็บ แปลบแล่นขึ้นมา ยากจะทานทน
“โอ๊ย”
“เกิดอะไรขึ้นแทรัง” เสียงถามจากด้านบนตลิ่ง พร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าขยับกุกกัก
คนที่ถูกเรียกว่าแทรังชะเง้อมองขึ้นไปด้านบน แล้วก็ตอบกลับไปด้วยการตะโกน
อย่างนอบน้อมว่า
“ท่าทางจะเจ็บหนักขอรับนายน้อย ขยับขาแล้วอาจจะหัก”
“ไม่หัก” แจจุงตะโกนสวนขึ้นมา หน้าผิดสี ลอบร้องในใจว่าไม่ได้การ
เขายอมให้ตัวเองขาหักไม่ได้หรอก หากขาหักต้องพักฟื้นเป็นเวลานานหลายเดือน
จะไม่ได้พบกับยุนโฮวอนจาที่กลับมาจากภาคเหนือ ซ้ำร้ายเผื่อเขากลับไปยังเมืองหลวง
ยุนโฮวอนจาที่เร็วดั่งพระพาย อาจจะนำทัพกลับไปเฝ้าด่านทางภาคเหนือ
ที่แสนทุรกันดารก่อนเสียแล้ว
เรื่องนี้ยอมไม่ได้เป็นอันขาด!
“ขาไม่หัก ก็ขาไม่หัก ไหนลองขยับสิ” ชายฉกรรจ์คนนั้นว่า พลางยกมือขึ้นกอดอก
ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะเข้ามาช่วยพยุงอะไรแม้แต่น้อย
นึกไม่ถึงเลยว่า วันตกอับเช่นนี้ จะเกิดกับคนอย่างคิมแจจุงได้ด้วย
เขาขบกรามกรอด พยายามยันตัวเองขึ้นจากก้อนหินที่ทั้งลื่น ทั้งกลมเกลี้ยง
ด้วยความยากลำบาก แต่พักเดียวก็กลิ้งโค่โล่ แอ้งแม้งอยู่กับกองหินเหมือนเดิม
ชายคนนั้นนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังซ้ำเติมด้วยการหัวเราะเสียงดังลั่น ชอบใจ
ร้องบอกคนเป็นนายที่ยังยืนม้าอยู่บนตลิ่งว่า
“ลุกไม่ได้ขอรับนายน้อย”
“ไหนให้ข้าดูสิ” ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า นายของชายคนนั้นกลับมีการกระทำที่ว่องไว
ราวปาฏิหาริย์ ไม่ทันจะสิ้นเสียงเจรจา ร่างสูงในชุดคลุมสีเข้ม ก็พลิ้วกายลงมา
ที่ริมน้ำแล้ว
สิ่งซึ่งแจจุงได้เห็นในช่วงเวลาพริบตาเดียว ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกอุ้มขึ้น เหมือนกับเป็น
ปุยนุ่นสำลีเบาหวิวในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ก็คือดวงตาคมเข้มดำสนิทบาดตา
เปล่งประกายเจิดจ้าอย่างยิ่งคู่หนึ่ง เป็นประกายตาร้ายกาจ ที่ราวกับเล็งแลทุกสิ่ง
ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และล้วงควักลมหายใจของผู้เผลอจ้อง ไปในชั่วอึดใจเดียว
แจจุงรู้สึกเหมือนกับถูกกระแทกใส่เต็มแรงเข้าที่หัวใจ
ชายคนนั้นอาจไม่ได้มีบุคลิกนุ่มนวล อ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความสง่างาม
อย่างยุนโฮวอนจาที่แจจุงเคยคุ้น แต่ผู้ชายคนนี้เหมือนรูปหล่อจากโลหะ ที่หยัดยืนอย่าง
องอาจ หยิ่งผยอง เหมือนรูปสลักจากไม้เนื้อแข็ง ที่ใช้คมดาบสลัก จนทุกเส้นสาย
บนใบหน้าคมคายเด่นชัดขึ้นมา
“เจ้าพอจะขยับเท้าได้หรือไม่” น้ำเสียงราบเรียบถามขึ้นแผ่วเบา
แจจุงลองขยับเท้าตามคำแนะนำนั้น และเมื่อขยับมาถึงตำแหน่งที่เจ็บ มือแข็งแรงของ
ชายหนุ่มก็เลื่อนมากุมที่ข้อเท้าของเขาเอาไว้
“เจ้าอาจจะเจ็บสักเล็กน้อย” คำเตือนมาก่อนการขยับมือแค่เสี้ยววินาที
และพอแจจุงสะดุ้งเฮือก จะร้องออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแล้ว
“ลองขยับดูอีกทีสิ” ชายคนนั้นออกคำสั่งอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด หรืออาจจะจริงอย่างที่ใครต่อใครว่ากันว่า มีคนบางประเภท
มีคนบางจำพวก ที่มีบุคลิกเป็นผู้นำในตัว คนพวกนี้จะมีกริยาผึ่งผาย ทรงอำนาจ
พูดจาอะไรก็สามารถทำให้คนคล้อยตาม ทำตามคำสั่งนั้นได้ง่ายๆ
…และคนที่นั่งคุกเขาต่อหน้าแจจุง ก็อาจจะเป็นคนประเภทนี้ จึงทำให้คิมแจจุง
ศิลปินเอกผู้รังสรรค์บทเพลงไพเราะจำนวนมหาศาล อย่างที่ใครต่อใครยกย่อง
และดื้อดึงอย่างร้ายกาจกว่าลาดื้อ ดังที่คิมจุนซูน้องชายคนเดียว อธิบายคำจำกัดความ
ของผู้เป็นพี่ชายไว้ ยอมทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี
แจจุงขยับเท้าช้าๆ แล้วก็ประหลาดใจยิ่งนักว่า อาการเจ็บของตนเองหายไปแล้ว
“ไม่เจ็บแล้ว” เขาร้องว่าอย่างยินดี ขยับริมฝีปากสีสดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
ยากจะรั้งใจได้
รอยยิ้มนี้ไม่ได้ออกมาจากเรียวปากงามเพียงอย่างเดียว หากแต่เมื่อแจจุงยิ้ม
ทุกสิ่งสรรพบนร่างกายของเขาก็คล้ายจะแย้มยิ้มตาม ไม่ว่าจะเป็นการวาดมือวาดเท้า
เส้นผม กระทั่งปลายนิ้วเรียวดั่งลำเทียน ที่เกาะกุมชายเสื้อคลุมอย่างเก้งก้าง ก็พลอยยิ้ม
อย่างอ่อนหวาน ประกายวาววับบนดวงตากลมโต เรื่อเรืองราวกับส่องแสงแทนจันทรา
บนห้วงเวหาหาว
เป็นคิมแจจุงผู้งดงามยิ่งกว่าบุปผา เป็นชายผู้ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในแผ่นดิน
ไม่มีใครต้านทานรอยยิ้มหวานล้ำดั่งน้ำผึ้งรวงเช่นนี้ได้ และบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา
เช่นกัน ชายผู้นั้นกดรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากหยักลึก
“เจ้าพลัดหล่นลงมาที่ลำน้ำชอนแอหรือ”
นัยน์ตากลมโตกลอกไปมาอย่างขบคิดรอบหนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปอย่างขัดเขินว่า
“ข้าไม่รู้ว่าลำน้ำแห่งนี้เรียกว่าชอนแอ ชื่อช่างน่าฟังนัก”
“เหตุที่ได้ชื่อว่าชอนแอ...ฟ้ารัก เพราะหากมองแม่น้ำนี้ยามค่ำคืน ผืนน้ำจะเป็นดั่งกระจก
เงา ที่สะท้อนทุกสิ่งสรรพบนผืนฟ้าลงมา หมู่ดาริกาจะทอแสงพรับพราวบนเกลียวคลื่น
รายล้อมดวงเดือนดั่งอารักษ์ ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนั้น โค้งฟ้าจึงรักสายนทีแห่งนี้นัก
อย่างไรเล่า” ท่วงทำนองของวาจาที่เรื่อยผ่านหู ไพเราะดั่งบทกวีสูงค่า
แจจุงฟังที่มาของชื่อนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ปานละเมอ
“ข้าพลัดหล่นลงมาในน้ำ โดยไม่รู้สักนิดว่ามันมีชื่อว่าอะไร” ริมฝีปากสีสดขบเม้ม
เข้าหากันน้อยๆ พร้อมกับถอนใจใหญ่
ขบวนรถที่เขาและจุนซูเดินทางมา แล่นผ่านหลายแคว้นเหลือเกิน ในฐานะของศิลปินเอก
ฝีมือฉกาจ มีผู้คนมากมายต้องการรับฟังบทเพลงไพเราะ ที่ถูกขับขานด้วยเสียงร้องล้ำค่า
ของจุนซู และสดับเสียงพิณ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินของเขา
ดินแดนเหล่านั้น ที่รอยเกวียนบดผ่าน กีบม้าเหยียบย่ำ ผ่านแล้วก็ผ่านเลยดุจกระแสน้ำ
ที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ในความทรงจำ
เขาไม่เคยได้รับรู้ที่มาและชื่อเสียงเรียงนามแห่งดินแดนใดเลย ที่จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่า
เขาไม่เคยใส่ใจสิ่งใดนัก ด้วยใจทั้งหมดของเขา จรดจ่ออยู่กับชุงรยงบ้านเกิด
ผนึกอยู่กับชุงรยงวอนจา สลักแน่นอยู่กับประมุขแห่งวังพูยง ตั้งแต่แรกเริ่ม
จรดถึงกาลปัจจุบัน
ใช่น่าเสียดายหรือไม่ ที่ได้แค่ก้าวผ่าน แล้วหลงลืม
ใช่น่าสมเพชหรือไม่ ที่ขาดความใส่ใจกับทุกสรรพสิ่งแวดล้อม
“น่าเสียดายเหลือเกิน” ความคิดนั้นจบสิ้นลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจอีกครา
...รู้สึกว่าตนช่างโง่งมนัก
ลมต้นฤดูวสันต์แม้จะไม่เหน็บหนาวเท่ายามเหมันต์ แต่การแช่อยู่ในน้ำเป็นระยะเวลานาน
ก็ทำให้ร่างกายซึ่งไม่ได้ผ่านการฝึกสรรพาวุธใดๆ ต้องห่อตัวเข้าหากัน
รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัววูบขึ้นทันที
ชายหนุ่มคนนั้นหยัดตัวขึ้น สะบัดเสื้อคลุมสีเข้มของตนเองออก แล้วคลี่คลุมผ้าลงกับ
ร่างซึ่งเปียกโชกเพียงแผ่วเบา ท่าทางนุ่มนวล ตัดกับใบหน้ากระด้างและคำสั่ง
ซึ่งบอกกับชายชื่อแทรังอย่างเด็ดขาดนัก
“ไปหาไม้มาก่อไฟก่อน คุณชายท่านนี้กำลังไม่สบาย”
“นายน้อยขอรับ...” ดวงตาโปนปานกระดิ่ง เหลือบสายตาขึ้นมองท้องฟ้าใกล้พลบ
อย่างกังวล
“กำหนดนัดหมาย...”
“อีกสองวัน หรือว่าเจ้าไม่มั่นใจฝีเท้าอาชาของเจ้า”
แทรังส่ายศีรษะ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักสิ่ง แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบ
ดุจกระบี่ของผู้เป็นนายแล้ว ก็ต้องผงกศีรษะรับอย่างจำนน
สะเก็ดไฟสีส้มลูกเล็กๆ กระเด็นตัวออกห่างจากกองเพลิงลุกโชน ประกายรังสีอุ่นร้อน
ช่วยทำให้เนื้อตัวที่เปียกชุ่มของแจจุงสบายขึ้น เสื้อผ้าของเขาแห้งหมดแล้ว เหลือก็แต่
ผมยาวซึ่งทั้งยาวทั้งหนาราวม่านไหม ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร
จึงจะแห้งทั้งหมดก็ไม่รู้
แจจุงเหยียดตัวยาวๆ อย่างเกียจคร้าน ไอร้อนอันอบอุ่น ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ราวกับดักแด้
ในรังไหมแสนอ่อนนุ่ม สบายเนื้อสบายตัวไปหมด แล้วก็ทำให้ง่วงงุนขึ้นมา
แทรังไม่ได้กลับมามือเปล่าแค่กิ่งไม้ก่อไฟดังคำสั่ง แต่ผู้ชายมือเท้าหยาบคนนั้น
ยังมีความคิดละเอียดอ่อน รอบคอบ ผิดกับท่าทางกระด้างนัก
แทรังหิ้วหูกระต่ายที่ถูกถลกหนังมาแล้วสองตัว กับสมุนไพรเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่หาได้
ตามชายป่า มีสรรพคุณในการบำบัดอาการไข้อย่างง่ายมาด้วย
หลังจากส่งห่อยาให้กับคนเป็นนายแล้ว ก็จัดแจงก่อกองไฟย่างกระต่ายทั้งสองตัวทันที
เพียงไม่นานเนื้อหอมๆ ที่ชโลมเกลือและเครื่องเทศบางชนิด ก็ถูกแล่มาวางบนใบไม้
สะอาดข้างๆ ตัว
แจจุงมองท่าทีสงบ รอรับการปรนนิบัติของผู้ชายคนที่นั่งข้างๆ อย่างจับสังเกต
เขาเติบโตมาในฐานะของศิลปิน ที่ผ่านการฟูมฟักอย่างดีจากวังหลวงของชุงรยง
แคว้นซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเอกด้านวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง จึงรู้เห็นอะไรกว้างขวาง
ผิดท่าทางซื่อๆ ของตนเอง
ดวงตาดำขลับกวาดมองปราดเดียวก็เห็นได้ว่า ภายใต้ท่าทีเรียบเรื่อย ไม่ถือตัว
ของชายหนุ่มคนนี้ ยังมีเค้าของความสูงศักดิ์และหยิ่งผยอง ผิดจากลูกผู้มีอันจะกินทั่วไป
...แล้วไหนจะยังเสื้อผ้าที่ชายคนนั้นสวมใส่อีก
แจจุงไล้นิ้วเบาๆ ไปบนอาภรณ์สีเข้มที่ห่อคลุมร่างของเขาไว้
ภายใต้ผ้าสีขาบ ที่ดูพื้นๆ เหมือนจะเป็นผ้าสีเข้มไร้ลวดลาย แต่เอาเข้าจริง
เมื่อได้มองใกล้ๆ ได้เอื้อมมือจับ ถึงได้รู้ว่า แม้เสื้อคลุมนี้ไม่ได้ตกแต่งหรูหรา
แต่ในความเรียบง่ายกลับแสดงออกถึงความสูงศักดิ์อย่างเด่นชัด ตั้งแต่ลายทอนูน
ในเนื้อผ้าละเอียดยิบ ไปจนถึงเนื้อผ้าชั้นเลิศ นุ่มเบาหากอบอุ่น
เสื้อไหมสองเส้นของเขา ต่อให้ดีเลิศเช่นไร เมื่อมาเปรียบเทียบกับเสื้อคลุมที่ดูพื้นๆ ตัวนี้
ก็ต้องยอมรับ แม้จะต้องฝืนใจผงกศีรษะนักว่า เป็นรองอยู่ชั้นหนึ่งจริงๆ
ชายผู้นี้เป็นใครกัน?
นายน้อยของแทรัง เป็นอำมาตย์ใหญ่ของแคว้นใดอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าเป็นราชนิกูลของสักแว่นแคว้น?
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดเล่า? จึงเร่ร่อนอยู่ในโลกกว้างเพียงลำพังกับคนสนิท
เพียงสองคน
“เจ้าจะกินยาก่อน หรือว่าจะกินอาหารพวกนี้ก่อน”
แจจุงเกลียดยา เกลียดมากที่สุดเป็นอันดับที่สาม รองลงมาจากความเจ็บปวด
และการพ่ายแพ้ ดังนั้นอย่าฝันเลยว่า ยาขมๆ ที่ถูกต้มรวมกับชาร้อนๆ ในถ้วยดินเผา
ตรงหน้าจะผ่านเข้าไปในคอของเขาได้
เนื้อกระต่ายหอมอบอวล ถูกมือเรียวคว้าส่งเข้าปากอย่างไม่รอรี รสมือของแทรัง
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แจจุงประหลาดใจซ้ำได้อีกครั้ง
กระทั่งห้องเครื่องของวังพูยง ก็ไม่อาจรังสรรค์ให้เนื้อย่างง่ายๆ มีรสชาติเหนือล้ำ
ไปกว่านี้จริงๆ
ขณะเค้นสมองคิดที่มาของนายบ่าวสองคนนี้อย่างเคร่งเครียด มือของแจจุงก็คว้าเนื้อย่าง
ที่เฉือนเตรียมไว้เข้าปากไม่หยุด แล้วก็รับชาร้อนที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างเอาใจ
ขึ้นจิบดื่มเป็นระยะ
กระทั่งเนื้อที่วางบนใบไม้หมด กระเพาะที่หิวโหยได้รับการเติมเต็มอย่างล้นปรี่
และถ้วยชาที่อยู่ในมือถูกยกดื่มจนหมด แจจุงถึงค่อยรู้สึกตัวว่า ชาผสมยาแก้หวัด
ที่ตนเองตั้งปณิธานจะไม่ดื่ม หมดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“อาการไข้ของเจ้าดีขึ้นหรือไม่”
ดวงตาที่ราวกับเปล่งประกายแสงระยิบระยับได้ ทอดมองเขาอย่างอ่อนโยน
จนเคอะเขิน แจจุงเก้อจนไม่รู้จะวางมือเอาไว้ที่ไหนดี
จึงได้แต่หลุบนัยน์ตาดำขลับของตนเองลงกับพื้น แล้วก็เม้มปากตอบเสียงเบา
ปานกระซิบออกไปว่า
“ก็...ดีขึ้น”
“เจ้าพลัดหลงจากพวกพ้องตั้งแต่เมื่อไร”
ตั้งแต่เมื่อใด? แจจุงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่ครึ้มดำ แล้วก็ต้องสะดุ้งอย่างตระหนก
สวรรค์! ข้าปีนไปเก็บกล้วยไม้ป่าให้กับจุนซูเมื่อยามเช้า ในตอนนั้นแสงสุริยา
ยังเรื่อเรืองอยู่ในบูรพทิศ แล้วข้าก็พลัดหล่นลงมาในน้ำท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
ของเหล่านางรำ และเจ้าน้องชายตัวดี บัดนี้ล่วงเข้าสู่สนธยากาล ของวันและ
เวลาที่ไม่รู้ว่า ผ่านมานานเท่าไร
“มันจะยังเป็นขึ้น 14 ค่ำ ของเดือน 5 ใช่หรือไม่”
“เจ้าถามว่าเป็นวันใด” ริมฝีปากหยักลึก ขยับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มด้วยความขบขัน
“มันไม่เหมือนนิทานที่เขาเล่ากันหรอกว่า พลัดลงไปในน้ำแล้วจะผ่านวันเวลา
เป็นร้อยเป็นพันปี”
คำตอบยั่วเย้าอย่างร้ายกาจ เรียกโลหิตให้ซ่านขึ้นบนวงหน้าลออเป็นริ้วสีสด
แจจุงก็ไม่ได้คิดไปจนถึงเรื่องเล่าอย่างนิทานที่ถูกเย้า เขาแค่คิดว่าตัวเองพลัดหลง
มากับน้ำสักวันหรือสองวันเป็นอย่างมาก ไม่ได้คิดเหลวไหลอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาจริงๆ
และปกติคนที่โดนโจมตีด้วยคำพูดเหล่านี้ จะเป็นจุนซู ไม่ใช่เขา
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ตกน้ำในวันนี้ นอกจากจะทำให้ความสง่างามเยี่ยงศิลปินเอกของเขา
หายไปแล้ว ยังเพิ่มท่าทางโง่เง่า ราวกับเด็กเหมือนจุนซูให้อีกเท่าตัวหนึ่ง
“ตกลงยังเป็นขึ้น 14 ค่ำ ของเดือน 5” แจจุงระงับอารมณ์แล้วเอ่ยออกมาในที่สุด
“ยังเป็นขึ้น 14 ค่ำ ของเดือน 5” คู่สนทนาของเขารับคำด้วยประโยคง่ายๆ
แล้วก็ชี้ให้อีกฝ่ายหนึ่งมองดูในน้ำใส
“เห็นพระจันทร์ไหม มันใกล้จะเต็มดวงแล้ว”
เงาจันทร์ในเงาน้ำเปล่งประกายนวลใย เส้นรังสีสีเงินเลื่อมพรายอาบผิวน้ำ
ย้อมให้ท้องน้ำสีเข้มสว่างวาบราวทิวาวาร ดาวดวงน้อยบนโพ้นฟ้าซึ่งรายล้อมรอบจันทรา
สาดรังสีแสงสีทองระยิบ กะพริบวิบวับดุจยั่วเย้าบนผืนน้ำ มันโยนตัวบนเกลียวคลื่นแผ่วเบา พร่างพรายขยับไหวในสายน้ำ ดั่งสร้อยเพชรที่รายร่วงลงบนเส้นผมแห่งราตรีกาล
แจจุงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดลำน้ำแห่งนี้จึงมีชื่อว่าชอนแอ
เหตุใดฟ้าจึงรัก ผืนนทีสายนี้
เพราะมันสะท้อนให้ฟ้างดงามกว่าที่เป็น ทำให้ฟ้าซึ่งมัวหม่นสว่างสุกใส
เพราะมันรักท้องฟ้า จึงทำให้ฟ้านั้นยิ่งงดงาม ยิ่งสูงค่า กว่าผู้ใด
และเพราะมันรักท้องฟ้า ท้องฟ้านั้นจึงรัก
“ราตรีงดงามถึงเพียงนี้” แจจุงได้แต่ถอดถอนใจ นึกอยากได้พิณคู่กายมาวางตั้ง
ข้างๆ เหลือเกิน
ครั้นแล้ว เสียงขลุ่ยวิเวกหวานสำเนียงหนึ่ง ก็ลอยล่องผ่านเข้ามากลางท้องฟ้า มันหวาน
ล้ำ หยาดย้อยราวกับจะรินดื่มได้ เสียงขลุ่ยนั้นบอกเล่าถึงความงามอันสงบของราตรีกาล
โลมไล้ด้วยเสียงแว่วหวานดุจอาบไล้ประกายจันทรา นุ่มนวลแผ่วเบาดั่งสายลมที่พัดแผ่ว
แตะผิวกาย แล้ววูบไหวจางไปในความมืดอันหม่นงาม
เพลงนั้นให้ความรู้สึกประหนึ่งได้รินดื่มยอดสุราชั้นดี ที่ทำให้เคลิบเคลิ้มมึนเมา
อย่างมิอาจหักห้ามใจได้
ไพเราะ กำซาบเข้าไปในโสตประสาทอย่างยากจะลืมเลือน
แจจุงชอบการบรรเลงพิณและดนตรีเป็นอันดับสอง รองจากยุนโฮวอนจา
เขาชอบความรู้สึกเวลาที่ได้พรมนิ้วลงบนเส้นสายที่ขึงตึงของพิณไม้ เพียงสะบัด
กรายนิ้วแผ่วเบา เสียงไพเราะซึ่งหลากหลั่งดุจกระแสน้ำ ดุจมุกที่ร่วงหล่นบนจานหยก
ก็จะบังเกิดขึ้น
เขาชอบเสียงดนตรี ยิ่งเป็นดนตรีที่ผู้อื่นบรรเลงแล้วฟังได้ไพเราะจับใจ เพลงนั้นแจจุงจะ
ยิ่งชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
“ท่านเป่าขลุ่ยได้ไพเราะนัก”
“เพราะผู้รับฟัง เป็นผู้รู้สำเนียง เพลงนั้นจึงไพเราะ”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของแจจุงไหวระทึก
...เพราะเป็นผู้ที่รู้จักการรับฟัง และเป็นผู้ฟังที่เข้าใจบทเพลงอย่างถ่องแท้ เสียงดนตรีนั้น
จึงไพเราะ... คือความหมายที่เร้นอยู่ในถ้อยคำดังกล่าว
ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา เป็นบุคคลที่ยากจะรับมือด้วยจริงๆ เพียงคำชมที่ออกปากง่ายๆ
ก็ได้รับคำตอบยอกย้อน ให้ต้องใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งกลับมา หากแจจุงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
นายน้อยของแทรังผู้นี้ มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบคม สมควรแก่การยกย่อง และสมควรให้
เจ้าตัวหยัดยืนได้อย่างผยองจริงๆ
ใบหน้าวางเฉย ไม่ได้ทำให้ความคมสันจับตา หมองด้วยความสามัญเลย ด้วยเสน่ห์ใน
ความลึกลับ ด้วยประกายที่งำใต้ท่าทางเฉยชา คล้ายดั่งมังกรที่จำแลงกายลงมาเที่ยว
ท่องบนพื้นพิภพก็ไม่ปาน
“ที่นี่คือที่ใด” แจจุงถามชายหนุ่มคนนั้นเสียงเบา และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือประกายตานุ่ม
นวล ราวกับจะรัดรึงเอาไว้ทั้งร่าง ริมฝีปากหยักลึกคล้ายจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“ริมฝั่งแม่น้ำชอนแอ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นชินอุนและแทซัน”
ดวงตากลมโตเบิ่งกว้าง ตกตะลึงแทบสิ้นสติ
ต้นไม้ที่มีกล้วยไม้สีแดงสดเกาะอยู่บนคาคบ เป็นต้นไม้ในป่าละเมาะ ตรงรอยต่อระหว่าง
เขตแดนแคว้นชุงรยงและวูยอง ใต้ต้นไม้นั้นเป็นลำธารเล็กๆ ที่ไม่สู้จะลึกมาก
สายน้ำ ซัดเขามาไกลถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“มันไม่ได้เข้ามาในเขตที่ลึกหรอกนะ” ชายหนุ่มหักกิ่งไม้ขึ้นมาวางแผนที่หยาบๆ บนพื้น
ดินให้ดู เขาลากเส้นสายคร่าวๆ เป็นแม่น้ำชอนแอ แล้วก็ชี้ไปที่รอยต่อระหว่างสี่แคว้น
ที่มีจุดเชื่อมเป็นภูเขาสูง
“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากชุงรยง หรือวูยอง ใช้เวลาประมาณครึ่งวันเลียบตามลำน้ำ
ก็จะมาถึงที่นี่ได้”
แจจุงกัดริมฝีปากอยู่พักใหญ่ แล้วก็ถามออกไปว่า “ท่านทราบได้อย่างไรว่า
ข้ามาจากชุงรยง หรือวูยอง”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางกวาดสายตามองร่างที่ห่อตัวในชุดคลุมของเขา
อย่างพินิจ “ที่จริงข้าควรจะถามว่า เจ้ามาจากชุงรยงหรือไม่ด้วยซ้ำ หรือมิใช่”
“ข้าเป็นคนชุงรยงจริง” ดวงหน้าใสพยัก หากถามย้ำ
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าเป็นชาวชุงรยง”
“ชุงรยงเป็นดินแดนทางเหนือ ติดกับเทือกเขาสูง มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ผิวพรรณ
ของคนที่นั่นย่อมขาวจัดกว่าคนในแคว้นอื่น แตกต่างจากชินอุนและวูยองที่อยู่ในเขต
แดดจัด ชาววูยองที่อยู่ติดทะเล มักจะมีผิวสีนวลและผมสีอ่อน จากลมทะเลและแดดร้อน
ส่วนชินอุนที่ลึกเข้ามาในแผ่นดินจะคล้ำกว่าเผ่าอื่น สูงเพรียวและกระด้าง
เพราะอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งแล้งกว่า แดดจัด กึ่งจะเป็นทะเลทราย...”
“ในขณะที่แทซัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีภูเขามาก แต่กลับมีที่ราบระหว่างเขา สำหรับทำการ
เพาะปลูกมากที่สุด ได้รับลมฝนอย่างทั่วถึง คนของเขาจึงมีผิวค่อนข้างเหลือง
และรูปร่างท้วมกว่า” แจจุงพูดต่อประโยคที่ขาดหายไป ไล่เรียงสิ่งที่เคยผ่านหู
และสายตามาอย่างคล่องแคล่ว
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เขาเคยได้ท่อง ได้เรียนรู้พร้อมๆ กับการหัดเล่นพิณ ตั้งแต่ครั้งอยู่ในวัง
หลวงของชุงรยง อาจารย์ทั้งหลายกวดขันความรู้เหล่านี้ เสียจนแทบจะละเมอ
ท่องออกมายามหลับได้ แต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจที่จะนำความรู้เล่านี้ มาใช้ในชีวิตจริง
แม้สักนิด
ทั้งๆ ที่ได้ย่ำเท้าผ่านดินแดนเหล่านั้น ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังสะเพร่า ขาดความสังเกต
อย่างที่ควรจะเป็น ดังที่ยุนโฮวอนจาล้ออยู่ร่ำไป
ริมฝีปากสีสดเผยอเป็นรอยยิ้มอย่างลืมตัว เมื่อหวนระลึกถึงภาพความหลังอันแสนสุข
ซึ่งยังแจ่มชัดในความทรงจำ ไม่มีลบเลือน
ในนาทีนั้นคล้ายทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนเวียนกลับไปยังวันวาน ไม่มีลำธารสีเข้ม ไม่มีเงาไม้
น่ากลัว ไม่มีราตรีที่มืดครึ้ม หากแต่เป็นวังหลวงแห่งชุงรยง สถานที่ซึ่งใช้ฝึกศิลปิน
เรืองนามมากมายสู่แผ่นดิน
ชุงรยงชอนฮาโปรดงานศิลปะ โดยเฉพาะงานคีตศิลป์ วังหลวงแห่งชุงรยงจึงคลาคล่ำ
ด้วยเหล่าศิลปิน ทั่วทุกถิ่นแคว้นยาตราเข้ามา ในสถานที่นั้นมีการบ่มเพาะ เสาะหาเด็ก
น้อยผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์จากหมู่บ้านต่างๆ มาฝึกและสรรค์สร้างพรแสวงแก่พวกเขา
แจจุงและจุนซูน้องชายเป็นบุตรของข้าหลวงจากดินแดนแถบตะวันออก เขาและน้องชาย
ได้แสดงพิณร่วมกับการขับร้อง เพื่อเป็นการต้อนรับชุงรยงชอนฮาและชุงรยงชุงจอน
ตามคำสั่งของผู้เป็นบิดา และเมื่อเสียงปรบมืออันลือลั่น ยาวนานอย่างต่อเนื่องสิ้นสุดลง
เด็กชายตระกูลคิมวัย 5 และ 4 ปี ทั้งสองคน ก็ได้รับคำสั่งให้ติดตามกลับไปยังเมืองหลวง
ของชุงรยง เข้าสู่การฝึกฝนเพื่อเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว
แจจุงชอบการเล่นพิณ ในขณะที่จุนซูผู้น้องชอบการขับขาน หากสิ่งที่เหมือนกันในตัว
สองพี่น้อง นอกเหนือจากสายเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายแล้ว คงจะมีเพียงสองสิ่ง
คือพรสวรรค์ที่ราวกับสวรรค์จะบรรจงสร้างขึ้นมา กับการหลบซ่อนหน้าตา
ราวกับคนอัปลักษณ์ ผู้หวาดกลัวกระทั่งเงาของตนเอง
ใช่เพียงหวาดกลัวเงาของตน หากทั้งแจจุงและจุนซูชังความงามของตนนัก
ไม่มีใครใส่ใจกับเพลงที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นมา หากเปิดเผยหน้าตาขณะบรรเลงเพลง
จะมีแต่คนที่จับจ้องใบหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม มองอย่างมัวเมาด้วยราคะจริต
ทอดตาทั่วแผ่นดิน เสียงพิณและการขับร้องเช่นนี้ มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง หากผู้ที่ได้ยล
ใบหน้างดงามหลังม่านไม้ไผ่ของเจ้าของคำร่ำลือนามอุโฆษ กลับมีน้อยกว่าน้อย
แต่ที่น้อยกว่าน้อยเหล่านี้ กลับยังมีผู้หนึ่ง เจ้าของดวงตาเรียวยาว สุกใสดั่งดาว
ประกายพรึก ผู้ที่จับใจของคิมแจจุงตั้งแต่แรกพบ
ยุนโฮวอนจา โอรสองค์แรกในชุงรยงชอนฮากับชองบูอิน
องค์ชายที่ชื่นชมเสียงพิณของแจจุงได้ไพเราะกว่าผู้ใด ผู้ที่กระซิบข้างหูบอกว่า
‘ปักษาสวรรค์จะต้องทอดถอนใจ หากได้ยินเสียงพิณของท่าน’
...นานเพียงใดแล้วหนอ ที่คิมแจจุงผู้นี้ไม่ได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลของท่าน ยุนโฮวอนจา
นับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ภาคพื้นพายัพ ดูแลความสงบ
ของดินแดนแถบเหนือที่ร้างไร้ และเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความไม่สงบ
และสงครามของเผ่าเร่ร่อนต่างๆ ใช่หรือไม่
...นานเพียงนั้นจริงๆ
“ดึกมากแล้ว เจ้านอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้า ข้ากับคนสนิทจะช่วยกันหาหนทาง
พาเจ้ากลับไปหาพวกพ้อง” เสียงบอกแผ่วเบา พร้อมกับเงาร่างสูงนั้นกดไหล่ของเขา
ลงกับรากไม้แทนหมอน
“ข้าอยากทราบนามของท่านผู้มีพระคุณได้หรือไม่” แจจุงส่งเสียงถามขึ้นมาในความเงียบ
เขามองร่างที่ทั้งสูงทั้งหนากว่าตัวเอง ที่นั่งพิงต้นไม้ จ้องมองไปบนท้องฟ้า
ที่มีจันทร์สกาวอย่างเผลอไผล
เสี้ยวหน้าคมคายที่เบือนกลับมามอง อาบแสงไฟอมส้มเรื่อเรืองคมสันจับตา
“นามนั้นสำคัญนักหรือ”
“หากท่านไม่ตั้งชื่อต่อทุกสิ่งสรรพ แล้วจะเรียกขานมันอย่างไรเล่า ต้องเรียกว่านั่น นี่
ไม่รู้จบสิ้นหรือ” เสียงใสย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว ส่วนชายคนนั้นเพียงรับฟัง
แล้วพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า
“แล้วหากท่านเรียกไฟกองนี้ว่าน้ำ แล้วมันจะเย็นฉ่ำชื่นใจไหม หากท่านชี้ไปที่จันทรา
แล้วเอ่ยว่าเจ้าคือดวงอาทิตย์ แสงเพ็ญนวลผ่องจะสว่างจ้าขึ้นมาได้ไหม นามนั้นไม่
สำคัญเลย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่มันเป็น ท่านอยากเรียกข้าว่าเช่นไรจงเรียกเถิด”
คำตอบที่ไม่คล้ายเป็นคำตอบนั้น ทำให้แจจุงขัดใจนัก เขาไม่เคยชินกับการถูกปฏิบัติ
เช่นนี้เลย คนอย่างคิมแจจุงผู้เป็นหนึ่ง ได้ในสิ่งที่ตนประสงค์เสมอ เพียงปรายตามอง
เพียงแจ้งความประสงค์ว่าถูกตา ทุกสิ่งจะวางกองตรงหน้าให้เลือกสรรได้
แต่แจจุงก็กัดปากแน่น ด้วยทิฐิอย่างสูง ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ตอบ เขาก็จะไม่ถามต่อ
ให้ยืดเยื้อ
เขาไม่รู้จักการงอนง้อ และไม่เคยต้องงอนง้อ อ่อนข้อให้แก่ผู้ใด
พลิกกายให้กับกองไฟ แล้วก็พยายามข่มตานอนให้หลับ และเพียงไม่นานนิทรารมณ์
ก็เข้าคลี่คลุมโลกใบเล็กของเขา กล่อมเกลาให้หลับใหลใต้แสงจันทรานวลลออ
หลังผ่านราตรีกาลอันยาวนาน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แจจุงก็เห็นใบหน้าเล็กๆ
ที่เปรอะเปื้อนใบด้วยหยาดน้ำตาเนืองนองของน้องชายลอยมาตรงหน้า จุนซูมองมาที่เขา
แล้วก็ร้องไห้โฮ บอกว่าจะไม่อยากได้ดอกไม้ จะไม่อยากได้อะไรที่ทำให้พี่ชาย
ต้องลำบากอีกแล้ว
เสียงหวานนั้นยังพร่ำรำพันอะไรอีกตั้งมากมาย อย่างที่แจจุงพอจะรู้ได้ว่า พ้นยามนี้ไป
มันก็คงจะสลายไปกับสายลม เหมือนกับคำสัญญาหลายแหล่ที่เคยได้รับจากน้องชาย
แต่เขาก็ดีใจที่ได้พบกับฝ่ายนี้ ดีใจที่น้องชายและขบวนรถตามหาเขาจนเจอ
หากเมื่อถามถึงผู้คุมขบวนรถและคนอื่นๆ ว่าเห็นสองนายบ่าวที่ดูแลเขาตลอดทั้งคืน
หรือไม่ กระทั่งจุนซูที่กอดสะเอวเขาเอาไว้ ก็ยังส่ายหน้า
ทุกสิ่งในคืนวานเหมือนกับความฝันชั่ววาบ เกิดขึ้นในราตรีที่เงียบงัน และจางหาย
ท่ามกลางแสงแดดอันแรงร้อนแห่งดวงสุริยา
เป็นเพียงภาพฝันอันงดงาม ที่ทำให้เขาหวนระลึกถึงดวงตาคมกริบที่ร้ายกาจ
ดวงตาที่ช่วงชิงลมหายใจยามเผลอไผล
...และเจ้าของดวงตา ผู้หยัดยืนอย่างองอาจกว่าผู้ใด
ชายผู้นั้นมาจากชินอุนแน่ๆ แจจุงจำผิวสีน้ำผึ้งจางนวลตา บริเวณกรอบหน้าคมสันได้
มันไม่ยากหรอกในการเสาะหาใครสักคนหนึ่งบนแผ่นดินนี้ ยิ่งกับบุรุษผู้มีลักษณะโดดเด่น
เช่นนั้นด้วยแล้ว
...ข้าจะต้องหาท่านพบแน่ๆ ในเวลาไม่ช้าไม่นาน ...ท่านผู้มีพระคุณ
Talk
และแล้วโปรเจ็คพีเรียดของปาล์มก็คลอดบทแรกออกมาเรียบร้อยค่ะ
สำนวนอาจจะแปลกจากฟิคอื่นๆ สักนิดนะคะ
เพราะปาล์มพยายามที่จะเลียนสำเนียงหนังจีนกำลังภายในออกมา
แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามคงภาษาและรูปประโยคของตัวเองเอาไว้ด้วย
ในตอนแรกคิดจะเปิดบทด้วยตัวเอกอีกคน แต่ไปๆ มาๆ รื้อๆ แก้ๆ หลายรอบ
แล้วก็ปลงใจที่จะเอาคนสวย ^^ เป็นคนดำเนินเรื่องตอนแรก
บุคลิกนางเอก ^^ แรงเกินไปไหม 555+ ประกาศกร้าวเลยว่าคนที่ชอบเป็นใครตั้งแต่แรก
ว่าแต่รักนี้จะเป็นเช่นไร เห็นทีต้องบอกว่าให้ลุ้น
คำถามที่สองที่ว่า แล้วหนุ่มตาคมเป็นใคร 555+ ชั้นนี้แล้ว ผู้อ่านทุกท่านเดาออกอย่างแน่นอน
แม้ปาล์มจะให้เขาเป็นปริศนากับแจจุงอยู่ ชู่ว์...อย่าไปบอกคนสวยแสนร้ายนะคะ ให้เธอไม่รู้ไปก่อนละกัน
สำหรับศัพท์เรียกตำแหน่งในราชวงศ์ต่างๆ ปาล์มขอใช้ตามสมัยอาณาจักรโซซอนนะคะ
เนื่องจากเสียงเพราะและเขียนออกมาเป็นภาษาไทยแล้วสวยดี 555+
เรื่องนี้เขียนพล็อตแล้ว ออกมายาวเป็นมหากาพย์เลย คาดว่าจะทำเอาคนเขียนตายจริงๆ
แต่ขอบอกว่าสนุกกับการเขียนเรื่องนี้นะคะ พยายามนึกภาพหนุ่มๆ ใส่ชุดพีเรียดแบบหนังจีนกำลังภายใน
แล้วท่าทางจะหล่อจนน้ำลายหก 555+
อืม ไม่รู้ว่าจะอ่านยากไปไหม แต่มีปัจฉิมลิขิตท้ายบท บอกศัพท์เพิ่มเติม ดังนี้ค่ะ
-วอนจา ตำแหน่งโอรสองค์โตของพระราชา จะเกิดกับมเหสีหรือสนมใดๆ ก็ได้
-ชอนฮา พระราชา
-ชุงจอน พระมเหสี พระราชินี
-บูอิน พระสนม
ดังนั้น ชุงรยงวอนจา = องค์ชายแห่งชุงรยง, ชุงรยงชอนฮา = พระราชาแห่งชุงรยง และ
ชุงรยงชุงจอน = มเหสีแห่งชุงรยง ค่ะ
ชื่ออาณาจักรต่างๆ
-ชุงรยง แปลว่ามังกรฟ้า
-แทซัน แปลว่าภูเขาใหญ่
-วูยอง แปลว่า ดีเลิศตราบนิรันดร์
-ชินอุน แปลว่าเมฆของเทพ
ส่วนชื่อวังพูยง ขององค์ชายยุนโฮ เป็นชื่อของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ค่ะ
และศัพท์ยากเย็นภาษาบาลีสันสฤตนั้น
-ดาริกา ดวงดาว
-พายัพ ทิศเหนือ
โอเคตอบจอมอ
โซลอง ไม่เป็นไรค่า แค่แวะมาทักทาย หรือส่งยิ้มว่าตามอ่านอยู่ก็ดีใจแล้ว
เรื่องนี้เป็นแฟนฟิคเช่นเดิมค่ะ เพราะปาล์มขี้เกียจสร้างอิมเมจตัวละคร 555+
เป็นดงบังเช่นเดิมค่ะ บรรยากาศคล้ายๆ หนังจีนกำลังภายในค่ะแต่ไม่มีวิชายุทธ์นะคะ
(คล้ายตรงไหน 555+)
Micky sarang น้องแกนคะ
พี่คงเบลอใส่ตรงแท็กน่ะค่ะ ไม่เป็นไร พี่จะแก้ชื่อค่ะ
เอาแบบรู้ไปเลยว่าวายและประวัติศาสตร์ 555+
ศัพท์ไม่ยากนักเน่ อย่าเพิ่งถอดใจ ภาษามันแปลกๆ แบบหนังจีนนิดหน่อย
หวังว่าอ่านรู้เรื่องนะคะ และนี่ล่ะงานถนัด 555+ ถนัดนักให้คนอ่านงงง 555+
เอิ่อ เรื่องนี้คงไม่มีมิคแกนค่ะ แต่มียูซู หวังว่าคงยอมได้นะคะ ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น