คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 อีกมุมหนึ่ง
เนื่องจากนาลสอบเป็นผู้บำบัดชั้นสูงผ่านจำต้องอยู่ทดสอบความสามารถอีก 1 ปี สองแม่ลูกจำต้องขายสมุนไพรหายากที่มีเพียงนาลผู้เดียวที่สามารถเพาะเลี้ยงได้ออกไปให้กับร้านขายยาที่มีห้องเก็บอุณหภูมิสำหรับพืชชนิดต่างๆ แทน คงเหลือไว้แต่สมุนไพรท้องถิ่นที่ขึ้นได้ในทุกสภาพอากาศ
สองแม่ลูกต่างเกี่ยงกันให้อีกฝ่ายนำเงินที่ได้ไปใช้ ด้วยค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงสูงมาก และระหว่างการทดสอบความสามารถจำเป็นต้องอยู่ประจำ ในแต่ละสัปดาห์มีวันหยุดเพียงครึ่งวันเท่านั้น อีกทั้งค่าครองชีพที่ได้รับระหว่างการทดสอบนั้นน้อยจนไม่แทบพอใช้ และหากหวังรายได้จากค่ารักษาของอาลูนิชที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปของหนังสือ อาหารการกิน หรือแรงงาน 1 วัน คงได้แต่หวังต่อไปเท่านั้น เพราะผู้บำบัดใจบุญอย่างอาลูนิชไม่มีทางเรียกร้องค่ารักษาเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดนาลก็ยัดเยียดเงินทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่จนได้ โดยอ้างเหตุผลร้อยแปด หนึ่งในนั้นบอกว่าตนสามารถใช้ความสามารถควบคุมสมดุลธาตุในการสร้างวงเวทหารายได้ได้ทุกเมื่อ
แรกๆ ผู้เป็นแม่ก็ไม่ยอม จนนาลต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าตนจะแปลงร่างเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีที่หน้าตาไม่เหมือนตนเลยทุกครั้ง และจะรับเพียงสัปดาห์ละงานผ่านร้านที่น่านับถือเท่านั้น มารดาจึงจำยอมรับเงินทั้งหมดมา หากไม่วายแอบยัดเยียดเงินจำนวนหนึ่งให้เอลลาเป็นค่าที่พักและอาหารบางส่วนของนาล
ซึ่งพอนาลรู้ก็มีงอนกันนิดหน่อยค่าที่มารดาไม่ไว้ใจตนเอาซะเลย ทั้งๆ ที่แอบภูมิใจลึกๆ กับความรักอันลึกซึ้งของผู้เป็นมารดา
+ + + + + + + + + +
เมืองหลวงแห่งแคว้นโทลอส* ในเดือนนี้คึกคักอย่างมาก เพราะเดือนนี้จะเป็นเดือนที่องค์หญิงองค์ใหญ่แห่งโทลอสเปิดตัวสู่สาธารณะชน**เป็นครั้งแรก งานเลี้ยงฉลองเปิดตัวของเมืองหลวง***จึงจัดขึ้น ณ พระราชวังแห่งโทลอส โดยมีองค์กษัตริย์เป็นเจ้าภาพ ณ วันฉลองพระชนมพรรษาครบ 15 ปีขององค์หญิงอีกทั้งยังมีการเชิญเชื้อพระวงศ์แคว้นข้างเคียงที่จะมีอายุครบเกณฑ์ในปีนี้มาร่วมงานด้วย
(*แคว้นโทลอส เป็นแคว้นที่นาลถือกำเนิด และเติบโต เป็นแคว้นที่ใกล้กับป่าในของป่าต้องห้ามที่สุด กล่าวกันว่าเพียงกระโดดหน้าผาหินทรายที่สูงเทียมฟ้า และชันอย่างมาก ณ เขตปลายสุดทะเลทรายทางใต้ลงไปเท่านั้น ก็จะพบบริเวณที่สมบูรณ์ที่สุดที่ไม่น่าจะมีในแดนทะเลทรายดั่งแคว้นนี้ได้
**ถึงจะเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณะชน แต่เชื้อพระวงศ์ที่อายุยังไม่ถึง 18 ต้องใช้ผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ดี จะเปิดเผยหน้าตาอย่างเป็นทางการได้หลังจากได้ออกไปเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านครบปีแล้วเท่านั้น
***งานเลี้ยงฉลองเปิดตัวในแต่ละมณฑลจะจัดทุกเดือนให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่อายุถึงเกณฑ์ในเดือนนั้น (ครบ 15 ปีในผู้หญิง ครบ 16 ปีในผู้ชาย) โดยขายบัตรให้ผู้อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงที่มีอายุครบเกณฑ์ในปีนั้น (ผู้ที่อายุครบเกณฑ์ในเดือนนั้นพร้อมผู้ติดตาม 2 ท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงฟรี) หรือผู้ที่มีอายุมากกว่าเกณฑ์ขึ้นไปเท่านั้น)
วันก่อนวันงานเลี้ยงฉลองเปิดตัว
เด็กสาวที่จะเป็นเจ้าภาพงานในวันพรุ่งเดินตัวแข็ง ก้าวสั้นๆ รีบไปหาผู้เป็นพี่ชายและน้องน้อยที่รอนางอยู่ในสวนส่วนตำหนักของนาง ด้วยทั้งสองต่างเข้าใจดีถึงสภาพอันจำกัดของนาง
“โอ๊ย เมื่อไหร่จะพ้นๆ งานทรมานนี่ไปสักทีนะ” เด็กสาวที่หลังตรงเด๊ะ บ่นทั้งที่อยากถกกระโปรงที่ทั้งยาวและแคบขึ้น เพื่อที่จะได้เดินได้ทันใจบ่นทันทีที่เจอหน้า 2 พี่น้อง
“เอาน่าพรุ่งนี้ก็พ้นแล้วไม่ใช่หรือ” พี่ชายมองสภาพน้องสาว แล้วนึกโล่งอกยิ่งที่ตนเกิดมาเป็นชาย
“ท่านพี่ไม่ลองมาเป็นข้าไม่มีวันรู้หรอก” น้องสาวกระแทกเสียง แล้วรี่ไปปลอบน้องน้อยที่ทำท่าจะเสียขวัญ
“มันทรมานมากหรือคะท่านพี่” เด็กหญิงวัย 7 ขวบเงยหน้าขึ้นถามพี่สาวที่อึดอัดกับชุดทางการที่ถูกบังคับให้ใส่ตลอดเดือนที่ผ่านมานี้ จนต้องบ่นทุกวัน
“ก็พอทนน่ะ เซน พี่ก็บ่นไปงั้นๆ ก็มันขยับตัวไม่ถนัดนี่นา” ว่าแล้วก็โยกหัวน้องสาวเล่น
“งั้นก็ไม่ต้องบ่นแล้วนะ ที่เรียกพี่มาวันนี้มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” องค์ชายไซราสแห่งโทลอสถามน้องสาวคนรอง
“วันนี้ท่านพ่อจะให้น้องดูขนพยัคฆ์สีรุ้ง น้องตื่นเต้นจังเลยค่ะท่านพี่” องค์หญิงซานาลแห่งโทลอสเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“จริงหรือพี่ซาน ให้น้องดูด้วยคนนะ” องค์หญิงเซนาลแห่งโทลอส เข้าไปออดอ้อนพี่สาวที่จะได้สิทธิ์ดูขนพยัคฆ์สีรุ้งสมบัติล้ำค่าที่ติดมากับมารดาของพวกนางถึง 2 เส้น
พี่สาวยิ้ม “หากพี่ไม่คิดจะให้น้องดู พี่ไม่เรียกให้น้องฟังหรอก ขนของพยัคฆ์สีรุ้งจะสวยที่สุดยามได้สะท้อนแสงอาทิตย์ จริงมั๊ยพี่ไซ” ว่าแล้วก็กระเซ้าพี่ชายที่แอบดูขนพยัคฆ์สีรุ้งเมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่างเงียบๆ
องค์ชายไซราสกระแอม ขณะที่น้องน้อยกระตุกขาพี่ชายใหญ่ “จริงหรือคะท่านพี่”
“จริงจ้ะ” พี่ชายรับ พลางหลบสายตาพิฆาตของน้องสาวคนโต ฐานที่ไม่ยอมให้ตนดูขนของสัตว์ในตำนานตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน
“ว่าแต่เจ้าจะได้ดูขนพยัคฆ์สีรุ้งเมื่อไหร่ล่ะ” พี่ชายเปลี่ยนเรื่อง
“อืมก็...” เด็กสาวเหลือบไปดูหลังสองพี่น้อง แล้วคลี่ยิ้ม “...เดี๋ยวนี้” แล้วลุกขึ้น วิ่งก้าวสั้นๆ ไปหาคนที่มาใหม่
“เดี๋ยวนี้!!” สองพี่น้องอุทานพร้อมกัน พลางหันไปมองสองพ่อลูก ที่กอดกันกลม
“ท่านพ่อ” องค์หญิงเซนาลรีบถลาไปกอดผู้มาใหม่อีกคน ขณะที่องค์ชายองค์ใหญ่แห่งโทลอสค้อมหัวทำความเคารพผู้ที่มีสองสาวกอดทั้งซ้ายขวาอย่างเงียบๆ
“ขนพยัคฆ์สีรุ้งอยู่ที่ไหนคะ” องค์หญิงน้อยถาม
“นี่เจ้าเรียกมาทั้งพี่และน้องเลยหรือนี่” องค์ราชาแห่งโทลอสเอ่ยพลางลูบศีรษะบุตรสาวคนโต
“ก็นี่เป็นขนของสัตว์ในตำนานที่กล่าวว่ามีเพียงในโอมิสที่เดียวนี่นา” ผู้เป็นเจ้าของวันเกิดในวันพรุ่งเอ่ย
“พวกเจ้าคงรู้นะว่าการที่แม่ของพวกเจ้ามีขนพยัคฆ์สีรุ้งติดมานั้น ถือเป็นความลับของวงศ์ตระกูลเรา ด้วยท่านตาเจ้าทูลกับองค์ราชาแห่งโอมิสในสมัยนั้นว่าได้ส่งมอบขนพยัคฆ์สีรุ้ง ‘ทั้งหมด’ ให้แล้ว การที่ท่านตาเจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึก 2 เส้นจนตกถึงพวกเรานั้นจึงต้องเก็บเป็นความลับอย่างยิ่ง”
ทั้งสามขานรับ องค์ราชันแห่งโทลอสจึงนำขนพยัคฆ์สีรุ้งออกมาให้โอรสธิดาชื่นชมกัน...
เด็กสาวเจ้าของงานที่ถูกขัดสีฉวีวรรณตั้งแต่เช้า มองดูเหล่านางกำนัลที่กำลังเตรียมชุดสำหรับคืนนี้อย่างปลงๆ ก่อนจะค่อยๆ หาทางหลบแวบออกมา เมื่อคุณๆ ต้นห้องทั้งหลายกำลังคุยทับกันว่าชุดของใครที่จะทำให้องค์หญิงดูโดดเด่นที่สุด ในงานคืนนี้
“มันอะไรกันนักหนานี่ งานวันเกิดของข้า ข้าก็ต้องโดดเด่นที่สุดอยู่แล้ว ก็ข้าเป็นเจ้าของงานนี่ ไม่ว่าข้าจะใส่อะไรยังไงๆ ทุกคนก็ต้องมองมาที่ข้าอยู่ดี” เจ้าหญิงองค์ใหญ่เปรยกับตนเองเสียงดัง หลังจากต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทหารองครักษ์ทั้งหลายในวังออกมายังอุทยานแห่งนี้ได้ และคงเปรยไปอีกนานหากไม่มีเสียงหัวเราะห่ามๆ ขัดขึ้นซะก่อน
“หึๆ องค์หญิงซานาลแห่งโทลอส ช่างเป็นคนที่ ‘เรียบร้อย น่ารัก’ อย่างข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันที่นอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ เยื้องๆ บริเวณที่องค์หญิงยืนบ่นระบายอารมณ์เปรยขึ้น
องค์หญิงหันไปมองยังต้นเสียงทันทีแล้วอุทานเสียงแผ่ว “องค์ชายซาสก้า”
...องค์ชายแห่งโอมิสมาทำอะไรที่นี่ เขาพึ่งมาถึงเมื่อวานไม่ใช่หรือ... ไม่น่าแปลกที่นางจะรู้จักเชื้อพระวงศ์คนสำคัญของแคว้นข้างเคียง ด้วยทั้ง 5 แคว้นใหญ่ต่างมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนรูปวาด ที่มักวาดกันทุก 5 ปีในช่วงต้น (5, 10, 15, 20 ปีตามลำดับ) ทุก 10 ปีในช่วงกลาง (30, 40, 50, 60 ปี) และนางพึ่งได้ดูรูปเชื้อพระวงศ์คนสำคัญเมื่อต้นอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง
เจ้าชายหนุ่มแคว้นข้างเคียงกระโดดลงจากต้นไม้ที่นอนเล่นอยู่อย่างสวยงาม
“ขออภัยที่หม่อมฉันขัดเวลาการเปรยกับตัวเองของพระองค์” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยเย้ายิ้มๆ
“ไม่เป็นไรมิได้ หม่อมฉันเพียงแต่เปรยเล่นๆ ไม่นึกว่าจะมีผู้ได้รับการอบรมมาอย่างดีคนใดมาได้ยินเหมือนกัน” องค์หญิงผู้เป็นเจ้าถิ่นเอ่ย “ว่าแต่ท่านเข้ามาในเขตอุทยานของตำหนักข้าส่วนนี้ได้อย่างไร ในเมื่ออุทยานส่วนของที่พักแขกอยู่อีกฟากหนึ่ง” แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
เจ้าชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า “หม่อมฉันเพียงเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเห็นต้นโทนุส*นี่ ก็เลยแวะขึ้นมานอนเล่น เพราะไม่นึกว่าเมืองที่ร้อนแล้งอย่างโทลอสจะมีต้นไม้ที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างเจ้าต้นนี่ด้วย”
(*ต้นโทนุส ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้พื้นเมืองของแคว้นโอมิส ซึ่งเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด)
องค์หญิงซานาลพยักพักตร์รับ “ที่นี่มีผู้ดูแลธาตุน้ำมาพอที่จะดูแลต้นไม้ที่ต้องการน้ำมากได้”
“ข้าไม่สงสัยในข้อนั้นเลย เพียงแต่แปลกใจที่ท่านเพาะไม้ที่นอกจากต้องการน้ำจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่ค่อยมีราคาพรรณนี้ไว้ถึง 9 ปี โดยที่ยังไม่โค่นมันลงมาเท่านั้นแหละ”
จริงอยู่ที่เจ้าต้นโทนุสนี่ไม่ใช้ไม้หอม ไม่มีคุณค่าทางยาใด แถมการที่จะนำเนื้อไม้ไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัยหรือเครื่องเรือนคุณภาพดีนั้นต้องผ่านกรรมวิธีบีบอัดอณูโดยผู้มีธาตุไม้เสียก่อน อีกทั้งขนาดจะลดลงไปตั้งแต่ 4 10 เท่าแล้วแต่ฝีมือผู้บีบอัด และความแข็งแรงที่ต้องการ แต่นี่เป็นต้นที่ท่านพ่อประทานเพื่อให้นางลองใช้ธาตุน้ำในตัวเลี้ยงดู เพื่อหัดควบคุมสมดุลธาตุเมื่อตอน 8 ขวบ ทำให้เมื่อถึงคราวที่ต้องโค่นตามวาระเมื่อไม้นี้ใช้งานได้ นางจึงยื้อเวลาไว้เรื่อยมา แต่คงได้อีกไม่นาน ด้วยต้นไม้นี้ต้องถูกโค่นก่อนที่มันจะ “เอ่ยวาจา” ได้ ภายในปีนี้
นึกพลางมองไปยังป้ายหินที่สลักวันเดือนปีที่ปลูก หน้าต้นไม้ด้วยความกังวลใจ
เมื่อเห็นดังนั้น องค์ชายแห่งโอมิสก็กล่าวเปลี่ยนเรื่องทันที “เห็นอย่างนี้ข้าก็สะท้อนใจนัก ทั้งๆ ที่โอมิสได้ชื่อว่าเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด แต่กลับไม่มีต้นไม้ต้นใดเลยที่มีอายุเกินกว่าที่จะใช้งานได้แล้วไม่ถูกโค่น เว้นแต่ต้นไม้ในอาณาเขตป่าต่างๆ เท่านั้น อ้อใช่เรายังไม่ได้รับการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยไม่ใช่หรือ แม้เราจะรู้จักกันล้าก็เถอะ...”
องค์หญิงแห่งโทลอสเหลือบมองคนที่เย้านางยิ้มๆ ด้วยความฉงน
“...ข้า ซาสก้า ซาเนรา นาลูลอส แห่งโอมิส”
“ข้า ซานาลา เอลรานา เกลาเลีย แห่งโทลอส ยินดีที่ได้รู้จักองค์ชายรองแห่งโอมิสอย่าง ‘ไม่’ เป็นทางการ”
สองหนุ่มสาวต่างยิ้มให้กัน และคุยกันด้วยความ ‘ทัน’ กันในทุกเรื่องจนเวลาผ่านไปถึงช่วงเย็นโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเหล่านางกำนัลที่ถูกทิ้งให้เลือกเสื้อผ้าในงานคืนนี้ตกลงกันเสร็จ และแยกย้ายกันตามหาเจ้าของงานซะแทบทั่วราชวัง ก่อนจะพากันมายังอุทยานในตำหนักแห่งนี้เป็นแห่งสุดท้าย...
งานเลี้ยงคืนนี้ช่างน่าเบื่อดังที่เจ้าของงานคาด นอกจากพวกผู้ใหญ่ที่เอาแต่คุยข่มกันเองแล้ว นางต้องรับการโค้งขอเต้นรำจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เป็นทั้งข้าราชบริพารคนสนิท เจ้าชายและขุนนางต่างแคว้น รวมถึงบรรดาเพื่อนๆ ของผู้เป็นอาคันตุกะด้วย
กว่านางจะปลีกตัวมาได้ ขาก็แทบเคล็ด รอยยิ้มแทบแข็งค้าง แอบนึกอิจฉาผู้เป็นน้องที่ผลุบหายไปจากหลังผ้าม่านแล้วไม่ได้ ส่วนท่านพ่อท่านแม่ที่คุยอยู่กับผู้ครองแคว้นใหญ่อีกสี่แคว้นอยู่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนไม่น่าเขาไปใกล้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นพี่ชายยืนคุยกับหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งอยู่ริมระเบียง เมื่อนางตามมาสมทบก็ได้พบคนที่พึ่งจากกันเมื่อยามบ่ายคล้อยอีกครา
“ยินดีที่ได้รู้จักกัน ‘อย่างเป็นทางการ’ อีกครั้งองค์หญิงซานาล” องค์ชายแห่งโอมิสเอ่ยทักผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
ผู้เป็นเจ้าของงานที่จำต้องยืนฟังอาคันตุกะทุกคนแนะนำตัวต่อหน้าพระพักตร์องค์ราชันแห่งโทลอส โดยไม่มีโอกาสนั่ง หรือเลี่ยงแบบท่านพี่ แอบทำหน้าเบ้เมื่อถูกเย้า
เจ้าชายแห่งโทลอสที่ฟังนัยประหลาดออกหรี่ตาลงทันที “อะไรกันน้องหญิง เจ้าไปรู้จักกับองค์ชายองค์โตแห่งโอมิสตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อเช้านี้เพคะ ในอุทยานของน้อง” องค์หญิงแห่งโทลอสตอบเสียงเรียบหากไม่วายเน้นคำหลัง
“ท่านพี่จะคุยกับสองพี่น้องนี่อีกนานมั้ย หากนานพวกข้าจะได้ขอตัวไปก่อน” เด็กสาวหน้าตาน่ารักเอ่ยถามองค์ชายแห่งโอมิสด้วยท่าทีกระเง้ากระงอด
นั่นทำให้ผู้มาใหม่เห็นกลุ่มคนที่พี่ชายตนเข้ามาคุยด้วย แต่ละคนล้วนอยู่ในภาพวาดที่ตนถูกบังคับให้จดจำ และเห็นผ่านๆ ตาในตาหัวค่ำทั้งสิ้น บรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงของอีกสี่แคว้นที่มีอิทธิพลที่สุดในอาฟ์ก้าได้มารวมตัวกัน ณ ที่นี่แล้ว นางจึงแย้มรอยยิ้มพลางเอ่ย
“ขออภัยองค์หญิงเซกาลที่การมาถึงของข้าขัดความสำราญของท่าน และเพื่อนๆ ข้ามัวแต่ดีใจที่พอปลีกตัวออกมาได้ก็เห็นท่านพี่ทันที จึงมีใคร่ได้ทันสังเกตพวกท่าน งั้นข้าขอแนะนำตัวอีกครั้งหนึ่งข้าซานาล เอลรานา เกลเลีย ยินดีที่ได้รู้จักองค์หญิงเซกาลแห่งโอมิส เจ้าชายมาราสแห่งซูจีน เจ้าชายไอนาสแห่งมาเซีย และเจ้าหญิงเอมิเรียแห่งเอเนีย”
เจ้าของชื่อค้อมตัวลงทุกครั้งที่ได้ยินชื่อตน แล้วต่างยิ้มพอใจที่ผู้ทักหันมามองพวกตนเป็นรายคน ยามที่นางเอ่ยชื่อ องค์หญิงเซกาลแห่งโอมิสที่ตอนแรกโมโหพี่ชายที่ให้ความสนใจผู้เข้ามาใหม่มากกว่าตัวเองยังอดยิ้มด้วยไม่ได้ แต่ไม่วายที่จะเอ่ยแซวเจ้าของงานยิ้มๆ
“โห... ลองจำได้จากการทักทายแค่ที่หน้างานครั้งเดียวอย่างนี้แปลว่าท่านมีความจำดีมากสินะ”
“ข้าว่าเป็นเพราะรูปสับปะรังเคที่พวกเราถูกบังคับวาดทุก 5 ปีมากกว่า เพราะเมื่อเช้าองค์หญิงซานาลทักพี่ได้ถูกโดยที่พี่ยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย ดีไม่ดีนางอาจจะจำคนได้ทั้งงานโดยไม่ได้เห็นตัวเลยก็ได้” องค์ชายซาสก้าแห่งโอมิสเอ่ยขัด
องค์ชายใหญ่แห่งโทลอสหัวเราะด้วยความขำ ก่อนเอ่ยรับแทนน้องสาวที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ “ใช่ๆ ยายนี่ถูกบังคับให้จำรูป และชื่อของแขกวัยหนุ่มสาวที่จะมาร่วมงานคืนนี้ทั้งหมดร้อยกว่าคน เพื่อที่จะได้ไม่ทักผิด เวลาถูกโค้งเต้นรำน่ะ”
“จริงหรือ” องค์หญิงเอมิเรียอุทานด้วยความตกใจ ใบหน้างามซีดสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เดือนหน้าก็จะถึงวันเกิดครบ 15 ปี ของนาง และท่านพ่อท่านแม่วางแผนที่จะฉลองในโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน
“อย่าพึ่งกังวลใจไปองค์หญิง...” องค์ชายใหญ่แห่งโทลอสรีบเอ่ยปลอบ “หากท่านไม่ความจำสั้นจนน่าตกใจแบบน้องสาวข้า อย่างมากคงแค่ต้องจำชื่อเชื้อพระวงศ์คนสำคัญๆ ของแต่ละแคว้น ซึ่งอยู่ในงานนี้ครบ ให้ได้ขึ้นใจก็เท่านั้นกระมัง”
“ท่านพี่
” องค์หญิงซานาลที่ถูกพี่ชายเผาสดๆร้อนๆ เอ่ยเรียกพี่ชายด้วยน้ำเสียงหวานเจี๊ยบ หวานจนผู้เป็นพี่ชายกลืนน้ำลายแทบไม่ลง
องค์หญิงแห่งเอเนียมีสีหน้าที่ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัดเพราะนอกจากเชื้อพระวงศ์รุ่นเด็กที่ยังอยู่กับกษัตริย์แต่ละแคว้น และเล่นกันสนุกสนานอยู่ที่มุมหนึ่ง ในวงนี้ก็มีเจ้าชายเจ้าหญิงคนสำคัญของทั้ง 5 แคว้นครบถ้วน ขณะที่นางจะหันไปขอบคุณผู้ที่ปลอบใจนางนั้น ก็เหลือบไปเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจ้าตัวก่อน จึงหัวเราะร่า และนั่นเป็นเหตุให้เจ้าชายคนอื่นๆ ที่มัวตกตะลึงกับรอยยิ้มปานจะหยดของเจ้าของงานได้สติ และร่วมผสมโรงหัวเราะไปด้วย คงมีแต่ผู้ที่รู้ความหมายในรอยยิ้มนั้นที่หัวเราะไม่ออกอยู่คนเดียว
คืนนั้นกลุ่มหนุ่มสาวคุยกันได้อย่างถูกคอกัน และนัดหมายไปเจอกันใหม่ในงานเปิดตัวควบงานฉลองวันเกิดของเจ้าหญิงแห่งเอเนียในเดือนหน้า
รุ่งขึ้นองค์หญิงซานาล ออกมาส่งเพื่อนใหม่อย่างอาลัย โดยมีพี่ชายใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ โดยต่างฝ่ายต่างนัดแนะจะไปคุยกันต่อในงานฉลองพระชนมพรรษาครบ 15 ชันษาขององค์หญิงเอมิเรียแห่งเอเนียในเดือนหน้า กล่าวกันว่าปีนี้เป็นปีที่มีงานเปิดตัวเชื้อพระวงศ์แทบจะทั้งปีเลยทีเดียวดูอย่างในกลุ่มที่นางไปสนทนาด้วยจวบจนงานเลิก หากไม่นับนางทุกคนในกลุ่ม ยกเว้นท่านพี่นางต่างมีงานฉลองเปิดตัวในปีนี้ทั้งสิ้น*
(*ผู้ที่อายุครบฉลองเปิดตัวในปีนี้ได้แก่ องค์หญิงซานาลแห่งโทลอส เดือน 2, องค์หญิงเอมิเรียแห่งเอเนีย ในเดือน 3, องค์ชายไอนาสแห่งมาเซีย ในเดือน 5, องค์ชายมาราสแห่งซูจีน ในเดือน 7, องค์ชายซาสก้าและองค์หญิงเซกาลแห่งโอมิส ในเดือน 9 (องค์ชายซาสก้าเกิดเดือน 8 ส่วนองค์หญิงเซกาลเกิดเดือน 10 เลยจัดพร้อมกันทีเดียว) อีกทั้งยังมีงานฉลองเปิดตัวของบรรดาเชื้อพระวงศ์แคว้นเล็กๆ อีกหลายแคว้น)
+ + + + + + + + + +
กว่าจะมาถึงเดือน 9 บรรดาเชื้อพระวงศ์ของแคว้นทรงอำนาจทั้ง 5 ในอาฟ์ก้า ก็สนิทสนมกลมเกลียวเป็นที่ยิ่ง แต่น่าแปลกนอกจากคู่ขององค์ชายองค์ใหญ่แห่งโทลอส กับองค์หญิงเอมิเรียแห่งเอเนียที่ประกาศหมายหมั้นกันอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว หนุ่มสาวทั้ง 5 ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตกลงปลงใจกันได้เมื่อใด
เนื่องจากงานเปิดตัวคราวนี้เป็นการเปิดตัวเชื้อพระวงศ์ถึง 2 คน อีกทั้งยังไม่ตรงกับวันเกิดของผู้ใด ผู้ที่มาร่วมเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ 16 ปีขององค์ชายซาสก้า ณ ปลายเดือน 8 จึงอยู่ยาวเพื่อรอร่วมงานเลี้ยงเปิดตัว และงานอาจจะเลยไปถึงวันเกิดขององค์หญิงเซกาลในต้นเดือน 10 ด้วย แถม 2 คู่หูเจ้าชายแห่งมาเซีย และเจ้าชายแห่งซูจีนแอบมาเบียดเบียนเจ้าของวันเกิดล่วงหน้าถึง 1 อาทิตย์เต็มๆ ขณะที่องค์ชายแห่งโทลอสที่ต้องแวะรับพระคู่หมั้นก่อน หนีบผู้เป็นน้องสาวมาทันวันงาน ส่วนองค์กษัตริย์ที่งานสุดแสนจะรัดตัวนั้นจะตามมาในวันงานเปิดตัวทีเดียว
สองวันก่อนวันเปิดตัวเชื้อพระวงศ์แห่งโอมิส
2 องค์หญิงอาคันตุกะ ต่างเข้ามาปลุกองค์หญิงเซกาลถึงห้องบรรทม
“ตื่นได้แล้วยัยขี้เซา” องค์หญิงซานาลปลุกพลางเขย่าตัวคนที่ยังไม่ได้สติแรงๆ
“งำๆๆ”
สองสาวมองหน้ากันก่อนที่องค์หญิงเอมิเรียที่แสนปราดเปรื่องจะให้ความเห็นว่าปลุกธรรมดาคงไม่ไหวแน่ ด้วยการผลักคนที่นอนไม่รู้ตัว ‘เบาๆ’
ตุบ! โป๊ก!
เสียงใครบางคนตกลงพรมขนสัตว์ แล้วมีหน้ามาพลิกตัวเบาๆ จนซานาลหมั่นไส้เลยถวายมะเหงกลงกลางกระหม่อมบางๆ ของใครบางคน
เจ้าหญิงนิทราจึงค่อยลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
“กว่าจะตื่นได้นะ แม่เจ้าหญิงนิทรา”
เสียงแหลมๆ ขององค์หญิงซานาล แทรกเข้าสู่โสตประสาทของคนที่กำลังฉงนว่าเหตุใดตนจึงดิ้น(?)ตกเตียงมาหมอบกระแตอยู่บนพื้นได้
“เจ้านี่เอง” เมื่อตั้งตัวได้องค์หญิงเซกาลก็ลุกพรวดขึ้นมาต่อว่าเพื่อนทรยศทันที
“เจ้า เจ้า เจ้าทำไม” คนที่มีข่าวลือว่าสุดเรียบร้อยน่ารัก ลอยหน้าลอยตาเย้าเพื่อน จนว่าที่พี่สะใภ้อยากตบหน้างามๆ นั่นสักเปรี้ยง เผื่อเจ้าตัวจะสมเป็นหญิงขึ้นมาบ้าง
“เจ้าผลักข้าตกเตียง” ผู้ถูกประทุษร้ายกล่าวหาผู้ลอยหน้าลอยตายวนเธอทันที
“ใคร ใคร ใครกันแน่” คนกวนยังกวนไม่เลิก หากมืองามๆ มิวายชี้ไปยังผู้ต้องหาตัวจริงซึ่งพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
องค์หญิงเซกาลอ้าปากค้าง องค์หญิงที่เรียบร้อยสงบเสงี่ยมตัวจริงนี่นะทำร้ายนาง นางไม่อยากจะเชื่อ หมดอารมณ์เย้าเล่นกับเพื่อนสาวทันที หากเพียงแค่ลูบศีรษะป้อยๆ พลางเปรยว่า “ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าผลักข้าลงมาอีท่าไหนนี่ ข้าถึงได้ปวดหัวไปหมด ทั้งๆ ที่ตรงที่ข้าตื่นมาก็ไม่มีอะไรมาขวางแท้ๆ”
คราวนี้องค์หญิงเอมิเรียชี้ไปที่ต้นเหตุอาการปวดศีรษะหลังตื่นนอนของเจ้าของห้องอย่างรวดเร็ว องค์หญิงเซกาลเบิกตากว้าง
“เจ้า เจ้า เจ้าจริงๆ สินะ เจ้าทำอะไรข้าน่ะ”
องค์หญิงแห่งโทลอสคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนชี้มาที่กำปั้นตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่จะมีคดีวิ่งไล่จับอย่างที่เคยเกิดในครั้งก่อนๆ องค์หญิงแห่งเอเนียที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยวาจาเป็นครั้งแรกของวัน
“เลิกเล่นกันได้แล้ว พวกหนุ่มๆ คงรอจนหน่ายแล้ว เซก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว” ว่าแล้วก็ลากสาวที่เรียบร้อยแต่ต่อหน้าสาธารณะชนออกไป ให้เจ้าของห้องทำธุรกิจส่วนตัวตามสบาย กับเหล่านางกำนัลที่กรูกันเข้าไปทันทีที่แขกสาวทั้งสองออกมา
การทำงานของนางต้นห้องของเพื่อนสาวช่างมีประสิทธิภาพจริงๆ เพียงครู่องค์หญิงเซกาลก็เดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมาจากห้อง ในชุดกระโปรงแคบแบบชุดพิธีการ* แต่ช่างขยับตัวได้ยากลำบากเหลือเกิน เวลาจะเยื้องจะย่างแต่ละทีต้องคอยระวังโน่นระแวงนี่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้หน้าคะมำ คาดว่าน่าจะโดนเหล่านางกำนันขี้กังวลบังคับให้ใส่ให้ชินก่อนออกงานในอีก 2 วันข้างหน้าเป็นแน่
(*ชุดพิธีการสำหรับเชื้อพระวงศ์หญิงนั้น จะมีสีตามวันเกิด ตัวเสื้อสามารถประยุกต์ได้หลายรูปแบบ แต่ต้องแขนสั้นเท่านั้น โดยกระโปรงจะต้องแคบ เพื่อจำกัดช่วงในการก้าวในการเดิน)
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คราวข้า ข้าถูกบังคับให้ใส่โครงเหล็ก*เป็นเดือนๆ แถมยังถูกจับหัดเดินใหม่ด้วยกระโปรงที่แคบกว่าเจ้าซะอีก ข้ายังผ่านมาได้เลย” เมื่อเห็นเพื่อนสาวหน้าบูด ซานาลที่วันนี้อยู่ในชุดกางเกงกระโปรงก็เอ่ยยิ้มๆ แล้วหันไปพยักหน้ากับกองหนุน
(*โครงเหล็ก สเตรย์รูปแบบหนึ่งในอาฟ์ก้า ทำมาจากเหล็กที่ตีจนบางเฉียบ มีทั้งแบบตีมาเฉพาะบุคคล และแบบรูปทรงมาตรฐาน ใช้ใส่บังคับรูปร่างให้เป็นไปตามต้องการ สำหรับการใส่ชุดของสุภาพสตรี)
“ส่วนข้าถูกหัดเป็นปี เพื่องานวันนั้นวันเดียว” องค์หญิงเอมิเรียเอ่ยสนับสนุน
“เห็นมั้ย เจ้าถูกหัดใส่ชุดพิธีการแค่อาทิตย์เดียวก่อนวันงานทำเป็นบ่น” องค์หญิงซานาลตบท้าย
“...” เจ้าภาพใน 2 วันข้างหน้าทำหน้ามุ่ย แล้วเดินนำไปหาพวกหนุ่มๆ แต่โดยดี ก่อนจะโดนเพื่อนสาวว่าต่อ
“เป็นไรไปฮึเรา” ผู้เป็นพี่เอ่ยทักน้องสาวที่เดินนำเพื่อนสาวเข้ามาในห้องอาหารเล็กแห่งนี้ แล้วไม่สนใจฟังคำตอบหันไปทักทายสองสาวที่เหลือต่อทันที “พวกเจ้าปลุกยายเซยังไงถึงยอมตื่นล่ะนี่ เอม ซาน”
“ความลับ!!” สองสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน และหันมาขยิบตาให้กัน
“ไม่บอกก็ไม่บอก” ว่าแล้วก็หันไปหาองค์ชายใหญ่แห่งโทลอส “ลองสองสาวปรองดองกันอย่างนี้ เจ้าต้องระวังตัวหน่อยนะไซ”
“ไม่ยากๆ เจ้าก็แค่ยกน้องสาวให้ใครสักคนดูแล เจ้าก็ไม่ต้องกังวลกับน้องสาวเจ้าอีกต่อไป” องค์ชายไอนาสแห่งมาเซียเอ่ย พร้อมหันไปขยิบตาว่าควรให้ใคร ‘ดูแล’ องค์หญิงผู้น้อง
มาราส และซาสก้าที่ยืนขนาบคนปากมากกระทืบเท้าเพื่อนอย่างแรง แล้วมองเมิน ไม่สนใจคนร้องโอดโอย ที่ถูกองค์ชายไซราสแห่งโทลอสขึงตาใส่เลยสักนิด ขณะที่ผู้เป็นพี่จะเอ่ยเสียงห้วนๆ ว่า “ถ้าต้องยกให้คนปากมากอย่างเจ้าดูแล ข้ายอมลำบากไปตลอดชีวิตดีกว่า”
ทุกคนในที่นั้นหัวเราะใบหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขององค์ชายไอนาส แม้แต่เซกาลที่หน้าบูดลงทันทีที่ได้ยินคำแซวของผู้ที่เสนอความคิดประหลาดๆ ด้วย
วันเวลาก่อนงานเลี้ยงฉลองเปิดตัวเชื้อพระวงศ์แห่งโอมิสทั้งสองจึงผ่านไปเช่นนี้เอง...
<><><><><><><><><><><><>
ขออภัยที่ลงช้ากว่ากำหนดค่ะ
ความคิดเห็น