ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แสงจันทร์ นักท่องภพ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 ก้าวแรกในเรย์เชีย

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 48


         บริเวณที่แสงจันทร์ และเอลฟา เดินออกมาจากช่องว่างระหว่างมิตินั้นเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง สวยงามอย่างยิ่ง คุ้นเคยอย่างยิ่ง และแปลกประหลาดอย่างยิ่งในสายตาของแสงจันทร์



         เหตุใดจึงแปลกประหลาดอย่างยิ่งน่ะหรือ…หากคุณเป็นแสงจันทร์ หรือแค่เป็นชาวมิติผู้ใช้อาวุธคนอื่นๆ ล่ะก็ คุณจะต้องประหลาดใจกับป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน….ก็สัตว์ต่างๆ ในป่าแห่งนี้…พูดได้…ไม่ใช่แค่ส่งเสียงร้องในภาษาของตนเท่านั้น! แต่พูดเป็นภาษายูนีสได้เลย ในเวลาที่เค้าต้องการพูดกับคนหรือกับสัตว์ชนิดอื่น แต่ส่วนใหญ่พวกเค้ามักจะไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร…ซึ่งเป็นเหตุให้แสงจันทร์ที่เคยแต่เดินทางข้ามภพในความฝันไม่เคยล่วงรู้ความลับข้อนี้เลย ที่แสงจันทร์ทราบก็เพราะว่า เมื่อแสงจันทร์ออกจากช่องว่างระหว่างมิตินั้น ได้มีหลายเสียงดังขึ้น



         “ดูนั่นสิๆ มีตัวอะไรออกจากหมอกมาด้วยน่ะ” เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ท่ามกลางเสียงตกใจ และกระพือปีกของเหล่านกน้อย

    มีเสียงซุบซิบถึงตัวประหลาดเป็นภาษายูนีสไปทั่วป่า แม้แต่ละเสียงจะไม่ดังเหมือนเสียงแรก แต่ก็ดังพอที่จะได้ยิน เสียงซุบซิบนั้นที่แผ่วลงๆ และกระจายเป็นวงกว้างขึ้นๆ



         แสงจันทร์ตกใจ มองไปโดยรอบ ตอนนี้เอลฟากำลังเดินทางกลับไปเอาร่างที่มิติโลกอยู่ซะด้วย



         “แย่แล้วๆ คนประหลาดนั่น หันมาทางนี้ซะด้วย” อีกเสียงหนึ่งที่แหลมกว่าเมื่อกี้ซะอีกดังขึ้น



         แล้วแสงจันทร์ก็สังเกตเห็น กระรอกตัวหนึ่ง มองมาที่เธอด้วยสายตาที่ปนกันระหว่างความอยากรู้อยากเห็นและระมัดระวัง ข้างๆ นั้น มีหนูนาตัวโตที่สุดเท่าที่แสงจันทร์เคยเห็น ทำท่ากระซิบกระซาบอยู่กับตัวตุ่นตัวหนึ่งที่โผล่หน้าขึ้นมาจากดิน นกกระจิบบนพุ่มไม้ก็กระพือปีก บินหนีพร้อมทั้งส่งร้องเสียงดังเซ็งแซ่ไม่เป็นภาษาอยู่ โดยมีนกอยู่ตัวหนึ่งอยู่ตรงกลาง ท่าทางเป็นหัวหน้าฝูง คอยกระพือปีกบินวนรอบๆ ฝูงของมัน และจับตามองแสงจันทร์โดยไม่ยอมให้คลาดสายตา



         และแล้ววงของเหล่าสัตว์ทั้งหลายก็ แคบลงๆ และจำนวนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น



         ทันใดนั้น ก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกระลอก



         “แย่แล้วๆ พรรคพวกมันออกมาอีกตัวหนึ่งแล้ว” เสียงที่สองนั่นเอง



         คราวนี้แสงจันทร์แน่ใจแล้วว่า เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่นั้น เป็นเสียงของกระรอกที่จ้องมองหมอกที่เกิดจากช่องว่างระหว่างมิติข้างหลังเธอน่ะเอง



         “พวกสัตว์พวกนี้พูดได้เหรอ” แสงจันทร์หันไปถามเอลฟาที่ได้แต่พยักหน้า ยังไม่ทันพูดอะไร



         “นั่นมันท่านราเอล นี่นา” นกกระเรียนที่พึ่งบินมาสังเกตการณ์ส่งเสียงร้องดังขึ้น



         “ท่านราเอลที่เป็นนักข้ามภพน่ะเหรอ” เสียงนี้ดังมาจากสิงโตหนุ่มตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนที่งดงาม ท่วงท่าองอาจ มีราศีเจ้าป่าจับอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ที่พึ่งเดินเข้ามาถามนกกระเรียน แต่สายตาจับจ้อง และพินิจเอลฟาอย่างละเอียด



         “ใช่ แล้วท่านเจ้าป่า” นกระเรียนที่ซึ่งบัดนี้บินลงมายืนห่างจากแสงจันทร์และเอลฟาไม่เกิน 5 ก้าวเอ่ยขึ้น พร้อมๆ กับเสียงตอบรับของเอลฟา



         “ใช่ ข้าเอง” เพราะเสียงนั้นทำให้แสงจันทร์หันไปมองเอลฟาอย่างสงสัย ‘ราเอล ใครกัน เหตุใดท่านเอลฟาถึงรับสมอ้างเป็นชื่อนั้นด้วย’



         ‘อย่าพึ่งถามอะไร ไว้ออกจากป่าไปถึงที่พักได้เมื่อไหร่ ข้าจะอธิบายให้ฟัง’ เอลฟาสื่อจิตมาหาแสงจันทร์ทันทีที่แสงจันทร์คิดจบ



         “ท่านอ่านความคิดข้า” แสงจันทร์ประท้วงขึ้นมาอย่างแผ่วเบา



         เอลฟาเหลือบตามามองแสงจันทร์ครู่หนึ่งก่อนกระซิบตอบว่า “เปล่า ข้าแค่เดา มีอะไรไว้คุยกันทีหลัง” แล้วหันมาทางสิงโตหนุ่มเจ้าป่า ซึ่งขณะนี้มีทีท่าผ่อนคลายยิ่งขึ้นที่กำลังกล่าวขอบคุณนกกระเรียนอยู่



         “ขอบคุณท่านรามุส นกกระเรียนที่ทรงปัญญาที่สุดในป่านี้” สิงโตหนุ่มกล่าวขึ้น



         “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ลองท่านอยู่มานานแบบข้า ท่านก็จะทราบดี” นกกระเรียนกล่าวอย่างถ่อมตน



         สิงโตหนุ่มหันมาทางเอลฟา และแสงจันทร์ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านผู้นี้คงเป็นนักข้ามภพคนใหม่ล่ะสิ ข้ากีมุส แห่งป่ามุส ของทราบนามของท่านได้หรือไม่”



         “ข้าชื่อ…ลูน่า” แสงจันทร์หลุดปากออกไป พร้อมกับความประหลาดใจ ‘ลูน่า…ทำไมข้าถึงบอกชื่อนี้ไปนะ เอาใหม่ๆ บอกชื่อสิงโตโตตัวนั้นใหม่นะจันทร์’ คิดพลางกล่าวแก้ใหม่ว่า



         “ขออภัยท่านกีมุส ข้าชื่อ จะ….จะ…ลูน่า” แสงจันทร์งงเป็นอย่างมาก ‘ทำไมปากข้าถึงหลุด แต่ชื่อคนอื่นนะ’ เอลฟาสื่อจิตมาหาแสงจันทร์ดังรู้ใจว่า ‘อย่าฝืนเลย…ข้าเคยลองมาแล้ว’ พร้อมทั้งส่ายหน้า และสื่อจิตมาหาแสงจันทร์ซึ่งบัดนี้หันมาสบตาเขาว่า ‘ข้าจะอธิบายทีหลัง’ แสงจันทร์ได้แต่พยักหน้ารับทราบ



         “ท่านคงเคยเกิดที่นี่สินะ แถมคงเป็นนักข้ามภพที่นี่ด้วยจึงไม่สามารถใช้ชื่อใหม่ของท่าน ณ ที่นี้ได้” ผู้ที่ไขความข้องใจให้แสงจันทร์กลับเป็นรามุส นกกระเรียนเฒ่าตัวนั้นนั่นเอง



         ‘จริงหรือ’ แสงจันทร์หันไปสื่อจิตถามเอลฟาที่สื่อจิตตอบรับเพียง…‘ใช่’…



          “เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงกล่าวเช่นนั้น” สิงโตหนุ่มนามกีมุส ถามนกกระเรียน



         “ครั้งก่อนท่านราเอลเคยเล่าให้ข้าฟัง” กล่าวพร้อมหันไปมองหน้าเอลฟา ครั้งเห็นเอลฟาส่ายหน้าเป็นทำนองไม่ให้พูดต่อ จึงเอ่ยเป็นการตัดบทว่า “แต่นั่นมันนานมาแล้ว ข้าอาจจำผิดก็ได้”



         “ไม่ผิดหรอกท่านรามุส เป็นจริงตามที่ท่านกล่าว เพียงแต่นางผู้นี้” พยักหน้าไปทางแสงจันทร์ “ยังไม่รับรู้อดีตของตน”



         รามุสพยักหน้าทำความเข้าขณะที่ใบหน้าของสัตว์อื่นๆ เต็มไปด้วยคำถาม



         แสงจันทร์ทำหน้างุนงง แล้วลองสื่อจิตไปถามเอลฟาว่า ‘ไว้ทีหลังใช่มั้ย’ ซึ่งเอลฟาก็สื่อจิตตอบรับทันทีว่า…‘ใช่’…



         แล้วเอลฟาก็กล่าวกับสัตว์ใหญ่น้อยซึ่งมารุมล้อมพวกเขาราวกับตัวประหลาดว่า “พวกข้ามีธุระต้องรีบไป คงต้องขอตัวก่อน หวังว่าพวกท่านคงให้ความร่วมมือในการไม่บอกเรื่องนี้ให้พวกชาวบ้านรู้นะ” กวาดตามองเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ด้วยสายตาทรงอำนาจด้วยเวทย์ปิดความลับ ซึ่งเป็นเวทย์เก่าแก่ ที่มีแต่นักข้ามภพเท่านั้นที่จะใช้ได้ แล้วพาแสงจันทร์หายตัวเคลื่อนย้ายกายไปโผล่แถวทางเข้าหมู่บ้านทันที



         การใช้เวทย์เคลื่อนย้ายนั้นเป็นเรื่องปกติของชาวมิติเรย์เชีย และมิติผู้ใช้เวทย์ทั่วไป ซึ่งชาวมิตินี้สามารถใช้เวทย์พื้นฐานอย่างน้อย 3 อย่างได้ตั้งแต่เกิด แต่จะชำนาญมากน้อยเพียงใดขึ้นกับการฝึกฝน และความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลนั้นๆ พวกสัตว์จึงไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใดที่จู่ๆ บุคคลตรงหน้าก็หายตัวไป บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัดใบไม้ร่วง อยู่พักใหญ่ ก็มีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้น



         “ท่านผู้เฒ่ารามุส โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าที นักข้ามภพคืออะไรเล่าท่าน เหตุใดจึงมีสายตาที่ทรงอำนาจเยี่ยงนี้” กระรอกน้อยตัวเดิมถาม



         มีเสียงอื้ออึงเห็นด้วยดังสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ แม้แต่สิงโตหนุ่มกีมุสยังพยักหน้าเห็นด้วยแล้วรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ



         เมื่อรามุสเห็นดังนั้น ก็ถอนใจก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถึงพวกเจ้ารู้ไปจะมีประโยชน์อะไร ยังไงพวกเจ้าก็ไม่สามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังอยู่แล้ว”



         เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเดิม ก่อนหัวหน้าฝูงนกกระจิบจะตัดสินใจถามว่า “เหตุใดเล่าท่าน”



         “พวกเจ้ารู้สึกได้ถึง กระแสสายตานั้นใช่ไหม” แทนที่จะตอบนกกระเรียนเฒ่ากลับเอ่ยถามแทน



         “ใช่ๆๆ” มีเสียงตอบรับมาจากทั่วทุกสารทิศ



         “นั่นไม่ใช่สายตาธรรมดาหรอกนะ แต่เป็นสายตาที่แฝงเร้นไปด้วยเวทย์ปิดความลับ ซึ่งเป็นเวทย์เก่าแก่ของนักข้ามภพ หากพวกเจ้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ฟัง ไม่ว่าจะด้วยภาษาของพวกเจ้า หรือด้วยภาษายูนีสนี้ก็ตาม จะไม่มีผู้ใดฟังออก และหากเจ้ายังพยายามเล่าสู่ผู้อื่นถึง 3 ครั้งเมื่อใด เจ้าจะไม่สามารถพูดภาษายูนีสได้อีกต่อไป…”



          ถึงตอนนี้ได้มีเสียงดังเซ็งแซ่



         “…และหากพวกเจ้ายังฝืนพยายามเล่าเรื่องอีก 2 ครั้ง เจ้าจะไม่สามารถพูดภาษาของเจ้ารู้เรื่อง…”



         เสียงฮือฮายิ่งดังยิ่งขึ้นอีก



          “…เจ้าจะสามารถพูดได้ แต่กับผู้ที่เคยพบเหตุการณ์นี้ด้วยตนเองเท่านั้น” รามุสจบประโยคในที่สุด



         “ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร” สิงโตหนุ่มได้ถามขึ้น



         “ใช่ๆๆ รู้ได้ไง” เสียงตอบรับนี้สะท้อนสะท้านดังเป็นเสียงเดียวกัน



          “เพราะท่านราเอลบอก และประสบการณ์ของพ่อข้าเอง” กล่าวเสียงเครือ



         ทันทีที่รามุสเอ่ยจบ เสียงต่างๆ ในบริเวณนั้นก็เงียบกริบอย่างฉับพลัน เนื่องจากพวกมันทุกตัวทราบดีจากตำนานที่เล่าสืบกันมาว่า อยู่ดีๆ ราซาสบิดาของรามุสก็พูดไม่รู้เรื่องขึ้นมาเฉยๆ และต่อมาก็พูดไม่ได้ แต่มีคนเคยเห็นราซาสคุยกับรามุส และกีซาสปู่ของกีมุส



          “เป็นความจริงหรือนี่” กีมุสครางขึ้นมาเบาๆ



         “จริง” เสียงนี้ทำให้บริเวณนั้นเงียบกว่าเดิมเป็นสิบเท่า เพราะผู้ที่พูดประโยคนี้คือราซาสที่ไม่พูดมาเกือบร้อยปีนั่นเอง



         “ข้ามาตามข่าวลือเรื่องหมอกประหลาด ที่กระจายไปทั่วป่าในเวลานี้ พร้อมกับเจ้าพวกนั้น” พยักหน้าไปทางสัตว์ป่าฝูงใหญ่ที่ทำหน้างงงันกันอยู่เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาของสัตว์กลุ่มที่อยู่ก่อนปรึกษากัน



         “ข้าขอแนะนำว่าให้พวกเจ้าสลายกลุ่มกันโดยเร็วที่สุด จงรีบจำหน้าแต่ละตัวที่อยู่ ณ ที่นี้ ที่รับรู้เรื่องราวและกระแสสายตานั้นให้ได้ แล้วห้ามเล่า ห้ามถามเรื่องที่เจอกันวันนี้กับสัตว์อื่นที่ไม่อยู่ ณ ที่นี้พร้อมพวกเจ้า มีอะไรพวกเจ้าจงไปถามข้าและรามุสในวันหลังแล้วกัน”



         สัตว์ต่างๆ ที่ยังงงงันอยู่กับการพูดได้ของราซาส ยังยืนนิ่งไม่ขยับอยู่อย่างนั้น แทบไม่กล้าทำอะไรนอกจากหายใจ และฟังคำพูดของราซาสทุกคำพูด พยายามจำทุกประโยค พยายามมองทุกๆ คน และคงมองกันอีกนานถ้าไม่ได้ยินเสียงราซาสที่ตะโกนก้องหลังจากเงียบดูพฤติกรรมของสัตว์ในกลุ่มนั้นอยู่พักใหญ่ว่า



         “ทำไมยังไม่แยกย้ายกันไปอีก”



         สิ้นคำ…วงแตกทันที ต่างตัวต่างแยกย้าย มีบางตนไม่เชื่อคำพูดของราซาสก็พยายามนำไปเล่าให้ลูก-เมียฟัง แต่ได้รับคำตอบซึ่งยืนยันคำพูดของราซาสว่า “ท่านพ่อ/ท่านพี่ พูดภาษาอะไรอ่ะ ลูก/ข้า ไม่เข้าใจเลย” หลังจากนั้นเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็ไม่พยายามพูดให้ใครฟังอีกเลย ได้แต่แอบทยอยไปหาราซาส เนื่องจากราอุสไม่ยอมพูดเรื่องนี้ กับสัตว์ที่เค้าจำไม่ได้



                                                       ***************************************



           วันต่อมาเจ้ากระรอกน้อยตัวที่แสนอยากรู้อยากเห็นตัวนั้น ได้ย่องมาถามคำถามที่มันยังข้องใจกับรามุสว่า



          “นักข้ามภพคืออะไร ท่านรามุส แม้ข้าจะบอกเล่าให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ แต่ข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดี”



         รามุสได้แต่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “นิสัยไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าฟูส ยังอยากรู้สิ่งต่างๆ อยู่ดีนะเจ้า” ส่ายหน้าเมื่อเห็นกระรอกน้อยคอตก แล้วเอ่ยต่อว่า “เอาล่ะข้าบอกเจ้าก็ได้”



          เจ้ากระรอกน้อยนามฟูส เงยหน้าขึ้นมองนกกระเรียนเฒ่าด้วยสายตาแห่งความหวังทันที



          “พอๆ อย่ามองข้าด้วยสายตาอย่างนั้น” นกกระเรียนเฒ่าสะท้อนใจ ช่างเหมือนแววตามันในสมัยหนุ่มๆ ไม่มีผิด



          “นักข้ามภพคือ…” กระรอกน้อยจ้องมองมาด้วยสายตาแสดงความอยากรู้มากขึ้นอีก



          “…มนุษย์ที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบสุขของภพต่างๆ” เมื่อเห็นกระรอกน้อยทำหน้างงงันก็เอ่ยถามว่า



          “เจ้าเคยได้ยินกำเนิดภพแห่งนี้หรือไม่”



          กระรอกน้อยพยักหน้ารับ “ที่ว่าภพนี้เกิดซ้อนขึ้นมากับภพต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้น่ะหรือท่าน…มันเป็นนิทานไม่ใช่หรือท่าน”



          “ตำนานตะหากล่ะฟูส…ตำนานที่แฝงเร้นความเป็นจริงเต็มเปี่ยม…ตำนานที่ว่าด้วยการกำเนิดภพในมิติผู้ใช้เวทย์นี้”



          “มิติผู้ใช้เวทย์? ยังมีมิติอื่นอีกหรือท่านรามุส” ฟูสถามด้วยความมึนงง



          “มีอีกแต่จะเป็นมิติใดบ้างข้าก็ไม่ทราบรายละเอียด ข้าทราบเพียงว่ามิติต่างๆ รวมทั้งภพนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจาก ‘ทางเลือกและโอกาส’ ที่คนยุคก่อนสร้างขึ้น”



          “ทางเลือกและโอกาสหรือท่าน หมายความว่าอย่างไร” กระรอกน้อยถามด้วยความงุนงงยิ่งขึ้น



          “เปรียบเทียบง่ายๆ นะ เหมือนกับตอนที่เจ้าตัดสินใจจับคู่กับแอลไง…”



          “ข้ายังมีความสุขอยู่จนทุกวันนี้” กระรอกฟูสกล่าวด้วยนัยน์ตาเคลิ้มฝัน “แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะท่าน”



          “หากเจ้าไม่พบแอลล่ะ…เจ้าอาจจับคู่กับกระรอกตัวอื่น…เจ้าอาจจะเป็นตัวเมีย…หรือเจ้าอาจไม่จับคู่กับกระรอกตัวใดเลยก็ได้ …แล้วเจ้ารู้ได้ไงว่าอะไรจะมีความสุขกว่ากัน สิ่งนี้เปรียบง่ายๆ ถึงทางเลือกและโอกาสที่มาชดเชยกันกับความต้องการของเจ้า ทางที่เจ้าไม่เลือกจึงเกิดภพใหม่ๆ ขึ้นมา และนักข้ามภพอย่างท่านราเอลจะคอยดูแลมิติต่างๆ ให้เกิดความสงบสุข คอยดูแลความสมดุลย์ระหว่างภพ อะไรทำนองนี้แหละ”



          “ขอบคุณท่านรามุสมาก ที่อธิบายให้ข้าฟังแม้ข้าจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็เถิด” กล่าวจบก็ลานกกระเรียนเฒ่าไปอย่างรวดเร็ว ‘มิติที่ข้าไม่พบแอล ไม่ได้จับคู่กับแอล ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้ ข้าไม่น่ามาถามเลย’ คิดไปพลางวิ่งกลับบ้านไปพลางๆ พร้อมทั้งตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า…จะไม่ขอรู้เรื่องเกี่ยวกับนักข้ามภพอีก



                                                          *************************



    ทางด้านเอลฟาและแสงจันทร์…

         หลังจากออกจากป่ามาได้เอลฟาได้เพียงสื่อจิตถึงแสงจันทร์ว่า ‘อย่าพึ่งถามอะไร เพียงเจ้าช่วยสนับสนุนพลังให้ข้า มีอะไรข้าจะอธิบายเมื่อถึงที่พักก่อน’ แสงจันทร์จึงได้แต่เสริมพลังให้เอลฟาในการใช้เวทย์เคลื่อนย้าย เคลื่อนย้ายทั้งตัวเขา และแสงจันทร์อย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลาสังเกตสิ่งแวดล้อม จนกระทั่ง…



          เอลฟาพาแสงจันทร์มาหยุด ณ หน้าบ้านปีกไม้แบบตะวันตก ท่าท่าทางแข็งแรงมั่นคงหลังหนึ่ง เมื่อแสงจันทร์มองไปรอบๆ ก็เห็นต้นไม้ขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์โดยรอบ ยกเว้นทางสายหนึ่ง เมื่อมองไปในทางสายนั้น ก็เห็นบ้านไม้หลังใหญ่มากอยู่ไกลๆ แสงจันทร์คงมองบ้านหลังนั้นนานเกินไปนั่นเอง จึงได้ยินเสียงเอลฟากล่าวว่า

      

         “นั่นโรงตัดเย็บของข้าเอง” เมื่อเห็นแววฉงนในดวงตาของสาวน้อยจึงกล่าวเสริมว่า



          “เจ้าคงสงสัยล่ะซิว่า ในเมื่อบ้านเรือนต่างๆ ที่นี่ล้วนสร้างด้วยไม้ แล้วทำไมจึงมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก



          แสงจันทร์พยักหน้า



          เอลฟาพาแสงจันทร์เดินเข้าไปข้าในพร้อมทั้งกล่าวว่า



         “ไม่น่าแปลกใจหรอกแม่หนูน้อย”



          แสงจันทร์หน้างอทันทีที่ได้ยินคำ ‘แม่หนูน้อย’ แต่ไม่กล้าค้านอะไร จนเอลฟาต้องกลั้นยิ้ม



          “ผู้คนที่นี่รู้ตัวว่าตนต้องอยู่กับธรรมชาติ แต่ก็ต้องการความสุขสบายในการดำเนินชีวิตด้วย จึงออกกฎศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ‘หากผู้ใดตัด(หรือถอน) ต้นไม้ 1 ต้น ผู้นั้นต้องปลูกต้นไม้เพิ่ม 10 ต้นในบริเวณที่แห้งแล้ง หรือบริเวณโดยรอบที่พักอาศัย แต่ต้องปลูกอย่างน้อย 1 ต้นที่เป็นชนิดเดียวกับไม้ที่ตัด(หรือถอน) ณ บริเวณเดิม ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติของที่นี่จึงอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก และยิ่งสัตว์ที่นี่พูดได้ด้วยแล้ว ทำให้คนส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัต ดังที่เจ้าทราบดี ไม่มีการล่าสัตว์เพื่อเอาขน เอางามาเป็นเครื่องแต่งกาย และประดับบ้าน ไม่ล่าเพื่อเอาส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมาเป็นยาบำรุง หรือล่าเพื่อความสนุกสนาน คงมีการล่าเพียงเล็กน้อยในการเอากระดูกไปทำยาสมุนไพร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการขอกันดีๆ กับเจ้าป่ามากกว่า โดยเจ้าป่ามักให้ซากสัตว์ตัวที่ดวงถึงฆาตแล้วออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง”



         แสงจันทร์ทำหน้าเหวอไปเลย ‘เข้มงวดกันอย่างนี้นี่เอง ธรรมชาติจึงอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก’ แต่ยังมีอีกคำถามหนึ่ง “แล้วโรงตัดเย็บของท่านใช้อะไรเป็นวัตถุดิบเล่า”



         เอลฟายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วย้อนถามว่า “เจ้าไม่ทราบจริงๆ หรือ” เมื่อเห็นแสงจันทร์พยักหน้า “มีเส้นใยธรรมชาติตั้งหลายชนิด เช่นฝ้ายเป็นต้น ที่สามาถนำมาถักทอเป็นผ้าได้หลายแบบโดยอาศัยความสามารถพิเศษของผู้ทอนิดหน่อย ในการทอเป็นผ้าชนิดต่างๆ แต่มีผ้าชนิดหนึ่งที่ราคาแพงที่สุดในสถานที่นี้ ทอได้ยากที่สุด และสวมให้สวยงามโดยเนื้อผ้าไม่บดบังรัศมีผู้สวมใส่ได้ยากที่สุด แต่ยังคงมีคนต้องการมากที่สุดสิ่งนั้นคือผ้าที่ทอจากรัศมีแสงจันทร์ โดยแสงจันทร์ที่ใช้ทอได้นั้นต้องเป็นเฉพาะแสงจันทร์วันขึ้น 14 ค่ำ ถึงแรม 1 ค่ำเท่านั้น การทอต้องใช้ความสามารถของผู้ทออย่างสูงในการนำแสงจันทร์มาปั่นให้เป็นด้าย แล้วค่อยๆ ถักทอออกมา เดือนหนึ่งจะปั่นด้ายแสงจันทร์ได้เพียง 3 คืนเท่านั้นแล้วยังต้องระวังด้ายเหล่านั้นไม่ให้ถูกแสง และมือของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้ทอ จนกว่าผู้ทอจะทอเสร็จแล้วร่ายเวทย์ต่างๆ ลงไปให้ผ้าชนิดนั้นทนแสงแดดได้ โดยผ้าชนิดนี้สามารถป้องกันผู้สวมใส่จากสภาพอากาศต่างๆ ลดทอนอำนาจเวทย์ที่จะทำร้ายผู้สวมใส่ ในขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมอำนาจเวทย์ของผู้สวมใส่ด้วย รวมถึงป้องกันคมอาวุธทุกชนิดด้วย เนื่องจากการทอที่ยากลำบากมีผู้ทอได้เพียงคนเดียวในมิตินี้ โดยผู้ทอคนใหม่จะถือกำเนิดขึ้นเมื่อผู้ทอคนเก่าสิ้นอายุขัยเท่านั้น และเนื่องจากการที่ไม่สามารถสวมใส่ให้สวยงามโดยตัวเสื้อไม่บดบังรัศมีผู้สวมจึงนิยมทำเป็นเสื้อที่ใส่ข้างใน มากกว่าทำเป็นเสื้อนอก และข้าก็ได้เก็บไว้ให้เจ้าตัวหนึ่งแล้ว”



          ขณะนี้แสงจันทร์และเอลฟาเข้ามานั่งในบ้านแล้ว โดยแสงจันทร์บริการน้ำชาที่อาศัยเวทย์เคลื่อนย้ายใบชา แก้ว และกระติกน้ำร้อน มาจากห้องครัว และแสงจันทร์ทำหน้าที่ปรุงน้ำชาไปพลาง ฟังเรื่องเล่าของเอลฟาไปพลางๆ เมื่อเอลฟากล่าวจบก็มีผ้าผืนหนึ่งที่สวยงามมากปรากฎในมือเอลฟาในแทบจะทันที



         แสงจันทร์เลิกคิ้วขึ้น “นี่ก็แค่ผ้าธรรมดาที่สวยงามเป็นพิเศษเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ ทำไมท่านจึงบอกว่ามันเป็นชุด” แม้ผ้าผืนนี้จะสวยงามจนหาที่เปรียบไม่ได้แต่แสงจันทร์ก็ยังประหลาดใจอยู่ดี



          “เข้าไปลองพันผ้าผืนนี้กับร่างกายเจ้าสิ ในห้องนั้น” เอลฟาส่งผ้าผืนนั้นให้พร้อมทั้งชี้ไปยังห้องหนึ่ง



         เมื่อแสงจันทร์รับผ้าไปความรู้สึกแรกก็คือ เย็นสบาย ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนเลือดไหลเวียนแรงขึ้นแต่ก็สบายขึ้น รู้สึกเหมือนได้ของรักกลับคืนมา แสงจันทร์ชักหลงรักผ้าผืนนี้แล้วซิ



         ทันทีที่แสงจันทร์นำผ้าผืนนั้นมาพันรอบร่างกายผ้าผืนนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเกาะอกและกางเกงสามส่วนเข้ารูปที่เข้ากับผิวเนื้ออย่างประหลาด จากนั้นผ้าผืนนั้นก็ค่อยๆ แทรกหายเข้าไปกับร่างกายของแสงจันทร์จนเป็นเนื้อเดียวกัน แสงจันทร์รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นๆ และรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจที่ได้ของรักกลับคืนมา



         แสงจันทร์รีบใส่เสื้อผ้าทันทีเพื่อที่จะได้ออกไปถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรกับเอลฟา แต่ทันทีที่ที่แสงจันทร์ออกไป เอลฟารีบสวนคำถามขึ้นมาแทบจะทันทีว่า



         “เป็นไงผ้าผืนนั้นแทรกตัวลงไปในตัวเจ้าหรือเปล่า”



          แสงจันทร์พยักหน้ารับด้วยความพิศวง



         “ผ้าผืนนั้นเคยเป็นของเจ้า อย่าประหลาดใจไปเลย” ประโยคหลังกล่าวเมื่อเห็นสายตาแสดงความพิศวงของหญิงสาว



         “ใช่ผ้าผืนนั้นเคยเป็นของเจ้าหญิงลูน่า อ๊ะๆๆ อย่าพึ่งท้วง” รีบห้ามทันทีที่หญิงสาวอ้าปากท้วงว่า “เกี่ยวอะไรด้วย”



         “เกี่ยวสิเกี่ยวมาก ถ้าเจ้าคู่ควรจะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงผ้าแสงจันทร์จะผสานรวมกับผิวเนื้อ และไม่สามารถมีใครแยกผ้าออกจากเจ้าได้เว้นแต่เวลาเจ้าตายเท่านั้น เมื่อเจ้าหญิงลูน่าตายผ้าผืนนี้ก็อยู่กับข้ามาโดยตลอด และเมื่อมันพบเจ้ามันก็เรียกร้องจะอยู่กับเจ้ามาโดยตลอดแต่ข้ายังไม่มีโอกาสให้เจ้าเลยจนกระทั่งบัดนี้”



         ถ้าใครมาเห็นแสงจันทร์ในขณะนี้คงคิดได้อย่างเดียวว่า ‘หุ่นอะไร ช่างสร้างได้เหมือนจริงจัง’ เพราะแสงจันทร์นั่งนิ่งเป็นหุ่นไปแล้ว ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าที่จะรวบรวมสติกลับมาได้



          “เจ้าหญิงลูน่าหรือ เจ้าหญิงลูน่า เอ…ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนน้า” แสงจันทร์พึมพำเบาๆ



          “ใช่แล้ว” อุทานออกมาอย่างสำนึกได้ พร้อมทั้งมองหน้าเอลฟาเขม็ง



         “ชื่อที่ข้าเรียกตัวเองในป่า และชื่อที่ท่านเคยเรียกข้าในตอนเด็กๆ นั่นเอง” แล้วจ้องหน้าเอลฟาเฉยอยู่รอคำอธิบาย



          เอลฟาถอนใจแล้วอธิบายเท่าที่แสงจันทร์ควรรู้ในเวลานี้ว่า “เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกเดินทางมายังมิตินี้…ไม่เจ้าคงไม่แปลกใจหรอกเหมือนที่สมัยก่อนข้าก็ไม่เคยแปลกใจเช่นกัน” ถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อว่า “แต่เจ้าจะแปลกใจที่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ชื่อ “แสงจันทร์” หรือ “จันทร์” หรือชื่ออะไรที่เจ้าจะใช้เรียกแทนตนเองจะไม่มีวันออกจากปากเจ้านอกจาก “ลูนาซิส” หรือ “ลูน่า” เหมือนกับที่นี่ข้าเป็นได้เพียง “ราเอล” เท่านั้น” เงยหน้าขึ้นสบตาแสงจันทร์อย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ข้าอธิบายได้เพียงว่า เจ้ามีอดีตผูกพันกับที่นี่มากกว่าที่เจ้าคิด ซึ่งเจ้าจะรู้เองเมื่อเวลาของเจ้ามาถึง หากเจ้าจะค้นหาอดีต เจ้ามีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่ไม่จำเป็นหรอกเพราะอย่างที่บอก…เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” เอลฟาเอ่ยกับแสงจันทร์ตามคำพูดของใครคนหนึ่งที่เคยเอ่ยกับเขา ใครคนนั้นซึ่งบัดนี้เอลฟารู้แล้วว่าเคยเป็น ‘ลูก’ ใครคนนั้นซึ่งเป็นสาเหตุให้เอลฟาเป็น ‘นักข้ามภพ’ อย่างปัจจุบันนี้



          “หากข้าจะค้นหาอดีตเล่า” แสงจันทร์เอ่ยขัดความคิดของเอลฟาด้วยน้ำเสียงดื้อดึง



          “ตามใจเจ้า แต่ข้าจะไม่รับรองว่าอดีตที่เจ้าค้นหา จะเป็นความจริงหรือไม่” เอลฟาเอ่ยขึ้นมาในที่สุด



          “ถ้าอย่างนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะออกไปค้นหาอดีต ท่านจะออกไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่” แสงจันทร์ตัดสินใจ



          “จุดประสงค์ของเจ้าคือการผจญภัยและค้นหาเพื่อนใหม่ไม่ใช่หรือ เจ้าจะเอาข้าไปเกะกะทำไม ข้าจะให้ทุนสำรองเจ้าไป 1,000 กราด้า 30 เพอร์ต้า แล้วกัน เจ้ารู้อัตราแลกเปลี่ยนและวิธีใช้เงินแล้วใช่มั้ย” หันไปถามเด็กสาว



          แสงจันทร์พยักหน้า



         “เจ้ารู้ราคาตลาด และวิธีการต่อรองของ ของที่นี่ใช่มั้ย”



          แสงจันทร์ยังคงพยักหน้า



          “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ออกเดินทางได้เลย หากเจ้าต้องการเงินเพิ่ม หรือนึกถึงข้าเมื่อไหร่ เพียงสื่อจิตมาหาข้า ข้าจะใช้เวทย์เคลื่อนย้ายส่งเงินไปเพิ่ม หรือบางทีข้าอาจจะไปหาเจ้าก็ได้”



         เมื่อเห็นหญิงสาวยังไม่ทำหน้าอย่างไร จึงกล่าวต่อว่า



         “แต่อย่างน้อยเจ้าต้องให้เกียรติพักกับข้าสักพักหนึ่ง จนกว่าเจ้าจะหาจุดหมายและเพื่อนร่วมทางได้ ตกลงมั้ย”



         “ตกลง ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน” แสงจันทร์ตอบตกลงด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ‘ในเมื่อท่านไม่บอก ข้าก็จะค้นหาอดีตของข้าเองก็ได้’



                                           **************************************



    ภาคผนวก 3: ว่าด้วยลักษณะและหน้าที่ของนักข้ามภพ



                    ลักษณะโดยทั่วไปของนักข้ามภพ…เรียนรู้ง่าย ความจำดี ปรับตัวเก่ง…ด้วยเหตุนี้แสงจันทร์จึงเป็นคนฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

    นักข้ามภพมีหน้าที่ดูแลความสงบสุขของภพต่างๆ เนื่องจากหากเกิดเหตุผิดปกติในมิติหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อมิติต่างๆ ด้วย

    การกระทำต่างๆ ของนักข้ามภพและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักข้ามภพ จะไม่มีบันทึกเป็นใดๆ เป็นลายลักษณ์อักษร หากมีการบันทึกเรื่องราวใดๆ ที่นักข้ามภพมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และนักข้ามภพผู้นั้นไม่อนุญาต (ไม่เคยมีนักข้ามภพผู้ใดอนุญาติให้บันทึกเรื่องราวของตนเป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อน) บันทึกนั้นจะ…



              1.    ถ้านักข้ามภพไม่ใช่ส่วนสำคัญ นักข้ามภพคนนั้นมักจะถูกลืม ไม่ถูกบันทึกในบันทึกเล่มนั้น



              2.    หากบันทึกนั้นมีนักข้ามภพเป็นส่วนสำคัญ



        -  ตรงกับความเป็นจริง บันทึกนั้นมักจะสูญหาย ไม่ว่าจะมีการพยายามบันทึกกี่ครั้งก็ตาม



        -  กรณีไม่ตรงกับความเป็นจริง บันทึกส่วนมากมักสูญหายเช่นเดียวกัน แต่อาจมีบันทึกบางส่วนคงอยู่เพื่อบิดเบือนเรื่องราวของนักข้ามภพผู้นั้นในกรณีเกิดข่าวลือที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง จนทำให้เรื่องที่เคยเล่าลือเกี่ยวกับนักข้ามภพผู้นั้นบิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง



                                               ********************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×