ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แสงจันทร์ นักท่องภพ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 เดินทางครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 47


    1 ปีต่อมา…วันสอบวันสุดท้าย…ณ มหาวิทยาลัย

         “ไง…จันทร์…ข้อสอบคราวนี้ยากมากเลยเนอะ เราเขียนตกไปตั้งหลายประเด็นแน่” แก้วเพื่อนรุ่นพี่ของแสงจันทร์พูด



         “อืม ยาก เราก็ทำไม่ค่อยได้เหมือนกัน” แสงจันทร์กล่าว ทั้งๆ ที่ไม่คิดอะไร



         “ตัวอย่ามาทำพูดดีไป เทอมที่แล้วตัวก็บอกว่าทำไม่ค่อยได้ๆ เหมือนอย่างนี้ แล้วตัวได้ 85 มาได้ไงน่ะ” เอ๋เพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่งสัพยอก



         “โธ่…คงฟลุกน่ะ สอบเสร็จแล้วไปกินอะไรดี” แสงจันทร์พยายามเปลี่ยนเรื่อง



         “MK ม้า” เพื่อนคนหนึ่งเสนอ



         “ไม่เอา…เดือนที่แล้วพวกเราพึ่งกินไปเอง” มีคนในกลุ่มค้าน



         “ได ป่ะ” เพื่อนคนเดิมยังไม่เลิกพยายาม



         “ไม่เอา…เดี๋ยวหัวเหม็น” แก้วรีบค้านทันที



         “งั้น…พิซซ่า…ฟูจิ…ซิสเล่อร์…หรืออะไรดีละ” ชักหงุดหงิดเต็มที



         “เอางี้…ไปเดินดูกันก่อน…แล้วค่อยว่ากัน” แสงจันทร์ตัดบท



         และแล้วสาวๆ ทั้ง 10 แห่งกลุ่มรากไม้ก็เดินทางไปหาที่ฉลองสอบเสร็จกัน



                                                                   ***********************************************



    คืนนั้น…

         แสงจันทร์พบเอลฟาในความฝันเช่นเคย



         “ข้าว่าข้าพร้อมจะเดินทางแล้วล่ะ” แสงจันทร์เอ่ย



         “อืม…แล้วเจ้าคิดจะไปที่ไหนล่ะ”



         “มิติ ‘เรย์เชีย’ น่ะ”



         “เอ๊ะ! แต่…มิติ ‘เรย์เชีย’ เวลาตรงกับมิติของเจ้านะ” เอลฟาค้าน



         “ก็ข้าเตรียมบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะออกนอกเมืองกับเพื่อน…แล้วข้าอยากอยู่นานๆ และไม่อยากมีปัญหาในการเปลี่ยนเวลา อีกทั้งถ้าข้าเดินทางทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ท่านแนะนำ…ข้าคงแย่แน่ๆ เลย” แสงจันทร์รีบแก้ตัวเป็นชุด



         “เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ…งั้นช่วยแสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับมิตินี้บ้าง?”



         “ก็อย่างเช่น…มิตินี้เป็นมิติของผู้ใช้เวทย์ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา คนส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ มีเพียงส่วนน้อยที่ทานเนื้อสัตว์ มิตินี้แบ่งเป็น 5 แคว้นใหญ่ๆ โดย 2 แคว้นติดมหาสมุทรมูนฟรีส อีก 2 แคว้นติดมหาสมุทรเดียวกันแต่เรียกชื่อตามช่องแคบโฮย่า ส่วนแคว้นกลาด้า ถูกช่องแคบนี้แบ่งเป็น 2 ฝั่ง แคว้นที่เจริญที่สุดชื่อมูนัส แคว้นที่มีการแสดงรื่นเริงมากที่สุดคือแคว้นเฟมัส….” แสงจันทร์ยังคงอธิบายไปเรื่อยๆ



         “อืม…ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงอยากไปมิตินี้ล่ะ” เอลฟาที่เอาแต่เหม่อตลอดคำบรรยายนั้น ถามไปอีกเรื่องเมื่อแสงจันทร์อธิบายจบลง



         “ไม่รู้สิ…ข้าแค่ชอบบรรยากาศมั้ง” แสงจันทร์ตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร



         “อืม…” เอลฟาพยักหน้าช้าๆ ‘ตอบเหมือนสมัยข้าเลยแฮะ แต่เป็นเพราะความผูกพันตะหากล่ะเด็กน้อย…’ พลางคิดอย่างปลงๆ



         “ทำไมหรือ ท่านไม่เห็นด้วยหรือ” รีบละล่ำละลักกล่าว “ข้าชอบที่นั่นมากเลยนะ อากาศก็ดี ผู้คนก็เป็นมิตร…” แสงจันทร์คงบรรยายสรรพคุณของที่นั่นอีกยาว ถ้าไม่ถูกตัดบทซะก่อน



         “ข้าทราบ…ข้ามีโรงตัดเย็บเสื้อผ้าที่นั่น” กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ



         “อ้าว…แล้วทำไมถึงทำท่าเหมือนไม่อยากให้ข้าไปล่ะ” แสงจันทร์ชักสงสัย



         “เปล่าซักหน่อย…เจ้าคิดไปเองตะหาก ข้าจะได้ไปดูโรงตัดเย็บของข้าด้วย ไม่ได้ไปซะนาน…” น้ำเสียงในตอนท้ายติดจะเศร้าๆ



         “งั้นก็ดีน่ะสิ ข้าจะได้มีที่พักด้วย” รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะรู้ว่าชายตรงหน้าคงไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านี้แน่ “แล้วเราจะเริ่มเดินทางกันวันไหนดีล่ะ…มะรืนนี้เลยเป็นไง” กล่าวจบก็มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาอ้อนวอน



          “ได้สิ ข้าจะไปเตรียมสถานที่ให้ก่อน แล้วเจ้าอย่าลืมขออนุญาตพ่อกับแม่นะ” เอลฟาเตือน



         “จ้า….ไม่ลืมหรอก” กล่าวพร้อมทำหน้ายิ้มๆ



         “งั้นข้าไปก่อนนะ มีเรื่องต้องทำหลายเรื่อง ใกล้เช้าแล้วด้วย เช้าวันมะรืนข้าจะมารอรับเจ้าที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยนะ” เอลฟากำชับด้วยหน้าเครียดๆ พลางนึกสิ่งที่ต้องทำไปด้วย ‘เฮ้อ…จะทันรึเปล่าน้า’



         “ค้า…มะรืนนี้เจอกัน” แสงจันทร์กล่าวก่อนเดินทางกลับไปยังเตียงนอน



                                                              ***************************************



    เช้าวันต่อมา ณ ห้องอาหาร…

          “พ่อคะ แม่คะ วันนี้รีบหรือเปล่าคะ” แสงจันทร์ถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก หลังจากที่พ่อและแม่กำลังจะลุกไปทำงาน



         สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากัน แล้วนั่งลง



        “มีอะไรหรือลูก…วันนี้แม่เค้ามีประชุม พ่อต้องรีบไปส่งแม่ก่อน…แต่เราไม่รีบเท่าไหร่หรอกจ๊ะ” รีบกล่าวประโยคหลังอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นธิดาหน้าเสียไป



         “ใช่จ๊ะ เรามีเวลาสำหรับลูกเสมอ” คุณดารารีบกล่าวสนับสนุน



         “คือ…จันทร์ไม่รีบหรอกค่ะ…ไว้ค่อยคุยเมื่อพ่อแม่กลับมาก็ได้”



         “จริงหรือลูก เรามีเวลาจริงๆนะ นี่พึ่ง…” คุณภูผาเหลือบดูนาฬิกา หน้าเผือกไป แต่ยังฝืนยิ้มแล้วพูดกับธิดาว่า “7 โมงครึ่งเอง ยังพอมีเวลา จริงมั้ยคุณ?” หันไปถามความเห็นจากภรรยา



          คุณดาราที่เงียบไปหลังจากได้ยินเวลาจากสามีนั้น รีบกล่าวเสริมทันทีว่า “ใช่จ้ะ เรายังมีเวลา” พยายามฝืนยิ้ม และคิดต่อไปว่า… ‘ลูกต้องมาก่อน’



          เมื่อเห็นอาการของพ่อกับแม่แล้ว แสงจันทร์ก็รู้แน่แก่ใจว่า ‘ถ้าพ่อแม่ไม่ออกเวลานี้ พ่อคงไปทำงานไม่ทันแน่ๆ เพราะที่ทำงานของพ่อเรียกได้ว่าเกือบเป็นคนละทิศกับที่ทำงานของแม่ทีเดียว’ จึงกล่าวออกไปว่า



         “ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ค่อนคุยกันก็ได้ รีบกลับเร็วๆ หน่อยนะคะจันทร์รออยู่” ว่าแล้วแสงจันทร์ก็ทำความเคารพบิดามารดา แล้วรีบเดินไปเก็บจานชามไปล้าง



          สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง



          เมื่อคุณภูผารู้สึกตัวขึ้น เหลือบมองนาฬิกา แล้วกล่าวเร่งว่า “เร็วๆ เข้าสิคุณ…จะสามห้าแล้วเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก…เช้านี้คุณต้องเตรียมเอกสารการประชุมก่อนอีกไม่ใช่หรือ” กล่าวพลางเดินเร็วๆ ไปที่รถ



          “ค่ะๆๆ” รับคำอย่างเร็ว พร้อมกับรีบเดินไปเปิดประตู



                                                           ***********************************



    ในเวลาเดียวกัน…

          หลังจากที่เอลฟาแยกกับแสงจันทร์แล้วก็รีบเข้าร่างที่มิติ ‘มายา’ ทันที แล้วรีบเดินทางกลับมิติ ‘ลอฟ์ต้า’ อย่างเร่งด่วน…



          เอลฟาก้าวออกจากช่องว่างระหว่างมิติ เข้ามาในห้องที่มีชายหนุ่มผู้หนึ่งลุกขึ้นมายืนหันหลังให้ทั้งที่อยู่ในชุดเตรียมจะเข้านอน ผู้ซึ่งรับรู้การมาของเอลฟาแทบจะทันทีที่ช่องว่างระหว่างมิติเปิดออก



          “ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนท่านทาด้า* กลางดึกอย่างนี้” เอลฟากล่าว กับชายตรงหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม



          “ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ามีอะไรเร่งด่วนหรือ ถึงรีบมาในยามวิกาลเช่นนี้” เมื่อกล่าวจบ ได้หันมามองพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ



         ชายหนุ่มที่ชื่อทาด้านั้น มีอายุประมาณ 30 ปี ผมสีแดงเพลิง นัยน์ตาสีเหมือนท้องฟ้าในฤดูร้อน ใบหน้าคมสัน ร่างกายบึกบึน ดูแกร่งไปทุกส่วน เมื่อลักษณะเช่นนี้ผสมกับท่าทาง คงทำให้คนที่ไม่คุ้น ตัวแข็งได้ง่ายๆ



         แต่เอลฟานั้นไม่ตกใจกับท่าทางนั้นเท่าไหร่ แต่ติดจะเกรงใจมากกว่า จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นคงนักว่า “คือ…เรื่องการฝึกเด็กใหม่น่ะครับท่านทาด้า ถึงเวลาแล้วครับที่เด็กใหม่จะได้รู้จักการเดินทางครั้งแรกสักที ผมคงต้องถอนตัวจากการสืบเรื่องราชิตในมิติมายาครับ เพราะเด็กใหม่ต้องการไปทดสอบตนเองที่มิติเรย์เชียก่อนน่ะครับ” กล่าวจบพลางเตรียมใจรอรับคำไม่อนุญาต แต่แล้วเอลฟาต้องประหลาดใจ



         “กลับไปที่จุดเริ่มต้นงั้นหรือ ท่านแน่ใจนะว่าเด็กคนนั้นพร้อมแล้ว ได้…ข้าให้ท่านไป บางทีเราอาจคิดผิดก็ได้ บางทีราชิตในมิติมายาอาจไม่ใช่คนที่เราต้องการก็ได้ ในเมื่อท่านไปมิติเรย์เชีย จงตามหาราชิตในมิตินั้น แล้วเฝ้าดูไว้ จงติดตามความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวหากพบว่าราชิตในภพนั้น เป็นคนเดียวกับที่ก่อสงครามในมิติเรย์เชียขึ้นเมื่อ 350 ปีก่อน ระวังอย่าให้เด็กใหม่เจอกับราชิตด้วยล่ะ เด็กนั่นยังไม่พร้อม ทางข้าจะส่งฟาราห์ไปเฝ้าราชิตที่มิติมายาเอง แม้ว่าชายผู้นั้นอาจจะไม่ใช่ผู้ก่อเรื่องเมื่อ 350 ปีก่อนก็เถอะ” ทาด้ากล่างยืดยาว



         “น้อมรับคำสั่ง ท่านทาด้า” กล่าวพร้อมโค้งแสดงความเคารพอย่างสูงและหันหลังกลับเข้าช่องว่างระหว่างมิติเพื่อเดินทางไปยังมิติเรย์เชียต่อไป



                                                                     *****************************************



    เย็นนั้น…

         พ่อแม่ของแสงจันทร์รีบกลับบ้านเร็วกว่าปกติพบว่า แสงจันทร์กำลังเข้าครัวทำกับข้าวเตรียมไว้เอาใจพ่อแม่ ทั้งคู่ต่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครพูดอะไร จนแสงจันทร์ทำกับข้าวเสร็จยกมาตั้งโต๊ะ พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานมาให้



         “วันนี้พ่อกับแม่ กลับบ้านเร็วจังเลยค่ะ ดีจังวันนี้จันทร์เข้าครัวเองเลยนะ มีผัดผักบุ้งที่แม่เคยบอกว่าจันทร์ทำอร่อยด้วย…อ้าวทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ ไม่เอา…ไปทานกันก่อน” ที่ต้องกล่าวประโยคสุดท้ายเพราะเห็นพ่อแม่นั่งงงกันอยู่ แล้วทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง



         คุณภูผาและคุณดาราต่างเก็บคำถามไว้ในใจแล้วเดินไปทานข้าวที่โต๊ะ



                                                                     **************************************



    หลังอาหาร…ณ ห้องนั่งเล่น…

         เมื่อแสงจันทร์ล้างจานเสร็จแล้วเดินไปนวดไหล่ให้คุณภูผาผู้เป็นบิดา และส่งหน้ายิ้มๆ ไปให้มารดา



         แล้วความอดทนของคุณดาราก็สิ้นสุดลง…มีอะไรบุตรสาวตัวดีของเธอไม่ยอมพูดซะที…จึงถามบุตรสาวหน้ายิ้มๆ ว่า



         “ไงจันทร์ วันนี้จะเอาอะไรหรือไง”



         “โธ่คุณแม่…รู้ทันเรื่อยเลย” แสงจันทร์พ้อ



          “ก็เราเคยมาประจบอย่างนี้ ที่ไหนล่ะ…และคำว่า ‘หนู’ นั่นอีก” คุณภูผาเป็นผู้ตอบแทน



         “ตกลงค่ะ พูดก็พูด คือว่าหนูอยากไปนอกเมืองกับเพื่อนน่ะค่ะ” รีบบอกโดยเร็ว



         “นั่นไงว่าแล้ว ว่าแต่ว่า จะไปที่ไหน? กี่วัน? ล่ะเรา” คุณภูผาถาม เมื่อเห็นภรรยาพยักหน้าทำนองว่า ‘คุณถาม’



         “ก็นอกเมืองน่ะค่ะ ยังไม่มีกำหนดแน่นอนเลยว่าที่ไหน แต่หนูจะกลับก่อนเปิดเทอมแน่ค่ะ…หนูจะโทรมาหาบ่อยๆนะคะ” รีบเอ่ยประโยคสุดท้ายอย่างเร็ว เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนจะไม่เห็นด้วยของพ่อแม่



         “ต้องโทรมาทุกวันล่ะ” คุณภูผาเอ่ยหลังจากนิ่งอึ้งไปอึกใจใหญ่



         “ค่ะๆๆๆ” แสงจันทร์รีบรับคำด้วยท่าทีดีใจ



         “แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ ให้แม่ช่วยมั้ย” คุณดาราถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง



         “ไม่เป็นไรค่ะ หนูมีเงินเก็บพอ” แสงจันทร์ตอบด้วยทีท่าซึ้งในน้ำใจ



         “เอาไปเหลือดีกว่าขาดนะลูก แม่ดูบัญชีหนูอยู่ ถ้าไปนานขนาดนั้นเงินเก็บลูกไม่พอแน่จ้ะ”



         “พอค่ะพอ หนูกะไปทำงานด้วยน่ะค่ะ” กล่าวจบพลางนึกขอโทษมารดาในใจ ‘ขอโทษนะคะแม่ คือเงินบาทน่ะคงใช้ที่เรย์เชียไม่ได้หรอก’



         “งั้นถ้าไม่พอแม่จะเข้าบัญชีให้ทีหลังนะลูก อย่าลืมโทรมาบอกล่ะ”



         “ค่ะแม่”



         “ว่าแต่ลูกจะไปเมื่อไหร่ล่ะ” คุณภูผารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นเด็กสาวซึ้งจนน้ำตาเริ่มปริ่มๆ ออกมาแล้ว



         “พรุ่งนี้ค่ะ” ตอบพลางช้อนตามองพ่อแม่อย่างสำนึกผิด



         “พรุ่งนี้!” สองสามีภรรยาตะโกนขึ้นพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย



         “ค่ะ…พรุ่งนี้…หนูไปนอนก่อนนะคะพรุ่งนี้ต้องรีบเดินทาง กูดไนท์ค่ะ” รีบเดินไปหอมแก้มพ่อ-แม่คนละที แล้วรีบวิ่งเข้าห้องไป ปล่อยให้สองสามีภรรยายังนั่งงงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นต่อไป…



                                                                    ********************************************



    ทางด้านเอลฟา…

         เมื่อมาถึงมิติเรย์เชียก็เดินทางไปพบผู้จัดการโรงตัดเย็บของตนที่แคว้นมูนัสทันที



         “ข้าราเอล เอสตราด้า มาขอพบผู้จัดการหน่อย” เอลฟากล่าวกับพนักงานหญิงในโรงงานนั้น



          เอลฟาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอมาอยู่ในมิตินี้ทีไร จะมีเพียงชื่อนี้เท่านั้นที่หลุดจากปากเขาทุกที เพียงแต่สันนิษฐานว่าชื่อนี้ติดมากับอดีตชาติ…อดีตที่ทำให้เขาต้องเป็นอย่างทุกวันนี้



         หญิงผู้นั้นรีบขอตัวไปเรียนผู้จัดการทันที พลางคิดว่า ‘ราเอล เอสตราด้า ชื่อคุ้นๆ น้า เหมือน…เหมือน…’ ยังไม่ทันต่อความคิดก็ถึงหน้าห้องผู้จัดการซะก่อน จึงรีบเรียนผู้จัดการว่า “มีชายหนุ่มที่ชื่อราเอล เอสตราดร้ามาขอพบค่ะ”



         “ท่านเจ้าของ…มาทำอะไรที่นี่” อุทานออกมา



         ขณะที่หญิงที่ไปเรียกผู้จัดการยืนเงียบอยู่นั้น ผู้จัดการหนุ่มได้วิ่งตัดหน้าไปโดยไม่สนใจพนักงานสาวที่ยังสับสนกับตนเองอยู่ ‘เราไม่เคยรู้จักชื่อท่านเจ้าของ…เราคุ้นชื่อท่านที่ไหนน้า…ใช่ๆ ชื่อจักพรรดิ์องค์แรกของราชวงศ์เอสตราด้าไง และใช่ชื่อของชายหนุ่มที่ยุติสงครามเมื่อ 300 ปีก่อนไง…เรานี่แย่จังแฮะไปนึกถึงเรื่องประวัติศาสตร์แบบนั้นได้ไงเนี่ย’ คิดเสร็จ ก็ถอนใจ ‘รีบไปทำงานต่อดีกว่าเรา…ฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย’ นึกว่าตัวเองพลางก็เดินกลับไปทำงานพลาง



         ผู้จัดการหนุ่มวิ่งไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยังไม่เคยเห็นหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโรงตัดเย็บแห่งนี้ เนื่องจากผู้จัดการหนุ่มมีหน้าที่คอยดูแลกิจการทั้งหมด และคอยโอนเงินจากผลประกอบการให้เจ้าของในบัญชีชื่อ “ราเอล เอสตราด้า” ทุกเดือนนั่นเอง

    ผู้จัดการหนุ่มมองตรงไป นอกจากพนังงานตัดเย็บมีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่เท่านั้นเอง ชายหนุ่มที่อายุเพียง 20 เศษๆ ผมสีเงิน ตาสีดำลึกล้ำ หน้าตาคมสัน รูปร่างได้ส่วน ทีท่าสง่างาม ผู้จัดการหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตนอยู่ในท่าตะลึงมองนั้นนานแค่ไหน แต่ต้องสะดุ้งแทบจะทันทีที่ชายหนุ่มตรงหน้าขยับปากเรียกชื่อเค้า



         “ท่านคือแรนดอม โอฮาสก้าใช่มั้ย” เอลฟาถาม



         “ครับ ท่านราเอล” ผู้จัดการตอบ



          ราเอลมองผู้จัดการหนุ่มตรงหน้า…นี่เหรอผู้จัดการที่มากความสามารถของเขา ตั้งแต่ชายหนุ่มผู้มีผมสีฟางข้าว รูปร่างเล็ก ท่าทางสงบเรียบร้อย หายใจหอบนิดๆ ผู้นี้เข้ามาทำงาน กำไรที่ได้จากโรงตัดเย็บก็เพิ่มขึ้นมากว่าเท่าตัว ‘คงไม่ถนัดการออกกำลังกายแน่เลย ทำไมถึงไม่หายตัวมานะ อืม…บื้อนิดๆ แต่ท่าทางซื่อสัตย์ใช้ได้เลยทีเดียว’ ราเอลคิด



         “คือข้ามีเรื่องจะไหว้วานท่านหน่อยน่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมีแขกมาจากต่างเมืองน่ะ ท่านช่วยแนะนำที่พักแรมดีๆ ให้ข้ากับแขกของข้าหน่อยได้มั้ย” เอลฟาถาม



         “ท่านต้องไปพักที่อื่นทำไมครับ ทางเราสำรองที่พักไว้สำหรับท่านหลังหนึ่งตั้งแต่สร้างโรงงานใหม่ๆ…บัดนี้ยังไม่เคยมีใครเข้าไปพักที่นั่นเลย สภาพยังดีอยู่ครับ เดี๋ยวข้าให้ใครเข้าไปทำความสะอาดให้เดี๋ยวก็เรียบร้อย ท่านจะเข้าพักวันนี้เลยหรือเปล่าครับ” ตอนแรกถามอย่างสงสัย แล้วผู้จัดการหนุ่มได้คิดว่า ‘สร้างมานานขนาดนั้นบางทีท่านอาจนึกว่าให้ใครไปอยู่แล้วก็ได้’ จึงพูดประโยคต่อมาด้วนความรวดเร็ว



         “ยังหรอกพรุ่งนี้ข้าค่อยมาอีกทีแล้วกัน วันนี้ยังมีธุระค้างอยู่แล้วยังต้องเดินทางไปรับสหายผู้ที่จะมาพักด้วยอีกตะหาก” เอลฟาอธิบาย แล้วพูดต่อไปว่า



         “ข้าจะทิ้งเงินไว้ 50 กราด้า**นะ ไว้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับคนร่ายเวทย์ทำความสะอาด และจัดที่พักที่พักให้ข้า และส่วนที่เหลือก็ช่วยซื้ออาหารสด อาหารแห้งมาตุนไว้ให้ข้านิดหน่อยด้วย” กล่าวพลางหยิบถุงใส่เหรียญทองให้ผู้จัดการหนุ่ม



         “ไม่ต้องหรอกครับ…เรื่องแค่นี้เอง” ผู้จัดการหนุ่มปฏิเสธด้วยความเกรงใจ



         “ไม่ได้ๆ ข้าต้องการให้งานนี้ออกมาดีที่สุด เพราะฉะนั้นรับไปเถิด” รีบยัดเยียดถุงเหรียญให้ผู้จัดการหนุ่มแล้วรีบเดินจากไป ทิ้งให้ผู้จัดการหนุ่มมองตามด้วยความงุนงง



         “เอลาน่าๆ ช่วยมาหาข้าหน่อยซิ” ผู้จัดการหนุ่มส่งความคิดไปหาภรรยาเพื่อให้นางช่วยจัดการเรื่องที่ท่าน ‘ราเอล’ ต้องการ



                                                                        *************************************



         ส่วนเอลฟานั้นรีบออกเดินทางตามหาราชิตอย่างเร่งด่วนตามเมืองต่างๆ ในมิติเรย์เชียจนมาพบราชิตซึ่งกำลังเลี้ยงม้า ทั้งม้าธรรมดา และม้ามีปีก ‘เพกาซัส’ อยู่กลางทุ่งในช่วงกลางของแคว้นอาฟอดซึ่งมีชื่อทางด้านปศุสัตว์และสัตว์วิเศษ ซึ่งอยู่ตอนใต้ของแคว้นต่างๆในมิตินี้



         เมื่อหยั่งจิตตรวจสอบอดีตชาติดูพบว่า เป็นคนเดียวกับที่ต้องการตามหาจึงถอดจิตเดินทางไปบอกท่านทาด้าทันที ขณะที่คนทั่วไปจะเห็นเพียงว่าเอลฟายืนนิ่งอยู่เพียง 2 – 3 นาที เมื่อเอลฟากลับมาด้วยความสบายใจที่ท่านทาด้าจะให้ฟาราห์เดินทางมาเฝ้าราชิตที่มิติแห่งนี้แทนเฝ้าที่มิติมายาตามคำสั่งเดิม



                                                                           ***************************************



    วันรุ่งขึ้น…

         แสงจันทร์กล่าวอำลาพ่อแม่อยู่หน้าบ้าน



         “จะไปยังไงน่ะลูก” คุณภูผาถาม



         “จันทร์นัดเพื่อนให้มารับที่หน้าปากซอยค่ะ” แสงจันทร์ตอบ



         “ได้เวลาแล้วค่ะ จันทร์ไปก่อนนะคะ” กล่าวเสร็จก็หันมาสวัสดีพ่อแม่ และหอมแก้มท่านคนละที



         “ไปดีๆ นะลูก” คุณภูผารีบกล่าวทันทีที่บุตรสาวเดินหันหลังจากไป



         “ไปถึงแล้วรีบโทรกลับมานะ แม่จะคอยจ้ะ” คุณดารากล่าวเสริม



         “ค่ะๆๆ” ตอบพร้อมหันหลังมาโบกมืออีกที



         เมื่อถึงร้านกาแฟที่นัดหมายแสงจันทร์ก็มองหาเอลฟาทันทีเห็นเอลฟาที่นั่งรออยู่โบกมือทักทาย ก็รีบเดินไปหาทันที



         “เราจะไปกันยัง” เด็กสาวทักด้วยภาษาไทยเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต



         เอลฟาพยักหน้า และเรียกเด็กมาเก็บเงินทันที เด็กสาวรีบชำระเงินให้แล้วเดินนำเอลฟาออกไปจากร้าน เข้าไปในตรอกแคบๆ ที่เป็นซอยตัน มีเพียงบ้านร้างหลังใหญ่อยู่ที่สุดซอยเท่านั้น



          “เดินนำมานี่รู้แล้วเหรอว่าต้องทำยังไง” เอลฟาถามอย่างขำๆ (เป็นภาษาไทย ตามกฎที่ห้ามทำตัวว่าเป็นคนจากภพอื่นอยู่)



         ได้ยินดังนั้นเด็กสาวก็ทำหน้ายู่ ก็เธอยังไม่รู้เลยนี่นาว่าจะต้องทำยังไง



         เห็นเด็กสาวเฉยอยู่ก็เลยเร่งว่า “อ้าวๆๆ เฉยอยู่นั่นแหละ จะทำอะไรก็ทำซิ”



         “นายก็ทำให้ดูก่อนสิ” ชักโมโหบ้าง



          “ใจเย็นๆ สิเด็ก…สาวน้อย” เปลี่ยนคำเมื่อเห็นเด็กสาวตั้งท่าจะเถียง



         เอลฟาหันไปร่ายเวทย์อำพลางสายตาบุคคลภายนอก ก่อนจะหันมาบรรยายเป็นภาษา ‘ยูนีส’*** ว่า



         “ก่อนอื่นเราต้องเปิดช่องว่างระหว่างมิติให้ได้ก่อน…”



         “แล้วช่องว่างระหว่างมิติมันเปิดยังไงเล่า” หญิงสาวเอ่ยสวนขึ้นมาด้วยความใจร้อน



         “ก็ข้ากำลังจะอธิบายไง…อย่าขัดได้มั้ยล่ะ” หันมาถามเด็กสาวด้วยท่าทางจริงจัง



         “ได้…เร็วๆสิ” รับคำแทบจะทันที



         “ช่องว่างระหว่างมิติมีทั่วไปในบรรยากาศ เพียงแค่อาศัยคาถาบทหนึ่ง และเลือดของคนอย่างเราๆ สักเล็กน้อยสำหรับครั้งแรกที่เปิด ก็เปิดได้แล้วล่ะ”



         “เลือดหรือ?” เด็กสาวหน้าซีดลง



        “ไม่มากหรอก แค่หยดเดียวเอง” เอลฟาปลอบใจ



         “เฉพาะครั้งแรกเท่านั้นใช่มั้ย” เด็กสาวเริ่มคิด ‘ถ้าแค่ครั้งเดียว…เลือดหยดเดียวก็คุ้มเหมือนกันนะ’



         “ใช่…เฉพาะครั้งแรก เพื่อที่จะได้ระบุว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับข้าจริง” เอลฟาตอบ



         “งั้นก็ลงมือได้เลย” แสงจันทร์ตัดใจตอบ



         “เมื่อข้าเจาะเลือดเจ้า เจ้าจงนึกอยู่เสมอ แต่ต้องก่อนที่เลือดของเจ้าจะตกลงบนพื้นนะว่า ‘ข้าอยากได้คาถาเปิดช่องว่างระหว่างมิติ’ เนื่องจากคาถาของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน หากเจ้าไปใช้คาถาของคนอื่น หรือคนอื่นใช้คาถาของเจ้า ประตูมิติจะไม่เปิด และผู้ที่ใช้คาถาผู้อื่นจะไม่สามารถเปิดประตูมิติได้เป็นเวลา 1 ปี นี่คือในกรณีพวกเรานะ หากเป็นคนนอกที่รู้คาถามาโดยบังเอิญ จะเปิดประตูมิติได้แค่ครั้งเดียว…ครั้งแรกเท่านั้น! พร้อมทั้งจะสูญเสียความทรงจำบางส่วน จะมากจะน้อยแค่ไหนอยู่ที่จุดประสงค์ในการเปิด หากไม่ตั้งใจ จะแทบไม่เสียความทรงจำเลย…ดังนั้น เมื่อได้คาถามาแล้วเจ้าต้องร่ายคาถานั้นในใจพร้อมทั้งกำหนดจุดหมายด้วย…อย่างละเอียด… หรือเพียงกำหนดจุดหมายคร่าวๆ หรือไม่กำหนดจุดหมายเลยก็ได้ เพียงแต่เจ้าต้องเลือกจุดออก ที่ไม่มีคน”



         “จ้าๆๆ ท่านเจาะเลือดข้าเร็วๆสิ” แสงจันทร์ที่ฟังจนจะหลับอยู่แล้ว เอ่ยเร่ง



         “อย่าลืมกำหนดไว้นะ แคว้นมูนัส มิติเรย์เชีย ข้าจะกำหนดจิตตามเจ้าไปจนเจ้าออกจากช่องว่างระหว่างมิติ เพื่อที่ข้าจะตามเจ้าไปได้ในจุดหมายเดียวกัน เจ้าพร้อมแล้วนะ” ถามย้ำ



         “พร้อมตั้งนานแล้วรีบเจาะเลือดข้าเร็วๆสิ” กล่าวจบก็ยื่นนี้วชี้ซ้ายไปให้



          “ข้าจะเจาะแล้วนะ”



         ‘ข้าอยากได้คาถาเปิดช่องว่างระหว่างมิติ’



         “…3…”



         ‘ข้าอยากได้คาถาเปิดช่องว่างระหว่างมิติ’



         “…2…”



         ‘ข้าอยากได้คาถาเปิดช่องว่างระหว่างมิติ’



         “…เจาะแล้ว” เอลฟาเอ่ยพร้อมกับใช้เข็ม(ที่เตรียมไว้)เจาะนิ้วหญิงสาวทันที



         “โอ้ย!” ร้องพลางคิดต่ออย่างรวดเร็ว ‘ข้าอยากได้คาถาเปิดช่องว่างระหว่างมิติ’



         ทันทีที่เลือดเด็กสาวตกลงพื้นก็มีเสียง หวาน ไพเราะ ดังขึ้นในหัวเธอทันทีว่า “โอ-พา-ล่า-เอส-ตรา-น่า”



         แสงจันทร์ร่ายตามทันที



         ได้ผล…อากาศตรงหน้าหญิงสาวเหมือนมีหมอกหนาขึ้นในฉับพลัน!



         แสงจันทร์คงตะลึงอีกนาน หากไม่มีเสียงเร่งในสมองเธอว่า ‘มัวยืนนิ่งทำไม รีบเข้าไปพร้อมๆ ทั้งบอกจุดหมายด้วย แคว้นมูนัส มิติเรย์เชีย์นะ เร็วสิ’ เอลฟาที่บัดนี้ถอดจิต เตรียมจะตามหญิงสาวไปนั่นเอง



         “ทำไมท่านไม่ไปพร้อมกับข้าล่ะ” เด็กสาวเริ่มเกี่ยงงอน



         ‘ก็นี่มันช่องว่างระหว่างมิติของเจ้า ข้าเข้าไปไม่ได้ นอกจากถอดจิตตามเจ้าไปอย่างนี้ ไปกันได้หรือยัง’



         แสงจันทร์ไม่ตอบ เพียงแต่เอ่ยจุดหมาย แล้วเดินเข้าประตูมิติไปในทันที



         เอลฟากำหนดจิตตามจนรู้ปลายทางของหญิงสาว แล้วเริ่มร่ายเวทย์เปิดช่องว่างระหว่างมิติของตนบ้าง จากนั้นก็เดินทางมาสมทบกับหญิงสาว



                                                                 *********************************************



    *ทาด้า ในภาษา ‘ยูนีส’ (ภาษากลางที่พวกเอลฟาใช้กัน)นั้น แปลว่า 12 กล่าวคือบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าเอลฟาขณะนี้ คือนักข้ามภพยุคแรกคนที่ 12 นั่นเอง



    **กราด้า เป็นหน่วยเงินสากลที่ใช้ในมิติเรย์เชียนี้ โดย 1 กราด้า = 50 เพอร์ต้า

        กราด้ามีลักษณะเป็นเหรียญทองขนาดเหรียญสิบบาท แต่มีรูเล็กๆ อยู่ตรงกลาง ส่วนเพอร์ต้าเป็นเหรียญทองแดงขนาดเท่าเหรียญห้าบาท มีรูเล็กๆ ตรงกลางเช่นกัน



    ***ภาษา ‘ยูนีส’ เป็นภาษากลางที่ใช้กันในแทบทุกมิติ



                                                                  ********************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×