คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 รักษาที่จิตใจ
ตลอดการเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นโทลอส* โดยเรือบรรทุกทะเลทราย**ที่สองแม่ลูกเช่าเหมาลำมานั่นเรียกได้ว่าเงียบสงบอย่างยิ่ง นอกจากมีนกทาล***เข้ามาจิกกระจกด้านคนขับ 3 4 ครั้งแล้ว เด็กหญิงที่ดูวิวทะเลทรายจนเบื่อจึงได้แต่ก้มอ่านหนังสือเงียบๆ จนกระทั่งย่างเข้าสู่วันที่สามของการเดินทาง
(*แคว้นสำคัญๆ ในอาฟ์ก้ามีอยู่ 5 แคว้นคือ แคว้นโทลอส, แคว้นโอมิส, แคว้นเอเนีย, แคว้นมาเซีย และแคว้นซูจีน พร้อมทั้งแคว้นเล็กแคว้นน้อยอยู่อีกราวๆ 20 แคว้น
**เรือบรรทุกทะเลทราย ด้านล่างเป็นกระดานเหล็กคู่ เหมาะสำหรับเดินทางในทะเลทราย มีกระบะไม้ขนาดใหญ่ปิดทึบ มีเพียงช่องลมให้แสงลอดเข้ามาได้ ที่นั่งคู่ของผู้บังคับที่อยู่ด้านข้างถูกครอบด้วยกระจกใส ขับเคลื่อนด้วยพลังลม โดยผู้ขับจะใช้มนตราเพียงเล็กน้อยในการบังคับทิศทางให้ลมที่พัดอยู่เกือบตลอดเวลาในทะเลทรายพัดใส่ใบในทิศทางที่เหมาะสม
***นกทาล นกขนาดใหญ่ หากินในทะเลทราย โดยมากมักอยู่เป็นคู่ อาศัยกินซาก หรือสัตว์ที่เคลื่อนไหวไม่เร็วนัก เป็นอาหาร)
เรือบรรทุกที่วิ่งมาได้พักเดียวอยู่ๆ ก็หยุดชะงักลง ครั้นสองแม่ลูกมองออกไปจากหน้าต่างก็เห็นชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือราวๆ 20 คนยืนล้อมรอบเรือบรรทุกครั้งนี้อยู่อย่างเงียบๆ
เด็กหญิงมองชายแปลกหน้าที่ก้าวเข้าขึ้นเรือมาพร้อมดาบใหญ่ และเชิญสองแม่ลูกลงจากเรือบรรทุกอย่างสุภาพ หากแววตาดุดันเอาจริงยิ่ง ด้วยใบหน้านิ่งเฉย หากแววตาพราวระยับ ก่อนเดินตามมารดาลงจากเรือบรรทุกแต่โดยดี
“โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด แล้วจะเอาอะไรก็เอาไป แต่ขอต้นสมุนไพร และหนังสือไว้บ้าง” ผู้บำบัดสาวรีบเอ่ย
เด็กหญิงหันไปมองหน้าผู้เป็นมารดา ก่อนจะก้มหน้าลงช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ม่อยลงแล้วเก็บขวดยานอนหลับชนิดใหม่ที่ผสมขึ้น และยังหาคนทดลองใช้ไม่ได้ทันที ด้วยดวงตาที่แสนจะเข้มงวดของมารดาที่แทบจะส่งเสียงออกมาเป็นคำว่า ‘นี่เป็นเรื่องจริงจัง อย่าทำเป็นเล่นไป’
ประโยคดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าโจรอย่างมาก จนกระทั่งชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ไม่มีผ้าปิดปากก้าวออกมา มองเชลยทั้งสามอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะหันมาทักสองแม่ลูกขึ้นว่า “อ้าวนั่นแม่หมอกับลูกสาวหรอกหรือ ท่านจะเดินทางไปที่ใดกัน เหตุใดจึงมาเพียงลำพังกับคนขับเรือท่าทางขี้ขลาดเยี่ยงนี้”
คนขับที่ยืนนิ่งมาตลอดมีท่าทีฮึดฮัดขึ้นมาทันที
ผู้บำบัดสาวมองชายหนุ่มตรงหน้า แต่ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเคยรู้จักนายโจรคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งบุตรสาวกระตุกมือนางแรงๆ จนนางต้องก้มลงมอง
“ก็-ชาย-ที่-ให้-คน-มา-รับ-แม่-ไป-รัก-ษา-เมื่อ-ปี-ก่อน-ไง” นาลเอ่ยไม่ออกเสียง
ผู้บำบัดสาวพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนที่จะตอบชายตรงหน้าตามตรง
“พวกข้าจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อศึกษาสมุนไพร และวิธีการรักษาใหม่ๆ สิ่งมีค่าที่เราติดตัวมาจึงมีไม่มาก หากท่านต้องการสิ่งใดก็จงเอาไปเถิด เราขอเพียงหนังสือ และสมุนไพรต่างๆ ไว้” กล่าวจบก็ปลดสร้อย ปลดแหวน และนำกระเป๋าออกมาวางไว้
“แม่หมอเก็บไปเถิด ข้าไม่เอาหรอก แม่หมอเป็นผู้บำบัดที่ดี จงนำทรัพย์สินเหล่านั้นไปใช้ในระหว่างหาความรู้เพิ่มเติมเถิด” นายโจรกล่าว ขณะมองเด็กหญิงที่ป่วยเป็นโรคประหลาดด้วยแววตาอ่อนลง
อาลูนิชมองนายโจรด้วยความแปลกใจ ขณะที่เด็กหญิงมองนายโจรเขม็ง
“ถึงพวกข้าเป็นโจร แต่พวกข้าก็มีคุณธรรมประจำใจเหมือนกัน พวกเจ้ากลับไปก่อน” พวกโจรสลายกลุ่ม หายไปในสันทรายอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงนายโจรยืนอยู่เพียงคนเดียว
คุณคนขับเรือรีบถลามาข้างกายผู้บำบัดสาวกับลูก พร้อมทั้งมองนายโจรด้วยสายตาหวาดระแวง
“ไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น ทีแรกข้านึกว่าเป็นเรือบรรทุกสินค้า ข้าจึงเข้ามา” นายโจรเอ่ยกับคุณคนขับ ก่อนหันไปเอ่ยกับผู้บำบัดสาวว่า “พวกท่านมากันเพียงเท่านี้เองหรือ หากเจอโจรกลุ่มอื่นเข้าพวกท่านจะลำบาก ข้าจะตามไปคุ้มครองให้”
ผู้บำบัดสาวพยายามบอกปัดด้วยความเกรงใจ แต่นายโจรไม่สนใจเดินตรงไปยังที่นั่งคนขับ และตะโกนเร่งคนทั้งสามให้รีบขึ้นมา
ชายคนขับเดินตัวลีบไปนั่งข้างๆ นายโจร ขณะที่สองแม่ลูกเร่งขึ้นเรือบรรทุก
หลายวันมานี้นายโจรพยายามสอนนาลให้หัดใช้มีดสั้นจนพอเป็น ทุกครั้งที่เรือบรรทุกหยุดพัก เพื่อทานอาหาร หรือเพื่อพักผ่อนยามค่ำ โดยเน้นย้ำว่า “หากต้องเดินทางควรมีวิชาไว้ป้องกันตัวบ้างจากคน และสรรพสัตว์ที่แสนดุร้าย”
“แต่ว่า...” นาลค้านยังไม่ทันจบ นายโจรก็กระซิบเครียดออกมาก่อน
“หรือเจ้าต้องให้แม่เจ้าถืออาวุธคอยปกป้องเจ้า”
“...” นาลพูดไม่ออก เนื่องจากนึกถึงเรื่องในคราวก่อน ที่มารดาเผลอทำกล่องพยาบาลตกใส่แผลคนไข้ จนเลือดออกมามากมาย จนเด็กหญิงต้องเข้าไปเก็บกล่องขึ้น และรีบห้ามเลือดแทน ก่อนที่จะหันมาปลอบมารดาที่ตกใจจนร้องไห้ออกมาเงียบๆ
‘ไม่แม่ข้าทำไม่ได้แน่’ เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กหญิงก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่โดยดี เพราะไม่ว่ายังไงก็ตามผู้เป็นมารดาก็ไม่สามารถทำร้าย ‘คนไข้’ ได้แม้เพียงนิด
ทว่าการฝึกฝนกับนายโจรกลับสนุกกว่าที่คิด เพียง 3 วันนาลก็ใช้มีดสั้นได้คล่อง และค้นพบว่าตัวเองชอบการต่อสู้มากกว่าที่คิด จากการที่นายโจรเคยเคี่ยวเข็ญสอนในวันแรก กลายเป็นนาลรบเร้าจนนายโจรแทบไม่ได้พักเลยในวันต่อมา ขนาดเวลาที่เรือบรรทุกวิ่ง นาลยังขอให้นายโจรเข้ามาสอนปาเป้าให้อีกด้วย ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนในตอนแรกคลี่คลายลงอย่างช้าๆ
+ + + + + + + + + +
วันที่ 7 นับแต่แม่ลูกจากโอเอซิสอันเป็นที่พำนักมาสิบกว่าปี ความเร็วของเรือทะเลทรายค่อยๆ ลดลง ก่อนจะหยุดนิ่งด้วยใกล้จะพ้นเขตอันเวิ้งว้างของทะเลทรายแห่งนี้แล้ว เมืองหลวงของแคว้นโทลอสอยู่ข้างหน้านี่เอง!!
สองแม่ลูกเก็บของ และตรวจทานอีกครั้งอย่างรีบเร่ง พลางหยิบแบบแปลนบ้านทั้งห้าแผ่น ก่อนลงจากเรือเพื่อหาทำเลในการสร้างบ้าน พลางบอกให้คนขับรออยู่ก่อน หากตนได้ทำเล และผู้ใช้ธาตุไฟอีกคนแล้วจะกลับมาตาม
เมื่อนายโจรได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “เจ้าไม่ต้องหาผู้ใช้ธาตุไฟหรอก ข้าก็ธาตุไฟเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าต้องการผู้มีธาตุไฟไปทำไม” แต่เมื่อเหลือบไปเห็นแบบแปลนบ้านในมือเด็กหญิงก็เข้าใจ “พวกเจ้าจะวาดวงเวทสร้างบ้านเองเลยหรือ พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าจะควบคุมพลังธาตุของแต่ละคนให้เท่ากันได้”
“ข้ามั่นใจ” เด็กหญิงตอบและยิ้ม ด้วยคาดอยู่แล้วว่านายโจรต้องถามคำถามนี้ และแอบดีใจที่ตนคาดเดาธาตุของนายโจรไม่ผิด
นายโจรเลิกคิ้วแปลกใจ “เจ้างั้นหรือ ข้านึกว่าแม่ของเจ้าซะอีกที่จะเป็นผู้ควบคุมสมดุลธาตุ”
“ข้าไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้หรอก แค่รักษาคนไข้กับทดลองหายาใหม่ๆ ก็ไม่มีเวลาพอแล้ว ว่าแต่ต้องปรับสมดุลธาตุทั้งสี่ด้วยหรือ ข้านึกว่าแค่วาดวงแหวนเวท แล้วให้คนทั้ง 4 ธาตุนึกภาพแปลนบ้านขณะถ่ายเทพลังยังจุดต่างๆ เท่านั้น แม่ว่ามันหนักไปมั้งลูก” ว่าแล้วก็มองเด็กหญิงด้วยความห่วงใย
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะแม่ ข้าอ่านหนังสือ ‘การวาดวงแหวนเวทประยุกต์ชั้นสูง’ มาอย่างละเอียดแล้ว ข้ามั่นใจว่าทำได้แน่นอน...” แล้วก็สะกิดผู้เป็นมารดาให้หันออกมา ขณะพูดเสียงเบาลงว่า “...อย่าลืมสิว่าข้าธาตุอะไร...” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับนายโจรด้วยเสียงปกติว่า “ถ้าตอนนั้นข้าไม่ได้หนังสือเล่มนี้จากท่าน ข้าคงไม่สามารถทำได้หรอก” เอ่ยเสร็จสองแม่ลูกก็ขอตัวไปดูทำเลที่ตั้งบ้านก่อน
นายโจรมองตามผู้บำบัดสาวและเด็กหญิงด้วยความแปลกใจ แล้วนึกถึงคราวที่สองแม่ลูกเข้าไปรักษาตนยังค่ายชั่วคราวไม่ไกลจากโอเอซิสที่ทั้งสองอยู่นัก จำได้ว่าตนได้ให้เงินจำนวนหนึ่ง และให้ผู้บำบัดสาวเลือกสิ่งของในห้องเก็บสมบัติ ไปได้ 1 อย่าง
คราวแรกพวกตนนึกว่าผู้บำบัดสาวจะเลือกพวกชุดเครื่องประดับ หรือผ้าผืนงามๆ สัก 2 3 ผืน แต่สองแม่ลูกกลับมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปอย่างไม่เสียดาย เมื่อผู้เป็นบุตรสาวชี้ไปยังกล่องไม้ที่ใส่หนังสือ ที่พวกตนได้มาทีละเล่ม 2 เล่ม แล้วโยนไปรวมกันลวกๆ ยังกล่องนั้นรอวันขายทิ้งเป็นเศษกระดาษด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ข้าขอหนังสือเหล่านี้บางเล่มได้หรือไม่ เผอิญบ้านข้าเปิดห้องหนังสือให้ชาวบ้านได้เข้าไปอ่านด้วย หากได้หนังสือเหล่านี้ไปเพิ่มคงมีประโยชน์ไม่น้อย” ผู้บำบัดสาวเอ่ย ขณะที่เด็กหญิงรี่เข้าไปค้นหนังสือเหล่านั้นอย่างร่าเริง
“หนังสือเหล่านี้พวกเรายังไม่มีทั้งนั้นเลยค่ะแม่” เด็กหญิงหันมาเอ่ยกับมารดาอย่างตื่นเต้น ขณะที่พวกตนยืนค้างด้วยความฉงนที่สองแม่ลูกสนใจเพียง ‘ขยะ’ ที่พวกตนกำลังจะกำจัดทิ้งในวันรุ่งขึ้น
“เอาไปเฉพาะเล่มที่ซ้ำกัน แค่ 2 3 เล่มก็พอลูก” มารดากล่าวอย่างเกรงใจ “พวกน้าๆ จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่ไง”
นาลจึงกลับไปคัดใหม่อย่างตั้งใจ และพบว่ามีหนังสือที่ซ้ำกันอยู่ประมาณ 5 เล่ม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขอหนังสือพวกนี้ นายโจรที่หายอึ้งแล้วชิงกล่าวออกมาเสียก่อนว่า
“เอาไปทั้งกล่องเถิด พวกข้ากำลังหาที่บริจาคอยู่พอดี”
พวกโจรมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง “ใช่ๆพวกข้ากำลังจะเอาไปทิ้ง/กำจัด/ขาย เอ้ย เอาไปบริจาคอยู่พอดี”
“งั้นข้าขอคืนเงินพวกนี้ให้ท่าน ขอรับเพียงหนังสือกล่องนี้แล้วกัน” ว่าแล้วผู้บำบัดสาวก็นำเงินมากพอควรคืนให้นายโจรไป และช่วยกันแบกกล่องหนังสือขึ้นมาเตรียมตัวกลับ
นายโจรแทบจะสั่งให้ลูกน้องที่ยืนงงอยู่ไปส่งสองแม่ลูกแทบไม่ทัน ความประทับใจในตัวแม่ลูกคู่นี้ได้ฝังรากลึกอยู่ในใจนายโจรตั้งแต่วันนั้น...
+ + + + + + + + + +
สายๆ สองแม่ลูกกลับมายังเรือบรรทุกที่จ้างวานมาด้วยท่าทียิ้มแย้ม ด้วยเจอสถานที่ที่เหมาะใจ แม้มันจะค่อนมาทางทะเลทรายแห่งนี้มากกว่า แต่ห่างจากบ้านที่ใกล้ที่สุดของหมู่บ้านชานเมืองแห่งนี้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น หากยังห่างพอที่จะตะโกนกันไม่ได้ยิน
เมื่อนายโจรเห็นสถานที่ที่สองแม่ลูกล้อมรั้วไว้ก็ค่อนข้างแปลกใจ ด้วยที่ที่สองแม่ลูกเลือกนั้น ห่างจากบริเวณที่เรือบรรทุกลำนี้จอดไม่ไกลเลย ทั้งที่หากสองแม่ลูกเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านคงให้การต้อนรับอย่างดี และหาที่ทางให้เสร็จสรรพ ด้วยหมู่บ้านชานเมืองทั้งหลายเหล่านี้ล้วนขาดผู้บำบัดชั้นสูงกันทั้งนั้น หากเมื่อฟังสองแม่ลูกอธิบายก็ค่อยเข้าใจ
“ข้าว่าท่านคงเคยได้ยินข่าวว่าลูกสาวข้าไม่เติบโตตามวัยมาบ้าง”
นายโจรพยักหน้า
“บอกตามตรงที่ข้ามาในครั้งนี้ ข้าใคร่หาวิธีรักษาบุตรสาวของข้าให้หายจากโรคประหลาดนี้ จึงต้องหาที่ที่ห่างไกลผู้คนสักนิด อีกทั้งยังไม่ไกลจากตัวเมืองซึ่งเป็นแหล่งรวมวิทยาการใหม่ๆ และตัวยาชั้นดีอีกด้วย” ผู้บำบัดสาวอธิบาย ขณะที่ผู้เป็นลูกวาดวงเวทอย่างเงียบๆ
สายตาสามคู่มองเด็กหญิงที่วาดวงเวทอยู่อย่างมีสมาธิด้วยสายตาต่างๆ กัน
สำหรับคนขับที่มองเด็กหญิงอย่างเวทนามาตลอดเวลาเนื่องจากถูกภรรยา และลูก กรอกหูมาตลอดว่าเด็กหญิงเป็นตัวประหลาด แถมยังเจริญพรเด็กหญิงซะยืดยาว ว่าเด็กหญิงเป็นเหตุให้พวกตนสูญเสียผู้บำบัดคนเดียวไปโดยไม่คำนึงถึงท่าทีที่ตนแสดงกับสองแม่ลูกคู่นี้เลย
เมื่อเห็นภาพนี้ก็แอบนึกเสียดายแทนคนในหมู่บ้านที่สูญเสียทั้งผู้บำบัดที่มีความสามารถ และผู้ที่มีความรู้ความสามารถขนาดวาดวงเวทชั้นสูงได้อย่างง่ายดาย ด้วยความไม่รู้เท่า และลมปากตน
นายโจรมองเด็กหญิงอย่างชื่นชม ในความเข้มแข็ง ที่สามารถเผชิญโรคประหลาดมาได้โดยที่ไม่มีท่าทีซึมเศร้าสงสารตัวเองเยี่ยงคนส่วนใหญ่มักจะเป็น อีกทั้งยังเอาเวลามาศึกษาหาความรู้เองจากหนังสืออีก ‘เห็นทีคราวหน้าหากพวกเราได้หนังสือติดมา คงต้องให้ใครอ่านบ้างแล้ว... ไม่ใช่รวบรวมรอเวลาขายทิ้งอย่างทุกทีอีก’
ผู้เป็นมารดาได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้เด็กหญิงเผลอส่งธาตุทั้งสี่กระตุ้นให้วงเวททำงานด้วยตัวคนเดียว อย่างคราวสร้าง และลบวงเวทแสง*ในห้องนอนอีก การที่ผู้เป็นลูกมีธาตุทั้งสี่ครบมันก็น่าลำบากใจเอาตรงนี้นี่เอง ด้วยนางรู้ซึ้งถึงประโยคที่ว่า ‘จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย’ ดี ว่าแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกไปถึงมารดาของโจชัวที่สนิทสนมและชื่นชมนางยิ่งนักถึงขนาดแอบไปสืบประวัติเดิมของนาง งัดเอาเรื่องที่นางพลาดเพียงนิดจนทำให้คนไข้ที่เป็น ‘คู่หมาย’ ที่ผู้ใหญ่ตกลงกันเองเสียชีวิตลงจนนางต้องอพยพมายังโอเอซิสแห่งนี้ มาว่าใส่นางในวันที่นางจากมา...
(*การสร้าง และลบวงแหวนเวท จำเป็นต้องใช้ธาตุทั้งสี่ในการสร้าง แม้การวาดวงเวท และหาผู้มีธาตุหลักทั้งสี่ไม่เป็นเรื่องยาก แต่การควบคุมสมดุลธาตุกลับยุ่งยาก เพราะหากพลาดแม้แต่น้อย นอกจากวงเวทจะล้มเหลวแล้ว พลังอีก 3 ธาตุที่เหลือจะตีกลับสู่คนคุมสมดุล ก่อนที่คนทั้ง 3 จะทันถอนพลังธาตุตนออกมา ในทางทฤษฎีจึงแนะนำให้ผู้สร้างควรจะเป็นผู้ที่มีธาตุทั้งสี่ในตัวอย่างสมดุล ซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่าผู้ที่สามารถควบคุมสมดุลธาตุหลายเท่านัก)
เมื่อเด็กหญิงวาดเสร็จก็วางมือไปยังมุมหนึ่งที่วางแบบแปลนไว้ หากยังไม่ทันถ่ายเทพลังธาตุลงไป ผู้เป็นมารดาก็รี่เข้ามาประจำจุดทันที เด็กหญิงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนเรียก 2 คนที่เหลือให้ไปประจำจุดที่ตนวางแบบแปลนไว้แล้ว
เพียงไม่นานบ้านที่สร้างจากดินก็สำเร็จลง สองแม่ลูกเดินไปสำรวจภายในอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจุดไฟและรบกวนนายโจรควบคุมความแรงอีกครา บ้านและเครื่องใช้ในบ้านทั้งหมดจึงมีสีแดงอิฐ แข็งแรงทนทานพอที่จะอยู่อาศัยได้
เมื่อย้ายของเข้าบ้านใหม่เสร็จ สองแม่ลูกก็ชวนผู้ร่วมทางทั้งสองทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่ทั้งสองปฏิเสธ อาลูนิชจึงนำเงินค่าเช่ารถส่วนที่เหลือไปให้คนขับและกำชับให้ส่งนายโจรยังที่เดิม ขณะที่เด็กหญิงหิ้วล่วมยาขนาดย่อมไปให้นายโจร พลางเอ่ยว่า
“นี่เป็นยาห้ามเลือดทันที ยาคลายพิษจากพืชขั้นต้น และ ยาคลายพิษจากสัตว์พิษขั้นต้นที่แม่ข้าวิจัยขึ้นมา ข้าคิดว่ามันจะมีประโยชน์กับพวกท่านแน่นอน ข้าได้เขียนคำอธิบายไว้ในกล่องนี้แล้ว ขอบคุณที่ท่านช่วยคุ้มครองเราแม่ลูกมาตลอดทาง”
สองแม่ลูกมองส่งเรือบรรทุกทะเลทราย ด้วยความอาวรณ์
+ + + + + + + + + +
ตลอดหลายปีมานี้สองแม่ลูกเปิดสถานพยาบาล และห้องหนังสือยามเช้า โดยเก็บค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเช่นเคย จากนั้นจึงเข้าเมืองเพื่อเอาสมุนไพรที่เด็กหญิงนำมาเพาะไปขาย แล้วผู้บำบัดสาวจึงไปนั่งหาข้อมูลในห้องสมุด รอเด็กหญิงเรียนทักษะการใช้อาวุธป้องกันตัว ก่อนกลับมายังกระท่อมในเวลาเย็น
แน่นอนว่าค่าบำบัดเพียงเล็กน้อย ไม่เพียงพอให้สองแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างสะดวกสบาย แต่ที่สองแม่ลูกอยู่ได้ทุกวันนี้เรียกได้ว่ามาจากค่าสมุนไพรหายากที่นาลเอามาเพาะปลูกล้วนๆ น่าแปลกที่สมุนไพรซึ่งนำมาจากป่า กลางโอเอซิส และจากเมืองต่างๆ ที่ทั้งสองผ่านเหล่านี้ เติบโตสมบูรณ์ได้ด้วยมือของเด็กสาวเพียงคนเดียว หากวันไหนที่ผู้เป็นมารดาไปรดน้ำแทนเด็กหญิง สมุนไพรพวกนั้นก็จะดูเฉาๆ ลงไป แต่หากวันไหนเด็กหญิงเป็นผู้รด สมุนไพรนั้นจะดูสดและแตกหน่อพร้อมที่จะให้เด็กหญิงเก็บในวันต่อไป
“อาจเป็นเพราะเจ้ามีธาตุทั้งสี่อยู่ในตัวอย่างสมดุล เวลารดน้ำเจ้าอาจใช้ธาตุของเจ้าปรับสมดุลให้สมุนไพรเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวก็ได้” ผู้บำบัดสาวอธิบายให้เด็กหญิงฟังในวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองเฝ้าสงสัยว่าเหตุใดจึงมีเพียงเด็กหญิงที่ปลูกสมุนไพรที่ว่ากันว่าขึ้นยากขึ้นเย็นได้อย่างง่ายดายมาตั้งนาน
ชีวิตที่ระเหเร่ร่อน ด้วยไม่อาจปักหลัก ณ ที่แห่งใดได้เกิน 3 ปี ทำให้เด็กหญิงแข็งแกร่งขึ้น รู้จักการใช้เวท และอาวุธเพื่อการต่อสู้ จนสามารถป้องกันตนจากโจรที่ประมาท ‘เด็กและสตรี’ หลายต่อหลายครั้ง หลบรอดจากกรงเล็บสัตว์ที่หมายทำร้ายตั้งหลายหน
แม้สองแม่ลูกจะช่วยกันค้นคว้าอย่างแข็งขันก็ตาม ทว่าเวลาที่ผ่านไปปีแล้วปีเล่ากับการที่ไม่สามารถค้นพบอะไรเลย ได้บั่นทอนกำลังใจสองแม่ลูกอย่างมหาศาล แม้ผู้เป็นจะแม่ยังคงแย้มยิ้มและปลอบประโลมลูกน้อย สร้างกำลังใจให้ตลอดเวลา ทั้งที่ตนก็แทบจะหมดหวังแล้วเช่นกัน
แต่หลังจากเดินทางมายังแคว้นมาเซีย ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่แคว้นสุดท้าย อาลูนิชในวัยห้าสิบจำต้องยอมรับความจริงที่ว่าไม่มียารักษาอาการประหลาดของบุตรสาวที่ยังคงแลดูอายุเท่ากับเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน นางจึงเรียกเด็กหญิงเข้ามาพบในค่ำวันหนึ่ง
“นาลลูกรัก แม่เสียใจที่ค้นไม่พบวิธีรักษาอาการประหลาดของเจ้า การที่เจ้าไม่เติบโต ไม่ได้หมายความว่าเจ้าผิดแผกจากคนทั่วไปแต่อย่างใด ธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่*คงมีวัตถุประสงค์บางอย่างกับลูก...” อาลูนิชกำชับร่างเด็กหญิงเข้ามาอีก “แม้ว่าแม่ยังอยากเห็นสาวน้อยน่ารักที่แม่จำไม่ค่อยได้แล้วคนนั้นอีกครั้งก็ตาม จงจำไว้เถิดลูกรักไม่ว่าลูกเป็นอย่างไรแม่ก็รักลูกเสมอ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะโตพรวดพราดแบบคราวก่อน หรือยังอยู่ในร่างเด็กน้อยอย่างนี้ต่อไป แม่ก็จะยังรักเจ้าอยู่ดี
”
(*ลัทธิบูชาธรรมชาติ เชื่อว่าธรรมชาติเป็นบ่อกำเนิดแห่งพลัง คนและสัตว์ถือกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน คนส่วนใหญ่ของอาฟ์ก้านับถือลัทธินี้ แต่มีแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่เหล่าสรรพสัตว์อาละวาด เปลี่ยนไปเป็นการนับถือแค่ ‘ตนเอง’ มากขึ้น)
เด็กหญิงมองหน้ามารดาผู้ที่ชราลงทุกวันด้วยความทุกข์ตรม และมุมานะอย่างหนักแล้วน้ำตาพาลจะไหลซะให้ได้ นึกอยากจะโตขึ้นซะเดี๋ยวนั้น หลังจากที่เพียงช่วยมารดาค้นคว้าอาการของตนอย่างไม่เดือดร้อนอะไรมาตั้งนาน
“...จงจำไว้ว่าแม่รักเจ้าที่เป็นเจ้า มิใช่อื่นใดเลย...” เมื่อเอ่ยจบก็ก้มลงจุมพิตเด็กหญิง “จงจำไว้เสมอว่า ‘หากตั้งใจจริง ความพยายามนั้นจะไม่มีวันสูญเปล่า’ แม้ผลที่ได้อาจจะผิดจากที่เราคาดหวังไว้บ้างแต่หากเรา ‘มุ่งมั่น’ พอความสำเร็จก็ต้องมาถึงเราซักวันอย่างแน่นอน” อาลูนิชเอ่ยสิ่งที่ควรเอ่ยไปหมดแล้ว หากยังคงสวมกอดบุตรสาวแนบแน่น
‘แกร๊ก’ เสียงประหลาดดังขึ้นในศีรษะเด็กหญิงที่เอาแต่คิดว่าอยากโตขึ้นซักที ด้วยสงสารมารดาเต็มที
“อ๊ะ!!” เด็กหญิงผงะออกจากอ้อมแขนของมารดา ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นตามจังหวะเสียงประหลาดที่ดังในสมอง
‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’
“แม่” เมื่อเด็กหญิงหายตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของตนเองแล้ว เด็กหญิงก็ถลาไปกอดมารดาที่ยืนนิ่งด้วยความงงงันไม่แพ้กัน
อาลูนิชมองน้ำตาไหลนึกดีใจ ที่ลองวิธีสุดท้ายนี้ ‘รักษาที่จิตใจ’ วิธีสั้นๆ เพียง 5 พยางค์ที่อาจารย์คนแรกของนางมักท่องบ่นอยู่เสมอ แต่นางกลับไม่เคยใส่ใจ คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดปลอบประโลมเพียงเล็กน้อยจะรักษาอาการประหลาดของบุตรสาวที่เป็นมาถึง 20 ปีได้
ผู้เป็นมารดาดูจะสาวขึ้นมาอีก 10 ปีทันทีที่เด็กสาวผวาเข้ามากอด นับจากนี้สองแม่ลูกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องโยกย้ายบ่อยๆ อีกแล้ว
“ว่าแต่พรุ่งนี้จะทำยังไงดีล่ะ” อาลูนิชมองลูกสาวที่โตพรวดพราดอย่างหนักใจ ไม่รู้จะอธิบายให้ชาวบ้านที่เห็นเด็กหญิงในรูปลักษณ์เด็ก 10 ขวบมาเกือบ 3 ปีเข้าใจได้อย่างไร โดยไม่ให้ถูกประณามว่าเป็น ‘เด็กประหลาด’ อีก
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างตัดใจเมื่อเห็นคิ้วของลูกสาวขมวดลง “บางทีเราอาจย้ายบ้านอีกครั้ง ก็ได้”
ความคิดเห็น