ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แสงจันทร์ นักท่องภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 เอลฟา

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 47


    3 ปีผ่านไป…

       แสงจันทร์อายุได้ 6 ปีแล้ว กำลังเรียนอยู่ในชั้น ป.หนึ่ง มีความประพฤติเรียบร้อย ผลการเรียนยอดเยี่ยมความสามารถในด้านกีฬาเป็นเลิศ แถมการปฏิบัติธรรมทุกอาทิตย์กับหลวงปู่ยังไปด้วยดีอีกตะหาก ด้านการเรียนศาสตร์ต่างๆ กับชายลึกลับก็เป็นไปได้ดี จนกระทั่งวันหนึ่ง…



       “ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านชื่ออะไร” เด็กหญิงแสงจันทร์ถามชายลึกลับ



       “นึกว่าจะไม่ถามแล้วซะอีกข้าชื่อ…เอลฟา” ชายลึกลับตอบ พร้อมทั้งนึกขำที่เห็นเด็กหญิงกลั้นใจรอคำตอบ



       “เจ้าเรียนรู้ได้เร็วมาก พวกวิชาอาวุธ…การป้องกันตัวทั้งหลายเจ้าเรียนสำเร็จไปหมดแล้ว เหลือเพียงฝึกฝนหาประสบการณ์เพิ่มเท่านั้น…ด้านเวทย์มนต์และสมุนไพรก็ใช้ได้คล่อง แต่การเรียน 2 สายนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเจ้าต้องศึกษาเองไปเรื่อยๆ นะ” เอลฟากล่าว



       “แหม...ท่านพูดอย่างกับจะไปไหนไกลเลยนะ” เด็กหญิงตัดพ้อ



       “ก็ตอนนี้เจ้าถอดจิตให้เดินทางผ่านมิติต่างๆ ได้เองแล้วนี่ เจ้าหาเพื่อนเล่นโดนการเข้าฝันคนในมิตินั้นได้แล้วด้วย วิธีนี้แม้เจ้าทำร้ายเค้า หรือเค้าก็ทำร้ายเจ้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นไร อีกทั้งถ้าเจ้าไม่เข้าฝันคนนั้นซ้ำเกินกว่าเดือนละครั้งละก็ เขาผู้นั้นจะไม่มีทางจำเจ้าได้เลย ช่วงนี้งานข้ากำลังยุ่งอยู่ด้วย แต่ข้าจะพยายามแวะมาหาเจ้าอาทิตย์ละครั้งแล้วกันนะ และถ้าเจ้าชำนาญทั้ง 3 ด้านเมื่อไหร่ ข้าจะเริ่มสอนเจ้าให้เดินทางข้ามมิติอย่างถูกต้อง คือเดินทางทั้งร่างกายไงล่ะ…”



                                                       *************************************************



    7 ปีผ่านไป…

       เด็กหญิงแสงจันทร์ในวัย 13 ปี เรียนอยู่ชั้น ม. 2 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้เติบโตเป็นสาวน้อยที่ร่าเริงน่ารัก ฉลาด และเก่งไปเกือบทุกด้าน เริ่มมีคนมาติดพันสนใจ แต่ทว่า…



       สาวน้อยหาทางปฏิเสธไปได้เกือบทุกราย จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในทำนองนั้นอีก แต่ยังมีอยู่รายหนึ่ง ที่ใช้วิธี ‘ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ โดยเข้าไปขอเป็นเพื่อนก่อนแล้วใช้สโลแกนที่ว่า ‘ตามทุกที่ กันทุกคน’ จนหญิงสาวนึกขำ



       “นี่ๆ จันทร์ ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ” นกเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถาม



       “นั่นสิๆ นายป๋องตามเธอมาตั้งแต่ ม.1 แล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงเพื่อนอีกคนถามแทรกขึ้นมา



       “ไม่เหรอจ้ะ เรามี ‘ชายในฝัน’ อยู่แล้ว” แสงจันทร์เฉลย



       “ว้าว! ชายในฝันเหรอเป็นยังไงไหนลองช่วยบอกซิ” อ๋อที่พึ่งเดินเข้ามาได้ยินประโยคหลังถามอย่างสนใจด้วยเสียงอันดัง จนคนทั้งห้องหันมามอง พร้อมทำหูผึ่งไว้ตลอดเวลา ขณะที่นายป๋องนั่งหน้าซีดอยู่



       “ชายในฝัน ก็คือ ผู้ชายในความฝันไง” แสงจันทร์แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน



       “ไม่ต้องทำไก๋เลย ยายจันทร์” นกและหญิงแกล้งขู่ขึ้นพร้อมกันด้วยทราบนิสัยของเพื่อนสาว



       “เปล่า…เราพูดจริงๆ” พลางสบตาเพื่อนสาวทำนองว่า ‘ไว้พูดเรื่องนี้กันทีหลัง’ แล้วแกล้งมองไปรอบห้อง



       เพื่อนสาวทั้ง 2 เข้าใจ จึงพูดว่า “ได้…เราเชื่อ” พลางพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น



                                                              ************************************



    พักกลางวัน…

       สองสาวนามว่านกและหญิงเดินมาจะมาทวงสัญญา “จันทร์ๆ”



       “มีอะไรเหรอจ้ะ” แสงจันทร์กล่าวพลางคิดในใจว่า ‘ขอโทษด้วยจ้ะ’ พร้อมทั้งร่ายเวทย์ลบความทรงจำอย่างรวดเร็ว ที่ส่งให้เพื่อนทั้ง 2 ด้วยรอยยิ้มหวานจ๋อย



       ทั้ง 2 สาวที่เพิ่งเดินมาถึง ได้แต่ตกตะลึงกับรอยยิ้มนั้น จนกระทั่ง…



       “เอ…เราเรียกจันทร์ไว้ทำไมนะ” นกปราด



       “นั่นสิ เมื่อกี้นี้เรายังนึกออกอยู่เลย ทำไมตอนนี้ลืมไปแล้วนะ” หญิงเห็นด้วย



       “สงสัยเพราะรอยยิ้มนั้นแหง๋ๆ เลย…นี่จันทร์เธอยิ้มได้แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ” เมื่อนึกไม่ออก นกก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที



       “ตั้งแต่เกิดแน่ะ” แสงจันทร์ตอบพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท



       “ยายจันทร์” หญิงเรียก พลางส่ายหน้ากับความทะเล้นของเพื่อนสาว



                                                                 ************************************



    คืนนั้น…



       “ทำไมเจ้าร่ายเวทย์กับเพื่อนเจ้าล่ะ” เอลฟาถาม



       “ก็เค้าจะถามคำถามที่ข้าไม่ต้องการตอบน่ะสิ” สาวน้อยตอบอย่างแสนงอน



       “หึ…เรื่อง ‘ชายในฝัน’ ที่เจ้าพูดกระทบข้าใช่มั้ย” เอลฟาถาม แล้วต้องรีบกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นหน้าเหยเกของสาวน้อย



       “ที่ข้ามาพบเจ้าแต่ในฝันเพราะเจ้ายังไม่พร้อมที่จะเดินทางผจญภัยด้วยตัวของเจ้าเอง…การเดินทางด้วยจิต…ในฝันสำหรับเจ้าเหมาะที่สุดในการฝึกฝน หาคู่ซ้อม คู่เล่น…เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอ” เอลฟาย้อนถาม



       “แล้วเมื่อไหร่ ข้าจะพร้อมซักทีล่ะ” สาวน้อยเริ่มถามด้วยเสียงหงุดหงิด



       “ลองเล่นให้ข้าดูซิ…เริ่มจากการถอดจิตเดินทางไปท้าสู้ในฝันกับคนในมิติของผู้ใช้อาวุธ ในการต่อสู้แบบเดียวกับมิติของเจ้าก่อนก็ได้” เอลฟาเสนอแนะ



        “เรื่องง่ายๆ ข้าทำสำเร็จตั้งแต่สามปีที่แล้วท่านก็รู้ดี” สาวน้อยคุยไปพลาง ก็เดินทางไปหาผู้ที่เหมาะสมจะเข้าไปเล่นต่อสู้ในฝันต่อไป



       “เอามิตินี้ก็ได้ มิติ‘ทาร์’ มิติที่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดชำนาญในการใช้อาวุธทุกชนิด” แสงจันทร์เลือกอย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเดินเข้ามิติ ‘ทาร์’ ต่อไป



       “ขั้นแรก เลือกคนที่เตรียมตัวนอน แต่ยังไม่หลับ..คนนี้ก็ได้” กล่าวพลางมองหน้าเอลฟาว่าเห็นด้วยหรือไม่



       ครั้นเอลฟาพยักหน้า ก็ร่ายเวทย์สะกดให้ชายที่หมายตาว่าจะเป็นคู่ต่อสู้หลับ แล้วเดินนำเอลฟาเข้าสู่ฝันของชายหนุ่มผู้นั้น



                                                           ************************************

    ในฝัน…

       แสงจันทร์เดินไปหาเด็กหนุ่มขอประลองฝีมือด้วย แต่ทว่า…



       “ข้าไม่สู้กับผู้หญิง” เด็กหนุ่มตอบ



       “ข้าดูเหมือนผู้หญิงนักเหรอ” กล่าวจบก็ร่ายเวทย์พรางตาฝ่ายตรงข้ามให้มองว่าเป็นเอลฟาทันที พลางส่งความคิดไปยังเอลฟาว่า ‘ข้าจะไม่ใช้เวทย์ในการต่อสู้หรอก…ข้าแค่ต้องการให้เด็กหนุ่มผู้นี้ยอมสู้ด้วยเท่านั้น…ขอยืมรูปกายของท่านด้วยแล้วกัน’



       เอลฟาพยักหน้าอนุญาต พลางคิดว่า ‘ทำก่อน…ถามทีหลัง…ยังไงก็ต้องยอมละน้า’ แล้วได้แต่ปลงนึกในใจ



       เมื่อเห็นเด็กสาวที่หน้าสวย ท่าทางอ่อนหวาน นัยน์ตาโตสีอำพันทอง ผมยาวดำสนิทดังรัตติกาล แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสีดำเย็นชา ผมสั้นสีเงินงามเด่นอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มชักไม่แน่ใจ



       “ไม่หรอก…ทำไมเมื่อกี้ข้าเห็นเจ้าเป็นผู้หญิงไปได้” เอ่ยอย่างแปลกใจ



       “งั้นเจ้าพร้อมที่จะสู้กับข้า หรือยัง” แสงจันทร์ถาม



       “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงมาท้าสู้กับข้า?” เด็กหนุ่มถาม



       “ข้าชื่อจันทร์ ข้าต้องการทดสอบตนเองเลยมาท้าเจ้าสู้ เจ้าต้องการต่อสู้ด้วยอาวุธชนิดใด” แสงจันทร์ตอบ พลางกวาดมือไปที่พื้น ปรากฎอาวุธหลากหลายขึ้นมาอย่างละคู่



       ชายหนุ่มหันไปมองแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็หยิบดาบเล่มหนึ่งมาถือไว้มั่น พลางกล่าวว่า



       “เพียงเพื่ออยากทดสอบฝีมืองั้นหรือ ก็ได้ข้าจะสงเคราะห์ให้” ว่าแล้วก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม



       “ดาบหรือ…ได้” ทันทีที่แสงจันทร์หยิบดาบอีกเล่ม อาวุธที่เหลือก็หายไป



       “เจ้าทำได้ยังไงน่ะ” เด็กหนุ่มตะลึง



       “อย่าลืมสินี่มันในฝันนะ ขอเพียงมีความมุ่งมั่น คิดอะไรก็ได้แล้ว” แสงจันทร์เฉลย



       “งั้นการที่เจ้าท้าสู้นี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะสิ” เด็กหนุ่มแย้ง



       “จริง…เพียงแต่การสู้ในฝันนี้ หากเกิดการบาดเจ็บขึ้น ก็จะบาดเจ็บอยู่ในฝันครั้งนี้เท่านั้น เมื่อเจ้าตื่นขึ้น อาการบาดเจ็บต่างๆ จะไม่ปรากฎ แถมเจ้ายังจะสดชื่นขึ้นด้วยนะ” แสงจันทร์อธิบายด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะต้องอธิบายอย่างนี้ทุกครั้งที่ไปขอท้าใครก็ตามสู้



       “แปลกแฮะ…ช่างเถอะ…รีบมาสู้กันดีกว่า” เด็กหนุ่มกล่าว พลางตวัดดาบหาผู้ที่มาท้าทันที



       แสงจันทร์รับไว้ได้ ตวัดดาบโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว พลางคิด ‘ความเร็วและฝีมือพอๆ กับข้าแฮะ แต่เจ้านั่นแรงมากกว่า ถ้าต้องตั้งรับเฉยๆ ไม่ดีแน่…ต้องเร่งโจมตีแล้วล่ะ’ คิดได้ดังนั้นก็เร่งพลังในการจู่โจมขึ้นอีก



       ทั้งสองตวัดดาบได้เร็วพอๆ กัน ผลักกันรุกผลักกันรับ จนกระทั่ง…



       เอลฟาสื่อจิตมาหาแสงจันทร์ว่า ‘พอแล้วน่า…ฝีมือพอๆ กัน คงต้องฝึกอีกหลายปี’



       ครั้นแสงจันทร์ได้ยินดังนั้นก็ฮึดสู้ต่อทันที โดยการฟันสันดาบจนดาบของคู่ต่อสู้หลุดมือไป แล้วเอาดาบพาดคอคู่ต่อสู้ทันที



       พอรู้ผลแพ้ชนะแล้วแสงจันทร์ก็เดินออกจากความฝันของเด็กหนุ่มคนนั้นทันที



                                                                 *******************************************



       “เป็นไงล่ะ” แสงจันทร์ ถามอวดเอลฟา



       “คงอีกนาน” เอลฟาสรุป



       “แต่ข้าชนะนะ” แสงจันทร์เถียง



       “ใช้เวลานานกว่าที่น่าจะเป็น” เอลฟาตอบ ‘แถมยังต้องให้กระตุ้นอีก…ยังขี้เล่นเกินไป…ประมาทเกินไป’ เอลฟาต่อในใจ



       “แล้วเมื่อไรจะได้เดินทางข้ามมิติจริงๆ ล่ะ” แสงจันทร์เริ่มท้อ



       “การเดินทางข้ามมิติจริงๆ มันอันตรายนะ ข้าจะสอนให้เมื่อข้าเห็นว่าเจ้าพร้อมทั้งวิชาการต่อสู้, สมุนไพร และเวทย์มนต์แล้วเท่านั้น” เอลฟาตอบ



       “คงอีกนานสินะ” แสงจันทร์พ้อ



       “ใช่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง”



                                                          *****************************************



        นับจากวันนั้น แสนจันทร์ก็ฝึกซ้อมอย่างหนัก หาคู่เล่นด้วยทุกครั้งที่หลับ เดินทางไปเข้าฝัน และพบผู้คนในมิติต่างๆ ซึ่งแสงจันทร์เพลิดเพลินมากเสียดายเพียงแต่…เธอไม่อาจผูกมิตรกับคนเหล่านั้นได้ เพราะเอลฟาเน้นว่าให้ไปหาในฝันเท่านั้น!



       ส่วนเรื่องการเรียนนั้น แสงจันทร์สอบเทียบ ชั้นม. 3 ได้ในปลายปีนั้นเอง ปีต่อมาแสงจันทร์จึงได้เรียนชั้น ม.4 ทั้งที่อายุ 14 เท่านั้น!! เนื่องจากเป็นเด็กจึงได้รับความเอ็นดูจากพวกเพื่อนๆ ในชั้น แต่ทว่าหลังสอบย่อยในแต่ละวิชา ก็มีผู้ที่หมั่นไส้แสงจันทร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงจันทร์ตัดสินใจสอบเทียบ ม.6 ในปีนั้น เพราะทนคำกระทบกระเทียบ จากเพื่อนๆ ในห้องไม่ไหว แม้จะมีคนให้กำลังใจแสงจันทร์บ้างเหมือนกัน แต่น้อยมาก



        แสงจันทร์สอบเทียบได้! ทั้งๆ ที่เพิ่งย่าง 15 ปี เมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ พวกท่านก็สนับสนุน แถมยังให้เวลาแสงจันทร์อ่านหนังสือให้เต็มที่อีกตะหาก



                                                                     *******************************************



    ในที่สุดจดหมายแจ้งผลสอบก็มาถึง



    เย็นนั้น…

       เด็กสาวรีบเปิดจดหมายอย่างรวดเร็ว ‘แสงจันทร์สอบได้!!!’



       “พ่อ-แม่ ทายซิจันทร์สอบได้ที่ไหน” เด็กสาวตะโกนถามอย่างร่าเริง



       “ที่ไหนลูก…เดี๋ยวๆ…นิติ ธรรมศาสตร์ใช่มั้ยเอ่ย แม่จำได้ว่าลูกเลือกไว้เป็นอันดับแรกนี่นา” คุณดาราทายอย่างเชื่อมั่นในตัวลูกสาวคนเก่ง



       “ใช่ค่ะแม่…ทายเก่งจังเลย” เด็กสาวชมในความทรงจำของผู้ให้กำเนิด



       “คืนนี้เราจะไปฉลองที่ไหนดีล่ะแม่” พ่อที่ยังนั่งยิ้มไม่หุบหันไปปรึกษาภรรยา



       “โทรไปบอกคุณแม่ก่อนดีมั้ยคะ แล้วค่อยปรึกษากัน” ภรรยาเสนอความเห็น



       “ใช่…ผมลืมไปมัวแต่ตื่นเต้นน่ะ” คุณภูผากล่าวอย่างละอายใจที่ลืมนึกถึงแม่ตนไปเลย แล้วรีบโทรหาคุณลำดวนต่อไป



       “แม่เหรอครับ ยายจันทร์เอ็นท์ติดแล้วนะครับ” คุณภูผารีบกล่าวทันทีที่มารดารับโทรศัพท์

       “ต๊าย….” เสียงคุณลำดวนตะโกนออกมาแว่วๆ

       “จริงครับ นิติ ธรรมศาสตร์ครับ” ภูผาตอบ

       “….”

       “ครับ ผมโทรมาปรึกษาแม่เรื่องนี้ล่ะครับ แม่คิดว่าที่ไหนดีครับ”

       “…”

       “ก็ดีครับงั้น เสาร์นี้ผมไปรับคุณแม่ไปฉลองที่ร้านxxx สัก 10 โมงเป็นยังไงครับ”

       “…”

       “เจอกันวันวันเสาร์ครับ บาย” กล่าวจบคุณภูผาก็วางหู แล้วหันมาปรึกษาภรรยา



       “คืนนี้เราไปฉลองกันในครอบครัวก่อนดีกว่า อยากทานอะไรล่ะลูก” คุณภูผาหันไปถามเด็กสาว



       “เอ…อะไรดีล่ะคะ…ร้านอภิชาติเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ” แสงจันทร์ตอบ



       “งั้นไปกันเลย” คุณพ่อเสนอพร้อมเดินไปที่รถ



                                                                                 *********************************



    คืนนั้น…

       “ยินดีด้วยที่สอบได้นะ แต่เตรียมทำใจไว้แล้วกัน” เอลฟาเตือน



       “เรื่องอะไรเหรอ” แสงจันทร์ยังไม่เข้าใจ



       “ในมิติของเจ้าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ? คงมีข่าวประมาณว่า “เด็ก 15 อัจฉริยะเอ็นท์ติดด้วยคะแนนสูงสุด” หรืออะไรทำนองนี้ล่ะ” เอลฟายกตัวอย่างง่ายๆ ขึ้นมา



       “อย่างนี้ก็แย่สิคะ” เด็กสาวเริ่มกังวล



       “ใช่…แต่ในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดี…เจ้าพร้อมเดินทางครั้งแรกแล้ว” เอลฟากล่าว



       “จริงเหรอ!! เมื่อไหร่ดีล่ะ” เด็กสาวถามด้วยเสียงตื่นเต้น



       “ใจเย็นๆ เรามาเตรียมพื้นฐานกันก่อน” เอลฟาพูดพลางนึกเอ็นดูกับอาการตื่นเต้นของเด็กสาวตรงหน้า



       “พื้นฐานหรือคะ”



       “ใช่ ก่อนอื่นชื่อของเจ้าจำยาก เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อก่อน ชื่อที่เป็นภาษานี้ หรือใกล้เคียง” เอลฟาเสนอ



       “ข้าใช้แค่ ‘จันทร์’ ได้หรือเปล่าคะ…มันเป็นชื่อที่ข้าใช้เสมอในการเดินทางด้วยจิต” แสงจันทร์เสนอ



       “จัน…ใช้ได้ แต่เจ้าจะทำอย่างไรเวลาถูกถามว่า ‘แปลว่าอะไร?’ ” เอลฟาย้อนถาม



       “ไม่ต้องมีคำแปลไม่ได้หรือ” แสงจันทร์ถามหน้าม่อยลงไป



       “ได้ เพียงหาที่มาของชื่อได้ อย่าลืมสิว่ากฎข้อแรกของเราก็คือ ‘ห้ามให้ชาวภพนั้นทราบว่าเรามาจากมิติอื่น’ ” เอลฟากล่าว



       “ค่ะ…แล้วจะไปคิดที่มาของชื่อไว้นะคะ แล้วกฎข้อต่อไปล่ะ” ย้อนตอบ เพราะจำได้ว่าเอลฟาดูเหมือนจะไม่ยอมบอกกฎไว้ก่อนเลย

    เอลฟาพูดกลั้วหัวเราะว่า “นอกจากห้ามบอกแล้ว ยังต้องทำตนให้ ‘กลมกลืน’ กับคนในภพนั้น กล่าวคือเจ้าต้องทราบสภาพภูมิประเทศ, ภูมิอากาศ, อาหารการกิน, ประเพณี, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, ค่านิยม รวมทั้งลักษณะนิสัยของคนส่วนใหญ่ ในภพที่เราจะไปก่อนเพื่อที่จะได้ไม่แปลกแยกกับคนของเค้าไง…อะไร!!ข้าให้เจ้าเดินทางด้วยจิตอยู่ตั้งนาน อย่าบอกว่าเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนะ”



       “ก็ท่านไม่บอกใครจะไปตรัสรู้ล่ะ ยังงี้ข้ามิต้องเริ่มต้นใหม่หรอกหรือ” กล่าวพลางถอนใจ ความตื่นเต้นเมื่อครู่ก่อนดูจะหายวับไปในทันที



       “แล้วมีอะไรอีกมั้ยที่ท่าน ‘ลืม’ บอกข้า” แสงจันทร์ถามเพื่อความแน่ใจ



       “ไม่มี กฎหลักๆ มีแค่ 2 ข้อนี้แหละ ข้ามีแต่คำแนะนำเท่านั้น…” เอลฟาตอบยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงหญิงสาวตัวแสบก็ดังขัดขึ้น “นั่นไง…ว่าแล้ว”



       “จะฟังหรือไม่ฟัง” เอลฟาชักฉุน



       “ฟังจ้า…ฟัง” เด็กสาวรีบละล่ำละลักตอบ



       “ข้าแนะนำว่าถ้าเจ้าต้องการศึกษาเรื่องพวกนี้ควรไปในมิติที่มีเวลาต่างจากมิติ ‘โลก’ ของเจ้าอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อที่ว่าเวลาที่เจ้าเดินทางจริง เจ้าสามารถเดินทางในตอนกลางคืนได้ และสามารถกลับมาหาบุคคลที่เจ้าต้องการติดต่อสัมพันธ์ด้วยได้อย่างไม่มีข้อสงสัยไง” เอลฟาเฉลย แล้วแอบกัดต่อว่า “ความจริงเรื่องพวกนี้เจ้าน่าจะรู้ตั้งแต่ได้ยินข้าบอกกฎทั้ง 2 แล้ว”



       “ใครบอกว่าข้าไม่นึกถึงข้อนี้” แสงจันทร์คิดไม่ถึงหรอกแต่พูดออกไปเพราะกลัวเสียหน้าเท่านั้นเอง ‘คนอะไร กัดได้เป็นไม่ปล่อยเลยนะ’ คิดอย่างเข่นเขี้ยว ‘ทีใครทีมันแล้วกัน วันหนึ่งเถอะ…’ คิดถึงตอนนี้พลางถอนหายใจ ‘วันนั้น วันที่เราเก่งพอๆ กับนายนี่ตอนนี้ เค้าก็คงเก่งกว่านี้อีกแน่ เมื่อไรเราจะตามเค้าทันละนี่’ ได้แต่นึกอย่างปลงอนิจจัง



       เอลฟาหัวเราะกับท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเด็กสาว แล้วรอให้หญิงสาวต่อปากต่อคำด้วยเหมือนทุกที ครั้นได้รับแต่ความเงียบ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ จึงเรียก “แสงจันทร์ๆ” เห็นเด็กสาวยังไม่ได้สติ รีบเดินเข้าไปเขย่าตัวพร้อมเรียกเสียงดังขึ้น “แสงจันทร์ๆ จันทร์ๆๆ”



       เด็กสาวสะดุ้งโหยงกับเสียงตะโกนนั้น ถามออกไปว่า “อะไรล่ะ”



       เอลฟากลั้นยิ้มแล้วถามว่า “กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ หัดผูกโบที่คิ้วหรือไง”



       เด็กสาวได้ยินดังนั้นรีบหาเรื่องอื่นทันที ‘เรื่องอะไรจะบอกคู่แข่งว่าเรากลัวตามเค้าไม่ทันล่ะ’ คิดพลางมองคนตรงหน้าพลาง แล้วรีบถามปัดให้พ้นจากความคิดนั้นว่า “ก็กำลังคิดว่า ทำไมท่านไม่เปลี่ยนไปเลยน่ะสิ ข้าอายุ 15 แล้วทำไมท่านยังดูเหมือนอายุ 20 นิดๆ เหมือนตอนข้าพบท่านใหม่ๆ เลยล่ะ”



       เอลฟาสะดุ้งอยู่ในใจ ‘ยังไม่ถึงเวลา’ เอลฟาคิด พลางตอบทีเล่นทีจริงว่า “ก็ข้าหยุดอายุตัวเองไว้ที่ 25 นี่ ต่อให้อีก ร้อย สองร้อยปี ข้าก็อายุ 25 น่ะแหละ” ตอบพร้อมกลั้วหัวเราะเบาๆ



       “ท่านชอบล้อข้าเล่นอยู่เรื่อย ข้าถามจริงๆ นะ” เด็กสาวชักอยากรู้จริงๆ ซะแล้ว



       “ข้าก็ตอบจริงๆ เหมือนกัน” เอลฟาทำหน้าจริงจัง



       “งั้นท่านทำได้ไงล่ะ” เด็กสาวฉงน



       “ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้…ใกล้เช้าแล้วเจ้ากลับไปเถิด อาทิตย์หน้าพบกัน อ้อ…แล้วอย่าลืมคิดความเป็นมาของชื่อด้วยล่ะ” สั่งเสร็จชายหนุ่มก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว



       แสงจันทร์ยังไม่หายงง แต่เอลฟาเดินจากไปซะแล้ว



                                                                     *******************************************



    ภาคผนวก 1: ว่าด้วยมิติต่างๆ

                   ในอดีตมีมิติเดียว แต่ได้มีการแยกออกมาก็เนื่องด้วยคำแค่ 2 คำ คือ ‘ทางเลือก และโอกาส’ ซึ่งทำให้แตกเป็น 3 มิติใหญ่ๆ คือมิติของผู้ใช้เวทย์ มิติของผู้ใช้อาวุธ และมิติของผู้ที่ใช้ทั้งคู่ โดยแต่ละมิติยังจะสามารถแตกย่อยลงไปอีกตาม ‘ทางเลือก และโอกาส’ ดังนี้คือ



    1. มิติของผู้ใช้เวทย์ ได้แก่ มิติ ‘เรย์เชีย’ ซึ่งเป็นมิติของเจ้าหญิงลูน่า และราเอล, มิติ ‘มายา’ ซึ่งเป็นมิติของผู้ใช้เวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดมีจอมเวทย์บางคนเดินทางข้ามไปยังมิติใกล้ๆ ได้ ราชิตผู้ก่อสงครามในมิติเรย์เชียก็มาจากมิติ ‘มายา’นี้, ฯลฯ



    2. มิติของผู้ใช้อาวุธ ได้แก่ มิติ ‘โลก’ ซึ่งเป็นมิติที่แสงจันทร์กำเนิด, มิติ ‘ทาร์’ มิติที่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดชำนาญในการใช้อาวุธทุกชนิด, ฯลฯ



    3. มิติของผู้ใช้ทั้งเวทย์ และอาวุธ ได้แก่ มิติ ‘ลอฟ์ต้า’ ซึ่งเป็นมิติกลางของนักข้ามภพ เป็นมิติที่นักข้ามภพ 13 คนแรกถือกำเนิด, มิติ ‘อาล์ฟก้า’ ซึ่งเป็นมิติที่เอลฟานักข้ามภพคนที่ 15 ถือกำเนิดขึ้น, ฯลฯ



                                                                    **************************************



    ภาคผนวก 2: ว่าด้วยชาวมิติทั้ง 3



    อัตราส่วนของความสามารถของแต่ละมิติ

    1. มิติของผู้ใช้เวทย์ มีความสามารถในการใช้เวทย์ต่อการใช้อาวุธเป็น 85 : 15

    2. มิติของผู้ใช้อาวุธ  มีความสามารถในการใช้เวทย์ต่อการใช้อาวุธเป็น 15 : 85

    3. มิติของผู้ใช้ทั้งเวทย์  และอาวุธ มีความสามารถในการใช้เวทย์ต่อการใช้อาวุธเป็น 50 : 50



    ลักษณะทั่วไป

             มิติผู้ใช้เวทย์ ผู้คนในมิตินี้เชี่ยวชาญในการต่อสู้และป้องกันตนเองด้วยเวทย์ทุกชนิด ทั้งเวทย์พื้นฐาน(อธิบายในมิติผู้ใช้อาวุธ) สามารถดึงพลังธรรมชาติมาใช้ได้ทั้ง การรักษา, เพิ่มพลัง อีกทั้งนำมาเป็นอาวุธและใช้ป้องกันตนด้วย ลักษณะทั่วไปจึงเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งจึงเป็นเพียงมิติเดียวที่มีสัตว์วิเศษต่างๆ อาศัยอยู่ อาวุธที่ใช้ส่วนใหญ่เน้นไปทางอาวุธที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น ดาบ, ธนู ผู้คนส่วนใหญ่ของที่นี่รักสงบ



             มิติผู้ใช้อาวุธ ผู้คนในมิตินี้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ และป้องกันตนเองด้วยอาวุธทุกชนิด การต่อสู้มือเปล่า อีกทั้งมีความคิดสร้างสรรค์ ในมิติพวกนี้จึงเจริญด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งในด้านจรรโลงสังคมและสงคราม เวทย์ที่คนในมิตินั้นใช้ได้เป็นเพียงเวทย์พื้นฐานที่สามารถใช้ได้ถ้าได้การฝึกฝน ได้แก่ เวทย์การสะกดจิต เช่น เวทย์พรางตา, เวทย์เปลี่ยนความคิด และที่ร้ายที่สุดคือการสะกดจิตให้ผู้ถูกสะกด สะกดตนเองเป็นสิ่งอื่น(คำสาปให้เปลี่ยนร่างนั่นเอง) และเวทย์พลังจิตทั่วไป ผู้คนส่วนใหญ่ของที่นี่ชอบใช้กำลัง



             มิติผู้ใช้ทั้งเวทย์และอาวุธ ผู้คนในมิตินี้เชี่ยวชาญในการต่อสู้และป้องกันตนเองด้วยทั้งเวทย์และอาวุธ สามารถดึงพลังธรรมชาติมาใช้ได้ แต่ไม่สามารถใช้เวทย์พื้นฐานได้ ถนัดการต่อสู้มือเปล่าและอาวุธสงครามทุกชนิด เช่นปืน ที่แห่งนี้จึงมีธรรมชาติควบคู่ไปกับความเจริญอย่างลงตัว ผู้คนที่นี่ค่อนข้างรักสงบ



                                                                   ******************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×