ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นาล แห่งอาฟ์ก้า

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 เด็กไม่รู้จักโต

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 51


    7 ปีผ่านไป

    ผู้บำบัดสาวคนเดียวในโอเอซิสแห่งนี้ ยังคงอาศัยอยู่กับบุตรสาวช่างเจรจา และเก็บค่ารักษาเพียงเล็กน้อย อาทิอาหารสักมื้อ ช่วยทำงานบ้านสักหน่อย ฝากเลี้ยงหนูน้อยสักวัน แม้กระทั่งหนังสือสักเล่ม ผู้บำบัดสาวก็ยินดีรับ ทำให้หนูน้อยที่แสนซนและช่างสนใจไปทุกเรื่องเป็นขวัญใจของญาติคนไข้ที่มารอการรักษาไปโดยปริยาย

    ทุกเช้าหนูน้อยจะเข้าป่านอกไปเก็บสมุนไพรกับผู้เป็น มารดาช่วยหยิบช่วยจับ จนจดจำได้ว่าสมุนไพรชนิดไหนควรเก็บอย่างไร เมื่อกลับมาก็ช่วยมารดาจัดเรียง เตรียมไว้สำหรับตาก หรือเตรียมไว้ข้างแปลงรอเวลาเพาะปลูกต่อไป ขณะที่ผู้เป็นมารดาก็จะนำอาหารจากญาติคนไข้ที่นอนรักษาในห้อง พักผ่อน มาทำการอุ่นไว้รอลูกรัก และมองหนูน้อยแยกชนิดสมุนไพรด้วยสายตาสุขใจ

    เมื่อทานอิ่ม ผู้เป็นมารดาก็จัดการเก็บล้าง แอบแวะไปดูผู้ป่วยในห้องพักผ่อนสักครู่ ขณะที่ผู้เป็นลูกจัดการปลูกสมุนไพรซึ่งต้องใช้สดๆ ในแปลงอย่างแข็งขัน ก่อนจะตามมาสมทบกับผู้เป็นมารดา แยกเก็บสมุนไพรชนิดอื่นๆ ต่อไป จวบจนคนไข้รายแรกของวันเข้ามาหนูน้อยจะคอยถามไถ่ คอยช่วยอยู่ข้างๆ และจ้องการรักษาของมารดาเขม็ง ก่อนย่องออกไปจัดยา เตรียมไว้ และยิ้มร่าทุกครั้งที่ได้รับคำชมว่าตนเองจัดยาไว้ถูกต้อง แม้ว่าบางทีจะจัดยาบำรุงเกินไปนิด แต่มารดาก็จะยิ้มให้ทุกครั้งขณะหยิบออก และอธิบายให้หนูน้อยเข้าใจทุกครั้งว่า การทานยาเกินความจำเป็นนั้นบางทีอาจเป็นเหตุแห่งโรคร้าย ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ไปเล่นในช่วงสายๆ ของทุกวัน

    เช่นเคยที่นาลแอบย่องเข้าไปในป่ากลางคนเดียว ด้วยรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขทุกครั้งที่ได้คุยกับบรรดาไม้ใหญ่ อีกทั้งสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่ากลางนั้นล้วนอ่อนโยน ช่างเจรจายิ่งนัก แม้มารดาจะเตือนบ่อยๆ ว่าพวกสัตว์ที่พูดได้นั้นล้วนไม่เป็นมิตร และจะเกะกะระรานมนุษย์ทุกผู้ทันทีที่มีโอกาส แน่นอนว่านาลเถียงขาดใจ หากเมื่อได้ยลหน้าดุๆของมารดา สาวน้อยก็หน้าม่อย ได้แต่แอบมาเที่ยวเล่นคนเดียว ด้วยไม่มีเด็กในวัยเดียวกันคนใดยอมเข้ามาเป็นเพื่อน แม้เพื่อนๆ จะช่วยกันปกปิดความลับนี้ให้ก็ตาม

    วันนี้ก็เช่นกัน สาวน้อยจอมแก่นขออาศัยหลังของสุนัขป่าตัวใหญ่เข้าไปนั่งเล่นยังริมแม่น้ำแห่งเดิม ในป่ากลาง ป่าส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในโอเอซิสแห่งนี้ และนั่งลง ณ ริมฝั่งน้ำ บนเปลือกอะไรสักอย่างที่ดูแสนบาง แต่ช่างนุ่มเหลือหลาย ยามที่นาลนั่งลงบนนี้ คล้ายมีมนตราและความรู้ต่างๆ ไหลเข้ามาในสมองไม่ขาดสาย ใจก็แสนเบาสบาย ความรู้สึกทุกอย่างคมชัดขึ้น รู้สึกราวกับได้กลับบ้าน แม้จะรู้สึกสบายเพียงใดแต่นาลจะรู้สึกตัวทุกครั้งเมื่อถึงเวลากลับไปทานข้าวกลางวันที่บ้าน

    ทว่าเพียงย่างออกจากป่า หมู่บ้านที่เคยเงียบเหงากลับครึกครื้น ด้วยมีคณะละครเร่ และพ่อค้าแวะเวียนมาพักอยู่ไม่ไกล นาลจึงรีบเดินเข้าหากลุ่มเด็กวัยใกล้เคียงกันที่ต่างคนต่างตื่นเต้นกับคณะแสดงที่นานๆ ทีจะผ่านมาพำนัก เพื่อสอบถามข้อมูลให้คลายความอยากรู้ และเอาไปเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟัง

    ดังคาด แม้วันนี้เด็กหญิงจะกลับผิดเวลาไปบ้าง แต่ผู้เป็นมารดามิได้ห่วงเลย เนื่องด้วยทราบข่าวของผู้ผ่านทางจากญาติคนไข้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมคนป่วยในห้อง จนทำให้คนป่วยหลายๆ คนอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม* เพื่อที่จะได้ไปดูสินค้าแปลกๆใหม่ๆ และการแสดงต่างๆ ที่แวะมาเป็นครั้งแรกในรอบ 2 3 ปีมานี้

    (*1 ชั่วยาม = 1.5 ชั่วโมง (ดูภาคผนวก 1 ประกอบ))

    เมื่อมาถึงเด็กสาวก็เล่าถึงผู้คนที่แลดูแปลกตา และการแต่งกายที่ประหลาดของเหล่าผู้ที่แวะมาพำนักชั่วคราวในโอเอซิสแห่งนี้ไม่หยุดปาก จนผู้เป็นมารดาได้แต่ส่ายหน้า ก่อนหาทางชักจูงให้เด็กสาวไปทานข้าวกลางวันทั้งๆ ที่ผิดเวลามาแล้วกว่าชั่วยาม จนยอมรับปากว่าจะพาเด็กหญิงไปเที่ยวงานในคืนนี้นั่นแหละ เด็กสาวจึงยอมไปทานอาหารกลางวันแต่โดยดี

    เด็กหญิงตื่นเต้นจนลืมเปิดห้องหนังสือในช่วงบ่ายที่นานๆ ทีจะมีชาวบ้านมานั่งอ่านหนังสือที่มารดารวบรวมจากคนไข้และขอยืมไปอ่านบ้าง แต่ผู้บำบัดสาวก็ไม่ได้ว่าอะไร ด้วยชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างตื่นเต้นกับคณะแสดง จนไม่มีใครสนใจจะเข้าห้องหนังสือที่ปกติก็มีคนเข้าน้อยจนคนเฝ้าต้องนั่งอ่านเองบ่อยๆ อย่างนี้หรอก

    อีกทั้งบ่ายนี้นางก็ยุ่งกับการที่คนไข้ 2 3 คนที่นอนแซ่วอยู่ในห้องพักฟื้นมาร่วมสัปดาห์ ต่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างประหลาด จนสามารถกลับบ้านไปรอชมการแสดงอันละลานตาในคืนนี้ได้ทุกคน เรียกได้ว่าคณะการแสดง และพ่อค้าเร่ที่แวะมานี้เป็นตัวนำโชคของทุกคนในหมู่บ้านเลยทีเดียว

    การแสดงและขายสินค้ามีตั้งแต่ยามแรกไปจนถึงยามสี่ แต่แค่เพียงสิ้นยามสองผู้เป็นมารดาก็พาหนูน้อยกลับบ้านแล้ว ไม่ว่านาลยังอยากชมการแสดงแปลกๆ รายการต่อไปมากเพียงใด แต่ผู้เป็นมารดาก็ยังดึงดันพากลับจนได้ แม้เด็กหญิงจะรู้สึกขัดใจ แต่ก็แอบหันไปขยิบตาให้เด็กที่ตามมากลับคณะแสดงที่เจอกันในซุ้มปาเป้า ให้ตามมาเล่นด้วยกันในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเด็กที่ท่าทางเป็นหัวโจกก็โบกไม้โบกมือตอบอย่างรวดเร็ว

    + + + + + + + + + +

    วันรุ่งขึ้น หลังจากเด็กหญิงได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกได้ นาลก็รีบวิ่งไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่รวมกลุ่มเล่นกับเพื่อนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    อ้าวแล้ววันนี้ไม่เข้าไปเล่นในป่าอีกหรือ เด็กชายคนหนึ่งทักนาล

    เด็กหญิงยิ้มๆ ไม่สนใจตอบคำถาม เดินตรงรี่ไปยังเพื่อนใหม่อย่างรวดเร็ว

    เราชื่อนาล เด็กหญิงแนะนำตัว และยิ้มทัก

    กลุ่มเด็กใหม่ 6 7 คนตรงหน้าสบตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เด็กชายที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มที่เป็นคนโบกมือตอบเด็กหญิงเมื่อคืนจะเอ่ย

    โอ้เจ้านี่เองที่กล้าบุกป่าคนเดียว ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ ว่าแล้วก็หันไปทางกลุ่มเด็กยี่สิบกว่าคนในหมู่บ้าน คราวหน้าถ้าพวกเจ้าจะโม้อะไร ก็น่าจะโม้ให้มันน่าเชื่อหน่อยสิ กล่าวจบกลุ่มเด็กที่มากับคณะแสดงก็หัวเราะรับขึ้นมาทันที

    พวกเด็กในหมู่บ้านรู้สึกเหมือนถูกหยาม จึงหันไปคาดคั้นเด็กหญิงให้เอ่ยยืนยันกับเรื่องที่ตนเล่า ซึ่งเด็กหญิงก็ยินดี แถมยังเอ่ยเรื่อยๆ ว่า จริงๆ พวกสัตว์ในป่านั้นเป็นมิตรทุกตัว ข้ายังขี่หลังพี่หมาป่าบ่อยๆเลยด้วย

    เด็กในหมู่บ้านทั้งยี่สิบกว่าคนมองเด็กหญิงอย่างตกตะลึงด้วยไม่เคยได้ยินความจริงข้อนี้มาก่อน

    ข้านึกว่าเจ้าแค่ไปนั่งเล่นในป่านอก โจชัวเด็กชายที่เป็นว่าที่คู่หมายของนาลรำพึงด้วยเสียงที่เริ่มแตกเล็กน้อย พลางส่ายหน้าช้าๆ

    นาลหันไปมองโจชัวด้วยสายตาประหลาด หากยังไม่ทันเอ่ยอะไร กลุ่มเด็กชายจากต่างถิ่นกลับแค่นเสียงแสดงความไม่เชื่อถือ พร้อมๆ กับที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับนาล จะกล่าวถากถางเด็กหญิงว่า

    โกหก ใครๆ ก็รู้ว่าพวกสัตว์ป่านั้นล้วนร้ายกาจ แถมยังจ้องที่จะลอบทำร้ายพวกเราทุกเมื่อ จะโม้ทั้งทีก็โม้ให้มันสมจริงหน่อยเถอะ

    เด็กต่างถิ่นต่างพยักหน้ารับคำพูดของเด็กหญิงเต็มที่ แม้กระทั่งเด็กที่โตมาด้วยกันกับนาลก็เริ่มจ้องเด็กหญิงด้วยสายตาที่แปลกไป

    จริงๆ ไม่เชื่อพวกเจ้าเข้าไปในป่ากับข้าก็ได้ เด็กหญิงยังยืนยัน

    ... เงียบ ไม่มีผู้ใดตอบรับ เด็กทั้งกลุ่มถอยห่างจากเด็กหญิง 2 ก้าวใหญ่ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเพื่อหาคนกล้าที่จะตอบรับ ด้วยพวกตนถูกกรอกหูมาตั้งแต่เด็กว่า พวกสัตว์ป่าเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัว สัตว์ที่เลี้ยงไว้มีหน้าที่เป็นเพียงอาหารเท่านั้น จึงต้องถูกกักขังอย่างดีและต้องฆ่าก่อนที่มันจะพูดได้ ต่างคนต่างเคยถูกสัตว์ที่พูดได้ทำร้ายตั้งแต่เด็กมาแล้วทั้งนั้น เพราะแม้กระทั่งนกที่พูดได้ที่บังเอิญบินผ่านมา ก็จะตรงเข้าจิกตีมนุษย์ไม่เลือกหน้า ความเป็นมิตรไม่เคยมี มีแต่ต้องประหัตประหารกันเพื่อมีชีวิตรอด

    เด็กหญิงที่ถูกมองแปลกๆ ก้าวไปหาเพื่อนร่วมหมู่บ้าน หากทว่าคนที่อยู่ตรงนั้นต่างถอย พร้อมๆ กับการก้าวย่างของเด็กหญิง

    ...ก้าวใกล้เข้ามา 1 ก้าว ถอยหลังไป 2 ก้าว

    นาลมองเพื่อนๆ ที่โตมาด้วยกันอย่างเจ็บปวด แต่พวกนั้นต่างพากันเบือนหลบไม่สบตาเด็กหญิง

    ข้าแค่นึกว่าเจ้าไปเก็บสมุนไพรอย่างทุกทีนี่ เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    ใช่ ข้านึกว่าเจ้าแค่เข้าไปเก็บดอกไม้ ผลไม้เล่นเท่านั้น เด็กชายอีกคนเอ่ยเสริม

    ข้านึกว่าเจ้าแค่ต้องการที่เงียบๆ ไว้นั่งพักจากการช่วยงานแม่เจ้าทั้งวันซะอีก ความคิดเห็นของเด็กชายคนนี้เหล่าเด็กที่เหลืออยู่ต่างพยักหน้าเห็นพ้องด้วยกันทุกคน

    นั่นเองเด็กหญิงจึงได้ทราบว่าเหตุใด พวกที่ เคยนับได้ว่าเป็นเพื่อนนั้นถึงยอมปกปิดความลับให้มาโดยตลอด

    เอาน่า ไม่ต้องคิดมากไป พวกเรามาเล่นกันเถิด เด็กชายหัวโจกของกลุ่มที่มาพำนักชั่วคราวรีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าไม่ดี แต่ไม่วายหันไปหาเด็กหญิงที่ตาวาวๆ ด้วยหยดน้ำ และเอ่ยขึ้นว่า ถึงเจ้าไม่โม้เรื่องพวกนี้ พวกข้าก็ยินดีเล่นกับเจ้านะ

    ใช่ วันหลังเจ้ามาเล่นกับพวกเราเถอะ ไม่เห็นต้องเข้าไปนั่งฝันว่าเล่นกับพี่สุนัขป่าเลย โจชัวเอ่ย

    นาลหันไปมองคนพูดด้วยความผิดหวัง ข้าไม่ได้ฝัน! เด็กหญิงตะโกน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปในป่า เอาพี่หมาป่ามาอวดพวกเจ้าเอง ว่าแล้วก็วิ่งไป หากต้องชะงักกับคำเย้ยหยันจากเด็กชายหัวโจกคนเดิมที่ว่า

    พอไม่มีใครเชื่อ ก็จะบังคับให้เค้าเชื่อเจ้ามันก็เป็นแค่ เด็กไม่รู้จักโตเท่านั้น

    อะไรนะ! เด็กหญิงหันมาด้วยดวงตาวาววับ

    ไม่จริงหรือเจ้าจะพา อันตรายมาสู่พวกข้า เพียงเพราะความเอาแต่ใจของเจ้า เจ้าก็เป็นได้แค่ เด็กไม่รู้จักโตเท่านั้น

    พวกเด็กคนอื่นๆ รวมทั้งโจชัวพยักหน้าเห็นพ้องกับเด็กชายคราวพี่

    ไม่จริง! เด็กหญิงกรีดร้องออกมา

    กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก

    เสียงประหลาดดังขึ้นในศีรษะเด็กหญิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับที่เด็กหญิงสูงขึ้นๆ จนดูคล้ายสาวน้อยวัยสิบห้าวัยพอๆ กับเด็กหัวโจกที่กล่าวหาตน...

    เด็กหญิงมองแววตาของเพื่อนๆ รวมทั้งโจชัวที่มองมาที่ตนด้วยความตกตะลึงก่อนจะแยกย้ายกันวิ่งหนีตน ด้วยความปวดร้าวและไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินเหม่อลอยเข้าไปในป่าช้าๆ จนกระทั่งไปถึงข้างธารน้ำใสที่ตนไปนั่งเป็นประจำในที่สุด

    เด็กหญิงนั่งคู้กายที่ปวดร้าวไปทั้งตัวริมธารน้ำเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งออกมาเป็นสาย ก่อนจะฟุบหลับลงทั้งน้ำตาบนเปลือกอันแสนนุ่มที่เป็นที่พักพิงของตนมาเนิ่นนาน

    แสงสีเขียวประหลาดเปล่งออกมาจากที่นั่งอันแสนนุ่มนวล และเข้มข้น ล้อมรอบตัวเด็กสาวเป็นวงกลม พร้อมทั้งสายใยเล็กละเอียดค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างเด็กสาวทีละน้อยๆ

    เด็กสาวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแสนสดชื่นยามพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า นาลมองท้องฟ้าสีส้มแดงด้วยประกายตาแห่งความสุขอยู่ครู่หนึ่งก่อนรีบร้อนกลับบ้าน โดยไม่ทันแม้แต่จะสังเกตเห็นเงาของตน!!

    + + + + + + + + + +

    วันนี้เป็นวันโลกาวินาศของ อาลูนิช ผู้บำบัดสาวคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้โดยแท้

    หลังจากที่บุตรสาวคนเดียวออกไปเล่นตามปกติได้ไม่นานพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านต่างทยอยมาส่งเสียงโหวกเหวกหน้าบ้านนางทีละคนทีละคน จนทำให้นางต้องวางมือจากการบดสมุนไพรไว้ก่อน เพื่อมาดูว่ามีเรื่องอะไรกัน

    เมื่อออกมาก็พบเด็กน้อยสิบกว่าคน ตะโกนคุยกันหน้าบ้านนางอย่างเมามัน พลางชี้มือมาที่บ้านนางเป็นระยะๆ และรีบกรูเข้ามาหานางทันทีที่เห็น ต่างคนต่างพยายามเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้นางรู้ แต่เสียงเหล่านั้นกลับตีกันระงมจนฟังไม่ได้ศัพท์

    พอๆ มีอะไรเล่ามาทีละคน สิ้นคำ เด็กทั้งหลายต่างอ้าปากเตรียมเล่าเรื่องอีกครั้ง นางจึงชี้ไปที่เด็กชายวัย 12 คนหนึ่ง เจ้า โจชัวเล่ามาแล้วกัน

    เหลวไหล! เมื่อฟังที่เด็กชายเล่าจบ นางก็กล่าวออกมาทันที ใครที่ไหนบ้างที่นึกอยากโตก็โตได้ทันที ข้าว่าพวกเจ้าตาฝาดไปมากกว่า

    แต่เด็กๆ ในที่นั้นต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน

    พวกเจ้าคงอุปทานหมู่

    เสียงยืนยันว่าไม่ได้คิดไปเองดังขึ้นอีกครั้ง

    พวกเจ้าฝันไป!” นางเอ่ยย้ำอย่างหนักแน่น ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

    เด็กๆ ชะงัก งัน

    ความเงียบที่เข้าจู่โจมกะทันหันนี้ ทำให้ผู้บำบัดสาวรู้สึกตัว นางจึงยิ้ม และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ว่า ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อก็รอนาลอยู่ที่นี่สิ หากนาลโตขึ้นพรวดพราดอย่างที่พวกเจ้าว่าจริง คงไม่หดกลับง่ายๆหรอก แต่ว่าก่อนที่จะได้พิสูจน์พวกเจ้า ห้ามเอาเรื่องเหลวไหลนี้ไปบอกใครนะ

    ไม่เหลวไหลซักหน่อย โจชัวค้านด้วยเสียงอ่อยลงเรื่อยๆ ก่อนพยักหน้ารับคำ

    เมื่อเห็นดังนั้นเด็กคนอื่นๆ ก็จำต้องรับคำด้วย ก่อนที่จะตกลงเล่นกันอยู่แถวนั้นเพื่อรอคอยข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ตนมั่นใจว่าเห็นมากับตา จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน บรรดาแม่ๆ ก็มาตามเด็กน้อยทั้งหลายกลับบ้านทีละคนๆ จนหมดลงในที่สุด แต่นาลก็ยังไม่กลับมา

    ผู้บำบัดสาวเริ่มกระวนกระวาย ห่วงเด็กหญิงว่าจะเป็นอะไรไป เพราะเด็กเหลวไหลพวกนั้น เปรยๆว่าเจ้าตัวดีชอบแอบไปเล่นในป่าเสมอๆ แม้นางจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้จวบจนย่ำค่ำก็มีเด็กสาวหน้าตาคุ้นๆ เปิดประตูเข้ามา และเรียกนางว่า แม่

    ผู้บำบัดสาวยืนอึ้งไปหลายอึดใจ ก่อนที่คำพูดเหลวไหลของเด็กๆ เมื่อตอนสายๆ จะดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางแทบหมดความรู้สึกลงเดี๋ยวนั้น

    แม่ๆ แม่เป็นอะไรไปคะนี่ เด็กสาวถลาไปหาผู้เป็นมารดา

    เมื่อได้สติอาลูนิชสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเด็กสาว และมองหน้าเด็กสาวเขม็ง

    นาลรู้สึกอึดอัดจึงเสเปลี่ยนเรื่องว่า นาลขอโทษนะคะ ที่กลับบ้านค่ำ นาลเผลอหลับนานไปนิด ว่าแต่นาลหลับไปตื่นเดียวไหงแม่ตัวเตี้ยลงล่ะคะนี่ กล่าวจบก็ยิ้มเผล่ แล้วเอียงคอมองผู้เป็นมารดาด้วยท่วงท่าที่พิชิตใจมารดาได้ทุกครั้ง ทว่า...

    แม่เตี้ยลงที่ไหน ลองดูตัวเองก่อนซิ ผู้บำบัดสาวที่เริ่มตั้งสติได้แล้วกล่าวพลางสะบัดมือเบาๆ แผ่นน้ำแข็งบางๆ ปรากฏตรงหน้าเด็กสาวทันที

    เด็กสาวมองเงาสะท้อนจากกระจกน้ำแข็งอย่างฉงน และเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจว่า นั่นใครน่ะแม่ แม่เล่นตลกอะไรกับข้า

    เจ้าว่าข้าเล่นตลกงั้นหรือ อาลูนิชที่แสนจะใจเย็นตามแบบฉบับผู้บำบัดที่ดีเอ่ยเสียงเย็น ตอนที่เด็กๆ พวกนั้นมาบอกแม่ว่าอยู่ๆ เจ้าโตขึ้นมาอย่างพรวดพราด ข้าก็อุตส่าห์ไม่เชื่อ แล้วนี่อะไร จงกลับไปตัวเท่าเดิมเดี๋ยวนี้ ยิ่งพูดผู้บำบัดสาวยิ่งเสียงดัง ด้วยเส้นอารมณ์ที่เหนียวแน่นของผู้บำบัดสาวขาดออกจากกันในที่สุด ก่อนจะรำพึงรำพันอย่างน่าสงสาร

    โธ่นี่ข้าต้องกลายเป็นคนพูดโกหกไปในที่สุดหรือนี่ เจ้าเด็กพวกนั้นบอกว่าจะกลับมาดูเจ้าในวันพรุ่งด้วยสินี่ ข้าได้เสียคนเอางานนี้แน่ๆ…” ว่าแล้วก็รำพึงรำพันต่ออย่างยืดยาว

    นาลมองผู้เป็นมารดาด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะทึ้งผมที่ยาวถึงกลางหลังของตนด้วยความขัดใจ พลางรำพึงเบาๆ กับตนเองว่า ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากกลับไปตัวขนาดเท่าเดิมเหมือนกัน หากนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้แม่สบายใจ ข้ายอมเป็นเด็กสิบขวบตลอดไปเลยก็ได้ สิ้นคำเสียงประหลาดก็ดังในศีรษะของเด็กสาวอีกครา

    กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘กริ๊ก’ ‘แกร๊ก

    พร้อมกลับร่างเด็กสาวค่อยๆ เล็กลงจนมีขนาดเท่าเมื่อเช้า

    ผู้บำบัดสาวมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกตาค้าง ก่อนผวาเข้ามากอด และรำพึงว่า เมื่อครู่ข้าคงฝันไป ดีแล้วที่ลูกกลับบ้าน ต่อไปนี้ไม่มีอะไรแล้วนะลูกรักของแม่

    + + + + + + + + + +

    5 ปีผ่านไป ณ กระท่อมหลังเดิมของผู้บำบัดคนเดียวในโอเอซิสแห่งเดิม

    ผู้บำบัดสาวกำลังเก็บของเพื่อจะไปจากบ้านที่อยู่อาศัยมาเกือบยี่สิบปี ด้วยความอาวรณ์ เนื่องด้วยนางต้องออกเดินทางเพื่อศึกษาวิธีรักษาโรคประหลาดของบุตรสาว

    ...บุตรสาวที่ตัวไม่โตขึ้นจาก 5 ปีก่อนเลยแม้แต่น้อย!!...

    เนื่องจากชาวบ้านเริ่มนินทาบุตรสาวของนางหนาหูขึ้นทุกๆ วัน ล่าสุดผู้เป็นแม่ของโจชัว อดีตคู่หมายของนาลเอ่ยให้ร้ายบุตรสาวของนางว่าเป็น เด็กปิศาจกับหญิงคนไข้อีกคนที่มารอการรักษา ต่อหน้านาง จนนางไม่อาจที่จะทนอยู่ในโอเอซิสแห่งนี้ต่อไปได้ ด้วยรู้สึกสงสารบุตรสาวยิ่งนัก

    นาลยังมีลักษณะเหมือนเด็ก 10 ขวบเช่นเดิม เพียงแต่เงียบลงไปมาก อีกทั้งไม่ยอมออกไปคบหาพวกเด็กๆ ในวัยใกล้เคียงกันอีกเลย วันๆ เอาแต่ช่วยงานที่บ้าน และอ่านหนังสือในห้องหนังสือที่ยังคงร้างคนมาใช้บริการเช่นเดิม ทั้งๆ ที่หนังสือต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ

    วันนี้นาลคัดหนังสือที่ซ้ำทิ้งไว้ในห้องหนังสือ และค่อยๆ เก็บหนังสือที่เหลือมัดเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเตรียมตัวขนย้ายในวันพรุ่ง เมื่อคัดเสร็จเด็กหญิงก็นั่งเหม่อ นึกสงสารมารดาที่ต้องจากบ้านและอาชีพที่ตนรักเพราะความผิดปกติของตน แล้วแอบไปนอนยังริมธารน้ำกลางป่าลึกเช่นที่เคยทำประจำในช่วง 5 ปีหลัง ก่อนที่จะไม่ได้มา ณ ที่แห่งนั้นอีกต่อไป...

    + + + + + + + + + +

    วันรุ่งขึ้น ณ ริมธารน้ำใส ในป่ากลางของโอเอซิสแห่งนี้ หลังจากเด็กหญิงลุกขึ้นกลับบ้านครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะจากไปอย่างถาวร

    เปลือกสีเขียวใสที่แสนจะอ่อนนุ่มที่เป็นฟูกให้เด็กหญิงทุกคืนก็ค่อยๆ ส่องแสงสีเขียวจางๆ ออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ สลายไปพร้อมกับตาน้ำที่หล่อเลี้ยงลำธารแห่งนี้ไม่ให้เคยขาดน้ำตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา

    นับจากนี้ลำธารที่ไม่เคยแห้งขอด จะมีน้ำลดลงตามวาระ และฤดูกาลที่มันควรจะเป็นมาตั้งแต่ทีแรก แต่โอเอซิสแห่งนี้จะไม่ถึงกับขาดน้ำเพราะยังมีต้นไม้ที่คอยให้ความชุ่มชื่นอยู่...

    นับแต่เปลือกประหลาดนั้นสลายลงน้ำในลำธารก็รสชาติไม่เหมือนก่อน บรรดาสรรพสัตว์ที่เอ่ยวาจาได้ในป่านี้เริ่มคลุ้มคลั่งเป็นพักๆ ก่อนที่สัญชาตญาณดิบจะเข้าครอบงำอย่างเต็มตัว และเริ่มออกเป็นอาละวาดกับเหล่ามนุษย์ในโอเอซิสแห่งนี้เป็นช่วงๆ ไป

    + + + + + + + + + +

    ภาคผนวก 1: ว่าด้วยเวลา

    เวลาในเรื่อง นาล แห่งอาฟ์ก้า นี้จะนับเป็นชั่วยาม โดย 1 ชั่วยามคือ 1.5 ชั่วโมง

    1 วันมี 16 ชั่วยาม แบ่งเป็น ยามเช้า 6.00 น. 18.00 น. และยามเย็น 18.00 น. 6.00 น. กล่าวคือ

    ยาม   1           06.00    -     07.30   น.      และ     18.00   -     19.30    น.

    ยาม   2           07.30    -     09.00   น.      และ     19.30   -     21.00    น.

    ยาม   3           09.00    -     10.30   น.      และ     21.00   -     22.30    น.

    ยาม   4           10.30    -     12.00   น.      และ     22.30   -     24.00    น.

    ยาม   5           12.00    -     13.30   น.      และ     00.00   -     01.30    น.

    ยาม   6           13.30    -     15.00          และ     01.30   -     03.00    น.

    ยาม   7           15.00    -     16.30          และ     03.00   -     04.30    น.

    ยาม   8           16.30    -     18.00          และ     04.30   -     06.00    น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×