ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 คำทำนาย
  ดาราและภูผาตัดสินใจว่า ไว้รอพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตของลูกสาวแสนรักต่อไป
  ข้างฝ่ายเด็กหญิงนั้น กำลังถูกชายลึกลับต่อว่าอย่างรุนแรง ข้อหา ‘ทำตัวเด่น’ เด็กหญิงพยายามแก้ตัวต่างๆนานา จนในที่สุดต้องสัญญาไปว่าจะไม่ทำตัวเด่นในเรื่องอื่นอีก และจะพยายามไม่ให้พ่อ แม่เปิดเผยเรื่องนี้ จนชายลึกลับหายโกรธ และยอมสอนสมุนไพรเพื่อความสนุกสนานในการเล่นหมอต่อไป
                                                  **************************************
  เย็นวันต่อมาขณะที่เด็กหญิงนั่งในรถที่พ่อกับแม่มารับกลับบ้าน
  “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ พ่อแม่จะพาน้องจันทร์ไปเที่ยวที่ไหนเอ่ย” เด็กหญิงถามอย่างอารมณ์ดี
  “ไปหาหลวงปู่ค่ะ น้องจันทร์ยังไม่เคยเห็นปู่เลยใช่มั้ยลูก” คุณพ่อถามกลับ
  “ปู่เหรอคะ ทำไมเป็นหลวงปู่ล่ะ ไม่ใช่คุณปู่เหรอคะ ” เด็กน้อยถามอย่างฉงน
  “เปล่าหรอกลูก หลวงปู่เป็นพระน่ะ” คุณแม่ตอบแทนคุณพ่อที่ทำน่าปุเลี่ยนๆ ไปแล้ว ‘แหมนึกว่าลูกเราอัจฉริยะนะเนี่ย คงไม่ใช่แล้วมั้ง โล่งใจไปที’ คุณแม่คิดพลางถอนใจอย่างเป็นสุข
  “เป็นพระเหรอคะ แล้วทำไมน้องจันทร์ไม่เห็นแม่ชี้ให้ดูตอนน้องจันทร์ตักบาตเมื่อเช้านี้เลย”
  “ก็ท่านไม่ได้อยู่แถวบ้านเราน่ะสิ” คุณพ่อเฉลย และแอบกลั้นยิ้มเมื่อเห็นหน้าคุณแม่ที่ถูกต่อว่าโดยไม่ทันรู้ตัว
  “แล้วอย่าลืมนะ น้องจันทร์เป็นผู้หญิง จะถูกตัวพระไม่ได้ มันบาป” ผู้เป็นพ่อกล่าวต่อไป
  “ทำไมบาปล่ะคะ” เด็กหญิงยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
  “เอ่อ คือว่า ” คุณพ่อคิดคำอธิบายไม่ถูก จึงหันไปมองหน้าคุณแม่ ประมาณให้ช่วยตอบหน่อย
  “คืออย่างนี้จ้ะ พระต้องถือกฎ 227 ข้อ ถ้าทำผิดกฎข้อใดข้อหนึ่งมันจะบาปจ้ะ เพราะท่านอาจต้องสึกเลยนะ แล้วถ้าหนูไปโดนตัวท่าน ท่านก็จะผิดกฎ แล้วท่านต้องสึก เอ่อ เลิกจากการเป็นพระเลยจ้ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปถูกตัวท่านเลยนะ มันบาป” คุณแม่พยายามอธิบาย
  “กฎตั้ง 227 ข้อเชียวเหรอคะ อย่างนี้หลวงปู่คงลำบากแย่ น้องจันทร์สงสาร จะไม่เพิ่มทุกข์ให้คุณปู่หรอกค่ะ” น้องจันทร์รับปาก ทำหน้าเศร้าๆ มองพ่อแม่
  พอได้ยินดังนั้นทั้งคู่ได้แต่กลั้นยิ้มสุดความสามารถ
                                                                    *************************************
  รถจอดลง ณ วัดสวนป่าแห่งหนึ่งซึ่งรกครึ้มด้วยต้นไม้ ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครนัก แต่ภายในวัดกลับสงบเงียบอย่างน่าประหลาด
  “เอ้า ถึงซะที” รีบลงมาจากรถพร้อมหยิบชุดสังฆทานลงมาด้วย
  “เอ กุฏิ 10 อยู่ไหนน้า คุณช่วยหาด้วยสิ น้องจันทร์ด้วย” กล่าวพลางเดินนำไปยังแถบที่เป็นกุฏิพระ
  “โน่นไงคะ” แสงจันทร์ชี้ไปที่กุฏิหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
  “เก่งจริง ลูกพ่อ” คุณพ่อชมแล้วเดินนำขึ้นไปยังกุฏิ 10 พลางร้องถามว่า “หลวงพ่อครับๆ อยู่มั้ยครับ”
  แล้วก็มีเสียงห้าวๆ ที่ไม่เปลี่ยนไปตามวัยว่า “มากันแล้วเหรอ โยมผา โยมดาว และนั่นก็คงเป็นโยมจันทร์สินะ”
  ครอบครัว ‘หินจันทร์’ สะดุ้ง หันกลับไปมองผู้ที่พึ่งเข้ามาเป็นตาเดียว
  ภิกษุที่เข้ามาสมทบนั้นอยู่ในวัยกลางคนท่าทางดูภูมิฐานยิ่งนัก แม้อยู่ในชุดสบง แต่ดูราวกับมีแสงอ่อนๆ ทอออกมาจากกายทั้งที่พึ่งบวชได้ 9 พรรษาเท่านั้น พอหายตกใจเด็กหญิงแสงจันทร์ได้กล่าวออกไปว่า
  “น้องจันทร์ค่ะ หลวงปู่ ไม่ใช่โยมจันทร์ซักหน่อย” พอกล่าวจบหลวงปู่กับคุณพ่อก็หัวเราะกันออกมา ขณะที่คุณแม่กล่าวเตือนยิ้มๆ ว่า “คำว่า ‘โยม’ ไม่ใช่ชื่อหรอกลูก เป็นเพียงแต่คำที่พระท่านเรียกคนที่ไม่ใช่พระน่ะ”
  น้องจันทร์พยักหน้าแสดงความเข้าใจ
  ขณะที่คุณพ่อพูดเตือนว่า “ยังไม่ ’ธุ คุณปู่เลยลูก” ว่าแล้วก็ก้มกราบหลวงพ่อพร้อมทั้งภรรยาและลูก
  “เจริญพรโยม”
  น้องจันทร์ทำหน้างงอีกแล้ว แต่ตัดสินใจ ‘เงียบไว้ดีกว่า’
  “โยมลำดวนบอกแล้ว ว่าพวกเจ้าจะมาเรื่องอะไร” ท่านกล่าวพลางจิบน้ำชาไปพลาง
  “พวกผมจะมาทำบุญสังฆทานกับหลวงพ่อด้วยครับ” กล่าวพลางหยิบชุดสังฆทานขึ้นมา
  “งั้นรอเดี๋ยว” หลวงพ่อกล่าวพลางเดินเข้าไปหยิบที่กรวดน้ำเข้ามา
  “กล่าวคำถวายสังฆทานได้มั้ย ลืมไปหรือยังโยมผา” กล่าวพลางมองไปที่บุตรชาย
  “ยังไม่ลืมหรอกครับ กล่าวตามพ่อนะลูก” ปากบอกลูกสาวแต่นัยน์ตาจ้องภรรยาที่นั่งเงียบอยู่
                                                  ***********************************************
  หลังจากถวายสังฆทานและกรวดน้ำเสร็จ
  หลวงปู่ได้หยิบแว่นมาสวมแล้วกล่าวว่า “เอ้าโยมหลานเอ้ย ยื่นมือมาให้หลวงปู่หน่อย”
  “ไม่ค่ะ น้องจันทร์กลัวบาป” เด็กหญิงเถียงพร้อมกับนำมือไปซ่อนไว้ข้างหลัง
  หลวงพ่อได้แต่มองลูกชายตัวแสบกับลูกสะใภ้เป็นทำนองว่า ‘ไปขู่อะไรเด็ก หือ’
  ข้างภูผาและดาราก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ ไม่นานภูผาก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า
  “ไม่เป็นไรหรอกลุกหนูแค่แบมือทั้ง 2 ออกมาเฉยๆ ถ้ากลัวเมื่อก็วางมือลงบนมือพ่อก็ได้ หลวงปู่แค่จะดูลายมือลูกเฉยๆ อย่างดีก็แค่ใช้หัวดินสอด้านที่เป็นยางลบช่วยเท่านั้นเอง” กล่าวจบพลางยื่นมือออกมารอลูกสาวตัวน้อยตัดสินใจ
  เด็กหญิงตกลงยื่นมือไปวางไว้บนมือผู้เป็นพ่อ มองหลวงปู่ตาแป๋ว พลางถามว่า “จะดูลายมือน้องจันทร์ทำไมคะ”
  “ไม่มีอะไรหรอกหลาน พ่อแม่เจ้ามาถามอะไรปู่นิดหน่อย” ตอบเสร็จก็ก้มลงดูลายมือหลานสาวตัวน้อยทันที
  “แปลก แปลกมาก ไม่เคยเห็นลายมือขาดแบบแปลกๆ แบบนี้มาก่อนเลย”
  “มีอะไรหรือคะหลวงพ่อ” ดาราอดใจไม่ได้ รีบถามเอาคำตอบในทันที
  “ลายมือแบบนี้เป็นลายมือของนักเดินทาง ไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานนักได้ ดูจากเส้นนี้” ว่าพลางใช้หัวดินสอลากไปให้เห็นตาม
  “เส้นนี้สิแปลก” ชี้ไปที่เส้นชีวิต
  “เห็นมั้ยว่าเส้นชีวิตขาดช่วงหนึ่ง แล้วกลับมีอีกเส้นลากต่อลงมายาวมากจนเหมือนกับว่าจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตก่อนที่จะสามารถเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นมาจากจุดสิ้นสุดสินะ”
  “เส้นนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ชัดและลึกมาก บ่งบอกถึงว่าโยมหลานนี่มีคู่ชะตาเพียงคนเดียว และพบแล้วด้วย บางทีอาจพบมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ”
  “เป็นไปไม่ได้” ทั้งดาราและภูผาอุทานขึ้นพร้อมกัน
  “อาตมาบอกว่าโยมหลานพบ ไม่ใช่เจ้าทั้ง 2 พบซักหน่อย” หลวงพ่อกล่าวอย่างถอนฉุน
  “เนื้อคู่ของยายหลานเป็นคนมีบุญมาก เจ้าทั้ง 2 ไม่มีทางได้รู้จักหรอก อาตมาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจุดเริ่มต้นของยายหลานน่ะมาจากจุดสิ้นสุด อยู่ที่ไหนนานๆ ไม่ได้” กล่าวจบหลวงพ่อก็ได้แต่ถอนใจ
  สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันด้วยความลำบากใจในความหมายแฝงนั้น ภูผาทนไม่ได้จึงรีบถามหลวงพ่อด้วยความหวังอันน้อยนิดว่า
  “งั้นพวกผมคงต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ ซิใช่มั้ยครับ”
  “ตามใจพวกเอ็งเถิด แต่มันไม่จำเป็น ให้ความรักโยมหลานมากๆ ดีกว่า วันไหนว่างๆ พาโยมหลานมาปฏิบัติธรรมที่นี่ก็ได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อโยมหลานในอนาคต หลวงปู่จะสอนให้เอง สนใจจะลองหัดนั่งสมาธิมั้ย โยมจันทร์” ประโยคสุดท้ายพูดกับยายหนูแสงจันทร์ ที่นั่งหาวเพราะฟังนัยแห่งคำพูดของพวกผู้ใหญ่ไม่ออก
  แม่หนูสะดุ้ง แล้วรีบพยักหน้ารับไปทันที แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลวงปู่พูดอะไรกับตนก็ตาม
  เมื่อเห็นกิริยาของแม่หนูทุกคนก็หัวเราะพร้อมกัน
                                                                **************************************
  จากนั้นภูผาได้กำชับให้ภรรยาพาธิดาไปไหว้พระในโบสถ์
  หลังจาก 2 แม่ลูกเดินลงไปจากกุฏิแล้วภูผาได้ถามหลวงพ่อถึงข้อใหญ่ใจความที่ทำให้ต้องมาที่นี่
  “หลวงพ่อครับ เรื่องที่ยายหนูตัวเย็น ” กล่าวยังไม่ทันจบประโยค หลวงพ่อก็ตอบมาก่อนว่า
  “เรื่องนี้น่ะเกี่ยวกับคู่ชะตาที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ไงล่ะ นั่นน่ะเป็นการพบกันของทั้งคู่”
  “แล้วเรื่องที่ยายหนูอายุสั้นล่ะครับ” ถามต่อแทบจะทันที
  “ไม่สั้น ใครบอกว่าสั้น ข้าบอกเพียงว่าชีวิตยายหนูจะเริ่มต้น ณ จุดสิ้นสุด เริ่มต้นจากความสูญเสียตะหาก”
  “นั่นแหละครับ หมายความว่าไงครับ”
  “ก็หมายความว่าชีวิตของโยมหลานของข้าจะเริ่มต้น จากความตายไงล่ะ โยมหลานข้าอายุยืนอย่างที่เอ็งนึกไม่ถึงเชียวล่ะ” กล่าวอย่างปลงอนิจจัง แล้วคิดว่า ‘หลานข้าทำบุญมาดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ’
  “ถ้าตายแล้วจะเริ่มต้นได้ไงล่ะครับ” ภูผาถามต่ออย่างนึกฉงน
  “ได้...สำหรับโยมหลานก็แล้วกัน” กล่าวตัดบทแล้วหนีเข้ากุฏิไป โดยไม่กล้าบอกว่า ‘นอกจากความตายแล้วยังต้องมีความสูญเสียอีกด้วย สูญเสียผู้ให้กำเนิด! ’
                                                            *****************************************
  คืนนั้นสองสามีภรรยาได้ปรึกษากันถึงเรื่องคำทำนาย และเรื่องอนาคตของลูกที่ลืมถามหลวงพ่อไป ซึ่งได้ตกลงกันว่าจะให้ลูกเรียนอนุบาลไปตามเดิมก่อนแล้วค่อยส่งลูกเรียนประถมเร็วหน่อย แล้วให้สอบเทียบเอา วิธีนี้ลูกสาวของพวกเค้าจะได้ไม่เป็นจุดเด่นเกินไปนัก
  สองสามีภรรยาตัดสินใจไม่ย้ายบ้าน แต่เลือกพาลูกสาวไปปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ ทุกวันอาทิตย์แทน
  แสงจันทร์ขอแยกห้องได้ในวันนั้น และเมื่อพบชายลึกลับผู้นั้นอีก ก็ตกลงว่าจะพบกันเพียงตอนกลางคืนเท่านั้น
                                                            ******************************************
  ข้างฝ่ายเด็กหญิงนั้น กำลังถูกชายลึกลับต่อว่าอย่างรุนแรง ข้อหา ‘ทำตัวเด่น’ เด็กหญิงพยายามแก้ตัวต่างๆนานา จนในที่สุดต้องสัญญาไปว่าจะไม่ทำตัวเด่นในเรื่องอื่นอีก และจะพยายามไม่ให้พ่อ แม่เปิดเผยเรื่องนี้ จนชายลึกลับหายโกรธ และยอมสอนสมุนไพรเพื่อความสนุกสนานในการเล่นหมอต่อไป
                                                  **************************************
  เย็นวันต่อมาขณะที่เด็กหญิงนั่งในรถที่พ่อกับแม่มารับกลับบ้าน
  “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ พ่อแม่จะพาน้องจันทร์ไปเที่ยวที่ไหนเอ่ย” เด็กหญิงถามอย่างอารมณ์ดี
  “ไปหาหลวงปู่ค่ะ น้องจันทร์ยังไม่เคยเห็นปู่เลยใช่มั้ยลูก” คุณพ่อถามกลับ
  “ปู่เหรอคะ ทำไมเป็นหลวงปู่ล่ะ ไม่ใช่คุณปู่เหรอคะ ” เด็กน้อยถามอย่างฉงน
  “เปล่าหรอกลูก หลวงปู่เป็นพระน่ะ” คุณแม่ตอบแทนคุณพ่อที่ทำน่าปุเลี่ยนๆ ไปแล้ว ‘แหมนึกว่าลูกเราอัจฉริยะนะเนี่ย คงไม่ใช่แล้วมั้ง โล่งใจไปที’ คุณแม่คิดพลางถอนใจอย่างเป็นสุข
  “เป็นพระเหรอคะ แล้วทำไมน้องจันทร์ไม่เห็นแม่ชี้ให้ดูตอนน้องจันทร์ตักบาตเมื่อเช้านี้เลย”
  “ก็ท่านไม่ได้อยู่แถวบ้านเราน่ะสิ” คุณพ่อเฉลย และแอบกลั้นยิ้มเมื่อเห็นหน้าคุณแม่ที่ถูกต่อว่าโดยไม่ทันรู้ตัว
  “แล้วอย่าลืมนะ น้องจันทร์เป็นผู้หญิง จะถูกตัวพระไม่ได้ มันบาป” ผู้เป็นพ่อกล่าวต่อไป
  “ทำไมบาปล่ะคะ” เด็กหญิงยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
  “เอ่อ คือว่า ” คุณพ่อคิดคำอธิบายไม่ถูก จึงหันไปมองหน้าคุณแม่ ประมาณให้ช่วยตอบหน่อย
  “คืออย่างนี้จ้ะ พระต้องถือกฎ 227 ข้อ ถ้าทำผิดกฎข้อใดข้อหนึ่งมันจะบาปจ้ะ เพราะท่านอาจต้องสึกเลยนะ แล้วถ้าหนูไปโดนตัวท่าน ท่านก็จะผิดกฎ แล้วท่านต้องสึก เอ่อ เลิกจากการเป็นพระเลยจ้ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปถูกตัวท่านเลยนะ มันบาป” คุณแม่พยายามอธิบาย
  “กฎตั้ง 227 ข้อเชียวเหรอคะ อย่างนี้หลวงปู่คงลำบากแย่ น้องจันทร์สงสาร จะไม่เพิ่มทุกข์ให้คุณปู่หรอกค่ะ” น้องจันทร์รับปาก ทำหน้าเศร้าๆ มองพ่อแม่
  พอได้ยินดังนั้นทั้งคู่ได้แต่กลั้นยิ้มสุดความสามารถ
                                                                    *************************************
  รถจอดลง ณ วัดสวนป่าแห่งหนึ่งซึ่งรกครึ้มด้วยต้นไม้ ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครนัก แต่ภายในวัดกลับสงบเงียบอย่างน่าประหลาด
  “เอ้า ถึงซะที” รีบลงมาจากรถพร้อมหยิบชุดสังฆทานลงมาด้วย
  “เอ กุฏิ 10 อยู่ไหนน้า คุณช่วยหาด้วยสิ น้องจันทร์ด้วย” กล่าวพลางเดินนำไปยังแถบที่เป็นกุฏิพระ
  “โน่นไงคะ” แสงจันทร์ชี้ไปที่กุฏิหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
  “เก่งจริง ลูกพ่อ” คุณพ่อชมแล้วเดินนำขึ้นไปยังกุฏิ 10 พลางร้องถามว่า “หลวงพ่อครับๆ อยู่มั้ยครับ”
  แล้วก็มีเสียงห้าวๆ ที่ไม่เปลี่ยนไปตามวัยว่า “มากันแล้วเหรอ โยมผา โยมดาว และนั่นก็คงเป็นโยมจันทร์สินะ”
  ครอบครัว ‘หินจันทร์’ สะดุ้ง หันกลับไปมองผู้ที่พึ่งเข้ามาเป็นตาเดียว
  ภิกษุที่เข้ามาสมทบนั้นอยู่ในวัยกลางคนท่าทางดูภูมิฐานยิ่งนัก แม้อยู่ในชุดสบง แต่ดูราวกับมีแสงอ่อนๆ ทอออกมาจากกายทั้งที่พึ่งบวชได้ 9 พรรษาเท่านั้น พอหายตกใจเด็กหญิงแสงจันทร์ได้กล่าวออกไปว่า
  “น้องจันทร์ค่ะ หลวงปู่ ไม่ใช่โยมจันทร์ซักหน่อย” พอกล่าวจบหลวงปู่กับคุณพ่อก็หัวเราะกันออกมา ขณะที่คุณแม่กล่าวเตือนยิ้มๆ ว่า “คำว่า ‘โยม’ ไม่ใช่ชื่อหรอกลูก เป็นเพียงแต่คำที่พระท่านเรียกคนที่ไม่ใช่พระน่ะ”
  น้องจันทร์พยักหน้าแสดงความเข้าใจ
  ขณะที่คุณพ่อพูดเตือนว่า “ยังไม่ ’ธุ คุณปู่เลยลูก” ว่าแล้วก็ก้มกราบหลวงพ่อพร้อมทั้งภรรยาและลูก
  “เจริญพรโยม”
  น้องจันทร์ทำหน้างงอีกแล้ว แต่ตัดสินใจ ‘เงียบไว้ดีกว่า’
  “โยมลำดวนบอกแล้ว ว่าพวกเจ้าจะมาเรื่องอะไร” ท่านกล่าวพลางจิบน้ำชาไปพลาง
  “พวกผมจะมาทำบุญสังฆทานกับหลวงพ่อด้วยครับ” กล่าวพลางหยิบชุดสังฆทานขึ้นมา
  “งั้นรอเดี๋ยว” หลวงพ่อกล่าวพลางเดินเข้าไปหยิบที่กรวดน้ำเข้ามา
  “กล่าวคำถวายสังฆทานได้มั้ย ลืมไปหรือยังโยมผา” กล่าวพลางมองไปที่บุตรชาย
  “ยังไม่ลืมหรอกครับ กล่าวตามพ่อนะลูก” ปากบอกลูกสาวแต่นัยน์ตาจ้องภรรยาที่นั่งเงียบอยู่
                                                  ***********************************************
  หลังจากถวายสังฆทานและกรวดน้ำเสร็จ
  หลวงปู่ได้หยิบแว่นมาสวมแล้วกล่าวว่า “เอ้าโยมหลานเอ้ย ยื่นมือมาให้หลวงปู่หน่อย”
  “ไม่ค่ะ น้องจันทร์กลัวบาป” เด็กหญิงเถียงพร้อมกับนำมือไปซ่อนไว้ข้างหลัง
  หลวงพ่อได้แต่มองลูกชายตัวแสบกับลูกสะใภ้เป็นทำนองว่า ‘ไปขู่อะไรเด็ก หือ’
  ข้างภูผาและดาราก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ ไม่นานภูผาก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า
  “ไม่เป็นไรหรอกลุกหนูแค่แบมือทั้ง 2 ออกมาเฉยๆ ถ้ากลัวเมื่อก็วางมือลงบนมือพ่อก็ได้ หลวงปู่แค่จะดูลายมือลูกเฉยๆ อย่างดีก็แค่ใช้หัวดินสอด้านที่เป็นยางลบช่วยเท่านั้นเอง” กล่าวจบพลางยื่นมือออกมารอลูกสาวตัวน้อยตัดสินใจ
  เด็กหญิงตกลงยื่นมือไปวางไว้บนมือผู้เป็นพ่อ มองหลวงปู่ตาแป๋ว พลางถามว่า “จะดูลายมือน้องจันทร์ทำไมคะ”
  “ไม่มีอะไรหรอกหลาน พ่อแม่เจ้ามาถามอะไรปู่นิดหน่อย” ตอบเสร็จก็ก้มลงดูลายมือหลานสาวตัวน้อยทันที
  “แปลก แปลกมาก ไม่เคยเห็นลายมือขาดแบบแปลกๆ แบบนี้มาก่อนเลย”
  “มีอะไรหรือคะหลวงพ่อ” ดาราอดใจไม่ได้ รีบถามเอาคำตอบในทันที
  “ลายมือแบบนี้เป็นลายมือของนักเดินทาง ไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานนักได้ ดูจากเส้นนี้” ว่าพลางใช้หัวดินสอลากไปให้เห็นตาม
  “เส้นนี้สิแปลก” ชี้ไปที่เส้นชีวิต
  “เห็นมั้ยว่าเส้นชีวิตขาดช่วงหนึ่ง แล้วกลับมีอีกเส้นลากต่อลงมายาวมากจนเหมือนกับว่าจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตก่อนที่จะสามารถเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นมาจากจุดสิ้นสุดสินะ”
  “เส้นนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ชัดและลึกมาก บ่งบอกถึงว่าโยมหลานนี่มีคู่ชะตาเพียงคนเดียว และพบแล้วด้วย บางทีอาจพบมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ”
  “เป็นไปไม่ได้” ทั้งดาราและภูผาอุทานขึ้นพร้อมกัน
  “อาตมาบอกว่าโยมหลานพบ ไม่ใช่เจ้าทั้ง 2 พบซักหน่อย” หลวงพ่อกล่าวอย่างถอนฉุน
  “เนื้อคู่ของยายหลานเป็นคนมีบุญมาก เจ้าทั้ง 2 ไม่มีทางได้รู้จักหรอก อาตมาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจุดเริ่มต้นของยายหลานน่ะมาจากจุดสิ้นสุด อยู่ที่ไหนนานๆ ไม่ได้” กล่าวจบหลวงพ่อก็ได้แต่ถอนใจ
  สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันด้วยความลำบากใจในความหมายแฝงนั้น ภูผาทนไม่ได้จึงรีบถามหลวงพ่อด้วยความหวังอันน้อยนิดว่า
  “งั้นพวกผมคงต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ ซิใช่มั้ยครับ”
  “ตามใจพวกเอ็งเถิด แต่มันไม่จำเป็น ให้ความรักโยมหลานมากๆ ดีกว่า วันไหนว่างๆ พาโยมหลานมาปฏิบัติธรรมที่นี่ก็ได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อโยมหลานในอนาคต หลวงปู่จะสอนให้เอง สนใจจะลองหัดนั่งสมาธิมั้ย โยมจันทร์” ประโยคสุดท้ายพูดกับยายหนูแสงจันทร์ ที่นั่งหาวเพราะฟังนัยแห่งคำพูดของพวกผู้ใหญ่ไม่ออก
  แม่หนูสะดุ้ง แล้วรีบพยักหน้ารับไปทันที แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลวงปู่พูดอะไรกับตนก็ตาม
  เมื่อเห็นกิริยาของแม่หนูทุกคนก็หัวเราะพร้อมกัน
                                                                **************************************
  จากนั้นภูผาได้กำชับให้ภรรยาพาธิดาไปไหว้พระในโบสถ์
  หลังจาก 2 แม่ลูกเดินลงไปจากกุฏิแล้วภูผาได้ถามหลวงพ่อถึงข้อใหญ่ใจความที่ทำให้ต้องมาที่นี่
  “หลวงพ่อครับ เรื่องที่ยายหนูตัวเย็น ” กล่าวยังไม่ทันจบประโยค หลวงพ่อก็ตอบมาก่อนว่า
  “เรื่องนี้น่ะเกี่ยวกับคู่ชะตาที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ไงล่ะ นั่นน่ะเป็นการพบกันของทั้งคู่”
  “แล้วเรื่องที่ยายหนูอายุสั้นล่ะครับ” ถามต่อแทบจะทันที
  “ไม่สั้น ใครบอกว่าสั้น ข้าบอกเพียงว่าชีวิตยายหนูจะเริ่มต้น ณ จุดสิ้นสุด เริ่มต้นจากความสูญเสียตะหาก”
  “นั่นแหละครับ หมายความว่าไงครับ”
  “ก็หมายความว่าชีวิตของโยมหลานของข้าจะเริ่มต้น จากความตายไงล่ะ โยมหลานข้าอายุยืนอย่างที่เอ็งนึกไม่ถึงเชียวล่ะ” กล่าวอย่างปลงอนิจจัง แล้วคิดว่า ‘หลานข้าทำบุญมาดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ’
  “ถ้าตายแล้วจะเริ่มต้นได้ไงล่ะครับ” ภูผาถามต่ออย่างนึกฉงน
  “ได้...สำหรับโยมหลานก็แล้วกัน” กล่าวตัดบทแล้วหนีเข้ากุฏิไป โดยไม่กล้าบอกว่า ‘นอกจากความตายแล้วยังต้องมีความสูญเสียอีกด้วย สูญเสียผู้ให้กำเนิด! ’
                                                            *****************************************
  คืนนั้นสองสามีภรรยาได้ปรึกษากันถึงเรื่องคำทำนาย และเรื่องอนาคตของลูกที่ลืมถามหลวงพ่อไป ซึ่งได้ตกลงกันว่าจะให้ลูกเรียนอนุบาลไปตามเดิมก่อนแล้วค่อยส่งลูกเรียนประถมเร็วหน่อย แล้วให้สอบเทียบเอา วิธีนี้ลูกสาวของพวกเค้าจะได้ไม่เป็นจุดเด่นเกินไปนัก
  สองสามีภรรยาตัดสินใจไม่ย้ายบ้าน แต่เลือกพาลูกสาวไปปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ ทุกวันอาทิตย์แทน
  แสงจันทร์ขอแยกห้องได้ในวันนั้น และเมื่อพบชายลึกลับผู้นั้นอีก ก็ตกลงว่าจะพบกันเพียงตอนกลางคืนเท่านั้น
                                                            ******************************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น