ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นาล แห่งอาฟ์ก้า

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 จุดเริ่มของเรื่องราว

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 51


    เหนื่อย ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ต้นไม้ที่ดูจะผ่านช่วงชีวิตยืนยาวเปรยขึ้นมา ขณะที่กำลังหยั่งรากลงไปรับสารอาหารจากดินนุ่ม ข้างแอ่งน้ำที่ใสสะอาด แต่ทว่าสะท้อนภาพหลายหลากอันมีได้เกิดขึ้นจริงในถ้ำอันประดับประดาด้วยมณีที่ส่องแสงแวววะวับราวกับได้รับการเจียรนัยมาอย่างดีแล้ว

    เหตุใดมนุษย์จึงพยายามดิ้นรนออกจากโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆทางที่ถูกกำหนดไว้มีแต่ความถูกต้องดีงาม ไม่มีความทุกข์โศก ดิ้นรน แก่งแย่งกันก้าวไปสู่ทางวิบัติ ว่าพลางมองดูเงาสะท้อนต่างๆ ในน้ำ

    หรือข้าคงไร้สามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดมิติซ้อนขึ้นมาหลายหลายเช่นทุกวันนี้ได้ บางทีหากมี พวกเดียวกันสักคนมนุษย์อาจฟังคำ และป้องกันได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้ ว่าแล้วต้นไม้ต้นนี้ก็หยั่งรากลึกลงกว่าเดิม... ก่อนจะปิดเปลือกตาไม้ทั้งหลายลง เหลือเพียงตาไม้แห่งเดียวที่เริ่มมีความเขียวขจีผุดขึ้นช้าๆ

    + + + + + + + + + +

    ไปจับพยัคฆ์สีรุ้งมาให้ข้า องค์ชายน้อยที่แสนเอาแต่ใจทั้งสี่ ของสี่แคว้นใหญ่ต่างผสานเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนหันมาจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ไม่วายไล่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายให้รีบไปทำตามคำสั่งก่อนที่จะมาทะเลาะชิงสัตว์ที่ว่ากันว่ามีเพียงตัวเดียวในอาฟ์ก้า กันต่อไป

    คนของข้าเป็นคนเห็นเจ้านั่นก่อน เด็กน้อยบรรดาศักดิ์ไม่น้อยเอ่ยพลางแยกเขี้ยว

    แต่บริเวณที่เจ้านั่นเห็นอยู่ในแคว้นของข้า เด็กชายอีกผู้ค้าน

    แต่คนของข้าเก่งที่สุด คนของข้าต้องเป็นคนที่จับเจ้านั่นได้แน่ เด็กชายอีกคนค้านออกมา

    ไม่ว่าใครจะจับได้ ข้าก็ไม่ยกน้องสาวข้าให้ใครหรอกน้า เด็กอีกคนโพล่งคนละเรื่องเดียวกัน

    เด็กชายทั้งสามหันไปจ้องพี่ของเด็กหญิงที่เป็นคนอยากได้พยัคฆ์สีรุ้งเป็นคนแรกเขม็ง ก่อนเด็กชายคนแรกจะเอ่ยยั่วโทสะคนหวงน้องว่าไม่รู้แหละน้องเจ้าบอกแล้วนี่ว่าจะ แต่ง กับคนที่จับพยัคฆ์สีรุ้งได้โดยมีเด็กชายอีก 2 คนร้องรับยั่วเย้าคนหวงน้องอย่างสนุกสนาน

    แต่ข้าไม่ยกน้องข้าให้พวกเจ้าแน่นอน ดังนั้นคนของข้าต้องเป็นฝ่ายจับได้ คุณพี่ชายเอ่ยด้วยความผยอง

    คอยดูและกัน ข้าจะจับเจ้าพยัคฆ์สีรุ้งมาให้ได้เลยคอยดู เด็กชายทั้งสามที่เดิมทีอยากยั่วคุณพี่หวงน้องเล่นๆ เอ่ยประสานกันด้วยทิฐิมานะ ก่อนจะตามไปควบคุม และรวบรวมเหล่าองครักษ์เพิ่มให้มาร่วมกัน ล่าด้วยตัวเอง

    เจ้าชายหวงน้องไม่รอช้า รีบรวบรวมคน ตามเข้าไปในป่าต้องห้ามทันที

    + + + + + + + + + +

    เหล่าทหารออกมา ล่าสรรพสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้ามากว่าเดือน จนในที่สุดผู้พิทักษ์ป่าสุดจะทนไหว ได้ออกมาถามไถ่และห้ามปราม แต่มนุษย์สุดเหิมเกริมคิดจะ ล่าผู้พิทักษ์ป่าเหล่านี้ด้วย จนกลายเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ และสรรพสัตว์เต็มรูปแบบ ที่ยืดเยื้อถึง 3 เดือน

    การรบเพราะและเพื่อสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวนี้คงยืดเยื้อไปอีกนาน หากพยัคฆ์สีรุ้งไม่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลซะก่อน

    พวกเจ้าทำอะไรน่ะ นางถามเหล่าผู้พิทักษ์ป่าดังก้อง

    การต่อสู้ทั้งหลาย รวมถึงเวทมนตร์ทั้งหลายสลายลงทันทีที่นางก้าวย่างเข้ามา จนพลอยทำเอาทุกคน ตกตะลึง

    พวกมนุษย์ บุกรุกป่าต้องห้ามของเรา และเข่นฆ่าสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า พวกเราจึงต้องออกมาต่อต้าน หัวหน้าฝูงกีมเอลเจ้าป่าเอ่ยขึ้น

    ข้ามาจับเจ้านั่นแหละ ถ้าเจ้ายอมออกไปกับพวกเราดีๆ เราจะออกจากป่านี้ทันที คนไม่กลัวตายตะโกนใส่หน้ารานีแห่งสรรพสัตว์

    บังอาจ เออม่าเจ้าแห่งนภา ตวาดพลางตวัดปีก 1 ครั้ง สายลมคมกริบพุ่งเข้าตัดคอหอยผู้โอหังไปในทันที

    พยัคฆ์สีรุ้งยังคงมองทุกสิ่งอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาอย่างยิ่งว่า...

    พวกเจ้าต้องการตัวข้าไปทำไม

    ทหารหลายนายตัวสั่นด้วยรู้สึกว่าตนช่างเล็กจ้อย และไร้สิ้นซึ่งอำนาจเหลือเกิน หากมีนายทหารบางนายที่จ้องตาพยัคฆ์สีรุ้งอย่างเด็ดเดี่ยว

    เจ้า จงพูดออกมา พยัคฆ์สีรุ้งชี้ไปที่ทหารนายหนึ่งที่จ้องมาที่ตนเขม็ง

    นายของข้าต้องการเจ้า นายทหารตนนั้นตอบกลับมา

    แล้วในเมื่อต้องการ เพียงข้าไยจึงไม่มาเจรจาดีๆ เหตุใดจึงต้องคร่าชีวิตผู้อื่นด้วย

    นายทหารคนนั้นยักไหล่น่าเกลียด ก่อนกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งทะนงว่า เพราะนั่นเป็นวิธีที่เรียกเจ้าออกมาเร็วที่สุด แต่ไหนในตำนานว่าเจ้าเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ไง กว่าจะออกมาได้พวกข้าต้องเหนื่อยฆ่า พวกตัวล่อไร้ประโยชน์นี่นานถึงเพียงนี้

    เหล่าผู้พิทักษ์ป่ากัดฟันกรอด แผ่นดินสะเทือนไหว ด้วยฝีมือรานานเจ้าแห่งดินทั้งฝูงทันที เหล่ามนุษย์ และสรรพสัตว์ที่ยืนไม่มั่น ต่างล้มลงคลุกฝุ่นไปตามๆ กัน

    เจ้าแห่งสรรพสัตว์มองเหล่าผู้พิทักษ์ป่าเป็นรายตัว

    พวกข้านึกว่าพวกมนุษย์เข้ามาล่าตามปกติ ด้วยเหล่ามนุษย์ล่าแต่เพียงป่านอก* กว่าจะเอะใจว่าเหล่ามนุษย์รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว อีกทั้งตอนนั้นท่านจำศีลอยู่ พวกข้าจึงได้แต่ออกไปป้องกันสุดความสามารถ หัวหน้าฝูงกีมเอล เอ่ยขึ้น ด้วยท่าทางหูลู่หางตกจนน่าขัน หากไม่มีใครขันออก

    (*ป่าในมิติผู้ใช้เวทและอาวุธ แบ่งคร่าวๆ เป็น 3 ชั้นคือ ป่านอก เป็นป่าที่สิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่ถือกำเนิด ต้นไม้และสรรพสัตว์ที่อาศัยมักยังพูดไม่ได้ ป่ากลาง คือป่าที่ต้นไม้และสรรพสัตว์ส่วนใหญ่พูดได้ และ ป่าใน คือบริเวณที่ผู้พิทักษ์ป่า และเหล่าต้นไม้ที่มีอายุกว่าร้อยปีที่ต่างเคลื่อนไหวได้อาศัยอยู่ 

    โดยทั่วไปมนุษย์มักจะอยู่เพียงป่านอก และ ล่าเพียงสิ่งมีชีวิตที่ยังพูดไม่ได้เท่านั้น แต่ยังก็มีมนุษย์ที่ต้องการแสวงหาความตื่นเต้นบุกรุกมาถึงเขตป่ากลางเสมอๆ)

    พยัคฆ์สีรุ้งพยักหน้าเข้าใจ หากมิวายคาดโทษ

    จงจำเรื่องคราวนี้ไว้เป็นบทเรียน การคิดไปเองแล้วละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่นั้น บางทีอาจนำมาซึ่งความสูญเสีย ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้ เรื่องครานี้ขอให้จำเป็นบทเรียน หากคราหน้ามีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ จงตรวจสอบให้ดี หากข้ารู้ว่ามีผู้ใดคิดเอาเองอีก จงระวังศีรษะของเจ้าผู้นั้นให้จงหนัก

    เหล่าผู้พิทักษ์ป่า และสรรพสัตว์น้อมรับคำพูดของนางอย่างพร้อมเพรียง โดยละเลยเหล่าทหารมนุษย์ที่นัดแนะกันด้วยสายตาไปเพียงชั่วแวบ

    ระวัง!!” ต้นไม้หลังนางพญาแห่งสรรพสัตว์ที่พึ่งเอ่ยได้วันแรกตะโกนขึ้นมา

    ทว่าช้าไปแล้ว เหล่าธนูไม้อันกระจ้อย นับร้อยได้แทงทะลุร่างพยัคฆ์สีรุ้ง ที่แม้เร็วอย่างไรก็หลบธนูนับแสนที่พุ่งเข้ามาจากรอบทิศไม่ทัน ด้วยมีธนูที่อาบด้วยน้ำจากใบเอธ่า*หลายต่อหลายดอกที่ยิงขึ้นมาดักทิศทางมั่วไปหมด

    (*น้ำจากใบเอธ่าบดที่นำมาทาอาวุธ จะทำให้อาวุธนั้นสามารถแทงทะลุม่านมนตราป้องกันส่วนใหญ่ได้ อีกทั้งยังทำให้มนตราป้องกันนั้นๆ แปรสภาพเป็นอณูกรดเล็กๆ ที่เข้มข้นตามความเข้มแข็งของม่านมนตรานั้นๆ อีกด้วย)

    พยัคฆ์สีรุ้งมองเหล่ามนุษย์ที่ลอบกัดด้วยสายตาเฉยชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า เห็นทีข้าคงไม่ได้ไปพบกับนายพวกเจ้าแล้ว กล่าวจบร่างของนางก็สลายลงเป็นเพียงละอองสีรุ้งร่วงลงสู่พื้นดิน และลำธารด้านหลัง...

    ม่ายยยยยยย เสียงกรีดร้องที่ผสานกันลั่นของเหล่ามนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในป่าต้องห้ามแห่งนี้ ดังสะท้านสะเทือนไปทั่วมิติอาฟ์ก้า ด้วยเหล่าต้นไม้ที่พูดได้ต่างร่วมกรีดร้องในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งเหล่าผู้พิทักษ์ป่าที่กระจัดกระจายอยู่ตามป่าต่างๆ ทั่วทั้งอาฟ์ก้าต่างกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน โดยต้นเหตุมาจากความต้องการของคนผู้เดียวแท้ๆ

    + + + + + + + + + +

    เสียงตะโกนที่ดังกึกก้องจากท้องน้ำ ปลุกต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่ง ในถ้ำที่ประดับด้วยอัญมณีวาววะวับให้ตื่นขึ้น ทันทีที่ต้นไม้ใหญ่ลืมตา ผลที่มีเยื่อหุ้มบางใสสีเขียวที่ยาวเกือบระพื้นหลุดจากขั้ว และร่วงหล่นลงไปในเงาที่ไหวระรัวอันเป็นเหตุแห่งเสียงที่ดังกึกก้อง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะหายไป

    ไม่ อย่าพึ่ง ถ้าเจ้าไปตอนนี้เจ้าจะเกิดเยี่ยงไร ลูกข้า ยังไม่ถึงเวลาเจ้าเกิดของเจ้า ไม่... ต้นไม้ใหญ่รำพึง ก่อนค่อยๆ หลับตาลง เข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง

    สุดท้ายในถ้ำอันแสนวิจิตร ก็เหลือเพียงไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเพียงเดียวดายอยู่ข้างแอ่งน้ำที่กลับมาสะท้อนภาพหลากหลายเช่นเคย

    + + + + + + + + + +

    ตุบ!!

    ผลไม้ประหลาดหล่นเบาๆ ข้างธารน้ำที่แห้งขอดกลางทะเลทรายที่สุดแสนจะแห้งแล้ง ณ แดนดินที่สุดแสนจะวุ่นวายด้วยเจ้าแห่งสรรพสัตว์พึ่งสิ้นสุดชีวิตลง เพียงเพราะเหล่ามนุษย์พากันคิดตรงกันคงไม่อาจจับพยัคฆ์สีรุ้งได้โดยง่าย จึงเลือกวิธีที่ง่ายกว่าเพียงแค่คิดจะถลกหนังไปให้นายของตนแทน แต่อนิจจาสิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า และความคลุ้มคลั่งของเหล่าสรรพสัตว์ที่เอ่ยวาจาได้ทั้งหลาย ที่เข้ามาโจมตีพวกตนโดยไม่กลัวตายเช่นเคย

    ขณะที่สงครามระหว่างมนุษย์ และสรรพสัตว์ที่เอ่ยวาจาได้ทั้งหลายดำเนินอุบัติขึ้น บริเวณที่ผลไม้ประหลาดตกลงมาเริ่มมีเขียวชอุ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสัตว์เลี้ยงที่ยังมิอาจเอ่ยวาจาได้ โดยผลไม้ประหลาดยังคงนอนสงบอยู่ข้างลำธารที่เคยแห้งขอด โดยไม่มีผู้ใดมาพบเห็น...

    + + + + + + + + + +

    10 ปีผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ในถ้ำอันแสนวิจิตร ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลอีกครา

    นาง เพ่งมองภาพในธารน้ำใสเบื้องหน้า ค้นหาภาพมิติที่ ผลที่ยังเจริญไม่เต็มที่ของนางพลัดตกลงไป แล้วค่อยๆ เพ่งหา ผลที่พลัดเติบโตที่อื่น แล้วค่อยๆ ส่งกระแสพลังอันอ่อนโยน เพื่อให้ ผลนั้นพร้อมที่จะ ฟักผู้ที่นับได้ว่าเป็นลูกของนางออกมา

    ...เจ้ามีเวลาอยู่กับข้าน้อยไป...

    ...เจ้าเติบโตด้วยตนเองนานเกินไป...

    ...เจ้าซึมซับพลัง และคืนพลังมากไป...

    ...และสุดท้าย เจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะกลับมา...

    ...ลูกรัก เจ้าจงเติบโต ณ มิติที่เจ้าเกิดเถิด แม่จะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ห่างๆ...

    + + + + + + + + + +

    ในเวลาเดียวกัน ณ ริมธารน้ำใส ในโอเอซิสกลางทะเลทราย

    เด็กทารกผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเปลือกอะไรบางอย่าง มองท้องฟ้า ตาใส หูทั้งสองกระดิกคล้ายฟังอะไรบางอย่าง ก่อนพยักหน้าเร็วๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น พร้อมๆ กับขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น จนดูคล้ายเด็ก 3 ขวบในที่สุด

    หนูน้อยเดินเข้าไปในผืนป่าด้วยท่าทางมั่นใจ จวบจนถึงหมู่บ้านแห่งแรกในผืนป่านี้ เสียงที่อ่อนโยนดังเมื่อแรกเกิดพลันดังขึ้น เด็กน้อยจึงนิ่งฟังอย่างสนใจ

    ...ลูกรัก เจ้าจงหลับตาลง แล้วลืมเรื่องต่างๆ ให้สิ้นเถิด หากเจ้าจะจำสิ่งใดจงจำเพียงนามเจ้าไว้ นาลลูกรักของแม่...

    สิ้นคำร่างเด็กน้อยก็ไหวเอน ก่อนค่อยๆ ล้มลงขวางทางเข้าหมู่บ้านแห่งนั้นเอาไว้ 

    เพียงครู่หญิงสองนางก็มาเจอร่างเด็กน้อย ทั้งสองหาผ้าผ่อนมาสวมให้และช่วยกันพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง จนเด็กน้อยฟื้น หากครั้นพอซักอะไรก็ไม่ได้ความ นอกจากชื่อ นาลแล้ว เด็กน้อยก็ไม่ทราบอะไรอีกเลย ทั้งสองจึงตัดสินใจพาเด็กน้อยไปหาผู้บำบัดคนเดียวในโอเอซิสแห่งนี้ ณ หมู่บ้านถัดไป

    ผู้บำบัดสาวรู้สึกถูกชะตาเด็กน้อยนัก หลังจากซักถามอยู่ครู่หนึ่งก็รำพึงออกมาว่า ถ้าข้ามี ลูกสาว น่ารักๆ แบบนี้สักคนก็จะดี

    ...เด็กน้อยได้ยินเสียง กริ๊ก เบาๆ ในศีรษะ ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกายของตนเปลี่ยนแปลงไป

    หญิงทั้งสองหันมามองหน้ากัน แต่ก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไรได้ ผู้บำบัดสาวที่จ้องเด็กน้อยไม่วางตากลับชิงเอ่ยมาซะก่อน

    เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเจ้าเป็นหญิงข้าจะรับเจ้าไว้เป็นลูก และถ่ายทอดวิชาในการบำบัดต่างๆ ให้

    หญิงทั้งสองรู้สึกเวทนา และเสียดายโอกาสแทนเด็กน้อยนัก แต่ต่างก็เข้าใจด้วยวิชาผู้บำบัดนั้น เป็นวิชาที่ละเอียดอ่อน ยิ่งวิชาการบำบัดชั้นสูง ยิ่งต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ผู้บำบัดชายที่สามารถเรียนวิชาบำบัดขั้นสูงจึงหาได้ยากขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีมานี้ เหล่าผู้บำบัดชั้นสูงที่ได้รับการยอมรับต่างเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

    ขณะที่หญิงทั้งสองกำลังจะขอตัวเด็กน้อยกลับ ผู้บำบัดสาวก็ทำการ พิสูจน์เพศ เด็กน้อย โดยไม่รอฟังคำทัดทานจากหญิงทั้งสอง ก่อนผู้บำบัดสาวจะยิ้มร่า ขณะที่หญิงผู้พาเด็กน้อยมาทั้งสองตกตะลึงจนตัวชา จนคนหนึ่งเผลอคลายอ้อมกอดเด็กน้อยกะทันหัน โชคดีที่ผู้บำบัดสาวรับไว้ทัน

    ผู้บำบัดสาวหันมาหมายจะดุคนที่ปล่อยเด็กน้อยน่ารักลงสู่พื้น แต่ก็ต้องชะงักกับสีหน้าของหญิงทั้งสอง ที่พอตั้งสติได้ต่างคนต่างรีบขอตัวกลับทันที โดยไม่ยอมมองหน้าเด็กน้อยที่ตนอุ้มชูมาตลอดทางเลย ปล่อยให้คำถามค้างคาอยู่ที่ริมฝีปากผู้บำบัดสาว

    ผู้บำบัดสาวจึงเพียงส่ายหน้า และหยอกล้อเล่นกับ สาวน้อยที่กำลังจะกลายเป็นลูกตน พลางเอ่ยสัตย์รับบุตรบุญธรรมว่า

    นาลเอ๋ย ต่อแต่นี้ไปแม่จะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีที่สุด เจ้าจะได้ความรู้ทั้งหมดจากข้าจนหมดสิ้น เจ้าจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ข้าจะแสวงหาของทุกอย่างที่เจ้าต้องการหากมันไม่ยากเกินความสามารถ และมีเหตุผลพอที่จะจัดหามาให้

    เมื่อเอ่ยจบนางก็รู้สึกตกตะลึงด้วยไม่คาดว่าตนจะเอ่ยสัตย์ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หากเมื่อมองหน้าหนูน้อย ความรู้สึกอ่อนโยนมากมายก็ปรากฏ คิดได้ว่าสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปนั้นมันไม่มากเกินไปเลยสำหรับ ลูกสาว คนนี้

    + + + + + + + + + +

    ด้านหญิงทั้งสองที่จ้ำออกมาจากบ้านพักของผู้บำบัดสาว จนไม่ทันได้หายใจหายคอ หยุดยืนหอบหายใจกัน ณ จุดที่พบ เด็กประหลาดหน้าหมู่บ้านของตน อย่างเงียบๆ ก่อนที่หญิงนางหนึ่งจะเอ่ยออกมา

    ตอนแรกเด็กนั่นเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่หรือ หญิงทางขวาเอ่ย

    ใช่ น่ารักจนข้าอยากไปเลี้ยงเลย หากไม่ติดว่าข้ามีลูกชายถึง 4 คนแล้ว หญิงทางซ้ายเอ่ยรับ

    แล้วทำไมเด็กนาลนั่นถึงกลายเป็นเด็กผู้หญิงได้เล่า เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หญิงทั้งสองก็มองหน้ากันก่อนที่สายลมอ่อนๆ จะพัดใส่หน้าหญิงทั้งสอง

    เมื่อกี้เราพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ หญิงทางขวาเอ่ยถาม

    ไม่รู้สิ ว่าแต่พวกเราคุยกันแป๊บเดียว ไหงสายป่านนี้แล้วหรือนี่

    ใช่ๆ แล้วนี่ป่านนี้พวกพี่ๆ เค้าคงบ่นกันระงมแล้ว รีบกลับไปทำกับข้าวกันเถอะ ว่าแล้วหญิงทั้งสองก็เดินเข้าหมู่บ้านไป โดยลืมเรื่องเด็กที่พาไปหาผู้บำบัดสาวซะสนิท

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×