คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 จุดเริ่มของเรื่องราว
“เหนื่อย ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” ต้นไม้ที่ดูจะผ่านช่วงชีวิตยืนยาวเปรยขึ้นมา ขณะที่กำลังหยั่งรากลงไปรับสารอาหารจากดินนุ่ม ข้างแอ่งน้ำที่ใสสะอาด แต่ทว่าสะท้อนภาพหลายหลากอันมีได้เกิดขึ้นจริงในถ้ำอันประดับประดาด้วยมณีที่ส่องแสงแวววะวับราวกับได้รับการเจียรนัยมาอย่างดีแล้ว
“เหตุใดมนุษย์จึงพยายามดิ้นรนออกจากโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆทางที่ถูกกำหนดไว้มีแต่ความถูกต้องดีงาม ไม่มีความทุกข์โศก ดิ้นรน แก่งแย่งกันก้าวไปสู่ทางวิบัติ” ว่าพลางมองดูเงาสะท้อนต่างๆ ในน้ำ
“หรือข้าคงไร้สามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดมิติซ้อนขึ้นมาหลายหลายเช่นทุกวันนี้ได้ บางทีหากมี ‘พวกเดียวกัน’ สักคนมนุษย์อาจฟังคำ และป้องกันได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้” ว่าแล้วต้นไม้ต้นนี้ก็หยั่งรากลึกลงกว่าเดิม... ก่อนจะปิดเปลือกตาไม้ทั้งหลายลง เหลือเพียงตาไม้แห่งเดียวที่เริ่มมีความเขียวขจีผุดขึ้นช้าๆ
+ + + + + + + + + +
“ไปจับพยัคฆ์สีรุ้งมาให้ข้า” องค์ชายน้อยที่แสนเอาแต่ใจทั้งสี่ ของสี่แคว้นใหญ่ต่างผสานเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนหันมาจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ไม่วายไล่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายให้รีบไปทำตามคำสั่งก่อนที่จะมาทะเลาะชิงสัตว์ที่ว่ากันว่ามีเพียงตัวเดียวใน ‘อาฟ์ก้า’ กันต่อไป
“คนของข้าเป็นคนเห็นเจ้านั่นก่อน” เด็กน้อยบรรดาศักดิ์ไม่น้อยเอ่ยพลางแยกเขี้ยว
“แต่บริเวณที่เจ้านั่นเห็นอยู่ในแคว้นของข้า” เด็กชายอีกผู้ค้าน
“แต่คนของข้าเก่งที่สุด คนของข้าต้องเป็นคนที่จับเจ้านั่นได้แน่” เด็กชายอีกคนค้านออกมา
“ไม่ว่าใครจะจับได้ ข้าก็ไม่ยกน้องสาวข้าให้ใครหรอกน้า” เด็กอีกคนโพล่งคนละเรื่องเดียวกัน
เด็กชายทั้งสามหันไปจ้องพี่ของเด็กหญิงที่เป็นคนอยากได้พยัคฆ์สีรุ้งเป็นคนแรกเขม็ง ก่อนเด็กชายคนแรกจะเอ่ยยั่วโทสะคนหวงน้องว่า “ไม่รู้แหละน้องเจ้าบอกแล้วนี่ว่าจะ “แต่ง” กับคนที่จับพยัคฆ์สีรุ้งได้” โดยมีเด็กชายอีก 2 คนร้องรับยั่วเย้าคนหวงน้องอย่างสนุกสนาน
“แต่ข้าไม่ยกน้องข้าให้พวกเจ้าแน่นอน ดังนั้นคนของข้าต้องเป็นฝ่ายจับได้” คุณพี่ชายเอ่ยด้วยความผยอง
“คอยดูและกัน ข้าจะจับเจ้าพยัคฆ์สีรุ้งมาให้ได้เลยคอยดู” เด็กชายทั้งสามที่เดิมทีอยากยั่วคุณพี่หวงน้องเล่นๆ เอ่ยประสานกันด้วยทิฐิมานะ ก่อนจะตามไปควบคุม และรวบรวมเหล่าองครักษ์เพิ่มให้มาร่วมกัน ‘ล่า’ ด้วยตัวเอง
เจ้าชายหวงน้องไม่รอช้า รีบรวบรวมคน ตามเข้าไปในป่าต้องห้ามทันที
+ + + + + + + + + +
เหล่าทหารออกมา ‘ล่า’ สรรพสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้ามากว่าเดือน จนในที่สุดผู้พิทักษ์ป่าสุดจะทนไหว ได้ออกมาถามไถ่และห้ามปราม แต่มนุษย์สุดเหิมเกริมคิดจะ ‘ล่า’ ผู้พิทักษ์ป่าเหล่านี้ด้วย จนกลายเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ และสรรพสัตว์เต็มรูปแบบ ที่ยืดเยื้อถึง 3 เดือน
การรบเพราะและเพื่อสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวนี้คงยืดเยื้อไปอีกนาน หากพยัคฆ์สีรุ้งไม่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลซะก่อน
“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ” นางถามเหล่าผู้พิทักษ์ป่าดังก้อง
การต่อสู้ทั้งหลาย รวมถึงเวทมนตร์ทั้งหลายสลายลงทันทีที่นางก้าวย่างเข้ามา จนพลอยทำเอาทุกคน ตกตะลึง
“พวกมนุษย์ บุกรุกป่าต้องห้ามของเรา และเข่นฆ่าสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า พวกเราจึงต้องออกมาต่อต้าน” หัวหน้าฝูงกีมเอลเจ้าป่าเอ่ยขึ้น
“ข้ามาจับเจ้านั่นแหละ ถ้าเจ้ายอมออกไปกับพวกเราดีๆ เราจะออกจากป่านี้ทันที” คนไม่กลัวตายตะโกนใส่หน้ารานีแห่งสรรพสัตว์
“บังอาจ” เออม่าเจ้าแห่งนภา ตวาดพลางตวัดปีก 1 ครั้ง สายลมคมกริบพุ่งเข้าตัดคอหอยผู้โอหังไปในทันที
พยัคฆ์สีรุ้งยังคงมองทุกสิ่งอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาอย่างยิ่งว่า...
“พวกเจ้าต้องการตัวข้าไปทำไม”
ทหารหลายนายตัวสั่นด้วยรู้สึกว่าตนช่างเล็กจ้อย และไร้สิ้นซึ่งอำนาจเหลือเกิน หากมีนายทหารบางนายที่จ้องตาพยัคฆ์สีรุ้งอย่างเด็ดเดี่ยว
“เจ้า จงพูดออกมา” พยัคฆ์สีรุ้งชี้ไปที่ทหารนายหนึ่งที่จ้องมาที่ตนเขม็ง
“นายของข้าต้องการเจ้า” นายทหารตนนั้นตอบกลับมา
“แล้วในเมื่อต้องการ ‘เพียงข้า’ ไยจึงไม่มาเจรจาดีๆ เหตุใดจึงต้องคร่าชีวิตผู้อื่นด้วย”
นายทหารคนนั้นยักไหล่น่าเกลียด ก่อนกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งทะนงว่า “เพราะนั่นเป็นวิธีที่เรียกเจ้าออกมาเร็วที่สุด แต่ไหนในตำนานว่าเจ้าเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ไง กว่าจะออกมาได้พวกข้าต้องเหนื่อยฆ่า ‘พวกตัวล่อไร้ประโยชน์’ นี่นานถึงเพียงนี้”
เหล่าผู้พิทักษ์ป่ากัดฟันกรอด แผ่นดินสะเทือนไหว ด้วยฝีมือรานานเจ้าแห่งดินทั้งฝูงทันที เหล่ามนุษย์ และสรรพสัตว์ที่ยืนไม่มั่น ต่างล้มลงคลุกฝุ่นไปตามๆ กัน
เจ้าแห่งสรรพสัตว์มองเหล่าผู้พิทักษ์ป่าเป็นรายตัว
“พวกข้านึกว่าพวกมนุษย์เข้ามาล่าตามปกติ ด้วยเหล่ามนุษย์ล่าแต่เพียงป่านอก* กว่าจะเอะใจว่าเหล่ามนุษย์รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว อีกทั้งตอนนั้นท่านจำศีลอยู่ พวกข้าจึงได้แต่ออกไปป้องกันสุดความสามารถ” หัวหน้าฝูงกีมเอล เอ่ยขึ้น ด้วยท่าทางหูลู่หางตกจนน่าขัน หากไม่มีใครขันออก
(*ป่าในมิติผู้ใช้เวทและอาวุธ แบ่งคร่าวๆ เป็น 3 ชั้นคือ ป่านอก เป็นป่าที่สิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่ถือกำเนิด ต้นไม้และสรรพสัตว์ที่อาศัยมักยังพูดไม่ได้ ป่ากลาง คือป่าที่ต้นไม้และสรรพสัตว์ส่วนใหญ่พูดได้ และ ป่าใน คือบริเวณที่ผู้พิทักษ์ป่า และเหล่าต้นไม้ที่มีอายุกว่าร้อยปีที่ต่างเคลื่อนไหวได้อาศัยอยู่
โดยทั่วไปมนุษย์มักจะอยู่เพียงป่านอก และ ‘ล่า’ เพียงสิ่งมีชีวิตที่ยังพูดไม่ได้เท่านั้น แต่ยังก็มีมนุษย์ที่ต้องการแสวงหาความตื่นเต้นบุกรุกมาถึงเขตป่ากลางเสมอๆ)
พยัคฆ์สีรุ้งพยักหน้าเข้าใจ หากมิวายคาดโทษ
“จงจำเรื่องคราวนี้ไว้เป็นบทเรียน การคิดไปเองแล้วละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่นั้น บางทีอาจนำมาซึ่งความสูญเสีย ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้ เรื่องครานี้ขอให้จำเป็นบทเรียน หากคราหน้ามีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ จงตรวจสอบให้ดี หากข้ารู้ว่ามีผู้ใดคิดเอาเองอีก จงระวังศีรษะของเจ้าผู้นั้นให้จงหนัก”
เหล่าผู้พิทักษ์ป่า และสรรพสัตว์น้อมรับคำพูดของนางอย่างพร้อมเพรียง โดยละเลยเหล่าทหารมนุษย์ที่นัดแนะกันด้วยสายตาไปเพียงชั่วแวบ
“ระวัง!!” ต้นไม้หลังนางพญาแห่งสรรพสัตว์ที่พึ่งเอ่ยได้วันแรกตะโกนขึ้นมา
ทว่าช้าไปแล้ว เหล่าธนูไม้อันกระจ้อย นับร้อยได้แทงทะลุร่างพยัคฆ์สีรุ้ง ที่แม้เร็วอย่างไรก็หลบธนูนับแสนที่พุ่งเข้ามาจากรอบทิศไม่ทัน ด้วยมีธนูที่อาบด้วยน้ำจากใบเอธ่า*หลายต่อหลายดอกที่ยิงขึ้นมาดักทิศทางมั่วไปหมด
(*น้ำจากใบเอธ่าบดที่นำมาทาอาวุธ จะทำให้อาวุธนั้นสามารถแทงทะลุม่านมนตราป้องกันส่วนใหญ่ได้ อีกทั้งยังทำให้มนตราป้องกันนั้นๆ แปรสภาพเป็นอณูกรดเล็กๆ ที่เข้มข้นตามความเข้มแข็งของม่านมนตรานั้นๆ อีกด้วย)
พยัคฆ์สีรุ้งมองเหล่ามนุษย์ที่ลอบกัดด้วยสายตาเฉยชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เห็นทีข้าคงไม่ได้ไปพบกับนายพวกเจ้าแล้ว” กล่าวจบร่างของนางก็สลายลงเป็นเพียงละอองสีรุ้งร่วงลงสู่พื้นดิน และลำธารด้านหลัง...
“ม่ายยยยยยย” เสียงกรีดร้องที่ผสานกันลั่นของเหล่ามนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในป่าต้องห้ามแห่งนี้ ดังสะท้านสะเทือนไปทั่วมิติ ‘อาฟ์ก้า’ ด้วยเหล่าต้นไม้ที่พูดได้ต่างร่วมกรีดร้องในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งเหล่าผู้พิทักษ์ป่าที่กระจัดกระจายอยู่ตามป่าต่างๆ ทั่วทั้งอาฟ์ก้าต่างกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน โดยต้นเหตุมาจากความต้องการของคนผู้เดียวแท้ๆ
+ + + + + + + + + +
เสียงตะโกนที่ดังกึกก้องจากท้องน้ำ ปลุกต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่ง ในถ้ำที่ประดับด้วยอัญมณีวาววะวับให้ตื่นขึ้น ทันทีที่ต้นไม้ใหญ่ลืมตา ผลที่มีเยื่อหุ้มบางใสสีเขียวที่ยาวเกือบระพื้นหลุดจากขั้ว และร่วงหล่นลงไปในเงาที่ไหวระรัวอันเป็นเหตุแห่งเสียงที่ดังกึกก้อง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะหายไป
ไม่ อย่าพึ่ง ถ้าเจ้าไปตอนนี้เจ้าจะเกิดเยี่ยงไร ลูกข้า ยังไม่ถึงเวลาเจ้าเกิดของเจ้า ไม่... ต้นไม้ใหญ่รำพึง ก่อนค่อยๆ หลับตาลง เข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง
สุดท้ายในถ้ำอันแสนวิจิตร ก็เหลือเพียงไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเพียงเดียวดายอยู่ข้างแอ่งน้ำที่กลับมาสะท้อนภาพหลากหลายเช่นเคย
+ + + + + + + + + +
ตุบ!!
ผลไม้ประหลาดหล่นเบาๆ ข้างธารน้ำที่แห้งขอดกลางทะเลทรายที่สุดแสนจะแห้งแล้ง ณ แดนดินที่สุดแสนจะวุ่นวายด้วยเจ้าแห่งสรรพสัตว์พึ่งสิ้นสุดชีวิตลง เพียงเพราะเหล่ามนุษย์พากันคิดตรงกันคงไม่อาจจับพยัคฆ์สีรุ้งได้โดยง่าย จึงเลือกวิธีที่ง่ายกว่าเพียงแค่คิดจะถลกหนังไปให้นายของตนแทน แต่อนิจจาสิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า และความคลุ้มคลั่งของเหล่าสรรพสัตว์ที่เอ่ยวาจาได้ทั้งหลาย ที่เข้ามาโจมตีพวกตนโดยไม่กลัวตายเช่นเคย
ขณะที่สงครามระหว่างมนุษย์ และสรรพสัตว์ที่เอ่ยวาจาได้ทั้งหลายดำเนินอุบัติขึ้น บริเวณที่ผลไม้ประหลาดตกลงมาเริ่มมีเขียวชอุ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสัตว์เลี้ยงที่ยังมิอาจเอ่ยวาจาได้ โดยผลไม้ประหลาดยังคงนอนสงบอยู่ข้างลำธารที่เคยแห้งขอด โดยไม่มีผู้ใดมาพบเห็น...
+ + + + + + + + + +
10 ปีผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ในถ้ำอันแสนวิจิตร ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลอีกครา
‘นาง’ เพ่งมองภาพในธารน้ำใสเบื้องหน้า ค้นหาภาพมิติที่ ‘ผล’ ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ของนางพลัดตกลงไป แล้วค่อยๆ เพ่งหา ‘ผล’ ที่พลัดเติบโตที่อื่น แล้วค่อยๆ ส่งกระแสพลังอันอ่อนโยน เพื่อให้ ‘ผล’ นั้นพร้อมที่จะ ‘ฟัก’ ผู้ที่นับได้ว่าเป็นลูกของนางออกมา
...เจ้ามีเวลาอยู่กับข้าน้อยไป...
...เจ้าเติบโตด้วยตนเองนานเกินไป...
...เจ้าซึมซับพลัง และคืนพลังมากไป...
...และสุดท้าย เจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะกลับมา...
...ลูกรัก เจ้าจงเติบโต ณ มิติที่เจ้าเกิดเถิด แม่จะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ห่างๆ...
+ + + + + + + + + +
ในเวลาเดียวกัน ณ ริมธารน้ำใส ในโอเอซิสกลางทะเลทราย
เด็กทารกผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเปลือกอะไรบางอย่าง มองท้องฟ้า ตาใส หูทั้งสองกระดิกคล้ายฟังอะไรบางอย่าง ก่อนพยักหน้าเร็วๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น พร้อมๆ กับขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น จนดูคล้ายเด็ก 3 ขวบในที่สุด
หนูน้อยเดินเข้าไปในผืนป่าด้วยท่าทางมั่นใจ จวบจนถึงหมู่บ้านแห่งแรกในผืนป่านี้ เสียงที่อ่อนโยนดังเมื่อแรกเกิดพลันดังขึ้น เด็กน้อยจึงนิ่งฟังอย่างสนใจ
...ลูกรัก เจ้าจงหลับตาลง แล้วลืมเรื่องต่างๆ ให้สิ้นเถิด หากเจ้าจะจำสิ่งใดจงจำเพียงนามเจ้าไว้ ‘นาล’ ลูกรักของแม่...
สิ้นคำร่างเด็กน้อยก็ไหวเอน ก่อนค่อยๆ ล้มลงขวางทางเข้าหมู่บ้านแห่งนั้นเอาไว้
เพียงครู่หญิงสองนางก็มาเจอร่างเด็กน้อย ทั้งสองหาผ้าผ่อนมาสวมให้และช่วยกันพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง จนเด็กน้อยฟื้น หากครั้นพอซักอะไรก็ไม่ได้ความ นอกจากชื่อ ‘นาล’ แล้ว เด็กน้อยก็ไม่ทราบอะไรอีกเลย ทั้งสองจึงตัดสินใจพาเด็กน้อยไปหาผู้บำบัดคนเดียวในโอเอซิสแห่งนี้ ณ หมู่บ้านถัดไป
ผู้บำบัดสาวรู้สึกถูกชะตาเด็กน้อยนัก หลังจากซักถามอยู่ครู่หนึ่งก็รำพึงออกมาว่า “ถ้าข้ามี ‘ลูกสาว’ น่ารักๆ แบบนี้สักคนก็จะดี”
...เด็กน้อยได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ เบาๆ ในศีรษะ ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกายของตนเปลี่ยนแปลงไป
หญิงทั้งสองหันมามองหน้ากัน แต่ก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไรได้ ผู้บำบัดสาวที่จ้องเด็กน้อยไม่วางตากลับชิงเอ่ยมาซะก่อน
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเจ้าเป็นหญิงข้าจะรับเจ้าไว้เป็นลูก และถ่ายทอดวิชาในการบำบัดต่างๆ ให้”
หญิงทั้งสองรู้สึกเวทนา และเสียดายโอกาสแทนเด็กน้อยนัก แต่ต่างก็เข้าใจด้วยวิชาผู้บำบัดนั้น เป็นวิชาที่ละเอียดอ่อน ยิ่งวิชาการบำบัดชั้นสูง ยิ่งต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ผู้บำบัดชายที่สามารถเรียนวิชาบำบัดขั้นสูงจึงหาได้ยากขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีมานี้ เหล่าผู้บำบัดชั้นสูงที่ได้รับการยอมรับต่างเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น
ขณะที่หญิงทั้งสองกำลังจะขอตัวเด็กน้อยกลับ ผู้บำบัดสาวก็ทำการ ‘พิสูจน์เพศ’ เด็กน้อย โดยไม่รอฟังคำทัดทานจากหญิงทั้งสอง ก่อนผู้บำบัดสาวจะยิ้มร่า ขณะที่หญิงผู้พาเด็กน้อยมาทั้งสองตกตะลึงจนตัวชา จนคนหนึ่งเผลอคลายอ้อมกอดเด็กน้อยกะทันหัน โชคดีที่ผู้บำบัดสาวรับไว้ทัน
ผู้บำบัดสาวหันมาหมายจะดุคนที่ปล่อยเด็กน้อยน่ารักลงสู่พื้น แต่ก็ต้องชะงักกับสีหน้าของหญิงทั้งสอง ที่พอตั้งสติได้ต่างคนต่างรีบขอตัวกลับทันที โดยไม่ยอมมองหน้าเด็กน้อยที่ตนอุ้มชูมาตลอดทางเลย ปล่อยให้คำถามค้างคาอยู่ที่ริมฝีปากผู้บำบัดสาว
ผู้บำบัดสาวจึงเพียงส่ายหน้า และหยอกล้อเล่นกับ ‘สาวน้อย’ ที่กำลังจะกลายเป็นลูกตน พลางเอ่ยสัตย์รับบุตรบุญธรรมว่า
“นาลเอ๋ย ต่อแต่นี้ไปแม่จะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีที่สุด เจ้าจะได้ความรู้ทั้งหมดจากข้าจนหมดสิ้น เจ้าจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ข้าจะแสวงหาของทุกอย่างที่เจ้าต้องการหากมันไม่ยากเกินความสามารถ และมีเหตุผลพอที่จะจัดหามาให้”
เมื่อเอ่ยจบนางก็รู้สึกตกตะลึงด้วยไม่คาดว่าตนจะเอ่ยสัตย์ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หากเมื่อมองหน้าหนูน้อย ความรู้สึกอ่อนโยนมากมายก็ปรากฏ คิดได้ว่าสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปนั้นมันไม่มากเกินไปเลยสำหรับ ‘ลูกสาว’ คนนี้
+ + + + + + + + + +
ด้านหญิงทั้งสองที่จ้ำออกมาจากบ้านพักของผู้บำบัดสาว จนไม่ทันได้หายใจหายคอ หยุดยืนหอบหายใจกัน ณ จุดที่พบ ‘เด็กประหลาด’ หน้าหมู่บ้านของตน อย่างเงียบๆ ก่อนที่หญิงนางหนึ่งจะเอ่ยออกมา
“ตอนแรกเด็กนั่นเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่หรือ” หญิงทางขวาเอ่ย
“ใช่ น่ารักจนข้าอยากไปเลี้ยงเลย หากไม่ติดว่าข้ามีลูกชายถึง 4 คนแล้ว” หญิงทางซ้ายเอ่ยรับ
“แล้วทำไมเด็กนาลนั่นถึงกลายเป็นเด็กผู้หญิงได้เล่า” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หญิงทั้งสองก็มองหน้ากันก่อนที่สายลมอ่อนๆ จะพัดใส่หน้าหญิงทั้งสอง
“เมื่อกี้เราพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ” หญิงทางขวาเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ ว่าแต่พวกเราคุยกันแป๊บเดียว ไหงสายป่านนี้แล้วหรือนี่”
“ใช่ๆ แล้วนี่ป่านนี้พวกพี่ๆ เค้าคงบ่นกันระงมแล้ว รีบกลับไปทำกับข้าวกันเถอะ” ว่าแล้วหญิงทั้งสองก็เดินเข้าหมู่บ้านไป โดยลืมเรื่องเด็กที่พาไปหาผู้บำบัดสาวซะสนิท
ความคิดเห็น