คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
ว่ากันว่าในอาฟ์ก้า*นี้เดิมทีมีพยัคฆ์สีรุ้ง**เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ คอยควบคุมสัตว์ทั้งหลาย ให้อยู่ในความสงบเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างกัน
(*อาฟ์ก้า มิติผู้ใช้เวทและอาวุธมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นมิติที่เกิดขึ้นมาสมัยแรกๆ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างสามารถพูดภาษา ‘ยูนีส’ ซึ่งเป็นภาษากลางได้เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กล่าวคือ สรรพสัตว์ทั้งหลาย (ยกเว้นมนุษย์ที่ไม่มีเขี้ยวและเล็บ) จะพูดได้เมื่ออายุ 5 ปีเต็ม บรรดาต้นไม้จะพูดได้เมื่ออายุครบ 10 ปีเต็ม และจะเดินได้ เมื่ออายุเกิน 100 ปีขึ้นไป แล้วแต่ชนิด ส่วนมนุษย์ จะเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม การจะพูดได้เร็วหรือช้านั้นจึงขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
**พยัคฆ์สีรุ้ง กล่าวกันว่าเป็นรานีแห่งสรรพสัตว์ ตัวเป็นสีดำ เหลือบประกายหลากสี แล้วแต่มุมของแสงที่ตกกระทบ มีอุ้งเท้าสีขาวที่เบาราวกับปุยนุ่น ว่ากันว่าพยัคฆ์สีรุ้งสามารถเดินบนฟ้า และใต้น้ำได้ราวกับเหยาะย่างบนพื้นดิน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงมนตราทั้ง 4 ธาตุ การกำเนิดลี้ลับนัก มีเพียงตัวเดียวในมิติผู้ใช้เวทและอาวุธแต่ละมิติ)
เจ้าแห่งสรรพสัตว์นี้มักซ่อนตัวอยู่ในป่าที่ลึกที่สุด เก่าแก่ที่สุด อีกทั้งยังมีเพียงตัวเดียว
ว่ากันว่ากำเนิดของเจ้าแห่งสรรพสัตว์นั้นลึกลับยิ่งนัก
และหากวันใดที่เจ้าแห่งสรรพสัตว์จากไป สัญชาตญาณสัตว์ป่าอันแสนดุร้ายจะกลับเข้ามาสิงสู่ยังสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ทุกชนิด เว้นเพียงบรรดาต้นไม้ที่เก่าแก่จนสามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น
...สมดุลแห่งสรรพสัตว์จะถูกทำลาย...
เมื่อนั้นจะมีการนองเลือดกันทั่วทุกสารทิศ แม้แต่บรรดาผู้พิทักษ์ป่า*ทั้ง 4 ชนิดก็มิอาจควบคุม
(*ผู้พิทักษ์ป่า ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดในผืนป่านั้น อาทิ กีมเอล (เจ้าป่าที่มีรูปร่างคล้ายสุนัข แต่ตัวใหญ่กว่า) ผู้เป็นเจ้าของมนตราแห่งไฟ, เออม่า (เจ้าแห่งนภา ที่มีรูปร่างเป็นนกสีฟ้าสดใส) ผู้เป็นเจ้าของมนตราแห่งลม, รานาน (เจ้าอาณาจักรใต้พสุธา สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายจระเข้ แต่มีตาถึง 2 คู่ ไว้ใช้ใต้ดิน และบนดิน) ผู้เป็นเจ้าของมนตราแห่งดิน, และ ซาคีส (เจ้าแห่งสายธาร ที่มีรูปร่างคล้ายมังกรจีน ผู้ซึ่งมีเกล็ดที่สามารถกันมนตราได้ทุกชนิด) ผู้เป็นเจ้าของมนตราแห่งน้ำ โดยที่ผู้พิทักษ์ป่าเหล่านี้มักอาศัยอยู่เพียงป่าที่ลึก และมีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่านั้น (โดยมากมักมีชนิดละตัวในป่าแต่ละผืน) แต่ป่าต้องห้ามแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของผู้พิทักษ์ป่าทั้งสี่ จึงมี ‘ฝูง’ ผู้พิทักษ์ป่าทั้งสี่อยู่กันครบ)
ความบ้าคลั่งจะลุกลามไปทั่ว มีเพียงแต่สรรพสัตว์ผู้ยังคงสติปัญญา และความฉลาดไว้เท่านั้น ถึงจะเอาชนะสัญชาตญาณดิบในตัวได้
แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันความจริงข้อนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งวันหนึ่งชาวนาผู้เหนื่อยล้า เหลือบไปเห็นพยัคฆ์สีดำ ที่ขนของมันเหลือบสีประหลาดตามมุมของแสงตะวันที่ส่องกระทบ เดินเอื่อยๆ ผ่านหน้าไปช้าๆ
ชาวนาผู้นั้นมิอาจอดใจไม่ให้เล่าถึงโชคมหาศาลที่เห็น ‘ตำนาน’ ตัวเป็นๆ ไม่ได้ เรื่องราวของพยัคฆ์สีรุ้งผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์จึงดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ทุกคนต่างพากันพูดถึงพยัคฆ์สีรุ้ง และแห่มายังชายป่าต้องห้าม เพื่อหวังที่จะได้ยลเจ้าแห่งสรรพสัตว์เป็นบุญตาสักครั้ง แต่ยังไม่มีผู้ใดได้พบเห็นอีกเลย...
จนกระทั่งวันหนึ่งมีนายทหารมาสอบถามข้อเท็จจริงจากชาวนาผู้นั้น ขณะที่กำลังจะสรุปว่าชาวนาผู้นั้นโกหกอยู่นั่นเอง ชาวนาผู้นั้นก็เอ่ยขอเฝ้าราชันแห่งอาณาจักรที่ไพศาลนี้ พลางบอกว่าตนจะเรียนความจริงทุกสิ่งสิ้นแก่องค์ราชาแต่เพียงผู้เดียว
นายทหารนั้นลังเล หากชาวนานั้นดูท่าทางมั่นใจหนักหนา อีกทั้งยังยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเรื่องที่ตนพูดเป็นความจริง และตนมีหลักฐานอันเด่นชัดที่ควรแสดงต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ นั่นเป็นเหตุให้รถลากอันวิจิตรมาจอดรับชาวนาผู้ยากไร้ ไปพบองค์กษัตริย์ แห่งแคว้นอันไพบูลย์นี้ ในวันรุ่งขึ้น
สิ่งที่ชาวนาผู้นั้นแสดงคือ กระจุกขนสีดำที่เหลือบสีต่างๆ พราวระยับยามต้องกับแสงตะวัน ที่ชาวนาผู้นั้นเก็บได้ ในวันที่พบเห็นพยัคฆ์สีรุ้งนั่นเอง
ชาวนาผู้นั้นเลือกที่จะเก็บงำสิ่งอันเป็นยิ่งกว่า ‘ตำนาน’ นั้นเอาไว้เงียบๆ และเลือกที่จะบอกเพียงเจ้าผู้ครองแคว้น เพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งกว่าที่ตนคาดหมายเอาไว้
ทรัพย์สินเงินทองมากมายถูกเอามาแลกเส้นขนเพียงกระจุกเดียว ที่ต่อมากลายเป็นสมบัติชาติที่ดึงดูดใจให้คนแคว้นอื่นมาเข้าชม
หมู่บ้านเล็กๆ ของชาวนากลับคึกคัก ด้วยผู้คนจำนวนมาก
ชาวนาหนุ่มผู้นั้นต้องเล่าเรื่องการพบเห็นพยัคฆ์สีรุ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสุขใจ
อนิจจาชาวนาหนุ่มผู้นั้นไม่รู้เลยว่าลาภเฉพาะหน้าที่ได้มานั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับอันตรายใหญ่หลวงที่จะเกิดกับอาฟ์ก้า เพียงเพราะลมปากตน!!
ความคิดเห็น