ตอนที่ 8 : 07
7
แบมแบมกลับมาตามสัญญาที่ว่าจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน กลับมาพร้อมกับขนมที่ซื้อตุนมากมายทั้งของตัวเองและสำหรับคนที่รออยู่ที่บ้านพัก อาหารเย็นวันนี้เป็นอาหารจำพวกอาหารทะเลปิ้งย่าง บรรยากาศที่ริมทะเลนั้นดีต่อการนั่งทานอะไรแบบนี้สำหรับแบมแบมนักและก็คงจะถูกคอสำหรับสองแฝดที่จิบเบียร์คลอไปด้วย
“วันนี้ไปไหนมาบ้าง”
เจ้าของเสียงเอ่ยถามเจ้าของพวงแก้มที่กลมพองเพราะกำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ปอยผมถูกจับให้ทัดใบหูเพราะเมื่อครู่ถูกลมตีจนห่วงว่ามันจะทำให้เจ้าของรำคาญ แบมแบมใช้สายตายิ้มแทนริมฝีปากจนตาหยีกระตุกใจคนถามอยู่ไม่น้อย ม่านลูบหัวเด็กน้อยไปพลางๆระหว่างที่รอคำตอบ
“ไปถ่ายรูป...หมอกช่วยสอนหมูถ่ายรูป”
“แล้ว...”
“ไปกินขนม...ไปกินข้าวกลางวัน”
“อ่าฮะ”
“แล้วก็แวะซื้อของกลับมานี่ไง”
“อืม...รู้แล้วๆครับ กินเยอะๆนะเราน่ะ”
“พอหมูกินเยอะก็จะบ่นว่าอ้วนใช่ไหมล่ะ”
ที่บ่นว่าอ้วนก็เพราะรู้สึกว่ามันน่ารักมากต่างหาก ม่านยังคงเล่นกลุ่มผมนุ่มลื่นไปพลางๆแต่ก็ปล่อยให้ยัยหมูของเขาเพลิดเพลินกับการกินกุ้งที่ตนเป็นคนอาสาแกะให้ ตาคมชำเลืองไปยังอีกคนที่มีใบหน้าถอดแบบเดียวกันกับตน หมอกนั่งจิบเบียร์จากกระป๋องอยู่เงียบๆ เห็นแบบนั้นจึงเริ่มบทสนทนา
“กูคงอยู่นี่ต่ออีกแค่อาทิตย์นึง มึงจะกลับไปกรุงเทพด้วยกันเลยไหม”
“อืม...”
ที่จริงม่านก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่ามันจะออกมาในทิศทางใด ที่ถามออกไปก็แค่อยากบอกให้อีกคนรับทราบระยะเวลาที่จะได้อยู่ที่บ้านพักนี้้เป็นนัยๆก็เท่านั้น
“แล้วเรื่องเรียนมึงนี่จะเอาไง จะกลับมาเลี้ยงควายที่บ้านใช่ไหม”
“คิดอยู่...”
หมอกตอบกลับมาสั้นๆก่อนที่จะยกเบียร์ขึ้นมากระดกอีกครั้ง ส่วนยัยหมูที่เอาแต่ทำเป็นตั้งใจกินกุ้งเผาก็เพราะอยากจะฟังบทสนทนาระหว่างสองแฝดอยู่เงียบๆมากกว่า ก็ไม่บ่อยที่ทั้งสองคนจะเริ่มคุยกันยาวๆ สำหรับแบมแบมแล้วมันค่อนข้างดีกับใจ ต่อให้บทสทนามันจะไม่ได้มีคำพูดสวยหรูอยู่ในนั้น
“ถ้ามึงจะไม่เรียนแล้วก็บอกพ่อบอกแม่ไปตรงๆ กูรำคาญ”
“ได้เหรอ...
ถ้าได้คงไม่ไปตั้งแต่แรก”
“ถ้ามึงไม่ยอมไปแต่แรกใครจะทำไรมึงได้ กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ”
“อืม...ก็คงงั้นมั้ง”
กลายเป็นแบมแบมที่ฟังบทสนทนาระหว่างฝาแฝดด้วยความเพลินจนเผลอหลับไป ร่างบางถูกแบกอยู่บนแผ่นหลังของคนผมสีอ่อน มันไม่ได้สร้างความลำบากในการเดินสำหรับม่านเลย เท้าสองคู่เดินไปตามชายหาดที่ปูด้วยผืนทราย คลื่นลมและเสียงคลื่นทะเลมันทำให้ตอนกลางคืนไม่เงียบเหงาเกินไปนัก
“มึงรู้ไหมว่ากูรู้สึกยังไงตอนที่กูกลับมา”
แทนที่จะมองทางตรงหน้าแบบเมื่อครู่คนฟังก็ต้องชำเลืองสายตามองไปยังคนที่เดินขนาบอยู่ด้านข้างพลางกระชับร่างที่หลับไร้สติอยู่บนตัวเองให้มั่นคงกว่าเดิม
“ตอนที่กูกลับมา...กลับมาเจอสิ่งที่มึงทำ...”
“...”
“มึงทำทำไม...
มึงทำทำไมม่าน...”
เหตุนี้เองทำให้สองฝีเท้านั้นหยุดชะงักลงโดยไม่ต้องบอกกล่าวกันล่วงหน้า สายตาของคนถูกถามมองไปยังเบื้องหน้าอย่างสั่นคลอนแต่กลับไม่ยอมที่จะโฟกัสคนถาม
“กู...
กูหยุดตัวเองไม่ได้...”
“แต่มึงก็ต้องยอมรับให้ได้ว่ามึงเป็นคนพังทุกอย่าง
มึงพังทุกอย่างที่พวกเรามีมาด้วยกัน”
“...”
“มีแต่กูที่พยายามบอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจะเหมือนเดิม...
แม้แต่มึงก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรม่าน"
“เพราะมึงมันไม่เข้าใจอะไรไงหมอก”
“ก็เหมือนกับที่มึงไม่สนใจอะไรเลย...จนกว่าที่แบมแบมจะอยากมีแค่มึง ถ้ายังไม่ถึงตอนนั้น...
มึงก็ไม่มีสิทธิ์”
*
“หมู...ยัยหมู...”
“อื้อ...”
“มอร์นิ่งครับ”
“มอร์นิ่งอะไรเล่า...จะบ่ายแล้วเนี่ยม่าน”
“เหรอ...ม่านนี่ตื่นสายตลอดเลยหมูจะบ่นแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่ซี่..”
“แล้วจากนั้นม่านก็จะหอมหมูแบบนี้”
สิ้นเสียงทุ้มปลายจมูกถูกกดฝังลงไปบนพวงแก้มนุ่มเสียงสูดลมหายใจดังๆบนแก้มนั้นทำเจ้าของจมูกชื่นใจตามไปด้วย ยัยหมูทำปากยู่เป็นรีแอ็คชั่นตอบกลับทุกครั้ง รู้หรอกว่าเพราะเขินและอายมากๆ
“เมื่อคืนหมูไม่ได้อาบน้ำนะ ม่านกล้าหอมเหรอ”
“ว่าแล้วกลิ่นแปลกๆ”
“ใช่สิ...จะล้อหมูว่าไม่อาบน้ำตัวเหม็นใช่ไหมล่ะ”
“โอ๋ๆๆๆ...ทำหน้างอแบบนี้ใครจะว่าหมูลงคะ” คนเคยแซวรีบหยอดคำหวานที่คนปกติทั่วไปเขาไม่ได้ใช้พูดกับผู้ชายด้วยกัน
“ไม่ต้องมาทำคะขาเลย หมูไม่ใช่สาวๆที่ม่านชอบแอบเต๊าะหรอก”
“รู้ได้ไงว่าม่านชอบแอบเต๊าะสาวๆ...”
“ก็เฮียแจ็คชอบแท็กรูปสาวๆมาให้ม่านนี่ หมูเห็นหรอก”
“หึงเหรอครับ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“หึหึ...”
เสียงทุ้มที่ยังติดแหบกร่นหัวเราะในลำคอออกมาอย่างอารมณ์ดี เวลาที่ยัยหมูชอบพูดถึงเรื่องว่าม่านจะมีผู้หญิงคนอื่นมันทำให้เขารู้สึกว่ายัยหมูกำลังหึง ริมฝีปากจรดลงไปบนหน้าผากเนียนด้วยความเอ็นดูกับเด็กในอ้อมกอดอย่างเต็มรัก ไม่ว่าอย่างไรยัยหมูก็น่ารักและน่าปกป้องที่สุดในสายตาเขา ต่อให้ยัยหมูชอบจะงอแงขี้ประชดหรือเถียงคอเป็นเอ็นนั่นมันก็เป็นสิ่งที่เขาอยากให้เป็นแบบนั้นตลอดไป
“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน”
“ม่านก็ปล่อยหมูซี่”
“ก็หมูอยากตัวนุ่มทำไม ม่านก็ไม่อยากปล่อยสิ”
ว่าแล้วก็จัดการกดฝังปลายจมูกและซุกใบหน้าลงไปหาลำคอขาวอีกครั้ง กว่าที่จะลุกจากเตียงได้ก็กินเวลาไปนานไม่ต่างจากแทบทุกวันที่ผ่านๆมา สำหรับม่านนี่คงเป็นสิ่งที่ชอบที่สุด แม้ว่าเวลาอื่นยัยหมูจะไม่ได้มีเขาอยู่ข้างกายคนเดียวอีกแล้วแบบสามปีที่ผ่านมา แต่ในเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงกอดร่างบางร่างนี้อยู่ มันคงเป็นความสุขที่เหมือนกับการได้รับของขวัญที่แสนพิเศษในทุกๆเช้า...
*
“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ...มีอะไรกันแต่เสือกไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ทำไมจะไม่ได้...ก็กูนี่ไง”
“ก็เห็นปกติมึงใจแคบ แต่เสือกมาใจกว้างกับเรื่องนี้ไง”
“มึงไม่เป็นกูมึงไม่เข้าใจหรอก...”
เจ้าของประโยคสุดท้ายเหล่มองคู่สนทนาอยู่เพียงไม่เท่าไหร่ก็จัดการวางใบหน้าของตนไว้เหนือท่อนแขนทั้งสองที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ
“กูก็พอเข้าใจแหละว่ามึงอยู่ด้วยกันมายังไง แต่แบมแบมยอมมึงแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่ามันเลือกมึงแล้วเหรอวะ”
ปลายนิ้วเรียวหมุนวนไปมาช้าๆในแก้วที่มีน้ำสีชารสขมบรรจุอยู่ครึ่งแก้ว เขาฟังเพื่อนผู้เป็นเจ้าของเสียงแหบไปด้วยถึงแม้สายตาจะยังโฟกัสไปยังนิ้วของตัวเอง อันที่จริงบรรดาแสงสีและเสียงเพลงของคลับใจกลางเมืองมันก็น่าจะช่วยสร้างบรรยากาศให้สนุกขึ้นบ้าง แต่จนแล้วจนรอดไม่วายก็ต้องกลับมาจมปลักอยู่กับเรื่องเดิมๆ ประเด็นเดิมๆที่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่หยิบยกมาพูดกัน
“ถ้าเขาเลือกกู กูจะมาอยู่ตรงนี้เหรอวะ”
“แต่แบมแบมก็ดูหึงมึงนะ เออ...กูลืมบอกว่ากูแอบแย๊บๆเรื่องผู้หญิงไปบ้าง”
“หึ...ก็ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไร”
แก้วเหล้าที่มีเพียงก้อนน้ำแข็งเป็นส่วนผสมถูกยกและกรอกใส่ปากและอีกไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ถูกวางกระแทกกลับลงไปที่โต๊ะเช่นเดิม
“แต่มึงก็ปล่อยให้แบมแบมอยู่กับหมอกมันเนี่ยนะ”
ม่านทำแค่เพียงยักคิ้วโดยที่ไม่มองหน้าเพื่อนสนิทซึ่งเป็นเจ้าของคลับเลยสักนิด มันก็จริง...ม่านเองก็ตอบคำถามนั้นออกไปไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไร เพราะอะไรถึงยอมปล่อยคนที่รักกันทั้งสองคนให้อยู่ด้วยกัน
“ช่างแม่งเหอะ ถ้ารักกันมากกูจะทำไรได้วะ”
*
คลื่นนนน....ซ่า
“เย็นสบายจังเลย...”
เสียงเล็กเอ่ยแข่งกับเสียงลมและเสียงคลื่นจากชายฝั่ง ตามทางเดินของผืนทรายนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าสองคู่ที่เลียบไปตามชายหาด แบมแบมได้รับรู้อีกอย่างว่าทะเลในตอนกลางคืนก็สวยไม่น้อยและคืนนี้พระจันทร์ก็สวยงามมากเป็นพิเศษ แขนเล็กทั้งสองกอดกระชับเข้าหากันยามที่คลื่นลมโหมเข้าหาตัวจนคนที่เดินอยู่ข้างๆแอบลอบมอง
“ขึ้นบ้านไหม...เดี๋ยวไม่สบาย”
ปลายเท้าหยุดเคลื่อนไหวพร้อมกับคำถาม หมอกจดจ้องเจ้าของใบหน้าหวานที่หยุดเดินตามตนเพื่อรอฟังคำตอบ ถึงแม้ใจอยากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงนี้ แต่มันคงไม่คุ้มถ้าคนตัวเล็กตื่นมาเป็นไข้
“หมอกเบื่อแล้วเหรอ”
แบมแบมก็ยังเอาแต่ห่วงความรู้สึกของเขาเหมือนเดิม สำหรับหมอกแล้วคำว่าเบื่อมันเกิดขึ้นแทบจะทุกเวลา จะยกเว้นก็แต่เวลาที่มีแบมแบมเท่านั้นแหละ
“เพิ่งบอกไปไงว่าเดี๋ยวไม่สบาย มันแปลว่าเราเบื่อเหรอ?”
เสียงทุ้มถามออกไปในโทนเรียบ แต่เด็กตรงหน้าคงจะคิดไปทางอื่น
“ป...เปล่า เค้าเป็นคนชวนหมอกมาเดินเล่นไง เค้าก็เลย...”
“แล้วสรุปว่าอยากกลับขึ้นบ้านหรือยัง”
เด็กตรงหน้าส่ายหัวไปมาพลางช้อนตามองคนถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ก็แบมแบมยังไม่อยากกลับขึ้นบ้านตอนนี้แต่ก็กลัวว่าจะถูกดุ
“ใส่ซะ”
แบมแบมจ้องหมอกด้วยตาที่โตกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าหมอกเพิ่งจะถอดเสื้อที่ใส่ออกมาเหลือเพียงเสื้อยืดบางๆหนึ่งตัวก่อนจะยื่นเสื้อแขนยาวส่งมาให้ตัวเอง
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่สบายเราจะไม่พามาเดินอีก”
ซ่า...
คลื่น...
“หมอก...
ม่านกลับมายังนะ....”
ขนาดคำพูดสุดท้ายของการมีสติแบมแบมยังถามถึงอีกคน ตาคมมองเปลือกตาที่เพิ่งปิดสนิทลงโดยที่เจ้าของคงไม่รู้ตัว ศีรษะที่ไร้แรงโน้มถ่วงค่อยๆเอียงเอนลงมาซบพอดีกับไหล่ที่แข็งแรง ถึงเขาจะตอบคำถามกลับไปแบมแบมก็คงไร้สติที่จะรับรู้ เขากระชับร่างเล็กให้เข้ามาอยู่ในครอบครอง อุ้มร่างที่ไร้เรี่ยวแรงและสติไปตามทางเดินที่สองชั่วโมงก่อนหน้าเคยพากันเดินผ่าน คิดย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ร่างเล็กๆยังถูกหามอยู่บนตัวของอีกคน แต่วันนี้มันเป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ๆสามารถทำได้ในเวลาที่มีเขาแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะถ้ามีกันสองคนเขาคงไม่ได้รับสิทธิ์นั้น คิดได้เช่นนั้นปลายเท้ามันก็ลดความถี่ในการก้าวลงและก้าวออกไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่เคย
“หมอก...
ม่านยังไม่กลับมาเหรอ”
.
.
.
“อืม...”
ประโยคเริ่มต้นวันใหม่ของแบมแบมคงจะทำให้คนฟังรู้สึกชาและดรอปความสดใสในยามเช้านี้ไปได้กึ่งหนึ่ง
“กลับมาซึมอีกแล้วนะ”
“หื้ม?”
“ไม่ต้องทำเป็นไม่เข้าใจหรอก”
บทที่หมอกจะพูดตรงๆมันก็ตรงเกินไปจนแบมแบมตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ถ้าไม่ถูกทักก็คงจะไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน แต่เวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งหายไปมันก็เป็นธรรมดาที่จะอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่หุนหันพลันแล่น ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมันคงจะมีความเสี่ยงมากกว่า
“อื้อ...เค้าก็แค่กลัวม่านจะกลับไปทำแบบนั้น...
ทั้งๆที่ตอนแรกมันเกือบจะดีแล้ว แต่พอเฮียแจ็คโทรมาม่านก็ออกไป
ขับรถไปถึงกรุงเทพแบบนั้นเค้า...”
เขาก็ได้แต่รับฟังเรื่องราวที่รู้ดีทั้งสิ้น แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงไม่ใช่บุคคลที่กำลังถูกกล่าวถึงหรอก คนที่น่าเป็นห่วงคือเด็กตรงหน้านี้มากกว่า และกำลังจะพาลโกรธคนที่เป็นต้นเหตุให้รอยยิ้มของเด็กตรงหน้านั้นหายไป
ทั้งๆที่เวลาที่อยู่กันสองคนมันควรจะเป็นเวลาสำหรับเรา แต่แบมแบมก็มักจะแบ่งพื้นที่ไปให้กับคนใดคนหนึ่งเสมอ ใช่...มันไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างยอมรับมาได้ตลอด ยอมรับมาได้ตลอดจนกระทั่งมีคนที่พยายามทำลายคำว่าสามคนลงไป...
“หมอก
มื้อเย็นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?”
เจ้าของชื่อละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ จริงๆรายการทีวียามบ่ายแก่ๆมันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ หันไปก็เห็นแบมแบมกำลังพลิกหน้าหนังสือไปมาอย่างสนอกสนใจ
“มีเมนูในหนังสือน่าทำเยอะแยะไปหมด หมอกดูสิว่าหมอกอยากกินอันไหน”
การสนใจเมนูพวกนั้นมันก็ดีกว่าการที่แบมแบมนั่งจมปลักอยู่กับความเป็นห่วงใครบางคน
“จะทำออกมาน่ากินแบบในหนังสือนี้จริงๆเหรอ กลัวจะท้องเสียน่ะ”
คนที่เด็กกว่าหรุบตาต่ำลงไปหาหนังสือพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มง้ำงอ
“อื้อ ก็ถ้าไม่น่ากินเราค่อยไปหาอะไรกินกันข้างนอกก็ได้เนอะ หรือหมอกอยากกินอะไรอย่างอื่น เค้าเอาไว้ทำวันหลังก็ได้”
“งอนเราเหรอ”
“ห๊ะ..เปล่าสักหน่อย เค้าจะงอนหมอกเรื่องอะไรเล่า”
รีบบ่ายเบี่ยงพร้อมกับสีหน้าที่พยายามปรับให้เป็นปกติ
“ก็ที่เราพูดเมื่อกี้ไง”
“เปล่าสักหน่อย”
“จะไปไหน”
คำพูดล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากที่ข้อมือเล็กถูกดึงรั้งให้ร่างบางกลับลงมานั่ง แบมแบมก็แค่จะลุกไปเก็บหนังสือสอนทำอาหารไม่ได้งอนหมอกอย่างที่กำลังถูกเข้าใจ แม้จะแอบเสียเซลฟ์ไปกับคำพูดที่แกล้งจะหยอกให้งอนอยู่นิดหน่อยก็ตาม เจ้าของสะโพกมนที่ทับอยู่บนตักเพราะแรงเหนี่ยวรั้งได้แต่เกลี่ยข้อมือตัวเองฆ่าเวลาเพราะไม่รู้จะพูดหรือแสดงอาการอะไรออกไป
“ก็เธอเหมือนกำลังงอนจริงๆ”
“หมอกพูดอะไรไม่ดีเค้าถึงต้องงอนล่ะ”
เพราะคำพูดเหล่านั้นคนพูดออกไปก็ตั้งใจให้คนฟังนั้นเกิดอาการแบบที่เป็น
“เธอก็รู้ว่าเรามันเสียนิสัย”
“...”
“ชอบแหย่ให้เธองอน”
“เค้าเปล่างอนนี่”
ก็เพราะเวลาที่งอนมันน่ารักมาก...แต่ใครจะพูดออกไปว่าที่แหย่ให้งอนน่ะเพราะเหตุผลนี้
“แล้วต้องทำยังไงให้งอน”
“อื้อ...สรุปแกล้งเค้าจริงๆใช่ไหม?”
แบมแบมไม่ได้รับคำตอบหลังจากที่หันไปหาเจ้าของใบหน้าที่ตัวเองนั่งซ้อนอยู่บนตัก เด็กที่ถลึงตาโตๆเริ่มหน้าแดงขึ้นอีกสเต็ปเมื่อเจ้าของใบหน้าทำเพียงแค่ส่งยิ้มผ่านทางสายตาแต่มุมปากกลับแฝงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ หมอกในโหมดที่เจ้าเล่ห์ถือเป็นโหมดที่แบมแบมยากจะรับมือซึ่งไม่บ่อยนักที่จะได้เจอ
“ยังไม่ตอบเลย...
ว่าต้องทำยังไงให้งอน”
“เค้าไม่มีสิทธิ์งอนหมอกหรอก”
“จริงเหรอ?”
พอเห็นเด็กบนตัวพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองนั้นไปเอาความมั่นใจมากจากไหน ริมฝีปากกดซับเข้าหาเรียวปากอิ่มขบเม้มเนื้อผิวสีหวานที่รสชาติก็หวานไม่แพ้กัน เอวบางถูกล็อคไว้อย่างเบามือ ปลายลิ้นเริ่มสอดเข้าไปควานหารสชาติที่ต้องการมากขึ้นในโพลงปากเล็ก หมอกก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าทำแบบนี้คนตัวเล็กจะไม่โกรธตามที่บอกจริงๆหรือเปล่า
ไม่มีสิทธิ์โกรธเหรอ...ถ้าอย่างนั้นทำแบบนี้แบมแบมคงจะไม่โกรธใช่ไหม?
เขาพิสูจน์ว่าคำพูดนั้นมันจะเป็นจริงตามที่แบมแบมกล่าวหรือเปล่าเมื่อเรียวปากอุ่นร้อนเพิ่มดีกรีของความหนักแน่น จากมือที่ล็อคเอวเล็กไว้ก็เคลื่อนขึ้นมาจับกระชับข้อมือที่เริ่มผลักดันตัวเขาออก ถ้าปากไม่ได้ถูกปิดกันอยู่แบมแบมคงจะบอกให้พอ
หมอกรู้ตัวว่ามันไม่อ่อนโยนเหมือนจูบที่เคยผ่านมาแบมแบมถึงได้มีอาการเริ่มที่จะต่อต้าน แต่แบมแบมคงไม่ผิดคำพูดที่ตัวตัวเองไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรเขาใช่ไหม เรียวปากยังจู่โจมความนุ่มอยู่เป็นพัลวัน อาจจะจาบจ้วงไปสำหรับที่เคยมีมาแต่เขาก็อยากรู้ว่าถ้าความอ่อนโยนมันหายไปแบมแบมจะยังรับได้หรือเปล่า
“อือ...”
เขาได้ยินแต่เสียงครางเล็กๆที่ลอดออกมาจากลำคอ มันเป็นเสียงที่ดูไม่ค่อยเต็มใจจะเปล่งออกมานัก ใบหน้าหวานเริ่มถูกรุกล้ำด้วยปลายนิ้วพอๆกับเนื้อผิวที่เริ่มถูกลูบไล้ ไม่นานร่างบางถูกจับกดให้นอนราบลงไปกับโซฟา
“หมอกจะทำอะไร...แฮ่กๆๆ...”
คำถามเกิดทันทีเมื่อเรียวปากอิ่มเป็นอิสระ ใบหน้าหวานแดงซ่านเห่อร้อนไปพร้อมกับเรียวปากที่กำลังพยายามกอบโกยลมหายใจที่ถูกลิดลอนไปหลายนาที และที่ต้องถามแบบนั้นเพราะเจ้าของร่างที่กำลังคร่อมอยู่กำลังจับไปที่ชายเสื้อยืดตัวโคร่ง
แบมแบมมองตามเสื้อยืดที่ถูกโยนให้กองอยู่บนพื้นสีขาวที่สะท้อนเงาแต่ไม่นานก็ต้องกลับไปสนใจกับท่อนบนที่เพิ่งจะเปลือยเปล่าของคนตรงหน้า กลืนน้ำลายที่หนืดลงคอก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง
“หมอกจะทำอะไร...”
“ทำอะไรก็ได้...
ยังไงก็ไม่โกรธไม่ใช่เหรอ?...”
แบมแบมรู้ตัวว่ากำลังถูกประชดประชันก็คราวนี้แหละ แต่ตัวเองก็เป็นคนพูดคำๆนั้นออกไปจริงๆ ตากลมส่งไปอ้อนวอนเจ้าของสายตาที่กำลังจดจ้องตัวเองอยู่เช่นกัน นัยน์ตาที่เริ่มสั่นครอนนั้นสร้างความน่ารักให้เจ้าของอยู่ไม่น้อยแม้คนมองจะยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่แบมแบมกำลังเป็นแบบนี้
“เธอบอกว่าเธอไม่มีสิทธ์งอนเราใช่ไหม?”
คนตัวเล็กกลืนน้ำลายพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มหลบหนีการจู่โจมที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา ปลายจมูกกดเบาๆลงไปบนพวงแก้มนุ่ม ข้อมือทั้งสองถูกจับกดลงไปจนจมโซฟา ตาคู่สวยปิดลงเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนช่างประชดในตอนนี้ แบมแบมกำลังรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วบ้างเพียงแค่ต่างการกระทำ หมอกชอบทำอะไรที่ทำให้แบมแบมหายใจไม่ทั่วท้องได้อยู่เสมอในเวลาที่อยากจะลองใจและต้องการคำตอบ
“ไม่ตอบก็จะทำไปเรื่อยๆ”
เปลือกตายิ่งปิดสนิทไปพร้อมกับความเกร็งเมื่อปลายจมูกเริ่มไล้ไปตามแนวลำคอจนแบมแบมต้องกลั้นหายใจ
“ไม่โกรธ...ไม่งอนสินะ...”
ฮึก...
“แล้วถ้าเราไม่ได้ถอดแค่เสื้อล่ะ...”
ริมฝีปากยกยิ้มอย่างได้ใจเมื่อคนที่กำลังถูกทดสอบแสดงออกชัดเจนว่ากำลังประหม่า มือหนาจัดการพามือเล็กที่เคยกดเอาไว้ขึ้นมาก่อนจะวางมันแตะทาบทับไปยังท่อนบนที่เปลือยเปล่า แน่นอนว่ามือเล็กชักออกโดยอัตโนมัติแม้แบมแบมจะหลับตาอยู่แต่สัมผัสอุ่นๆของผิวกายก็ทำให้รับรู้ได้ว่ามือนั้นกำลังสัมผัสกับอะไร
“ม...หมอกเลิกแกล้งเค้าเถอะนะ”
“หึ...”
“งอนเราก่อนสิ...”
“อ่ะ...”
มือหนายังไม่ลดละความพยายามที่จะจับฝ่ามือเล็กทาบทับลงไปบนแผ่นอกของตน
“อ่อ...แต่ลืมไป เธอบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์งอนเรา”
“ค...เค้า...”
“เพราะงั้นเราจะทำอะไรก็ได้...ยังไงเธอก็จะไม่งอนเรา”
“พ..พอเถอะนะ เค้าหายใจไม่ทั่วท้องเลยหมอก”
“ทำไม...”
“เด็กๆหายไปไหนกันหมดจ๊ะ”
เฮือก...
ตาที่เคยปิดสนิทเปิดขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงใหม่ที่แทรกเข้ามากลางคัน แบมแบมจำได้ดีว่ามันคือเสียงของผู้ปกครอง ปลายจมูกที่ทำท่าจะกดลงไปบนใบหน้าเพื่อแกล้งเจ้าของอีกระลอกก็หยุดชะงักกลางคันเช่นกัน คราวนี้เป็นทีของมือเล็กที่จะผลักคนที่เคยกักกันตัวเองให้ออกห่าง ร่างเล็กถอยร่นไปจนชิดขอบโซฟาอีกฝั่งก่อนจะนึกได้ก็รีบเอื้อมไปหยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา
“หมอกใส่เสื้อ…”
เสียงหวานพูดเบาๆก่อนจะคะยั้นคะยอคนที่นั่งเสยผมสีเข้มของตัวเอง เขาดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่าไหร่กับการที่ได้ยินเสียงของผู้เป็นมารดา ผิดจากเด็กอีกคนที่กำลังตรวจเช็คสภาพความเรียบร้อยของร่างกายตัวเอง ถึงอย่างนั้นหมอกก็ยังยอมรับเสื้อที่แบมแบมยื่นให้มาใส่
“หมูอยู่ไหมลูก...มาช่วยป้าถือของหน่อยจ้า”
“ย..อยู่ฮะ...หมูกำลังไปเดี๋ยวนี้แล้วฮะคุณป้า”
*
“ที่จริงป้าก็ว่าจะอยู่จัดการธุระอีกสักหน่อย แต่มันก็อดเป็นห่วงพวกเราไม่ได้ พอว่างก็เลยแวะมาหาน่ะจ่ะ”
“คุณป้าจะเหนื่อยเอานะฮะ นั่งรถไปๆมาๆ”
“ป้าชินแล้วล่ะ อยู่เฉยๆป้าจะเบื่อเอามากกว่า เอ๊ะ...แล้วนี่ม่านมันไปไหน จะว่าไปป้าก็ไม่เห็นรถมันจอดอยู่”
คุณนายเมทินีออกปากถามถึงลูกชายอีกคนในระหว่างที่ของว่างที่ซื้อมาฝากถูกจัดแจงบนโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างเพรียวที่กระฉับกระเฉงค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะปลายตามองสลับไปมาระหว่างลูกชายและเด็กในปกครอง
พอเห็นแบมแบมกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเท่านั้นเธอก็พอจะเดาอะไรออก
“อย่าบอกป้านะว่าม่านมันกลับไปที่นั่น”
สีหน้าจากคนเป็นแม่ที่เคยสดใสเริ่มดูเครียดและวิตก
“ม่านไปหาเพื่อนฮะคุณป้า เดี๋ยวก็คงจะกลับเย็นๆ”
“เพื่อนที่ไหน”
“พี่แจ็คสันน่ะฮะ”
“ไม่ใช่ว่าจะพากันออกนอกลู่นอกนางอีกนะ ป้าล่ะห่วงจริงๆ”
คุณนายถอนหายใจออกมาพร้อมกับสายตาที่เริ่มอ่อนลง คงเพราะเห็นว่าแบมแบมเริ่มเกร็งและกลัว ส่วนอีกคนที่เป็นลูกชายก็ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆอยู่ข้างๆกับแบมแบมอย่างไรก็อย่างนั้น
“นี่ยัยหมู...”
“ฮะคุณป้า”
“เราต้องคอยอยู่ข้างๆม่านมันเข้าใจมั้ยลูก ป้าไม่อยากให้มันกลับไปที่นั่นอีก...”
“ฮะ...หมูอยู่ข้างๆม่านอยู่แล้ว”
“มีแต่เราที่ม่านมันยอมฟัง ป้าฝากม่านด้วยนะ ไม่อยากให้ม่านมันกลับไปอยู่กับอะไรแบบนั้นจริงๆ”
ก่อนกลับไปผู้ปกครองยังคงไม่ลืมย้ำเรื่องที่เคยฝากฝังไว้เป็นธุระ เรื่องที่เคยฝากฝังอนาคตของอีกคนและเรื่องการที่ต้องทำให้อีกคนกลับมาอยู่ในร่องในรอย ทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำให้หนักใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของคนที่แบมแบมรักมันก็สร้างความหนักใจอยู่ทุกเวลา และแบมแบมก็ไม่เคยโกรธที่ถูกผู้ใหญ่ฝากฝังมาแบบนั้น แบมแบมเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่หวังดีกับลูก และหากมีอะไรที่พอจะตอบแทนผู้มีพระคุณมันก็เป็นสิ่งที่แบมแบมควรทำและพึงระลึกอยู่เสมอ
“เค้านอนคนเดียวได้ หมอกไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนเค้าหรอก”
“อืม...”
ประตูบานเดิมถูกปิดลงหลังจากที่มันถูกเปิดออกได้เพียงไม่กี่นาที ที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่แบมแบมควรพยายามทำให้ได้อยู่แล้ว กับการพยายามนอนคนเดียวให้ได้มันเป็นเรื่องปกติที่คนที่โตแล้วควรจะทำ จริงๆมันอาจไม่เป็นปัญหาสำหรับแบมแบมเลยถ้าหากว่ามันไม่เคยเกิดเรื่องที่ทำให้ต้องฝังใจและกลายเป็นความหวาดระแวง แบมแบมมองบานประตูที่ปิดลงไปพร้อมกับร่างสูงที่เมื่อครู่ยังสบตา หมอกดูนิ่งไปตั้งแต่คุณนายเมทินีมาจนกระทั่งกลับไป แบมแบมแอบใจหายกับความไม่คัดค้านใดๆเพราะที่ผ่านมาถ้าหากว่าแบมแบมจะต้องนอนคนเดียวจริงๆหมอกก็จะอาสาและยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเสมอ
แบบนี้ก็ดีแล้ว...
แบมแบมคิดอย่างนั้นก่อนจะค่อยๆพาตัวเองมาทีเตียง ดูวันนี้อะไรหลายอย่างจะผ่านเข้ามาในหัวเยอะเหลือเกินจนเรียบเรียงลำดับความสำคัญแทบไม่ถูก สายตาที่ยังมองไปที่บานประตูและมือที่เริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั้นก็ยังสับสนในตัวเองเช่นกัน ในที่สุดใจก็ต้องกลับมาจดจ่อกับคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้ ตราบใดที่ปลายสายยังไม่มีการตอบรับแบมแบมคงยังไม่หายห่วง มันคงจะดีกว่านี้ถ้าก่อนที่ม่านจะไปนั้นไม่ได้ทิ้งความกังวลบางอย่างเอาไว้ให้ ในหัวของแบมแบมจินตนาการไปต่างๆนานา ม่านในตอนนี้จะหลับหรือยัง หรือจะดื่มอยู่ที่ร้านของเพื่อนสนิท จะมีผู้หญิงอยู่ข้างกายอย่างที่แจ็คสันเคยแกล้งพูดว่าจะแนะนำให้ม่านรู้จักตอนไปเจอไหม...หรือที่แย่ที่สุดถ้าม่านกลับไปในที่ๆอันตรายอย่างเช่นสนามแข่งรถล่ะ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา...
‘ม่าน....ถ้าเกิดว่าว่างแล้วโทรหาหมูหน่อยนะ’
ถึงข้อความสุดท้ายจะถูกปลายนิ้วพิมพ์ลงบนโทรศัพท์และส่งไปยังปลายทางเรียบร้อยแบมแบมก็ยังคงมองมันไม่วางตา อดคิดไม่ได้ว่าถ้าตอนนี้ม่านก็จะนอนแล้วเหมือนกันแต่เป็นกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง แบมแบมจะสามารถโกรธม่านได้หรือไม่ ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรแบบนั้นเลย พูดไปคิดไปมันก็เข้าตัวเองทั้งหมด ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแค่คิดว่าจะมีใครอีกคนมาอยู่ข้างกายของอีกคนความรู้สึกภายในมันก็ดิ่งลงไปหมด แต่เรื่องนี้ถ้าบอกถ้าพูดออกไปก็คงถูกสวนกลับมาจนหน้าชาเช่นกัน
ผ่านไปนานพอสมควรกว่าที่เปลือกตาจะหนักพอให้ปิดลง ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แต่มันก็ดึกพอให้ร่างบางเริ่มสติจางหายและตกลงไปสู่ห้วงภวังค์ ในความฝันมันค่อยๆผุดเหตุการณ์ต่างๆเข้ามา เสียงเรียกที่ทั้งคุ้นเคย ไม่คุ้นเคย หรือแม้กระทั่งน่ากลัวก็พากันเข้ามาห้อมล้อมปกคลุมกลุ่มควันที่เลือนรางเหล่านั้น เรียวคิ้วที่เริ่มขมวดบ่งบอกว่าเจ้าของนั้นคงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากสำหรับเจ้าของ ปลายเล็บที่จิกเกร็งลงไปบนที่นอนจนยับย่นนั้นบ่งบอกถึงความเกร็ง ในฝันของแบมแบมคงจะทรมานจนเจ้าตัวอยากที่จะหลุดออกมาจากความฝันนั้นเสียที
‘ฮึก...อย่า...ฮึก...อย่าเข้ามา...
กลัว...ฮึก...กลัวแล้ว...”
“เธอ...”
“ฮึก...กลัว...กลัวแล้ว แบมกลัวแล้ว...”
“เธอ...
เราอยู่นี่...”
“ออกไป!...”
To Be Continued
#untwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. หมอกแซ่บจังเลย เราก็หายใจไม่ทั่วท้องเลยค่ะ555
แง้ง แต่คุณแม่แบบให้แต่แบมดูแลม่านหรอ ._. งื้อ
แบมเคยเจออะไรมาก่อนงะ ฝันร้ายหรอลูก หรืออดีตเจอกับอะไร