ตอนที่ 6 : 05
5
หลังอาหารมื้อค่ำทุกอย่างก็กลับมาเงียบอีกครั้ง แม้ว่าความเงียบจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสนิทกับเขาแต่ก็คงต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างที่เขาต้องการ หมอกกลับเข้ามายังห้องที่สำหรับเจ้าตัวมันช่างว่างเปล่าและคงจะว่างเปล่าไม่ต่างจากการกลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับมายังที่ๆเดิม แต่ทว่า...ตำแหน่งที่เคยมีอยู่นั้น บางทีมันอาจไม่ใช่ที่เดิมของเขาอีกต่อไป
ร่วมนาทีที่สายตาจับจ้องอยู่กับวัตถุเพียงสิ่งเดียว มันคือสร้อยข้อมือที่มีจี้เม็ดเล็กๆประดับอยู่เพียงชิ้นเดียวบนสายสีเงินเส้นเล็ก ขนาดที่วัดมาและคิดว่ามันคงจะพอดีกับข้อมือของผู้ที่สวมใส จนบัดนี้มันยังไม่ถูกส่งถึงมือของผู้ที่ควรจะได้รับ เขาไม่แน่ใจว่ามือสวยๆมือนั้นมันควรจะมีของสองสิ่งประดับอยู่พร้อมๆกันหรือเปล่า แหวนบนนิ้วเรียวนั้นชะลอความมั่นใจของเขาลงไปเยอะแม้กระทั่งตอนนี้ก็ตาม ตาคมปิดลงเพราะอยากที่จะผ่อนคลายความคิดลงบ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่หลับตาลงใบหน้าของใครบางคนมันก็มักจะผุดขึ้นมาในความคิดครั้งแล้วครั้งเล่า มันคงจะดีถ้าเกิดว่ามีเพียงแค่แบมแบมที่อยู่ในความคิด แต่จะทำอย่างไรให้ใบหน้าของคนที่เหมือนกับตัวเองไม่ผุดขึ้นตามมา
ทุกการกระทำที่อยากจะทำกับใบหน้าสวยๆ เรือนร่างที่น่าทะนุถนอมร่างนั้น คนที่เหมือนๆกันอีกคนคงได้ทำไปหมดแล้ว คิ้วหนาขมวดเมื่อความคิดมันไปหยุดลงที่เรื่องเดิมๆ เรื่องราวเวลาที่แบมแบมและคนที่มีใบหน้าคล้ายกับตัวเองนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพัง มันแย่เสียจนต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อหาอะไรมองไปให้ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวมันเลือนหายไปแทบจะในวินาทีนั้น
เขาลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง วางสายข้อมือกลับเข้าที่ของมัน ก่อนที่วัตถุชิ้นใหม่จะได้รับความสนใจมาแทนที่ กล้องถ่ายภาพเป็นอุปกรณ์ที่เรียกได้ว่าสนิทกับเขามากที่สุดชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ หมอกถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในจอกระจกที่โชว์ภาพถ่ายในช่วงเวลาก่อนหน้าแค่เพียงไม่นาน ใบหน้าหวานที่ยิ้มอย่างละมุนส่งมาให้กล้อง ปอยผมที่ปลิวตามลมยิ่งส่งเสริมให้คนในรูปนั้นมีสเน่ห์มากขึ้นไปอีก เขาจำได้ดีว่าเป็นคนบอกให้เธอยิ้มสักหน่อย ก็รอยยิ้มของเธอมันช่วยต่อลมหายใจของเขาได้ดี เพียงแค่ได้เห็นเรียวปากมันก็ยกยิ้มไปโดยอัตโนมัติ แม้ไม่ใช่ยิ้มที่สวยและกว้างเท่ากับยิ้มที่ปรากฏในภาพ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่ไม่กี่วันที่อยู่ที่นี่จำนวนความสุขมันจะมีมวลมากกว่าช่วงเวลาแรมปีที่ไปอยู่ที่อื่น เขากดปุ่มบนกล้องที่เป็นคำสั่งให้รูปถัดไปปรากฏจะเป็นรูปไหนก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่านาทีเพื่อพิจารณามันให้คุ้มค่า เพราะมันก็นานแล้วที่ไม่มีโอกาสได้ถ่ายสิ่งที่ชอบอย่างจริงๆจังๆ สายตาที่มองแบมแบมสำหรับหมอกแล้วคงจะกล้ามองเต็มๆตาโดยไม่ต้องมีข้ออ้างก็ต่อเมื่อมีเลนส์มากั้นกลางเพราะฉะนั้นคงไม่แปลกถ้าจำนวนรูปในนี้มันจะมีจำนวนอยู่มาก
อีกด้านหนึ่ง เป็นอีกด้านที่ค่อนข้างให้อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และคงเป็นห้องๆเดียวที่ตอนนี้ไม่ได้มีคนอยู่ในห้องนั้นเพียงคนเดียว ร่างเล็กที่ถูกรวบกระชับให้ยอมจำนนอยู่บนตักที่แข็งแรงกว่า เจ้าของใบหน้ากำลังก้มหน้าก้มตาด้วยลักษณะที่ง้ำงอ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองจะเป็นคนที่กำลังพยายามตามง้ออีกฝ่ายอยู่
“ว่าไง...สรุปว่าเท้าไปโดนอะไรมา”
คนพูดมองใบหน้ามุ่ยสลับกับเท้าที่ถูกพันแผลเอาไว้มือก็สวมกอดเรือนร่างที่บอบบางกว่าเอาไว้ด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ม่านถามออกไป และอันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะแสดงออกไปว่ากำลังจะใจอ่อนกับเด็กตรงหน้าถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะเห็นความผิดปกติตรงเท้าของแบมแบม เป็นแบบนี้อยู่เสมอก็เพราะเป็นแบมแบมความใจแข็งมันจึงไม่เคยถูกหยิบมาใช้ได้นานเลยจริงๆ
“เพราะม่านใช่มั้ย...”
“...”
เด็กบนตัวยังคงทำใบหน้าง้ำงอไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา ยิ่งกว่านั้นกลับดูคล้ายว่าจะง้อยากขึ้นไปอีกเท่าตัว สรุปว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนผิดสินะ
“หมู...”
“หื้ม...”
ก็ยังดีที่ยอมลากเสียงเล็กๆของตัวเองตอบกลับมาบ้าง
“เจ็บหรือเปล่า”
ต้องเป็นเพราะแจกันใบนั้นที่ใช้อารมณ์ทำลายมันก่อนที่จะออกไปจากบ้านเมื่อเย็นวาน แบบนี้มันยิ่งทำให้เขาอยากด่าตัวเองจนแทบจะทนไม่ไหว
“ไม่เจ็บแล้ว”
ยัยหมูส่ายหน้าประกอบเป็นการยืนยัน มันค่อนข้างไม่ชินนักสำหรับการง้อในลักษณะนี้ ก็ตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันเขาไม่เคยแสดงอารมณ์รุนแรงแบบครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกันมาก่อน ไม่รู้ว่าป่านนี้ความรู้สึกของเจ้าตัวมันจะลดลงจนไม่เหลือแล้วหรือเปล่า หวังว่ามันคงไม่ร้ายแรงขนาดนั้น
“หมู หมู หมู...”
ไม่กล้าที่จะพูดอะไรเลย ก็พอๆกับที่ไม่กล้าจะแตะความรู้สึกที่เปราะบางของเจ้าของชื่อที่เรียกออกไปนั่นแหละ อันที่จริงเขาเองมันก็ถือเป็นคนขี้โกงอย่างที่ใครบางคนคงจะคิด และมันคงไม่ผิดถ้ายัยหมูของเขาจะรักอีกคนจริงๆ ก็ปลูกฝังกันมาแบบนั้น ช่วยกันฟูมฟักกันมาสองคน ฝังหัวเด็กในครอบครองกันไปแบบนั้นมาแต่อ้อนแต่ออดจะไปโทษว่าเป็นความผิดของยัยหมูได้อย่างไร มันคงเป็นเขาเองที่หลงผิดคิดไปว่าการที่ได้ร่างกายมันจะส่งผลไปถึงหัวใจด้วย
เอาเป็นว่าตอนนี้จะเลิกพูดถึงเรื่องนั้นไปจนกว่าอะไรๆมันจะชัดเจนกว่านี้ก็แล้วกัน
“ม่าน...
ม่านไปไหนมา ไปทำอะไรมาบ้างเหรอ”
จะเรียกว่าสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติก็เรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก ม่านมองเจ้าของตากลมที่ช้อนมองเขาพร้อมกับคำถามที่ชวนให้ปากมันหนักขึ้นเป็นกอง แต่ถึงอย่างนั้นคงต้องพูดไป ม่านกระชับผ้าห่มให้คลุมไหล่ของคนตรงข้ามก่อนจะใช้มือดึงร่างบางเข้ามาสวมกอด
“ไป...หาแจ็คสันไง”
“หมูรู้แล้ว...หมูหมายถึงว่ามีอย่างอื่นอีกมั้ยที่นอกจากไปหาเฮียแจ็คน่ะ”
“หืม...”
“ก็อย่างเช่นแบบ...ไปเจอใคร หรือว่าเฮียแจ็คแนะนำใครให้รู้จักมีบ้างมั้ยเหรอ”
ไม่รู้ว่าทำไมม่านถึงกับต้องลอบยิ้มให้กับคำถามและสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ก็มีบ้าง...หมูถามทำไมเหรอ”
ก็มีบ้างจริงๆตามประสาเพื่อนผู้หวังดี แต่เขาไม่ได้รับความหวังดีนั้นหรอก พอจะทำอะไรกับใครใบหน้าของแบมแบมก็แทรกขึ้นมา
“อื้อ...เปล่านี่ หมูก็แค่อยากรู้”
อยากรู้แล้วพอได้รู้กลับทำหน้าผิดหวังแบบนั้น เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่ายัยหมูกำลังหึงที่แจ็คสันมันแนะนำใครให้รู้จัก
“อ่าว หมูจะนอนแล้วเหรอ”
คนถามปรับตัวไม่ถูกเมื่อยัยหมูปิดเปลือกตาลงทันทีที่ประโยคล่าสุดจบลง อยากให้เทวดาตนไหนก็ได้มาดลใจยัยหมูให้หึงจริงๆอย่างที่กำลังวาดฝัน ซึ่งบางทีมันอาจจะใช้คำว่าคิดไปเองกับเหตุการณ์แบบนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรมายืนยันความรู้สึกของยัยหมูได้ดีเท่าตัวยัยหมูหรอก...หรือแม้แต่ตัวยัยหมูเองบางทีก็อาจจะไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ
เช้าวันใหม่มาเยือนอีกครั้งเนื่องจากเวลาที่ไม่เคยรอใคร สำหรับบางคนมันอาจผ่านไปเร็ว และสำหรับบางคนมันอาจผ่านไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วสำหรับแบมแบมล่ะ...มันผ่านไปช้าหรือผ่านไปเร็ว ร่างบางขยี้ตาด้วยความงัวเงียเมื่อลุกขึ้นนั่งอยู่บนที่นอน ชำเลืองตามองต่ำไปยังเจ้าของมือที่ยังกอดอยู่บริเวณช่วงเอวของตน มองกลุ่มผมสีบลอนด์ที่ยุ่งเหยิงรับกับผิวขาวของร่างกายที่แกร่ง เช้านี้เป็นเช้าแรกที่แบมแบมได้ร่างๆนี้กลับคืนมา แต่ก็ใจหายที่อีกร่างหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แม้ว่าอีกร่างหนึ่งจะเพิ่งกลับเข้ามาได้เพียงไม่นานแต่แบมแบมก็กลัวใจตัวเองว่าในวันหนึ่งที่อีกคนจากไปจะทำใจให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งเมื่อไหร่
“หมู...อืม...จะไปไหน”
เสียงทุ้มต่ำที่ติดยานเล็กน้อยเอ่ยขึ้นทั้งที่ผู้พูดยังไม่ได้ลืมตา แค่เพียงร่างบางทำทีจะลุกออกจากเตียงเท่านั้นมือหนาก็ยิ่งกระชับวงแขนเข้าหา
“ม่านนอนไปก่อนนะ”
เสียงเล็กเอ่ยพร้อมกับบรรจงลูบมือนุ่มไปตามกลุ่มผม เพราะแบมแบมรู้ดีว่าคนที่ยังไม่ลืมตานั้นยังคงไม่อยากตื่นขึ้นมาในตอนนี้หรอก
ซึ่งก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ นี่มันไม่ใช่เวลาตื่นของม่านเลยอย่างที่รู้ดี ปลายเท้าที่ไม่เหลือการถูกพันแผลแล้วค่อยๆก้าวลงไปตามขั้นบันได อันที่จริงแบมแบมค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้าของห้องที่ไปเคาะประตูเรียกหาไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแล้ว หมอกเองก็ตื่นไวจริงๆอย่างที่แบมแบมรู้ดีไม่ต่างกัน
“อ้าวลูกหมู...ตื่นแล้วเหรอลูก”
แบมแบมหันไปมองตามเสียงที่รู้ได้ทันทีว่าผู้เรียกเป็นใคร ปากอิ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนกลับไปพร้อมกับเดินไปยังหญิงวัยกลางคน เธอนั่งจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะที่ถูกจัดไว้ติดกับหน้าต่าง
“คุณป้าตื่นเช้าจัง แล้วนี่คุณป้าทานคนเดียวเหรอฮะ”
“ก็ใช่สิจ๊ะ ดีแล้วที่หนูลงมา เดี๋ยวป้าสั่งให้นิ่มจัดอาหารเช้าให้”
“ม...ไม่เป็นไรฮะ”
แบมแบมรีบรั้งตัวคุณป้าที่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ส่วนนิ่มที่ถูกกล่าวถึงเธอคือแม่บ้านที่คอยดูแลบ้านพักหลังนี้ แต่จะไม่มายุ่งย่ามที่นี้หากไม่ได้ถูกเรียกหา
“หมูยังไม่ค่อยหิวเลย”
“แน๊ะ...หมูตื่นมาก็ต้องกินสิลูก”
ถึงเจ้าตัวจะถูกขัดใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเด็กตรงหน้าไปมากว่านี้
“คุณป้าฮะ”
“...ว่าไงลูกหมู”
แบมแบมเปิดบทสนทนาอีกครั้งหลังจากที่ตัวเองนั่งลงไปบนเก้าอี้ได้แล้วสักครู่หนึ่ง คุณป้าตอบกลับมาโดยที่ตัวเองยังคงเพลินไปกับการอ่านหนังสือพิมพ์เช็คความเป็นไปในยามเช้า
“คุณป้าเห็นหมอกบ้างมั้ยฮะ”
คำถามล่าสุดมันดึงให้ตาคมคู่สวยละจากหนังสือพิมพ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริงก็พอรู้อยู่ว่าลูกชายที่กำลังถูกกล่าวถึงนั้นอยู่ที่ไหน บางทีมันก็อาจจะดีที่แบมแบมจะได้มีเวลาคุยกับหมอกในเรื่องที่คาดหวังให้เป็นเรื่องเป็นราวได้สักที
ก๊อกๆๆ…
ก๊อกๆๆ...
ตากลมจดจ่ออยู่กับประตูบานเล็กๆที่ตัวเองเพิ่งจะเคาะลงไป แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเยือนที่นี่แต่ระดับความตื่นเต้นมันก็ไม่แตกต่าง แบมแบมคาดหวังว่าอีกไม่กี่วินาทีต่อมาประตูมันจะเปิดออก แต่ถ้าไม่ก็คงจะถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
ซึ่งคำตอบมันเป็นแบบหลัง
ปลายเท้าก้าวเข้ามาอย่างเบาแรงเมื่อใช้มือเพียงข้างเดียวปิดบานประตูกลับไปอย่างระมัดระวังส่วนอีกข้างก็คอยถือประคองถาดที่มีภาชนะใส่อาหารวางเอาไว้ แบมแบมวางมันลงบนโต๊ะหนังสือก่อนที่จะปลายตาไปยังร่างหนึ่งที่นอนหลับอยู่บนเตียงไม้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวน
แบมแบมใช้เวลาหลายนาทีกับการที่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะหนังสือ ด้วยความที่ไม่กล้าปลุกหรืออะไรก็ตาม วันนี้แบมแบมไม่ได้มาหาหมอกในแบบที่สบายใจอย่างที่ต้องการตั้งแต่ทีแรกแต่ต้องแบกมาทั้งความหวังและความกดดัน มันไม่ใช่สิ่งที่แบมแบมต้องการให้เกิดขึ้นเลยสักนิดแม้รู้ว่าการที่ดื้อดึงต่อไปแบบนี้มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตที่ดีของคนตรงหน้า เพียงแต่อยากขอยื้อเวลาให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ
สามปีที่ผ่านมามันก็นานไม่น้อยสำหรับการที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ฟูกเตียงนุ่มยุบไปตามแรงที่สะโพกมนเพิ่งหย่อนลงมา แบมแบมไม่ได้หวังว่ามันจะเป็นการปลุกรบกวนเจ้าของร่างที่เปลือกตายังปิดอยู่ในขณะนี้ มือเล็กค่อยๆดึงผ้าห่มที่ร่นลงมาหรือคนห่มตั้งใจให้มันอยู่ที่ช่วงเอวตั้งแต่แรกก็ไม่ทราบ คิดว่าอากาศในเช้านี้มันค่อนข้างเย็นและหมอกเองก็เป็นบุคคลประเภทเดียวกันที่ไม่ชอบอากาศหนาวเย็นหนัก มันไม่ช้าไม่เร็วเกินไปสำหรับการที่ได้จดจ้องใบหน้าที่กำลังอยู่ในห้วงของการหลับใหล แต่หมอกในยามที่ตื่นอยู่นั้นก็สงบและเยือกเย็นไม่ต่างจากตอนที่หลับไปสักเท่าไหร่ ไม่ทันที่มือเล็กจะละออกจากผ้าห่มผืนนุ่มก็ถูกรั้งให้วางทาบทับอยู่ที่เดิม มันทำให้แบมแบมรู้ว่าได้รบกวนการหลับใหลของอีกคนจริงๆเข้าให้แล้ว
แบมแบมมองเปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้น หมอกดูไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดอะไร ทั้งๆที่การนอนเป็นสิ่งที่เจ้าตัวค่อนข้างชื่นชอบ
“หมอกนอนต่อเถอะ”
ถ้าตัดเรื่องที่เป็นธุระออกไป อันที่จริงแบมแบมก็แค่อยากที่จะมาดูความเป็นไปของคนๆนี้ก็เท่านั้น ธุระที่แบมแบมไม่อยากจะทำมันที่สุดพอนึกถึงแล้วก็โหวงเหวงขึ้นเอาดื้อๆ
“เค้ามาดูว่าหมอกอยู่ไหน ไม่เจอที่บ้านก็เลยมาหาที่นี่”
แบมแบมอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้หลับตาลงไปตามที่หวังให้เป็น สำหรับแบมแบมแล้วการที่ได้เห็นหมอกนอนหลับได้เต็มอิ่มนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ชอบเช่นกัน
“เราจะไปที่ไหนได้”
มือหนากุมกระชับมือเล็กที่จับไว้ก่อนหน้าแนบไปกับแผ่นอกของตน อารมณ์ที่ดีตอนนี้ช่างแตกต่างจากอารมณ์ที่ไร้ทิศทางอย่างเมื่อตอนเช้า
“ไม่ง่วงแล้วล่ะ ไม่ต้องไล่ให้นอนหรอก”
“อ๋อ...อื้อ...”
เสียงเล็กตอบรับกลับไปก่อนที่ใบหน้าล่อกแล่กจะหันไปทางโต๊ะหนังสือเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“หมอกหิวมั้ย...นี่คุณป้าให้เค้าเอาอาหารเช้ามาให้”
แต่คิ้วเรียวก็ต้องขมวดไปพร้อมกับเรียวปากที่ยู่เมื่อใบหน้าที่นอนอยู่ส่ายไปมาเบาๆ
“ไม่หิวหรอก...
แต่กินก็ได้”
ได้ยินประโยคหลังใบหน้าที่เคยง้ำงอก็เปลี่ยนไป ร่างบางรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะชักจูงมือของอีกคนที่จับกันไว้อยู่แล้วให้ลุกขึ้นตาม แต่แบมแบมก็คิดน้อยไปเพราะนอกจากที่อีกคนจะไม่ลุกขึ้นตามแล้วยังดึงร่างที่มีมวลน้อยกว่าของแบมแบมกลับเข้าหาตัวเองอีกด้วย
.
.
.
“หมายถึงกินเธอ...
ได้ไหม”
ใบหน้าหวานที่ใกล้กับอีกหนึ่งใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเพราะปฏิกิริยาบางอย่างมันทำให้คนที่อยู่ใต้ร่างนั้นอยากที่จะแกล้งยิ่งขึ้น มือหน้าโอบกอดครอบครองเอวบางของคนที่ถูกดึงลงมาให้ทาบทับตัวเองเอาไว้ สายตาก็มองสำรวจไปตามใบหน้าตั้งแต่ดวงตากลม ปลายจมูกรั้น และปากอิ่มสีอ่อนๆที่คล้ายกับลูกกวาด ไม่ได้คำตอบที่ถามไปก็จัดการแตะปลายจมูกลงไปบนพวงแก้มสีนวลเนียนที่เริ่มมีเลือดฝาด
“ว่าไง...
ตกลงกินได้ไหม...”
เขาใช้เสียงแผ่วๆถามออกไปอีกครั้งทั้งที่ปลายจมูกยังคงแนบชิดกับพวงแก้มเนียนนุ่ม ลมหายใจอุ่นๆที่พ่นรดแตะเนื้อผิวนั้นสร้างความประหม่าให้เจ้าของร่างที่ถูกคลอเคลียได้เป็นอย่างดี แบมแบมไม่ได้ไม่เข้าใจในคำถามสองแง่สองง่ามที่ถูกต้อนถามนั้นหรอก เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปยังไง
ทั้งๆที่ร่างกายมันเป็นของคนอีกคนที่ไม่ใช่หมอกไปแล้ว....มันจะสามารถให้อีกคนได้เหรอ ถึงอย่างนั้นแบมแบมก็เชื่อว่าหมอกไม่ได้ถามในลักษณะที่เป็นจริงเป็นจังแต่ก็อดคิดไปไม่ได้อยู่ดี
“หมอกก็...
อย่าแกล้งเค้าสิ ไปกินข้าวได้แล้ว”
คนตอบเลือกที่จะหลบสายตาและเบี่ยงใบหน้าให้พ้นจากรัศมีของลมหายใจที่เริ่มจะร้อนขึ้นไปทุกขณะก่อนจะค่อยๆยันตัวเองเพื่อจะลุกออกจากคนใต้ร่าง ส่วนอีกคนในครั้งนี้ก็ยอมปล่อยให้คนที่เกือบจะกลายเป็นเหยื่อได้หลุดลอยไป หมอกมองตามร่างบางที่เดินไปยังโต๊ะหนังสือในครั้งนี้ไม่ยักจะจูงมือเขาไปด้วยแบบในครั้งแรก ไม่นานก็ยอมทิ้งความสบายลุกขึ้นตามคนตัวเล็กไป มองแบมแบมที่เปิดฝาภาชนะทั้งอาหารและเครื่องดี่มที่ยังอุ่นได้ที่แล้วก็เพลินตาไปอีกแบบ
“กินด้วยกัน...”
แบมแบมส่ายหัวพลางส่งยิ้มกลับไปให้คนเอ่ยชวนส่งผลให้มือที่ถือมีดส้อมที่กำลังจะตัดเบคอนที่ห่อไข่ในโทสต์เป็นอันต้องชะงัก
“เค้าไม่ค่อยหิวเลย กะจะรอกินตอนเที่ยงๆทีเดียวน่ะ หมอกกินเลย”
เหรอ...ไม่หิวหรือรอกินพร้อมใครกันแน่ ก็ได้แต่เก็บความคิดนั้นไว้คนเดียวเพราะถึงไม่ถามออกไปก็ค่อนข้างแน่ใจ
แน่นอนว่าความเจริญอาหารมันสิ้นสุดลงตั้งแต่วินาทีนั้น แต่จะทำอะไรได้พอนึกถึงความตั้งใจของเจ้าของเท้าที่เคยเป็นแผลอุตส่าห์ถือมันมาถึงที่นี่จะไม่กลืนมันลงท้องไปก็คงจะกลายเป็นคนใจร้ายที่ขี้น้อยใจเกินไปล่ะมั้ง
“หมอกทำไมกินนิดเดียวเอง”
แบมแบมเอ่ยถามเมื่อมีดส้อมถูกวางลงบนภาชนะที่ใส่อาหารทั้งที่มันยังพร่องไปได้แค่ไม่เท่าไหร่
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ค่อยหิว”
คนฟังช้อนสายตามองเจ้าของคำตอบที่ดูเหมือนตอบแบบผ่านๆ หมอกลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่ชั้นหนังสือพลางไล่สายตาทำเป็นกำลังเลือกหนังสือที่เรียงรายอยู่แต่ความเป็นจริงในความคิดมันกลับไม่ได้สนใจหนังสือพวกนั้นเลยแม้แต่เล่มเดียว
“คุณป้าก็จะเป็นห่วงเอานะ”
ถ้าแม้ว่าแบมแบมจะแค่พึมพำอยู่กับตัวเองแต่หมอกก็ได้ยิน คนฟังทำเอาหูทวนลมแม้ว่าความรู้สึกข้างในมันจะเริ่มต่อต้านกับประโยคเหล่านั้น
เขาไม่เชื่อเท่าไหร่นักว่าในโลกนี้จะยังเหลือคนที่ห่วงใยเขาอยู่ แต่ถ้าบวกความเข้าข้างตัวเองเข้าไปแล้วก็คิดว่าน่าจะมีอยู่สักคน หมอกตัดปัญหาที่จะต้องฟังถ้อยคำโกหกเหล่านั้นด้วยการนั่งจับหนังสือและใช้ตามองมันเงียบๆอยู่บนเก้าอี้อีกตัว เป็นแบมแบมเองที่คงจะเริ่มเบื่อเขาแอบชำเลืองมองเด็กที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเดิมและลงไปนั่งที่เตียงไม่นานสายตาก็กลับไปจดจ่ออยู่ที่หน้าหนังสือตามเดิม
“หมอก...”
เขาเคลื่อนสายตามองเลยขอบหนังสือที่ถือเอาไว้เล็กน้อย เจ้าของเสียงกำลังสำรวจภาพถ่ายที่แปะประดับไปตามผนังของห้อง มือเล็กแตะลงไปเบาๆตามภาพภ่ายหลายๆใบโดยที่ตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่บนเตียง
“หมอก…”
แบมแบมหันมาทางเขาเมื่อการเรียกครั้งแรกไม่ได้รับการตอบกลับ หมอกแค่พยักหน้าเบาๆกลับไปเป็นเชิงส่งสัญญาณบอกว่าพร้อมแล้วที่จะรับฟัง
“หมอกว่าอนาคตหมอกอยากทำอะไรเหรอ”
“…”
“หมายถึงว่าถ้าเรียนจบแล้ว”
เจ้าของคำถามแค่ถามให้จบแล้วหันกลับไป แบมแบมเองก็ไม่กล้าสบสายตาของผู้ที่ถูกถาม เอาจริงๆแล้วตอนนี้ก็ไม่ได้อยากระลาบระล้วงความคิดของหมอกอย่างที่รู้จักนิสัยใจคอมา แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นในเรื่องที่ถูกคาดหวังด้วยประเด็นอะไรดีเหมือนกัน
อันที่จริงแบมแบมอยากให้หมอกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก รูปถ่ายที่แปะอยู่ตามผนังที่แบมแบมกำลังดูอยู่มันบ่งบอกถึงตัวตนของหมอกได้ดี แต่กับสิ่งที่หมอกเรียนอยู่มันคงยากที่จะพาให้หมอกเดินไปทางด้านนั้น ในอนาคตมันอาจจะเป็นแค่เพียงงานอดิเรกที่หมอกทำหรือค่อยๆหายไปกับชีวิตความเป็นผู้ใหญ่ก็ได้
“ไม่รู้สิ...บอกไม่ได้หรอก ก็ยังเรียนไม่จบ”
แบมแบมหรุบตาต่ำลงจนเห็นแค่เพียงหน้าตักของตัวเอง ไม่คิดว่าที่จริงแล้วมันจะกดดันมากกว่าที่คิด นั่นสิ...หมอกก็ยังไม่รู้อนาคตของตัวเองเลย ตราบใดที่หมอกยังเรียนไม่จบ หมอกก็จะไม่รู้ความแน่นอน บางทีถ้าหมอกเรียนจบอะไรๆมันอาจจะชัดเจนยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องครอบครัวที่หมอกฝังใจ อะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้
“แต่ก็อีกไม่นานหมอกก็จะเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ…”
เสียงแผ่วเอ่ยออกมาอย่างครึ่งๆกลางๆพูดแค่นี้ความรู้สึกมันก็กังวลไปกับคำพูดที่จะตามมาต่อจากนี้ของตัวเอง ไม่รู้ว่าถ้าพูดออกไปคนฟังจะโกรธหรือหาว่าก้าวก่ายกันสักแค่ไหน
“ทำไมหมอก...ถึงไม่ เรียนให้จบก่อนล่ะ...”
“...”
ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคนฟังเลยสักนิด แม้แต่รูปถ่ายบนผนังเองแบมแบมกลับต้องก้มหน้าให้
“บางทีถ้าหมอกเรียนจบแล้ว
หมอกจะได้ตัดสินใจอะไรๆง่ายขึ้น...”
“…”
“หมอกบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ แบบนี้หมอกก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเรียนใช่มั้ย...
เค้าว่านะ...”
“…”
“ถ้าหมอกลองกลับไปเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยกลับมาทีเดียวก็จะด่ะ...อ้ะ!...”
อึก....
เสียงเล็กขาดห้วงหายไปทั้งที่สิ่งที่หวังว่าจะพูดยังไม่จบประโยคดี จากที่เคยนั่งคุกเข่าก็ถูกดึงอย่างกะทันหัน ถูกกดให้นอนราบลงไปกับเตียงตามด้วยอีกร่างที่ตามเข้าไปประกบ ปากที่เคยเอื้อนเอ่ยก็ถูกปิดช่องทางการสื่อสารด้วยอวัยวะส่วนเดียวกัน ตาคู่สวยเบิกกว้างเพราะการจู่โจมที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“อื้อ...”
มันเป็นจูบที่ไม่อ่อนโยนเอาซะเลยถ้าเทียบกับที่ผ่านมา แบมแบมรู้ตัวแล้วล่ะว่าคำพูดของตัวเองมันไม่ถูกมองว่าเป็นผลดีเมื่อเรียวปากยังคงประกบเข้ามาและรุกล้ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรน มือเล็กเริ่มต่อต้านการกระทำด้วยการดันแผ่นอกที่แนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันเอาไว้แต่มันกลับไม่ได้มีผลใดๆเลยเมื่อร่างที่อยู่ด้านบนกลับยิ่งบดเบียดเข้าหา เรียวลิ้นเริ่มซอกซอนไปในโพรงปากของคนที่นึกอยากให้บทลงโทษ บทลงโทษของการที่ยอมตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น
แค่อ้าปากพูดประโยคแรกเขาก็รู้แล้วว่าแบมแบมนั้นตกเป็นเครื่องมือของคนที่พยายามผลักไสให้เขาไกลออกไป
มันเจ็บที่ต้องฟังคำเหล่านี้จากคนที่คิดว่าเหลืออยู่แค่คนเดียว เขาควรจะให้บทเรียนที่เด็กยอมรับความหวังของอีกคนโดยที่ไม่คิดถึงสภาพจิตใจของคนอีกคนเลยอย่างไรโดยที่ตัวเขาเองไม่ต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่าที่เป็น
To Be Continued
#Untwins93
Tlak2 : ยังไม่ได้ทวนคำนะ
Talk: เฮลโหล...เราได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกคนแล้วหน่วงจิตหน่วงใจยิ่งกว่าฟิคที่เราแต่งอีก 555+ แต่ชอบนะอ่านเพลินใจมาก สังเกตว่าแต่ละคนก็จะรู้สึกไม่เหมือนกันแม้ว่าการบรรยายของเราจะมีแบบเดียว ก็คือว่ามีทั้งคนที่คิดว่ายัยหมูรู้สึกกับม่านมากกว่า หรือคิดว่ายัยหมูรู้สึกกับหมอกมากกว่าเช่นกัน ซึ่งน่าจะมาจากความรู้สึกความชอบ การมองเหตุผลที่ต่างๆกันออกไป จะบอกว่ามันไม่ผิดเลยที่แต่ละคนจะคิดไม่เหมือนกันและเราก็ชอบอะไรแบบนี้มาก สนุกและจะร้องไห้ตาม(ดีที่ได้บอทม่านมาช่วยบรรเทา(เหรอ)) และอินกว่าเดิมเพราะคอมเม้นท์ของทุกคนเลย ขอบคุณนะคะที่ชอบและติดตามถึงแม้อย่างไรก็ตามจะหนีความหน่วงของฟิคเรื่องนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ต่อต้านไม่ไหวจริงๆทั้งๆที่ตอนแรกไม่อยากจะแต่งให้หน่วงเลย แต่พอมีเรื่องของนิสัยบุคลิกและเหตุผลต่างๆมันก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วงไม่ได้ แต่ก็จะบอกว่ามันไม่ได้ดราม่าเข้าขั้นร้ายแรง จงหน่วงไปพร้อมกับความรักของพวกเขา และจะบอกว่ายากแล้วล่ะที่จะจบแบบ3P แฮร่!...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

2,077 ความคิดเห็น
-
#2038 ploylaksi (จากตอนที่ 6)วันที่ 15 ตุลาคม 2562 / 23:21ครอบครัวทำไมดูไม่ชอบหมอกกก#2,0380
-
#2000 GnajBz (จากตอนที่ 6)วันที่ 1 มิถุนายน 2562 / 23:58หมอก หมอก หมอก#2,0000
-
#1816 phung25 (จากตอนที่ 6)วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 / 19:33อ่านไปอ่านมาเราอยากให้หมอกออกจากตรงนี้ จะได้ไม่เจ็บ เหมือนหมอกตัวคนเดวยังไงไม่รู้สงสารหมอก#1,8160
-
#1800 MarkBam1n1a (จากตอนที่ 6)วันที่ 27 มีนาคม 2562 / 19:32เริ่มไม่มั่นใจว่าควรอ่านต่อหรือหยุดดี ณ ตอนนี้เราอินทั้งม่านและหมอก เราไม่อยากให้ใครต้องเสียแบมไป#1,8000
-
#1793 oohsebam12 (จากตอนที่ 6)วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 / 20:33ทำไมหมอกถึงเหมือนตัวคนเดียวอ่ะ#1,7930
-
#1792 oohsebam12 (จากตอนที่ 6)วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 / 20:33ทำไมหมอกถึงเหมือนตัวคนเดียวอ่ะ#1,7920
-
#1769 Spices_smile (จากตอนที่ 6)วันที่ 20 มกราคม 2562 / 00:29เห้อ~ หมอกน่าสงสาร#1,7690
-
#1725 Khunkawaeii (จากตอนที่ 6)วันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 / 00:57ตอน 6 ยังไม่รู้เรื่องราวแบคกราวของม่านและหมอกจริงๆ คิดว่าหมอกเป็นพี่ครอบครัวคงคาดหวังให้เรียนตปท. หมูถูกปลูกฝังให้รักกันทั้ง3คนมากๆ คือแคร์ทั้งม่านหมอก แต่คิดว่าการที่หมอกจากไป 3 ปี ก่อนอาจมีรักกับหมูมาก่อนรึป่าว พอหมูอยู่กับม่านที่คอยอยู่ข้างๆดูแลเอาใจมาตลอด ค.สัมพันธ์ค.รู้สึกมันก็เปลี่ยนกันได้ เหมือนรักไม่รู้ตัว ทั้งที่อีกคนเหมือนจากเขาไปเวลานั้นแล้ว#1,7250
-
#1688 Spices_smile (จากตอนที่ 6)วันที่ 29 สิงหาคม 2561 / 16:21เเงงงงงงง#1,6880
-
#1610 ออมม่า (จากตอนที่ 6)วันที่ 13 เมษายน 2561 / 14:00มองในมุมของแบมก้อหวังดีกับหมอก มองในมุมหมอก ก้อคิดว่าทุกคนผลักไสให้ไปห่าง ๆ แต่ทุกอย่างมีเบื้องหลังที่เรายังไม่รู้#1,6100
-
#1590 VivoV5 (จากตอนที่ 6)วันที่ 27 มีนาคม 2561 / 23:37สงสารหมอก เหมือนหมอกเหลือแบม#1,5900
-
#1499 aynoszii (จากตอนที่ 6)วันที่ 22 ตุลาคม 2560 / 13:57ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารหมอก ฮื่อ ทนเห็นหมอกเจ็บไม่ได้อ่ะ โลกนี้ช่างไม่มีความยุติธรรม เห้ออออ#1,4990
-
#1362 bbboobb (จากตอนที่ 6)วันที่ 16 กรกฎาคม 2560 / 12:46ชอบเวลาแบมอยุ่กีบม่ายจัง#1,3620
-
#1313 anMarkBambamGOT7 (จากตอนที่ 6)วันที่ 13 กรกฎาคม 2560 / 19:06เราจะไม่อยู่ทีมไหนนะคะ ลำบากใจจริงๆ#1,3130
-
#1291 embrace (จากตอนที่ 6)วันที่ 24 พฤษภาคม 2560 / 12:59อยากรู้เหตุผลที่หมอกไม่ไปเรียนให้จบๆจัง เกี่ยวกับหมูรึเปล่านะ จริงๆแล้วม่านก็ยังรู้สึกแบบเดิมกับหมูรึเปล่า เป็นแฝดกันไม่พอยังรักคนเดียวกันอีก5555 ปล.ชอบชื่อม่านหมอกนะ ม่านให้อารมณ์พี่ชาย หมอกน้องชาย หมูน้องสาว5555#1,2910
-
#1272 waslikebubblegum (จากตอนที่ 6)วันที่ 8 พฤษภาคม 2560 / 18:13ทีมทั้งม่านทั้งหมอกเลย ดีใจที่เป็น3P อย่างน้อยก็บรรเทาความหน่วงได้ 555#1,2720
-
#1270 amptnkmb (จากตอนที่ 6)วันที่ 3 พฤษภาคม 2560 / 21:01แบบนี้ก็ทำใจลำบากน่ะ#1,2700
-
#1240 Piyawadee__Ja (จากตอนที่ 6)วันที่ 10 เมษายน 2560 / 18:49สงสารลูกหมู งื้อออ โดนเอาเปรียบตลอด ม่านก็มีเหตุผลของม่าน หมอกก็มีเหตุผลของหมอก แม่จ๋าหนูสงสารเค้าทั้งสาม#1,2400
-
#1198 prawwy_blue (จากตอนที่ 6)วันที่ 5 เมษายน 2560 / 21:35พูดเหมือนหมูไล่หมอกให้ไปไกลๆ โอ๊ยยยยย สงสารหมอก ดราม่าวนไป#1,1980
-
#1116 shierichi (จากตอนที่ 6)วันที่ 22 มีนาคม 2560 / 13:39มันก็เชิงประมาณไล่หมอกกลับไปดีๆนั้นเอง ฮือ โอ้ย หมูเอ้ยยย ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นนี่เนอะ โถ่..#1,1160
-
#1001 Seefahhh (จากตอนที่ 6)วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 / 12:39อะไรทำให้หมอกรู้สึกว่าอยู่คนเดียวและไม่มีใครห่วงตัวเองนอกจากหมูนะ สงสารอ่ะยิ่งฉากที่บรรยายผ่านมุมหมอกยิ่งหดหู่ คิดไว้แล้วว่าถ้าหมูมาพูดมันต้องได้ฟิลแบบไล่หมอกกลับไป แต่ดีนะที่หมอกมองออกว่าหมูทำเพราะถูกวานมา มีความอึดอัดแปลกๆ ฮือออ#1,0010
-
#926 Kahpaynak23 (จากตอนที่ 6)วันที่ 30 มกราคม 2560 / 00:52จะร้องไห้แล้วอ่า แค่ไม่กี่ตอนยังหน่วงขนาดนี้ ฮือออ#9260
-
#918 Amxoe (จากตอนที่ 6)วันที่ 27 มกราคม 2560 / 23:30ทีมทั้งสองคนเลย แต่ละคนก็มีดีไม่เหมือนกันเนาะ อยู่ที่ใจยัยหมูแล้วอะ#9180
-
#910 PexYen (จากตอนที่ 6)วันที่ 27 มกราคม 2560 / 21:40ไม่รู้จะอธิบายยังไงรู้สึกถึงความอึดอัด#9100
-
#872 dada0627 (จากตอนที่ 6)วันที่ 24 มกราคม 2560 / 17:38หมอกมีอะไรในใจทำไมคิดว่าไม่มีใครเป็นห่วงตัวเองหล่ะ#8720