ตอนที่ 5 : 04
04
“ม่านไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย...”
ผมพูดด้วยเสียงเบาๆขณะที่มือก็ถือโทรศัพท์ มันกำลังโทรออกไปโดยไร้การตอบรับ ในไม่กี่วินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงการยุบลงไปของเตียงอีกฝั่ง
“หมอก...เค้ากลัวม่านจะเป็นอะไร
ถ้าม่านกลับไปที่นั่นอีก...ถ้าเกิดว่..”
เป็นหมอกที่ทำให้บทสนทนามันหยุดชะงักลง เมื่อหมอกหยิบโทรศัพท์ออกไปจากมือของผม หมอกวางลงไปบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงมานอนข้างๆผม
“เลิกคิดนะ”
“…”
“ถ้ามันคิดไม่ได้ก็ไม่มีใครช่วยมันได้...”
หมอกเขยิบเข้ามาใกล้ผมที่นอนตะแคงมองทุกอิริยาบถของหมอกอยู่ มือหนายกขึ้นมาลูบเบาๆบนศีรษะของผมก่อนจะจับปอยผมทัดไว้หลังใบหู ปลายนิ้วอุ่นๆเกลี่ยเบาๆอยู่บนแก้มของผมในยามที่เราต่างไม่พูดอะไรออกมา
“เธอ...” ปลายนิ้วยังคงเกลี่ยวนเบาๆอยู่ที่จุดเดิมจนผมเริ่มไม่กล้าสบตาเวลาที่หมอกมองผมไปพร้อมๆกับสัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้
“…”
“เราไม่ชอบที่รอยยิ้มมันหายไปเลย”
“…”
“อย่าผิดสัญญาบ่อยนักสิ”
หมอกยังจำเรื่องเก่าๆได้ไม่ต่างไปจากผมเลย ประโยคก่อนที่หมอกจะหายไป ประโยคบอกลาในสามปีที่แล้ว มันมีเรื่องของรอยยิ้ม....รอยยิ้มที่หมอกให้ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้มันหายไปจากใบหน้าของผมเอง แต่ก็เป็นผมนั่นแหละที่ผิดสัญญาตั้งแต่วันแรกที่หมอกไป หมอกรอบๆตัวผมมันจางหายไปหมดแล้วตั้งแต่วันนั้น
เอารอยยิ้มบางส่วนของผมตามไปด้วย...
ก็แค่บางส่วนเท่านั้น เพราะรอยยิ้มอีกส่วนมันก็ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่อยู่ข้างกายของผมเสมอมา
กลับกันในเวลานี้ คนที่เป็นรอยยิ้มส่วนนั้นกลับเป็นคนที่หายไปเสียเอง
รอยยิ้มที่ไม่เคยสมบูรณ์แบบ มันคงเป็นรอยยิ้มที่สวยไม่ได้หรอก...ขอโทษด้วยนะหมอก ที่รักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้เลย
เช้าวันใหม่ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง...แล้วพบว่าเป็นหมอกที่โอบกอดผมอยู่รอบตัว มันเป็นวันที่อากาศค่อนข้างดีสำหรับคนที่ชอบอากาศหนาวๆแตกต่างจากผมที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก ผมดึงผ้าห่มเข้ามากระชับตัวให้แน่นขึ้นเพราะเปลือกตาที่ยังหนักๆทำให้ยังไม่อยากลุกขึ้น ใบหน้าและปลายจมูกที่เริ่มคัดซุกลงไปหาความอบอุ่นจากอีกหนึ่งร่าง เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของร่างๆนั้นก็กระชับวงแขนเข้ามาเหมือนรู้งานทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ร่างทั้งสองของเราที่กอดกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนามันช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับผมได้มากขึ้น
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าหมอกหายไปแล้ว บางทีหมอกอาจจะกลับไปที่ห้องของตัวเองหรืออาจจะลงไปทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างล่าง ผมทำเพียงแค่แปรงฟันล้างหน้าแล้วพาตัวเองเดินเขย่งปลายเท้าลงไปข้างล่าง ที่เลือกไม่ไปหาหมอกที่ห้องก็เป็นเพราะว่าถ้าหมอกอยู่ที่ห้องมันคงแปลว่าหมอกคงอยากที่จะใช้เวลาเป็นส่วนตัว
“อ้าวหมอก”
ผมเรียกเจ้าของชื่อด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าหมอกกำลังทำอะไร เกือบลืมไปเลยว่าพวกเศษแก้วพวกนั้นมันยังไม่ถูกจัดการเก็บกวาดตั้งแต่เมื่อคืน
“หมอก...
เดี๋ยวเค้าช่วยนะ”
ผมคิดว่าเราควรเอาไม้กวาดมากวาดดีกว่าต้องมาเก็บที่ละชิ้นแบบนี้ มันอาจจะบาดมือได้
“ไม่ต้อง...
ออกไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร”
หมอกเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่คล้ายว่ากำลังจะดุเพราะผมไม่ยอมเดินออกไป พอเห็นแบบนั้นก็เลยยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
“แผลเป็นยังไงบ้าง”
ผมสะดุ้งขึ้นเพราะเสียงที่ดังขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่ท้าวคางอยู่บนโต๊ะก็ช้อนตาขึ้นไปมองเจ้าของเสียง เมื่อครู่ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆไปหน่อยเลยกลายเป็นการเหม่อลอย
“ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วนะ แต่ก็ปวดนิดๆเวลาเดิน”
หมอกไม่ได้พูดอะไรแต่ก็มองต่ำลงไปยังบริเวณใต้โต๊ะ ที่จริงผมยังไม่ได้ทำแผลใหม่เลยกะว่าไว้อาบน้ำเสร็จค่อยทำทีเดียว
หมอกกลับมาพร้อมกับกาแฟร้อนของตัวเองและโกโก้ร้อนของผมอย่างละแก้ว ไอควันที่พวยพุ่งออกมาจางๆที่ผมค่อยๆสูดเข้าไปนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาได้อีกเท่าตัว ผมมองคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามในขณะที่ตัวเองก็จับหูถ้วยโกโก้ทั้งสองข้างแล้วจิบคลอไปด้วย จนหมอกน่าจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกผมมองอยู่ก็เลยละสายตาขึ้นมาจากหนังสือที่คว้าเอามาแถวๆนั้น
เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาจนผมจิบโกโก้ไปอีกสองอึกก็แล้ว หมอกวางถ้วยกาแฟลงพร้อมกับหนังสือเล่มเดิม อยู่ๆก็ยื่นใบหน้าเข้ามาจนผมตกใจ ดีที่ไม่ปล่อยแก้วโกโก้ของตัวเองจนหลุดมือไปก่อน หมอกโน้มตัวจนร่างเกือบราบไปกับโต๊ะ จ่อใบหน้าเข้ามาเกือบจะชิดไม่นานก็ใช้ปลายนิ้วกดอยู่ที่มุมปากของผม
“อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมยังกินให้เลอะ”
ผมนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้หลังจากที่เสียงทุ้มกระซิบแผ่วๆอยู่ข้างๆใบหู ไม่ใช่เป็นเพราะคำพูดอย่างเดียวแต่เพราะปลายนิ้วที่เกลี่ยสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นคราบโกโก้ที่ผมกินจนมันเปื้อนอยู่บนริมฝีปาก
“หมอกก็...จำอายุเค้าไม่ได้จริงๆเหรอ”
ผมเปิดประเด็นใหม่กลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองเอาไว้ ก็เขินทั้งการกระทำและการที่ถูกแซวไปในตัวนั่นแหละ
“ทำไมจะจำไม่ได้...
ที่มาก็เพราะวันเกิด”
ผมมองคนที่ขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิม หมอกหยิบหนังสือที่วางลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วกรอกสายตาลงไปบนหน้าหนังสือแทน แต่หมอกกำลังทำให้ผมค่อนข้างประหลาดใจ
ที่หมอกกลับมานี่ตั้งใจจะมาวันเกิดผมจริงๆเหรอ...แล้วทำไมไม่เห็นหมอกพูดถึงเลยสักนิด
“ม่านไม่ได้บอกเธอเหรอว่าเราจะมา แต่มันก็ไม่ทันอยู่ดี”
ผมไม่รู้ว่าอยู่ๆก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมาเพราะชื่อของคนในบทสนทนาหรือเพราะอย่างอื่นกันแน่ แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าหมอกตั้งใจจะกลับมาในวันเกิดของผม แปลว่าม่านก็รู้แต่ม่านไม่ยอมบอกผมอย่างนั้นเหรอ หรือม่านเองก็อาจจะลืม
“ช่างมันเถอะ
เลิกทำหน้าตกใจแบบนั้นได้แล้ว”
“อ๋อ...อื้อ...เค้าก็แค่งงๆนิดหน่อย”
ผมไม่คิดคาดคั้นอะไรกับหมอกต่อเพราะคำว่าช่างมันเถอะก็คงแปลได้ตรงตัวว่าหมอกอยากที่จะจบการสนทนาประเด็นนี้ลงแล้ว แก้วโกโก้ถูกผมยกขึ้นอีกครั้ง จิบมันไปอย่างเงียบๆโดยที่เราสองคนต่างคนต่างกลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง
.
.
.
“ฮัลโหล...เฮียแจ็ค นี่แบมเองนะ
ม่านอยู่กับเฮียไหม”
ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ทันทีที่ปลายทางมีการตอบรับ ตอนนี้ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะติดต่อม่านได้ยังไงนอกจากลองโทรหาเฮียแจ็คสันที่เป็นเพื่อนของม่านที่ผมพอจะติดต่อได้ ผมนั่งลงไปบนเตียงหลังจากที่จัดการชำระร่างกายและทำแผลจนเสร็จ ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดทั้งมวล ความโหวงในใจมันก็รวมอยู่ที่เรื่องๆเดียว
‘เหี้ยม่าน...เมียมึงโทรมาว่ะ’
ม่านอยู่กับเฮียแจ็คจริงๆจากที่ผมได้ยินเฮียเรียกหาม่าน แม้จะไม่ชินกับการใช้สรรพนามนัก มันแปลกๆที่ต้องมาถูกเรียกแบบนี้ทั้งๆที่ม่านกับผมเรายังไม่ได้ตกลงกันเรื่องสถานะ ผมชั่งใจไม่ทักท้วงอะไรออกไปเอาแต่รอว่าม่านจะมารับโทรศัพท์ผมหรือเปล่า
“เอ่อ...แบม”
“อื้อ...”
ยังเป็นเสียงเฮียแจ็คที่ตอบกลับมา น้ำเสียงดูลังเลอะไรสักอย่างจนผมเริ่มคิดว่าสิ่งที่คาดหวังมันจะเป็นไปได้ยาก
“ไอม่านมันยังไม่ว่างคุยน่ะ”
“อ๋อ...อื้อๆ...”
ผมพยายามควบคุมปลายเสียงไม่ให้สั่น ผมรู้ว่าม่านไม่ได้ไม่ว่างหรอก ม่านไม่อยากคุยกับผมต่างหาก แต่ก่อนจะวางผมก็ยังอยากถามอะไรเฮีย อย่างน้อยจะได้รู้ว่าม่านเป็นยังไงบ้าง
“เฮียๆแบมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อ่าๆ...ว่า...”
“ม่านเป็นไงบ้างเหรอเฮีย แล้วม่านทำอะไรอยู่...” เฮียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
“สนใจมันด้วยเหรอ”
ผมคิดว่าเฮียน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ผมเม้มริมฝีปากตัวเองในระหว่างที่กำลังคิดหาคำพูดที่จะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ
“เฮีย...แบมไม่รู้จะทำยังไงดี”
“เอางี้แบมแบม...
ถ้าแบมแบมไม่อยากให้มันยุ่งแล้วเฮียจะช่วยดึงมันออกมาให้เลิกสนแบมแบมเองดีมั้ย”
“...”
“ผู้หญิงที่เฮียรู้จักก็มีพอที่จะแนะนำมัน มันจะได้ไม่ต้องกลับไปสร้างความลำบากใจให้แบมแบมไง”
คำว่าผู้หญิงที่เฮียกำลังพูดออกมามันทำให้ผมจิตตกและกังวลไปไกล ความโหวงในใจและความอ่อนแอที่พยายามจะควบคุมมันก็ยิ่งทำได้ยากยิ่งขึ้น
“...เฮียทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“ก็ไม่ดีเหรอ แบมจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับมัน ไอเหี้ยม่านก็จะได้ไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้
เฮียว่าแบบนี้มันก็ดี”
“ล... ..แล้วม่านล่ะเฮีย...”
ผมพยายามควบคุมตัวเอง แต่กับเรื่องม่านแล้วมันค่อนข้างยากเสมอ ปกติแล้วถ้าผมเสียใจก็เป็นม่านที่เข้ามาช่วยปลอบ ถ้าเฮียทำแบบนั้นจริงแล้วม่านชอบแบบนั้น ผมคงห้ามอะไรม่านไม่ได้ใช่มั้ย...มันเหมือนกรรมตามสนองเลย ผมไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอะไรม่านแบบนั้นได้หรอก กลับมามองที่ตัวผมเองมันก็เป็นเพราะผมที่พูดกับม่านออกไปแบบนั้น ถ้าม่านจะไปจริงๆ...มันก็ไม่ใช่ความผิดของม่านเลยสักนิด
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก”
ผมพยายามควบคุมความรู้สึกตัวเองไว้ จะบอกออกไปว่าผมอยากให้ม่านกลับมาผ่านเฮียก็คิดว่ามันคงดูเห็นแก่ตัวเกินไป
“ถ้าม่านอารมณ์เย็นแล้วให้โทรหาแบมหน่อยนะเฮีย....
ข... ขอบคุณครับ”
บทสนทนาจบลงไปพร้อมกับการที่ผมรู้ว่าม่านจะไม่กลับมาในเร็วๆนี้ ผมทิ้งโทรศัพท์วางมันไว้ข้างๆตัวอย่างไร้ความหมาย ทิ้งตัวลงไปบนฟูกเตียงปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองมันเป็นไปในทิศทางของมัน ในเมื่อตอนนี้มันเหลือผมอยู่คนเดียวแล้ว ไม่ต้องกลัวใครจะรู้จะได้ยินได้เห็นไอพวกน้ำตาที่มันไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านั้น สิ่งที่ห่วงมันก็มีอยู่มาก...สิ่งที่ยังกังวลและสิ่งที่กลัว ผมรู้ดีว่าผมไม่สามารถจะทำอะไรได้และไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งม่านเอาไว้ได้เลย
แกร่ก...
ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู คิดว่าต้องเป็นหมอกแน่ๆเพราะนอกจากเราแล้วก็ไม่มีใคร ผมรีบหันหลังตะแคงไปทางหน้าต่างก่อนเพราะกลัวหมอกจะเห็นหน้าของผมตอนนี้ ผมกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวก่อนจะกดใบหน้าของตัวเองลงไป
“เธอ...”
เสียงทุ้มแผ่วข้างๆทำให้ผมรู้ว่าหมอกลงมานอนอยู่ข้างๆกันแล้ว
“อื้อ...”
ผมได้แต่ส่งเสียงที่ปรับให้เป็นปกติแล้วกลับไป แต่ใบหน้าก็ยังซุกอยู่กับผ้าห่มผืนนั้น
หมอกไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เงียบหายไปจนผมเดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวกำลังทำอะไร...แต่ไม่นานสัมผัสใหม่ก็แตะเข้ามา หมอกสวมกอดเข้ามาจากด้านหลัง มันสร้างความอุ่นใจได้มากขึ้นจริงๆเวลาที่หมอกทำแบบนี้
“หันหน้ามานี่...”
หมอกคงรู้แล้วว่าผมเป็นอะไร แค่เพียงผมขยับและหันหน้าไปตามคำบอกศีรษะของผมก็ถูกกดให้จมลงไปบนตัวของหมอก นาทีนั้นผมไม่คิดถึงความอายอีกแล้ว กดใบหน้าลงไปบนอกที่อุ่นเหลือเกิน ผมกระชับแขนเสื้อของคนที่กอดผมเอาไว้อย่างแนบแน่น รู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองมันสั่นไปพร้อมกับแรงสะอื้น ยิ่งผมสะอื้นแรงเท่าไหร่หมอกก็ยิ่งกอดผมแน่นขึ้นเท่านั้น
“ไม่เป็นไรนะ”
ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านร่างกาย มือหนาลูบไปตามกลุ่มผม โอบกอดรอบกายให้รู้ว่าหมอกจะอยู่ตรงนี้กับผม...
แต่ไม่นานสัญญาณที่ส่งออกมาเป็นเสียงก็ทำให้เราต่างสะดุ้ง ผมกับหมอกผละออกจากกันเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่ผมทิ้งไว้ใกล้ๆดัง ผมปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์เข้ามาดูเพียงเพราะคิดว่าเจ้าของสายที่โทรมานั้นจะเป็นม่าน
แต่พออ่านชื่อที่ปรากฏแล้วใจที่เต้นผิดปกติมันก็กลับมาโหวงเหมือนเดิมแต่ก็มีความแปลกใจที่แทรกเข้ามาด้วย
‘คุณนายเมทินี’
ผมอ่านชื่อนั้นในใจ คุณนายเมทินีเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ผมทั้งรักและเทิดทูนที่สุดในชีวิตและอีกคนก็คือลุงเชนซึ่งท่านทั้งสองคือคุณพ่อและคุณแม่ผู้ให้กำเนิดม่านและหมอก
“คุณป้าโทรมาน่ะหมอก”
ผมบอกหมอกก่อนเพื่อให้หมอกรู้ ก่อนจะสไลด์ปลายนิ้วลงไปบนแป้นโทรศัพท์
“สวัสดีฮะคุณป้า”
.
.
.
ใครจะไปรู้ว่าการที่คุณป้าโทรหาผมในครั้งนี้จะเป็นการที่คุณป้าบอกให้ผมลงไปหาที่หน้าบ้าน ถึงผมจะค่อนข้างแปลกใจแต่ก็รีบล้างหน้าล้างตาแล้วพากันลงไปข้างล่างด้วยกันกับหมอก
“คุณป้า”
ผมรีบโผเข้ากอดผู้หญิงที่ยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตู เธออ้าแขนรอตั้งแต่ที่ผมเดินลงมาจากบันได คุณป้าหอมผมเต็มฟอดเมื่อผละร่างกายออกจากผม หลังจากนั้นก็พิจารณาใบหน้าของผมจนผมนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะร้องไห้เสร็จไป ไม่รู้ว่าคุณป้าจะมองออกหรือเปล่า
“หมอก...
กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
แต่แล้วคุณป้าก็พุ่งสายตาไปหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมแทน
*
ม่านกลับมาที่นี่ได้สักทีเพราะการกลับมาของคุณป้า เป็นผมที่โทรกลับไปหาเฮียแจ็คอีกครั้ง เพราะถ้าคุณป้ารู้ว่าม่านไม่อยู่นี่ที่กับผมจะเป็นเรื่องใหญ่ และถือเป็นโชคดีเช่นกันที่ม่านยอมกลับมา...เพราะคุณป้า
มื้ออาหารเย็นที่บ้านพักตากอากาศวันนี้จึงมีคุณป้า หมอก ม่าน แล้วก็ผม ก็นานแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ที่ขาดไปก็คงเป็นลุงเชนที่อยู่ที่ต่างประเทศ
“ม่าน...”
ผมชำเลืองสายตาไปทางเจ้าของชื่อที่คุณป้าเรียก ม่านค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเลิกคิ้ว
“แกเป็นอะไร”
ม่านเขี่ยข้าวในจานไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะพูด
“ผมจะเป็นอะไร ก็เป็นลูกแม่ไง”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเบาใจลงเมื่อม่านยอมพูดอะไรออกมาบ้าง ถึงแม้จะไม่ใช่กับผมก็ตาม
หลังอาหารมื้อค่ำทั้งม่านและหมอกต่างก็แยกย้ายกลับขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง ส่วนผมออกมานั่งเล่นอยู่ที่เก้าอี้ริมสระน้ำกับคุณป้า
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าลูกหมู บอกป้าได้นะ”
“เปล่าฮะ...”
ผมส่ายหน้าพลางยิ้มกลับไป
“เอ๊ะ...จริงสิ ป้าว่าจะถามตั้งแต่มา
เท้าเราไปโดนอะไรมา”
ผมก้มต่ำมองลงไปตามสายตาของคุณป้า ไม่นานก็ตอบคำถามกลับ
“อ๋อ...หมูซุ่มซ่ามเอง เดินไม่ระวังน่ะฮะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เฮ้อ...เราน่ะจริงๆเลยนะ แบบนี้จะไม่ให้ป้าคอยห่วงเทียวไปเทียวมาได้ไงล่ะ”
คุณป้าพูดพลางลูบหัวผมคลอไปด้วย
“อื้อ...หมูขอโทษฮะ หมูจะระวังน้า”
“ให้มันจริงเถอะ”
ผมยู่ปากน้อยๆพร้อมกับก้มหน้าลงไป ทำให้คุณป้าเป็นห่วงแบบนี้ก็รู้สึกอดเกรงใจไม่ได้ คุณป้าดีกับผมมากๆเลย ทั้งๆที่ผมไม่ใช่ลูกแท้ๆแต่ท่านก็เลี้ยงดูอุปการะผมไม่ต่างจากลูกแท้ๆทั้งม่านและหมอก
“ลูกหมู...”
“ฮะคุณป้า...”
ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปเมื่อคุณป้าเรียกชื่อ ที่จริงผมไม่ได้ชื่อหมูหรอก แต่คุณป้าท่านติดเรียกมาจากม่านก็เลยเรียกตามๆกันเกือบทั้งบ้านมีแค่หมอกที่เรียกผมว่าเธอ
“ป้าไม่สบายใจเลยที่หมอกกลับมา”
คุณป้าถอนหายใจเป็นการยืนยันในสิ่งที่พูดได้อย่างชัดเจน พอเข้าประเด็นนี้ทีไรมันทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องไปด้วย
“ป้าไม่รู้จะทำยังไงกับลูกคนนี้แล้วจริงๆ ส่งไปเรียนที่อื่นก็แล้วก็ไม่เอา ที่นั่นก็ไม่อยู่ ที่นี่ก็ไม่ชอบ
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะเรียนจบกับเขา เผลอๆลูกหมูน่ะเรียนจบก่อนหมอกอีกนะป้าว่า”
ผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงของคุณป้านะ...แต่ใจผมก็เข้าใจว่าหมอกก็ต้องมีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน ผมเลยไม่รู้จะออกความเห็นออกไปยังไงดี
“คุณป้าลองคุยกับหมอกอีกทีไหมฮะ เผื่อบางทีหมอกจะได้บอกว่าหมอกอยากเรียนที่ไหน
บางทีที่ๆหมอกไปหมอกอาจจะไม่ชอบก็ได้นะฮะ”
คุณป้าส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก
“ไม่ได้แล้วล่ะลูกหมู ยังไงหมอกก็ต้องจบที่นี่สักที เหลืออีกแค่ปีเดียวป้าไม่ยอมให้หมอกไปเริ่มใหม่อีกแล้วนะ”
นั่นสิ...อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว ถ้าหมอกเรียนจบบางทีหมอกก็อาจจะกลับมาที่นี่ไม่ต้องไปไหนอีก
“พูดไปหมอกก็ไม่ฟังป้าหรอกนะ...ป้าอยากให้ลูกหมูช่วยพูดกับหมอกให้หน่อย...”
“…”
“บอกให้หมอกกลับไปเรียนให้จบทีนะลูก”
“แต่...คุณป้าฮะ...”
“มีแค่หนูคนเดียวที่หมอกยอมฟัง ช่วยป้าได้มั้ยลูก”
ผมไม่ได้รับปากว่าผมจะทำได้ คุณป้าอาจจะรู้สึกได้ว่าผมค่อนข้างลำบากใจก็เลยชวนเปลี่ยนประเด็นคุยเรื่องอื่นถามสารทุกข์สุขดิบกันไปด้วย
“ป้าว่าเราเข้าบ้านขึ้นนอนกันดีกว่า ดึกแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“นั่นสิฮะ คุณป้าเดินทางมาเหนื่อยๆด้วย”
เราสองคนพากันลุกขึ้นก่อนที่คุณป้าจะจับมือผมแล้วพากันเดินไปตามทาง
“แล้ววันนี้ม่านนอนกับหมูหรือเปล่า”
“อ๋อ...ไม่รู้สิฮะ”
ผมตอบไปไม่เต็มเสียงนัก ไม่รู้แบบนี้คุณป้าจะสงสัยว่าเรากำลังทะเลาะกันหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นปกติแล้วคุณป้าจะรู้ว่าม่านต้องนอนเป็นเพื่อนผมเสมอ
“อ้าว...ทำไมไม่รู้ หรือว่าทะเลาะกัน”
“ป...เปล่าหรอกฮะ หมูบอกม่านว่าอยากลองฝึกนอนคนเดียวให้ได้”
“จริงเหรอ...”
คุณป้าถามย้ำกลับมา ถึงกับหยุดเดินจนผมต้องหยุดตาม
“จริงสิฮะ”
ผมทำเสียงขี้เล่นกลับไปบ้าง ให้คุณป้าเข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“หมูง่วงแล้วเนี่ย อยากนอนคนเดียวใจจะขาดเลยเชื่อซี่”
“จ้าๆ แต่ป้าไม่เชื่อหรอกนะว่าเราน่ะจะนอนคนเดียวได้ เดี๋ยวก็ต้องไปเคาะประตูเรียกม่านมันอยู่ดี”
คุณป้าพูดอย่างอารมณ์ดีกลับมาบ้าง มันทำให้ผมโล่งไปโดยปริยาย คุณป้าเป็นฝ่ายช่วยพาผมเดินมาจนถึงประตูห้องเพราะเห็นว่าขาของผมยังเจ็บอยู่ ผมบอกฝันดีคุณป้าก่อนจะปิดประตูแล้วเข้ามาในห้อง พอหันกลับมาแล้วเห็นคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็สะดุ้งโดยอัตโนมัติ
“ม่าน...”
ผมเอ่ยเบาๆเรียกเจ้าของร่างที่มองมาที่ผม
To Be Continued
Tk: จำที่เราเคยเกริ่นๆได้ไหมว่าเราอาจจะแต่งเรื่องนี้ให้ยัยท้อง ซึ่งตอนนี้เราก็ตัดสินใจแล้วนะว่าจะให้ยัยหมูมีน้อง ก็เลยจะมาบอกไว้ก่อนเผื่อใครไม่โอเคกับแนว Mpreg จะได้ตัดสินใจว่าจะอ่านหรือไม่อ่านต่อนะคะ
ปล. ขอบคุณ opv ประกอบจาก คุณ @BBshy97 ด้วยนะคะ ชอบมากๆเพิ่มความอินเข้าไปอีก อย่าลืมแวะเข้าไปดูกันน้าตัวเอง
#UnTwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ 4ตอนแล้วก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ มันจะเป็นยังไงกันต่อนะ
เเล้วตอนหมอกไปเคยมีอะไรกับหมอกรึยัง...เเงงงงงงง
ที่เราเชียร์หมอกขนาดนี้เราก็มีเหตุผลของเรานะ หมอกไม่ได้บังคับอ่ะ มให้เป็นไปตามความสมยอม เหมือนให้เกียรติ ซึ่งเราชอบจริงๆ อยู่ด้วยกันนี่ไม่มีอะไรมากนะ แต่มันอบอุ่นและใจเต้นตึกตักแปลกๆ บางครั้งเราคิดว่าหมูคือตัวเราเอง จะบอกว่าเขินตอนนี้ก็ขัดกับอารมณ์เรา ฮืออออออออ