ตอนที่ 21 : 15
15
“เดี๋ยววันนี้มารับนะ”
“อื้อ...ขอบคุณนะหมอก”
รอยยิ้มสดใสขึ้นแล้วแม้ในแววตาจะยังคงมีร่องรอยความเศร้าหลงเหลืออยู่ แบมแบมในชุดนักศึกษายิ้มให้คนที่ขับรถมาส่งตั้งแต่เปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย ก็เป็นเดือนแล้วที่หมอกคอยรับคอยส่ง
ส่วนอีกคนที่บอกให้แบมแบมดูแลตัวเองดีๆก็ไม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านอีกเลย หลายปีที่หมอกหายไปก็เป็นม่านที่คอยอยู่เคียงข้างมาเสมอ พอตอนที่หมอกกลับมากลับกลายเป็นม่านที่หายไป
แบมแบมโบกมือไปพร้อมกับรอยยิ้ม มองรถที่หมอกขับออกไปจนลับสายตา แต่ต่อให้จะเจ็บปวดกับเรื่องบางเรื่องแค่ไหนโลกใบนี้มันก็ต้องสอนให้เราเดินต่อไป ยังมีอะไรอีกหลายอย่างรอให้แบมแบมได้เริ่มเรียนรู้ รวมไปถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
ปลายนิ้วชะงักหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กดส่งข้อความ หลังจากที่ประโยคในหัวผุดขึ้นมา
‘ม่านก็จะไปมีชีวิตของม่านเหมือนกัน’
ตอนนี้ม่านเองก็คงกำลังจะมีชีวิตแบบที่ม่านอยากมีอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่ง
และหวังว่าจะเป็นที่ๆดีพอ...
*
“ไอ้ม่าน...นี่มึงไปมีเรื่องอีกแล้วเหรอ”
“กูไม่ได้อยากมี แต่พวกแม่งราวีกูไม่เลิก”
“พวกเหี้ยแม่ง...เก่งเฉพาะตอนมึงอยู่คนเดียว”
แจ็คสันพ่นคำออกไปอย่างหัวเสีย เขาเห็นเพื่อนสนิทเงียบไปหลายวันก็เลยตัดสินใจมาดูที่คอนโด ปรากฏว่าพอเห็นใบหน้าที่ฟกช้ำรวมไปถึงแขนข้างหนึ่งที่ใส่เฝือกไว้ก็พอเดาเหตุการณ์ได้
“แล้วนี่ทำไมตอนนั้นมึงไม่บอกกูเลย”
“คืนที่มีเรื่องมีคนพากูไปส่งโรงพยาบาล นี่กูก็เพิ่งออกมา กูไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย หน้าจอก็แตก”
“พวกมันไม่เลิกราวีมึงง่ายๆแน่ๆ เอาเป็นว่าช่วงนี้พวกกูจะมาอยู่เป็นเพื่อน”
“มันไม่กล้าทำกูที่นี่หรอก”
“แล้วนี่คนที่บ้านมึงรู้เรื่องไหม?”
เจ้าของผมสีบลอนด์ส่ายหัวอย่างช้าๆ พอพูดถึงคนที่บ้านในหัวก็นึกถึงแค่คนเดียว
“ไม่รู้อะดีแล้ว...กูไม่อยากให้พวกแม่งรู้ว่ากูเกี่ยวข้องกับใครบ้าง”
“มึงไม่ต้องห่วง พวกเหี้ยนี่มันเก่งเฉพาะตอนหมาหมู่ เดี๋ยวเจอกู”
แจ็คสันตบบ่าคนที่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาแล้วนั่งลงตาม สายตากวาดมองไปทั่วพื้นหรือแม้แต่บนโต๊ะก็มีแต่ขวดเหล้าเบียร์เต็มไปหมด
“นี่มึงยังไม่โอเคเรื่องหมูใช่ไหม?”
“อืมม...
ไม่เคยโอเค”
“กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ เป็นพระเอกมันไม่ช่วยอะไรนะ
กูยังไม่เห็นมึงมีความสุขเลยตั้งแต่ที่มึงเดินออกมา”
“ถึงกูไม่มี แต่หมูมีก็พอแล้ว...
ทำไมพวกเหี้ยนั่นไม่กระทืบกูให้ตายๆไปวะ”
คนฟังพ่นลมหายใจพลางส่ายหัว
“นี่มึงก็แดกเหล้าด้วยใช่ไหม พูดเหี้ยอะไรเพ้อเจ้อแบบนี้
แล้วแผลมึงจะหายมั้ยวะ”
มันไม่ใช่ไอ้ม่านที่เขาเคยรู้จักเลย ไอ้ม่านที่สู้คนและกัดคนอื่นไม่ปล่อย ไอ้ม่านที่จะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเองได้ถึงแม้ว่าจะโดนรุมทำร้ายมันก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนักขนาดนี้
และแจ็คสันเดาออกว่าเป็นเพราะลึกๆข้างในเพื่อนตัวเองยังคงอ่อนแอ เวลานับเดือนที่มันจากคนที่มันรักมาไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรเลย มีแต่จะพลอยย่ำแย่ลงไปทุกวันและถ้าตัวมันยังคงไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเองก็คงจะมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างเจือจางจง...
*
“จะขายได้จริงๆเหรอครับพี่ไนล์”
“เอาน่าครับ...พี่ว่ามันรสชาติดีเลยนะ แถมหน้าตาก็น่าทานด้วย”
“แต่...แบมกลัวลูกค้าไม่ชอบนี่นา”
“นั่นไง....คุณหมอกมาแล้ว ลองถามคุณหมอกดูไหมครับ”
เจ้าของดวงตากลมละสายตาจากเบเกอรี่ที่เพิ่งถูกใส่เข้าไปในตู้ก่อนจะพุ่งความสนใจไปยังคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามา เรียวปากยิ้มให้กับเจ้าของร่างสูงโปร่งทันทีที่เจ้าตัวเดินมาถึง
“หมอก…
ช่วยเค้าชิมขนมหน่อยได้ไหม”
เจ้าของคำถามอมยิ้มเมื่อถูกตอบรับด้วยการพยักหน้า เค้กสีขาวหนึ่งชิ้นที่ถูกตกแต่งด้วยสตอเบอรี่ถูกจัดลงใส่จานโดยคนที่ลงมือทำ ไม่นานมันถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะให้กับแขกคนสำคัญของแบมแบม
“หมอกต้องติตามความจริงนะ
เพราะถ้ามันไม่อร่อยแล้วเอาไปขายเค้าคงรู้สึกแย่มากๆเลย”
แบมแบมมองมือที่กำลังจับไปที่ช้อนพลางลุ้นเมื่อเค้กถูกตัดออกเป็นคำเล็กๆจนกระทั่งถูกส่งเข้าปาก มันทำให้คนที่นั่งเคี้ยวเค้กนุ่มๆในปากอดที่จะเอ็นดูท่าทีเหล่านั้นไม่ได้ แต่อย่างว่าเพราะเป็นหมอกก็คงไม่ได้แสดงท่าทีออกมามากมาย
“ไม่รู้ว่าจะอร่อยสำหรับคนอื่นไหม
แต่เราว่าเราชอบแบบนี้”
“…”
“จะชมว่าอร่อยเดี๋ยวเธอก็หาว่าเข้าข้าง”
“หมอกก็...”
“ดูสิ..มีคนสั่งแล้ว
มั่นใจในตัวเองหน่อย”
คนฟังมองตามสายตาอีกคู่ไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้โชว์ มีลูกค้าใหม่ซื้อเค้กของแบมแบมไปแล้วจริงๆ
“ขอบคุณนะหมอก..ต่อไปนี้เค้าจะพยายามให้สุดฝีมือเลย”
เจ้าของผลงานวาดยิ้มก่อนจะเดินไปขอบคุณลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยความอารมณ์ดี หมอกส่ายหน้าเบาพลางอมยิ้มก่อนจะกลับมาจัดการกับเค้กตรงหน้าต่อ
“ต้องอยู่จนปิดร้านเลยเหรอ?”
ผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน เหลือพนักงานเพียงไม่กี่คนที่กำลังเก็บกวาดร้านและจัดการความเรียบร้อย แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามหลังจากที่ตนเองกำลังช่วยเช็ดทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ
“อื้อ..
แต่จริงๆเค้าแค่อยากช่วยน่ะ
วันหยุดอยู่ว่างๆอยู่แล้วไม่ได้ทำอะไร
เพราะคุณป้าอยากให้มีใครมาดูแลร้านบ้าง..
อีกอย่างม่านก็คงไม่มาอยู่แล้ว”
น้ำเสียงแผ่วลงเล็กน้อยในท้ายประโยคและหมอกรู้ดีว่าเป็นเพราะคนที่อยู่ในประโยคนั้น
“อืม...
ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าเสร็จแล้วไปหาอะไรกินกันดีไหม”
“อื้อ...เอาซี่
ท้องเค้าตอนนี้ประท้วงสุดๆแล้วเนี่ย”
ประตูร้านปิดลงหลังจากที่ร้านถูกล็อคประตูเป็นที่เรียบร้อย สองร่างพากันเดินไปตามแนวฟุตปาธ จุดมุ่งหมายเป็นรถที่หมอกขับมา แต่แล้วมือเล็กก็กลับชะงักลงในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูรถออก
แค่รู้สึกว่าเห็นใครสักคนอยู่ที่หลังต้นไม้ตรงฟุตปาธข้างหน้า
“มีอะไรรึเปล่า?”
“เค้า..
เค้ารู้สึกเหมือนเค้าเห็น”
เจ้าของเสียงแผ่วเองก็ไม่แน่ใจนัก แบมแบมชั่งใจค่อยๆก้าวปลายเท้าไปตามทางเดินริมถนนตรงหน้าอีกครั้ง ปลายเท้ารีบสาวให้เร็วขึ้นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่คิดในหัวกำลังจะหายไป
“เธอ...
เป็นอะไรหรือเปล่า”
ถูกถามด้วยสายตาเป็นห่วงเมื่อพบว่าหลังต้นไม้ที่แบมแบมยืนอยู่มีแต่ความว่างเปล่า ทั้งที่จริงแล้วแบมแบมเห็นคนๆนั้นจริงๆ
“ม่าน...”
“…”
“เมื่อกี้เค้าเห็นม่านจริงๆนะ”
“เหรอ..
แน่ใจใช่ไหม”
“…”
แม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววิแต่แบมแบมก็แน่ใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับไร้วี่แวว แต่ถ้าใช่จริงๆแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าอยู่ตรงหน้ากันแท้ๆกลับไม่ยอมออกมาเจอกัน ดวงตาหรุบต่ำพลางกลบความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ มือเล็กค่อยๆเอื้อมไปจับแขนร่างสูงแทน
“เค้าอาจจะตาฝาดไปเองแหละ
เราไปกันเถอะ”
สองฝีเท้าเริ่มก้าวไปตามทางอีกครั้ง...ก้าวไปในฝั่งตรงกันข้ามกับมุมมืดๆที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
ที่จริงแบมแบมไม่ได้ตาฝาดหรอก เพราะคนที่ถูกพูดถึงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมื่อครู่ที่แบมแบมยืนอยู่ เรียวปากยิ้มจางๆเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังคงดูแลกันอย่างดี
แล้ววันหนึ่งเขาเองก็จะพยายามทำใจให้ได้
สักวันอาจจะเข้มแข็งที่จะเผชิญหน้ากับทั้งคู่ได้โดยที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหลงเหลืออยู่แล้วก็ได้
.
.
.
“เธอ...”
“ยิ้มหน่อย”
แช๊ะ!
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นในจังหวะที่คนถูกเรียกหันมาพอดี แบมแบมยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ยิ้มเพราะถูกออกคำสั่งแต่เป็นเพราะการกระทำของเจ้าของกล้อง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ออกไปเที่ยวตามสถานที่สวยๆด้วยกันสองคน แต่ยังรวมไปถึงวันนี้ที่ตามทางเดินประดับประดาไปด้วยแสงไฟสวยๆที่มีแต่กลิ่นอายแห่งความสุขของผู้คนเมื่อใกล้จะสิ้นปี หมอกยิ้มให้กับอุปกรณ์ถ่ายภาพที่อยู่ในมือหลังจากที่หยิบมันขึ้นมาเช็คดูรูปที่ถ่ายเก็บไว้ มันเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ทั้งสองคนจะมานั่งพักกันที่เก้าอี้ในสวนสาธารณะ ที่ยิ้มไม่ใช่เพราะบรรยากาศหรือแสงไฟที่สวย แต่เป็นเพราะเจ้าของรอยยิ้มที่อยู่ในรูปต่างหาก ดวงตาที่เปล่งประกายของแบมแบมประกอบกับรอยยิ้มที่เขาหวังว่าจะได้เห็นมันกำลังปรากฏให้เห็นบนจอของกล้องถ่ายรูป
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว...ไม่แบ่งเค้ายิ้มด้วยเลยนะ”
เจ้าของกล้องละสายตาจากมันก่อนจะเงยขึ้นไปหาเจ้าของเสียงใส
“ยิ้มเพราะรูปสวย..”
“ไหนเค้าดูบ้าง”
“ไม่ให้”
พูดจบก็รีบปิดกล้องแล้วเก็บมันใส่กระเป๋า พบว่ากำลังมีเด็กทำหน้างออยู่หนึ่งอัตรา
“หมอกใจร้าย...”
“จะดูในกล้องทำไม”
“เอ้า...ไม่ให้เค้าดูในกล้องแล้วจะเห็นรูปสวยๆบ้างได้ไงเล่าหมอกก็...”
“เธอดูหน้าตัวเองในกระจกทุกวันไม่เบื่อเหรอ”
“ม...หมอก...”
ถ้าประโยคที่ได้ยินมันไม่เข้าข้างตัวเองไป แบมแบมกำลังจะตีความว่า..
ว่าอะไรไม่รู้ที่ทำให้หน้าตอนนี้มันขึ้นสีและร้อนผ่าว
“เธอนี่นะ..
เคยทันอะไรใครบ้าง”
หมอกยิ้มจางๆพลางส่ายหัวก่อนจะตัดบทสนทนาโดยการลุกขึ้นยืน
“ไปกันต่อเถอะ...”
ฝ่ามือยื่นมาตรงหน้าเจ้าของดวงตากลม แบมแบมมองมันอยู่ไม่นานก็ยกมือขึ้นมาจับเอาไว้
ที่จริงเขาอยากจะพูดไปมากกว่านั้น
ไปกันต่อเถอะ..ที่ไม่ใช่แค่การไปเดินถ่ายรูปถ่ายแสงไฟเพียงแค่คืนนี้
แต่หมายถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน...
ไม่รู้ว่าแบมแบมพร้อมจะไปต่อด้วยกันหรือยัง
แต่ตอนนี้ของเรามันดีราวกับว่าทุกอย่างเป็นใจให้ หรือมันถึงเวลาแล้วที่ดอกไม้ควรเลือกแจกันสักที
ทั้งที่อยากเห็นดอกไม้เติบโตบนดินไปเรื่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากเป็นแจกันใบนั้น...ใบที่คู่ควรกับดอกไม้ตรงหน้า
“หมอก...”
“หืม?..”
“หมอกว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะมีโอกาสเจอกันบนฟ้าบ้างไหม”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
เจ้าของคำถามคลี่ยิ้มให้คนฟังแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
“ไม่มีอะไรหรอก...”
แต่ถึงคำตอบจะเป็นแบบไหนในความเป็นจริงมันคงเป็นไปได้ยาก ความเงียบเข้าปกคลุมมาที่ระเบียงห้องนอนอีกครั้งจนกระทั่งเจ้าของเสียงทุ้มเริ่มออกปาก
“เราไม่รู้หรอกว่าจะได้เจอกันไหม
แต่มีความจริงอยู่เรื่องนึง…”
“หือ..”
“ที่จริงดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์มันก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ แค่เรามองเห็นมันในเวลาที่ต่าง”
“…”
“มันอยู่ที่ว่าเธอเลือกจะมองแบบไหน แต่เธอรู้ไหมว่าดวงจันทร์ที่หมุนรอบโลก...มันฉายได้แค่เวลากลางคืน ไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่มันมีแสงสว่างในตัวเอง
แล้วเธอล่ะ...ชอบดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์มากกว่า”
“เค้าชอบ..”
“ชอบให้ดวงอาทิตย์อยู่กับดวงจันทร์สินะ”
เขาเดาจากคำถามที่ว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะมีโอกาสเจอกันบนฟ้าบ้างไหมนั่นแหละ
“ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว”
เจ้าของคำสั่งเป็นฝ่ายละสายตาจากหมู่ดาวและกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าก่อนจะใช้สายตามองไปยังเตียงนอนในห้อง ที่จริงเรื่องนอนคนเดียวของแบมแบมก็ดีขึ้นมากแล้วตั้งแต่ที่ม่านไม่กลับมาอยู่บ้านแบมแบมก็พยายามที่จะนอนคนเดียวให้ได้แต่หมอกก็เลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งแบมแบมหลับไป
ถึงจะไม่ได้คำตอบเรื่องที่ว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะมีโอกาสเวียนมาพบกันอีกไหม แต่หมอกก็ควรจะรู้เหมือนกันว่าหมอกทำให้ดวงจันทร์ดูสวยในทุกค่ำคืน
*
“อ้าวลูกหมู..ตื่นแล้วเหรอลูก
มาเร็วมาทานมื้อเช้าด้วยกันจ้ะ”
เจ้าของตากลมมองไปยังโต๊ะอาหารตัวยาวที่มีคุณนายของบ้านนั่งจิบกาแฟและเช็คข่าวสารข้อมูลในยามเช้า เด็กหนุ่มโปรยยิ้มสดใสให้กับผู้ใหญ่เหมือนกับทุกๆครั้งที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกัน
“แล้วนี่ตาหมอกไม่ลงมาด้วยเหรอ ปกติป้าเห็นตัวติดกันเป็นตังเมเชียว”
“อ๋อ...วันนี้หมอกน่าจะมีธุระฮะคุณป้า”
“หืม...มีธุระปะปังกับเขาเป็นด้วยเหรอเจ้าลูกคนนี้ เอ๊ะหรือว่าจะเป็นธุระเรื่องเรียน”
แบมแบมยิ้มแหยๆพลางส่ายหน้าเบาๆเพราะตนเองก็ยากที่จะคาดเดา
“เนี่ยพอพูดถึงเรื่องเรียนของเจ้าลูกคนนี้ป้าก็กลุ้ม จะจบอยู่แล้วเชียวดันดร็อปเข้าจนได้ ลูกคนนี้ก็ไปทางนั้น คนนี้ก็ไปทางนี้ ป้าบอกตรงๆว่าป้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“หมูเข้าใจนะฮะ...เรื่องหมอก...”
“หืมม...เราเข้าใจยังไง ไหนลองว่ามาซิเผื่อป้าจะพอพยายามทำความเข้าใจลูกชายคนนี้ได้บ้าง”
“บางทีเรื่องเรียนถ้ากดดันมากไปหมอกอาจจะทำได้ไม่ดี หมูว่าถ้าหมอกได้พักคิดทบทวนจนสบายใจหมอกก็อาจจะกลับไปเรียนได้ไม่ยากหรือเปล่าฮะคุณป้า...”
“เฮ้อ..แล้วนี่ป้าต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่ จะหวังพึ่งพาม่านมันก็อย่างนั้น ลำพังแค่ประคองให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางยังแทบจะต้องกราบกราน”
“…”
“เอ้า...หน้าซึมเชียวเรา ทานข้าวดีกว่าเดี๋ยวจะกินกันไม่ลงไปซะเปล่าๆลูก”
“ฮะคุณป้า..”
“เอ้อนี่..วันนี้เราว่างใช่ไหมลูก”
“อ๋อ ว่างฮะคุณป้า”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ป้าฝากไปดูม่านมันหน่อยสิ ป้ากะว่าจะเข้าครัวทำอาหารสักหน่อย แต่ช่วงบ่ายป้ามีธุระน่ะลูก หมูเอาไปให้ม่านแทนป้าหน่อยได้ไหม”
“หมู...
หมูไม่รู้ว่าม่านจะโอเคหรือเปล่าถ้าหมูไป”
“ทำไมจะไม่โอเคล่ะ แค่เอาของกินของใช้ไปให้เองลูก นะ..เดี๋ยวช่วงบ่ายนั่งรถออกไปพร้อมป้าเลย ส่งป้าเสร็จแล้วก็ไปส่งเราที่คอนโดม่าน ตามนี้นะลูก”
แบมแบมคงปฏิเสธคำขอจากผู้มีพระคุณไม่ได้ แม้สิ่งที่ต้องทำจะไม่ได้ฝืนใจตัวเองแต่แบมแบมไม่แน่ใจนักว่าม่านจะยินดีที่ได้เจอหน้ากันหรือเปล่า
“เดี๋ยวลุงต้องไปทำธุระให้คุณนายแล้วก็รอรับคุณนายต่อน่ะครับ ถ้าเสร็จธุระแล้วลุงจะมารับคุณหนูต่อนะครับ”
“อ่า...ได้ฮะลุงเอก ขอบคุณที่มาส่งนะฮะ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ ก่อนหน้านี้ม่านก็เคยพามา แต่ตั้งแต่วันนั้นที่ม่านตัดสินใจถอยออกจากความสัมพันธ์แบมแบมก็ยังไม่มีโอกาสได้มาที่นี่ก็สองสามเดือนแล้ว ม่านกลับไปบ้านเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อให้คุณนายเมทินีได้เห็นหน้าแต่ก็แทบจะนับประโยคที่คุยกันได้ สายตาที่มองมาแต่ละครั้งที่เจอก็ช่างว่างเปล่าจนน่าใจหาย แบมแบมรู้ว่าม่านก็กำลังพยายามอยู่ แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าความพยายามของม่านนั้นสำเร็จถึงจุดที่ม่านพอใจหรือยัง ร่างบางพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องบนคอนโดสูง กำถุงผ้าในมือที่ใส่อาหารและของที่คุณป้าฝากมาเอาไว้แน่นก่อนจะชั่งใจกดกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงหน้า
“หมู...”
เจ้าของชื่อยิ้มจนตาหยีเมื่อประตูห้องเปิดออก ต่างจากเจ้าของห้องที่ดูเหมือนวิญญาณไม่อยู่ในร่าง ส่วนคนที่ยิ้มก็แค่ยิ้มให้อีกคนรับรู้ว่าไม่เป็นไรนะ...ทุกอย่างมันยังโอเค
“คุณป้าให้หมูเอาของกินมาให้ คุณป้าทำเองเลยนะ”
“อืม...เข้ามาก่อนสิ”
.
.
.
“หือ...นี่มันห้องคนหรือรังหนูเนี่ย...
โหย...ขวดเบียร์เต็มไปหมดเลย”
น้ำตาในวันนั้นคงจางหายไปหมดแล้วจริงๆ ม่านฟังเสียงใสๆบ่นด้วยใจที่เต้นไม่เป็นท่า แล้วก็ได้รู้ว่าเวลาที่หายไปมันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่มีมาลดลงเลย เขามองร่างเล็กที่วางของลงบนเคาน์เตอร์ทำครัวก่อนจะเริ่มเก็บกวาดขวดเบียร์ที่ล้มระเนระนาดอยู่กลางห้อง ส่วนตัวเองได้แต่ยืนนิ่งมองทุกการกระทำของยัยหมูอยู่เงียบๆ ยัยหมูที่ดูสดใสไม่มีน้ำตา ยัยหมูที่ไม่หลบหน้าไม่เมินเฉยใส่กัน ยัยหมูที่ไม่มีความหวาดระแวงและตัวสั่นเพราะการถูกบังคับฝืนใจให้ทำเรื่องอย่างว่า...ทุกอย่างมันกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี
เขาเลือกถูกแล้วที่เดินออกมา
“ไอ้หมอกไม่มาด้วยเหรอ...”
“อ๋อ...หมอกไปธุระ น่าจะออกไปเจอเพื่อนด้วย”
ยัยหมูตอบไปพลางจดจ่อสายตาไปที่ขวดแก้วในมือ มันกำลังถูกทยอยใส่ลงในถุงดำ มือไม้ที่กำลังสั่นนั่นทำให้ตาคู่คมของคนที่ยืนอยู่มองสังเกต มันทำให้ม่านรู้สึกว่ายัยหมูกำลังประหม่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะจับมือคู่นั้นขึ้นมาให้หายคิดถึง แต่ในเวลานี้คงทำได้แค่เดินไปนั่งตรงโซฟาใกล้ๆ
“หมู...”
“หื้อ?”
ม่านจดจ้องแววตาใสที่เจ้าของเพิ่งเงยขึ้นมา เขาเจ็บปวดที่ทำได้แค่มองดวงตาที่ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันแล้ว ไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าแบมแบมแกล้งทำ หรือจริงๆแล้วแบมแบมลืมทุกอย่างได้แล้วจริงๆ
“ไม่ต้องเก็บหรอก
เดี๋ยวม่านก็ทำรกอีก”
“ม่านนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ…
แต่หมูทนเห็นไม่ได้หรอก”
ม่านยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ถึงจะรู้ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเหมือนแต่ก่อนแต่อย่างน้อยคำพูดของยัยหมูก็ยังให้ความรู้สึกว่าแบมแบมยังเป็นคนเดิมอยู่เสมอ แต่เขาจะทนกับความสัมพันธ์ที่แสดงเหมือนว่าเราไม่สนิทกันอีกได้อีกนานเท่าไหร่
อยากกอด...
อยากหอมแก้มนุ่มๆ...
อยากจูบริมฝีปากที่นุ่มหยุ่นสีสดตรงหน้าให้หายคิดถึง
เขารู้สึกผิดกับตัวเองและคนตรงหน้าทุกครั้งที่เลือกจะเดินออกมา
แต่ก็คงจะดีนั่นแหละ...ดีสำหรับทุกคน
“คุณป้าบอกว่าลุงเอกจะมารับ แต่ป่านนี้ยังไม่มาเลย”
มีเด็กกำลังเริ่มงอแง...
ม่านมองเด็กที่นั่งงมกับโทรศัพท์มือถืออยู่ร่วมยี่สิบนาทีได้ แต่ก็น่างอแงอยู่หรอกเพราะตอนนี้เริ่มดึกแล้ว สงสัยจะโดนพิษของคุณนายเมทินีเล่นงาน
“แล้วถ้าไม่มีใครมารับล่ะ?”
“หมูกลับแท็กซี่ก็ได้”
“เอางั้นเหรอ?”
“ก็จะให้ทำไงเล่า...”
“แต่ม่านไม่ให้กลับคนเดียว”
“หมูเข้ามหาลัยแล้วนะ...ไม่ใช่เด็กแบบที่ม่านคิดแล้วสักหน่อย”
“จะเก่งแค่ไหนเชียว..”
“ฮึ..”
ถูกทำฟึดฟัดแถมยังพองแก้มใส่...ซึ่งก็คุ้มแล้วกับการที่หยอกกลับไปแบบนั้น
“อยากกลับหรือเปล่า...ถ้าอยากกลับเดี๋ยวม่านไปส่งก็ได้”
“ไม่เป็นไร หมูไม่กวนม่านดีกว่า...
หมอกเพิ่งส่งข้อความมาว่าจะมารับพอดีเลย”
“อืม...ดีแล้ว”
เพราะถ้าเป็นหมอก...ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องห่วง
.
.
แค่กๆ...
“หมอก...
ไม่สบายเหรอ?”
สีหน้าหมอกดูไม่ดีเท่าไหร่ตั้งแต่ที่แบมแบมเปิดประตูเข้ามาในรถแล้ว อดถามไม่ได้หลังจากที่คนหลังพวงมาลัยไอกระเสาะกระแสะอยู่หลายครั้งหลายคราว
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก น่าจะเพราะอากาศเปลี่ยน”
“ขอโทษนะ...ไม่น่าให้หมอกมารับเลย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ถ้าเธอเลิกเกรงใจเรามันคงดีกว่านี้”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ
เค้าแค่ไม่อยากให้หมอกป่วยหนัก”
“อืม...เราไม่เป็นไรง่ายๆหรอกมารับเธอแค่นี้สบายมาก กลับกันเถอะนะ”
“อื้อ...กลับบ้านกัน”
ถ้าให้เลือกป่วยหนักกว่านี้ก็คงยอมดีกว่าที่จะปล่อยให้แบมแบมอยู่ที่นั่น เขาเป็นคนใจแคบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าถ้าไม่ได้มารับแบมแบมกลับบ้านคืนนี้คงกระวนกระวายเป็นบ้าคนเดียวทั้งคืน
วันนี้ดูเหมือนสภาพร่างกายจะไม่เป็นใจให้หมอกนัก บทจะป่วยก็ป่วยขึ้นมาดื้อๆ แต่จะโทษดินฟ้าอากาศอย่างเดียวก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะเมื่อคืนเขาลืมกินยาจนได้ ทำให้ต้องเริ่มวันใหม่ด้วยการไอกระเสาะกระแสะไปพร้อมกับพิษไข้ ร่างสูงที่นอนห่มผ้ามองไปยังคนตัวเล็กที่อ่านหนังสือนิยายเล่มโปรดในระหว่างที่ฆ่าเวลา พอเห็นว่าหมอกตื่นแล้วแบมแบมก็รีบวางหนังสือลง
“ไหนใครบอกเค้านะว่าจะไม่เป็นอะไรง่ายๆ”
“สงสัยมันอ่อนแอเพราะเธอมั้ง..”
“หื้อ...นี่เล่นมุขถูกไหม?”
สองริมฝีปากยกขึ้นพร้อมกันหลังประโยคล่าสุดจบลง แต่สำหรับคนป่วยมันคงจะดีกว่านี้ถ้าตอนนี้ไม่ได้ป่วย เขาอาจจะดึงร่างบางตรงหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วแกล้งให้เขินโทษฐานที่ล้อเลียนไป
“กินโจ๊กก่อนนะ เดี๋ยวจะได้กินยา
หมอกลุกไหวหรือเปล่า”
“อืม...เดี๋ยวเราจัดการต่อเอง
เธอไปเรียนเถอะ”
“เค้าจะไม่ไปจนกว่าหมอกจะกินโจ๊กให้หมดแล้วก็กินยา
เพราะงั้นอย่าได้คิดที่จะตุกติก”
“โถ่....นี่เห็นเราเป็นคนยังไง”
“ก็หมอกน่ะไม่ค่อยชอบกินยา แถมข้าวก็กินน้อย
แบบนี้แล้วจะหายได้ไงเล่า”
“ไม่หายก็ดี..”
“หื้อ...หมอกนี่น้า”
“ดีสำหรับเราจริงๆ
เพราะไม่สบายแล้วเธอดูแลดีเป็นพิเศษ”
“หมอกก็...”
“แต่คิดๆไปแล้วหายป่วยก็ดี..”
“…”
“เราจะได้จูบเธอได้”
“หมอก...
หื้อ...เดี๋ยวนี้เป็นคนแบบนี้เองเหรอ”
เรียวปากซีดยกยิ้มอีกครั้งในรอบวัน เขายิ้มให้กับเจ้าของแก้มกลมๆที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ถึงแม้แบมแบมจะทำเหมือนกับทุกอย่างในเวลานี้เป็นเรื่องล้อเล่น
แต่เขาอยากทำแบบนั้นจริงๆ...
“นี่เธอ..”
“หื้ม?..”
“ถ้าเราหายแล้ว
ออกไปเดินเล่นกันนะ”
“อื้อ...ได้อยู่แล้ว
งั้นหมอกต้องรีบหายนะ”
ใช่...คงต้องรีบหายแล้วล่ะ
เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ริมฝีปากสีแดงสดตรงหน้ามันกำลังมีผลต่อหัวใจมากเลยทีเดียว
เราจูบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ....
TBC
#Untwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บทหมอกก็คือพระรองจริงๆแหละแต่ยังไงก็ทีมหมอก ถึงหมูจะรักม่านฉันสงสารหมอก
ทีมหมอกแต่อยากให้สุดท้ายแล้วหมูเลือกม่าน (เอ๊ะ?)55555 ถ้าหมูคิดดีๆคนที่อยู่ข้างๆมาตลอดคือม่าน พอม่านหายไปก็เป็นห่วง ต่างจากหมอกที่จะมีค่าก็ต่อเมื่อหมูรู้ว่าหมอกอ่อนแอแล้วต้องการคนอยู่เคียงข้าง ถ้าหมูไม่รู้หมอกก็คงเป็นคนธรรมดาไม่ได้พิเศษเหมือนแต่ก่อน
หมอกทำดีที่สุดแล้วเว้ยแก...ㅠㅠ
สงสารหมอกอ่า มันเลือกไม่ได้เลยหรอหมู อยากรู้แล้วววววว่าทำไม
จริงๆการที่เราสัมผัสคนที่ตัวเองรักนี่ไม่ได้มีปัญหาเลย ถ้ายอมกันทั้งสองฝ่ายน่ะนะ แต่เหมือนม่านเคยเอาแต่ใจตัวเองด้วย รู้สึกผิดอยู่ด้วยนี่เนอะ เชียร์นะ สู้ๆ อย่าไปมีเรื่องบ่อยนักซี่ เดี๋ยวก็ตายหรอกโธ่~~~ ส่วนหมอกกะดูแลยัยดีเสมอต้นเสมอปลายเลย เชียร์เหมือนกัน หมูด้วย เลือกแล้วห้ามเสียใจทีหลังนะรู้ไหม เคารพความรู้สึกตัวเองมากๆนั่นแหละ เลือกแล้วกะมีความสุขมากๆนะ :)