ตอนที่ 1 : Prologue
Prologue
สำหรับผมคนที่ชีวิตเหลือคนรอบตัวช่างน้อยนิดนั้น คงจะมีไม่กี่คนที่เป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าได้ อารมณ์อย่างเช่นโลกที่ต้องมีดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์มั้งครับ เพราะตอนกลางวันโลกก็มีดวงอาทิตย์ที่ช่างร้อนแรงคอยอยู่เคียงข้าง ตอนกลางคืนก็มีดวงจันทร์สาดส่องลงมาไม่ทำให้โลกมันดูมืดมิดสนิทจนเกินไป
ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว
ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็อยู่เคียงข้างโลกอยู่เสมอ แค่เรามองเห็นมันต่างเวลากันก็เท่านั้น
กลับมาที่เรื่องของแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิต สำหรับผมแล้วแรงบันดาลใจที่ยังมีชีวิตอยู่คงจะเหลือเพียงแค่สองคน คนหนึ่งอยู่กับผมเสมอมาตั้งแต่เราพบกัน ส่วนอีกคนก็อยู่แสนห่างไกล แต่เป็นความห่างไกลที่ไม่เคยจากไปไหน ถือเป็นความแตกต่างที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงได้รู้สึกว่ามันไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ไม่แตกต่างเพราะทั้งสองสิ่งนั้นมีความหมายต่อใจของผมทั้งคู่
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์...”
ทุกอย่างเงียบลงในทันใดทั้งทีก่อนหน้านี้ยังมีเสียงประสานอยู่หลายๆเสียง สิ่งที่ผมพอจะโฟกัสได้คงจะเป็นเทียนหลายเล่มที่ปักอยู่บนเค้กรสโปรดที่ประดับด้วยสตอเบอรี่ลูกโต แล้วก็ใบหน้าที่แสงเทียนส่องอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของคนที่ถือเค้กวันเกิดอยู่
“อธิษฐานนานถึงพระอาทิตย์ขึ้นเลยมั้ย”
“แหม่...จะอธิษฐานทำไม อยากได้อะไรก็ขอคนถือเค้กก็จบ”
“แบมแบมเป่าเค้กอะไม่เอาน้ำลายนะ”
คิ้วของผมมันเริ่มกระตุกทั้งๆที่ผมพยายามตั้งสมาธิแล้วหลับตาลง ถึงผมจะไม่ลืมตาแต่ผมก็จำได้นะว่าเสียงพวกนั้นมันคือเสียงของใครบ้าง
“พูดมากจังวะพวกเหี้ย”
แต่เสียงทุ้มๆล่าสุดผมมั่นใจว่ามันเป็นเสียงของคนที่ถือเค้กอยู่
“ยัยหมู...ตั้งใจอธิษฐานนะ ไม่ต้องไปฟังพวกมัน”
ผมไม่ได้ชื่อหมูหรอกครับ พอได้ยินชื่อที่ถูกม่านเรียกใช้ประจำเผลอเบ้ปากเล็กน้อย ถึงแม้น้ำเสียงนั่นมันจะติดไปในโทนอ่อนโยนก็ตาม จริงๆมันเป็นเพราะความเขินมากกว่า
ผมลืมตาอีกครั้งไม่นานลมจากปากก็ไปจ่ออยู่บนเทียนหลายเล่มก่อนที่มันจะดับลงเกือบทุกเล่มและดับทุกเล่มในเวลาต่อมา ไฟในห้องสว่างขึ้นมาอีกครั้งทำให้ผมเห็นทุกๆอย่างได้ชัดเจน เหตุการณ์พวกนี้ก็เป็นเรื่องปกติของทุกปีตั้งแต่ที่มีม่านมาอยู่ในชีวิต หลังจากนั้นผมก็มีงานเลี้ยงวันเกิดในทุกๆปีอย่างสนุกสนาน หรือแม้แต่อบอุ่นใจ แล้วแต่ว่าปีไหนจะจัดกับใครบ้าง แต่ไม่มีปีไหนที่ไม่มีผู้ชายที่ชื่อว่า ‘ม่าน’ เลยสักครั้ง
“หมู...”
“อือ...”
“ยัยหมู....”
“อือ...อื้ม...”
“ยัยหมูครับ”
“...อื้อ...”
“ตื่นได้แล้ว...อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่เหรอ”
ก็เคยใช่...แต่ตอนนี้เปลือกตามันไม่เป็นใจ
“ไว้ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้”
“ผลัดมาสองวันแล้วนะ”
“พรุ่งนี้ไปจริงๆ สาบานให้ตาย”
“ไม่ต้องมาสาบานอะไรแบบนี้เลยนะ ตายอะไร...ลุกเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้ไม่ไปม่านจะฟ้องคุณนายเมทินีว่ามีเด็กกินเหล้าไปเกินลิมิตที่ตั้งไว้เยอะมาก แถมยังเมาปลิ้นเป็นหมูตกบ่อน้ำอีก”
“ทำไมม่านต้องเอาเรื่องคุณนายเมทินีมาอ้างด้วยเล่า...ม่านก็รู้นี่ว่ามันได้ผลทุกครั้ง”
ผมพูดด้วยเสียงงัวเงียแต่ก็ยังแอบโกงนิดๆด้วยการไม่ยอมลืมตา แต่คุณนายเมทินีนี่ดุจริงๆเชียว ถ้ารู้ว่าผมทำอย่างที่ลูกชายไปฟ้องจริงๆได้บินกลับจากฝรั่งเศสมาตีผมจนก้นลายแน่ๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเพื่อยืดเวลา ม่านจะไม่ฟ้องถ้าหมูตื่นตอนนี้ก็ได้”
“อื้อ...แต่หมูง๊วงง่วง” ทั้งที่ผมยังไม่ลืมตาแต่ก็สามารถหาตำแหน่งมือที่คุ้นเคยได้ ผมกุมมือลงไปบนมือที่หนากว่าแล้วบีบๆให้รู้ว่าผมกำลังอ้อนนะ
“งั้นม่านจะหยิบโทรศัพท์แล้วนะ”
“ตื่นๆๆ...ตื่นแล้วก็ได้ เบื่อม่านอะทำไงดี”
ผมลืมตาขึ้นมาก็พบผู้ชายผมสีบลอนด์ที่คุ้นเคยดี อันที่จริงจะว่าไปแล้วเพราะกลัวคำขู่ของลูกชายคุณนายเมทินีอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะผมได้มีเวลาเตรียมใจที่จะต้องตื่นในระหว่างที่ต่อความกับคนที่ผมจับมืออยู่ต่างหาก
เพื่อนๆที่มาฉลองวันเกิดพากันกลับไปหมดแล้ว กว่าจะขึ้นไปกรุงเทพก็คงใช้เวลานานเพราะรถค่อนข้างติดจึงกลับกันไปตั้งแต่เช้ามืด ส่วนผมกับม่านยังมีเวลาอีกเยอะแยะไม่ต้องรีบกลับไปไหน
พระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลดูกี่ทีกี่ทีก็ยังคงสวย ผมไม่ตื่นเต้นนักกับการที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแต่ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นมันร่วมกับคนที่อยู่ด้วยตอนนี้มากกว่า
“อยากไปไหนไหม”
“ทำไมอ่ะ...จะตามใจเหรอ”
“ก็ตามใจทุกวัน”
“เหรอ....กำลังจะพูดเลยอ่ะว่าที่ตามใจเพราะวันนี้เป็นวันเกิด”
ผมก้มหน้าพยายามพูดให้ใกล้หูคนที่ผมอยู่บนแผ่นหลังให้ได้มากที่สุด ม่านพาผมก้าวเดินไปบนผืนทรายได้อีกสองสามก้าวผมก็นึกอะไรออก
“หมูอยากไปส่งโปสการ์ดจัง”
“ส่งโปสการ์ดเนี่ยนะ...ผู้หญิ้งผู้หญิง แล้วจะส่งให้ใคร ”
“อย่าแซวสิ...
ก็ส่งไปให้หมอกไง”
“…”
“เอ้า...หยุดเดินทำไมเล่า ม่านอะ จะแกล้งบ่นว่าหมูตัวหนักใช่ป่ะ รู้ทันนะ”
“ก็หมูกินเยอะไง ม่านจะแบกไม่ไหวแล้วนะ”
.
.
.
ในที่สุดผมก็อ้อนม่านให้พามาในตัวเมืองได้สำเร็จ บ้านพักที่เป็นของม่านอยู่ค่อนข้างไกลผมก็เลยเผลอหลับไประหว่างทาง ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่หลับแล้วก็คุยเป็นเพื่อนกับม่าน แต่ผมก็เสียนิสัยอยู่บ่อยๆรวมถึงครั้งนี้ด้วย
พอธุระเรื่องส่งโปสการ์ดจบลงเราก็ถือโอกาสหาอะไรลงท้องเป็นลำดับถัดมา หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่บ้านพักตากอากาศเลย เพราะอากาศที่ค่อนข้างร้อน
คืนนี้เป็นคืนแรกจากการมาที่ทะเลที่ผมกับม่านอยู่ด้วยกันสองคน หลังมื้ออาหารง่ายๆที่ม่านเป็นคนทำผมก็ขึ้นมาอาบน้ำ พอออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าม่านนั่งเล่นกีตาร์โปร่งอยู่บนเตียง ม่านรู้ว่าผมนอนคนเดียวไม่ได้คงจะมารอผมตั้งแต่ที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จ ผมเดินเช็ดหัวที่เปียกหมาดๆก่อนจะทิ้งสะโพกลงที่ฟูกนุ่มๆ เสียงกีตาร์ที่ม่านเล่นก็เพลินไปอีกแบบ ผมเอียงเอนศีรษะไปพิงไหล่ทั้งที่ยังใช้ผ้าขยี้ไปตามกลุ่มผม ถ้าไม่ใช่ม่านแล้วทำแบบนี้บางทีผมก็คิดว่าคงจะโดนรำคาญ แต่เพราะเป็นม่านไง...ผมรู้ว่าม่านไม่เคยรำคาญผมหรอก แล้วผมก็ไม่เคยรำคาญม่านเลยเช่นกัน
ผ่านไปอีกคืนที่ผมอยู่กับม่าน แต่...มันเป็นคืนที่ไม่เหมือนคืนที่ผ่านๆมา เพราะบรรยากาศหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองจมอยู่ใต้อ้อมกอดของม่าน ไม่อยากจะเชื่อว่าผมกับม่านเราทำเรื่องแบบนั้นกันไปเมื่อคืน...
ร่องรอยบนต้นขาของผมเป็นสิ่งแรกที่ตอกย้ำว่าผมเป็นของม่านไปแล้ว รอยจางๆสีกุหลาบที่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งมันปิดไม่มิด ผมไม่ได้โกรธม่านหรอกที่ทำอะไรแบบนั้น เพราะผมก็เต็มใจที่จะให้ม่านเหมือนกัน แม้ที่ผ่านมาเราจะไม่เคยพูดถึงเรื่องสถานะกันเลย ตอนนี้เปลือกตาของม่านยังคงปิดสนิท ม่านในท่อนบนที่เปลือยเปล่าทำให้สายตาของผมมองม่านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาผมจะเห็นม่านถอดเสื้อนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่เลยจริงๆ...ใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมา ผมภาวนาอย่าให้ม่านรู้สึกตัวขึ้นมาตอนนี้ พยายามขยับร่างที่ยังถูกกอดแบบหลวมๆของตัวเองอย่างช้าๆ เพียงแค่ขยับนิดเดียวก็รู้สึกว่าร่างกายมันแทบจะแหลกละเอียด คอยดูถ้าตื่นขึ้นมาผมจะบ่นให้หูชาเลย
เพราะความคอแห้งทำให้ผมต้องพยายามก้าวขาลงจากบันไดเพื่อลงไปยังห้องครัวที่ชั้นล่าง ส่วนม่านยังหลับเป็นตาย ก็ดีแล้วเพราะถ้าตื่นมาตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะวางสีหน้ายังไงดี
กว่าที่ปลายเท้ามันจะแตะลงไปบนพื้นขั้นสุดท้ายได้ผมก็ได้ลิ้มรสของความทรมานอย่างแท้จริง ที่เขาบอกว่าครั้งแรกมันเจ็บมากผมคิดว่าจะเป็นแต่เฉพาะกับผู้หญิงเสียอีก
ก่อกแกร่ก....
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างลอยแว่วมา คิดว่าตัวเองหูฝาดไปก็ไม่ใช่ มาคิดอีกทีที่บ้านหลังนี้ตอนนี้ก็มีแค่ผมกับม่านที่อยู่ ความกลัวและความกังวลใจมันก็เริ่มแผ่ซ่านออกมา หรือผมควรจะกลับขึ้นไปเรียกม่านดี เพราะสภาพของผมตอนนี้คงไม่สามารถไปสู้รบกับใครได้ถ้าหากว่ามันกำลังเป็นแบบที่ผมกลัว
“ไง...”
ผมสะดุ้งอีกครั้งโชคดีที่มือยังจับราวบันไดเอาไว้ ตาที่โตอยู่แล้วมันเบิกกว้างทันที ไม่ใช่แค่เสียงที่ผมได้ยิน ใบหน้าของคนที่เหมือนกับคนที่หลับอยู่ข้างบนกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าของผม ถ้าไม่ติดว่าสีผมที่แตกต่างผมคงคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือม่าน
ผมมองใบหน้าที่เจ้าของใช้สายตาเคลื่อนลงต่ำพิจารณาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเคลื่อนไหวสายตาอย่างช้าๆ มันจะดีกว่านี้ถ้าการเจอกันครั้งแรกของเราในเวลาสามปีผมจะอยู่ในสภาพที่น่าดู เพราะท่อนขาของผมตอนนี้มันได้รับการปกปิดจากเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งและกางเกงชั้นในเท่านั้น โชคดีที่มันยาวพอจะปิดส่วนที่ไม่น่ามองเอาไว้ แต่มันก็ปิดไอร่องรอยที่ม่านทำเอาไว้ได้ไม่หมด
ผมตั้งสติตัวเองก่อนจะพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าออกไป
“หมอก...”
To Be Continued
#UnTwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่าติดตามๆ
แต่นายเอกเสียตัวให้ม่านแล้ว
ชอบพลอตเรื่องแนวนี้มากเลยค่ะ ชอบบบบบ
จะติดตามตลอดนะคะ 😍
ชอบพลอตเรื่องแนวนี้มากเลยค่ะ ชอบบบบบ
จะติดตามตลอดนะคะ 😍