ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Naruto ) Naruto The paradise of Atlantis ผจนภัยดินแดนแอตเลนติส

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8 นครเอลเดอร์

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 63





         ผ่านมาได้ 2 เดือน พวกเรานั้นแถบ จะต้องค่อยเลี่ยงเด็กและดูแลเด็ก ๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ตอนนี้พวกเราเริ่มชินและปรับตัวเข้ากับเด็กได้แล้ว ตอนนี้พวกเราเริ่มรับมือรวมทั้งดูแลเด็กได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก

    "อ่านี้ เสร็จแล้วละนะ" เด็กสาวผูกโบว์ให้เด็กหญิงตัวน้อยผมน้ำตาล

    "ขอบคุณมากค่ะ พี่คุชินะ" เด็กสาวตอบอย่างยิ้มแย้ม

    "โอเคงั้นไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของเธอได้แล้วนะ" 

         ตอนนี้เด็กน้อยได้วิ่งซนไปหาเหล่าบรรดาเด็กๆ คนอื่นที่อยู่บนสนามหญ้า โดยที่คุชินะทำได้เพียงแค่มองอย่างมีความสุข เธอเอามือที่บอบบางลูปท้องที่โป่งพ่องออกมา พร้อมกับนึกถึงคำพูดที่ ท่านฮารุกะได้บอกไว้กับฉันและมินาโตะ

    "เธอได้ลูกแฝด" ท่านหญิงฮารุกะ พูดออกมาอย่างเรียบง่าย

    "อะไรนะ"

         เด็กทั้งสองถึงกับร้องออกมาทันที่ นึกไม่ถึงจริงว่า เด็กในท้องนี้จะเป็นลูกแฝด ตอนนี้ท้องของฉันมีอายุครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว ขอบใจนายมากมินาโตะ คนเดียวยังไม่พอยังให้เพิ่มมาอีก นายนี้แรงไม่เบาจริงเลย

    "ทำไมท่านถึงรู้ละครับ" เด็กหนุ่มมินาโตะถามหญิงสาวกลับอย่างไม่เชื้อสายตา (ไม่อยากเชื้อ น้ำเชื้อของฉันจะแรงถึงปานนี้เลยหรือเนี้ย) เด็กหนุ่มคิด

    "ก็ท้องเธอมันใหญ่ผิดปกติไง " หยิงสาวตอบอย่างเรียบๆ " คนที่ท้องลูกเดียวจะใหญ่ไม่มากหรอก แต่คนที่ท้องลูกแฝดท้องนั้นจะใหญ่กว่าปกติ  นึกไม่ถึงจริงนะไอ้หนุ่มเอ้ย เธอนี้เชื้อแรงไม่เบาจริง ๆ นี้แค่อายุ 13 เองนะเนี้ย"

         คำพูดของหญิงสาวทำให้มินาโตะหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้คุชินะหัวเราะออกมา อย่างมีความสุข ช่วงเวลานั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนนั้นมีความสุขอย่างมากที่พวกเรากำลังจะเป็นพ่อแม่คนถึงแม้จะเจออุปสรรคก็ตาม รวมทั้งการเลี้ยงลูก


    ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน


         ตอนนี้ ฉันกำลังดูแลเหล่าบรรดาเด็กตัวน้อยที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน มันทำให้ฉันนึกถึงชีวิต และครอบครัวของฉันที่ได้จากไป แค่คิดก็เศร้าแล้ว แต่ตอนนี้ ฉันกำลังจะมีครอบครัวใหม่ และมีอีกสองชีวิตกำลังรอที่จะเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ฉันฝันไว้เสมอว่าเราสี่คนพ่อแม่ลูกจะกลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ถึงเราจะเป็นสิ่งที่เราได้ทำพลาดจนเกิดพวกเขาขึ้นมาก็ตามเราจะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด 

    "คุชินะ " เด็กหนุ่มเรียกเด้กสาวจากข้างหลังขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยคิดถึงเรื่องต่างๆ ในชีวิต

    "มีอะไรหรือมินาโตะคุง" เด็กสาวถาม

    "วันพรุ่งนี้เราเตรียมพร้อมได้แล้ว เราจะไปเที่ยวนครเอลเดอร์ เมืองหลวงของ ทวีปแอตแลนติส เธอเตรียมไปจัดเสื้อได้แล้วนะ" เด็กหนุ่มพูดอย่างตื่นเต้น

    "จริงหรือ" เด็กสาวตาลุกวาวขึ้นมาทันที่ นี้เรากำลังจะได้ไปเที่ยวกันใช้ไหม ฉันอยากไปเที่ยวอยู่แล้ว

    "จริงสิ งั้นวันนี้เธอไปจัดของให้เรียบร้อยนะ เราจะไปเที่ยวกันแล้ว ลูกจ่าวันนี้พ่อกับแม่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวแล้วนะ ลูกอยากจะไปร่วมผจนภัยไหม" 

         เด็กหนุ่มเอาหูแนบกับท้องและพูดกับท้องของเด็กสาวที่โย่วออกมา  ราวกับกำลังจะบอกลูกให้รู้เรื่องที่กำลังจะไปท่องเที่ยวกัน

    "งั้นฉันขอดูแลเด็ก ๆ ให้เสร็จก่อนนะ เดียวฉันไปจัดของเอง" เด็กสาวพูด

    "ไม่เป็นไรเดียวฉันช่วยเธอเอง เธอท้องอยู่นะ" เด็กหนุ่มยังคงเอาหูแนบกับท้องและลูปไปมา "คนเป็นแม่ควรมีคนเป็นพ่อควรช่วยด้วยสิ จะได้แบ่งเบาภาระกัน"

         เด็กทั้งสองหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่เคยมีครั้งในมาก่อนเลยที่พวกเขาจะมีความสุขร่วมกันอย่างนี้มาก่อนเลย

    *******


         เช้าวันต่อมาพวกเราได้จัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหารและอาวุธอย่างคุไนแลดาวกระจาย และยานพาหนะที่ท่านฮารุกะแนะนำที่จะเดินทางนั้นคืออะไรนั้นท่านไม่บอกหรอก 

         ตอนนี้เราสองคนและท่านฮารุกะมาอยู่ที่บนหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรจนกระทั้ง

         
    "คุณพระคุณเจ้า" เด็กหนุ่มถึงกับอ้าปากข้าง

    "นี้มันอะไรกันเนี้ย" เด็กสาวพูดอย่างไม่เชื้อสายตา



         สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น มันคือเรือบินที่แกะสลักอย่างสวยงาม มันมีเส้ากระโดงเรือ 4 เส้า รวมทั้งข้างเรือยังมีปีกที่เรียบอยู่สองปีก และเรือลำนี้มันบินได้ และมันได้มาจอดเที่ยบท่าบนหอคอยตรงที่เราอยู่พอดี

    "นี้มันเรือบินนี้" เด็กหนุ่มตะโกนอย่างไม่เชื้อสายตาเพราะในโลกนินจานั้นไม่เคยมีใครประดิษฐ์เรือบินได้มาก่อนเลยด้วยซ่ำ

    "อ่าว อย่าพึงตื่นเต้น ขึ้นไปได้แล้วเดียวก็ตกเรือหรอกทั้งสองคน" ฮารุกะ พูดให้เด็กทั้งสองขึ้นเรือ

         ทั้งมินาโตะและคุชินะ รวมทั้งคณะของท่านหญิงฮารุกะต่างพากันขึ้นไปบนเรือบิน เมื่อขึ้นมาครบแล้วเรือก็ได้บินออกจากท่าไป ตอนนี้เรือบินได้โผบินอยู่บนท้องฟ้าที่แสนเย็นสบายปุ๋ยเมฆ สีขาวบริสุทธิ์ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ตั้งแต่เกิดมาพวกเราไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่

    "แหวะ !!" เด็กสาวรีบเกาะขอบเรือและสำรอกของเหลวออกมา อย่างไม่ทันตั้งตัว 

    "เป็นอะไรหรือเปร่า" เด็กหนุ่มรีบเข้ามาดูอาการโดยพยายามตบหลังเด็กสาวอย่างเบาๆ

    "สงสัยจะเมาเรือมัง" ท่านหญิงฮารุกะพูดขึ้นโดยที่ยังคงยิ้มอย่างขำ "คนที่ขึ้นเรือครั้งแรกก็แบบนี้แหละเดียวก็ชินไปเอง"

    "แหวะ!!" ยังไม่ทันที่จะพูดเด็กสาวก็สำรอกของออกมาเด็กหนุ่มก็มิวายเจอแบบเดียวกับเด็กสาวตอนนนี้ทั้งสองคนต่างสำรอกของเสียออกมาอย่างไม่หยุด ทำให้ฮารุกะรู้สึกขำกับเด้กทั้งสองคนนี้

         ภายในเรือนั้นมีการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีระเบียบตอนนี้เด็กทั้งสองต่างอยู่ในสภาพที่หมดสภาพสมบูรณ์หลังจากที่สำรอกของเสียออกมา ทำให้ทั้งสองหลับอยู่บนโซพาที่สวยงามและนุ่มนวน

    ผ่านมาได้สองวันแล้วที่เรือบินลำนี้ยังคงเดินทางต่อไม่หยุด เพราะดินแดนแอตแลติสนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่คาดเอาไว้อีก ตอนนี้มินษโตะและคุชินะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก สายลมเย็นผัดผ่านร่างกายจนทำให้ตัวเย็นสั่นนิดหนึ่ง 

    "มินาโตะดูนั้นสิ" เด็กสาวชี้ไปที่บ้างอย่าง

    "นั้นมัน" 

         เด็กหนุ่มถึงกับไม่เชื้อสายตาของตัวเองเมื่อพบว่าสิ่งที่บินออกมาจากหมู่เมฆนั้น มันเป้นนกอินทรีย์ยักษ์ที่มีลำตัวยาว 30 เมตร มีปีกขนาดใหญ่ 6 ปีก มันมีขนสีขาวทั้งตัว มันไม่ได้มาแต่ตัวเดียวแต่มันมาเป็นทั้งฝูง ซึ่งนับได้ราวประมาณ 50 ตัว 



         เด็กทั้งสองต่างตื่นตะลึงกับสัตว์โลกแห่งนี้ซึ่งมักจะมีอยู่ในตำนานเรื่องเล่านิทานมากกว่าแต่นี้ถ้าผู้ใดมาเห็นเข้าละก็คงอาปากข้างไปตาม ๆ กันเลยที่เดียว

    "นั้นนกอินทรีย์การูดา" ฮารุกะโพล่ขึ้นมาอย่างไม่ทันให้ทั้งสองตั้งตัว "พวกมันชอบบินเล่นอยู่บนท้องนภาอยู่แล้ว"

    "พวกมันอยู่ที่ไหนและมันกินอะไรเป็นอาหารหรือครับ" เด้กหนุ่มถามหญิงสาว

    "พวกมันชอบสร้างรังอยู่ตามภูเขาน้อยใหญ่ทั่วไป และจับสัตว์ใหญ่จำพวกช้าง หรือสัตว์ใหญ่อื่นกิน"

    หญิงสาวเดินมาแล้วมาจับที่ราวระเบียงเพื่อมองพวกอินทรัย์การูดานั้นโผบินอิสระ

    "แล้วพวกเราจะใช้เวลากี่วันถึงจะถึงนครเอลเดอร์ละ" เด็กสาวถาม

    "ก็คงซัก ดูตรงนั้นสิทั้งสองคน!!" หญิงสาวชี้ไปข้างหน้าทำให้เด็กทั้งสองมองตามไปตามทางที่ชี้ก็พบว่า





         มีบางสิ่งบ้างอย่างกำลังแหวกออกมาจากเมฆ มันได้พุ่งออมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นอสูรที่มีเกล็ดสีแดงดั่งเลือด คอยาวมีเขาสี่เขาอยู่บนหัว  และมีหางที่ใหญ่ยาว มันมีลำตัวยาว 300 เมตร ปีกค้างคาวของมันกว้างใหญ่พอจะบดบังแสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด มันมีกรงเล็บขนาดใหญ่พอจะกำทั้งขุนเขาได้ และฟันที่แหลมคม มันบินเข้ามาโฉบกินนกการูดาอย่างรวดเร็วด้วยปากที่ใหญ่ของมัน มันเขี่ยวนกตัวนั้นกลืนเข้าไปในคอของมันอย่างกับกินของง่ายเข้าปาก

    "นั้นคือมังกรยักษ์" ฮารูกะพูด

    "มังกรยักษ์"

         เด็กทั้งสองประสานเสียงร้องขึ้นมาทันที่เพราะไม่เคยนึกเคยเชื้อว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นจะได้เจอสัตว์ในตำนานที่ผู้คนต่างเล่าขานกันมาเนิดนาน หลายคนคิดว่าไม่มีอยู่จริงแต่ถ้าได้มาเห็นเข้าคงได้คิดใหม่แน่นอน

    "สุดยอดจริง" เด็กสาวร้องอย่างตื่นเต็นพร้อมกับลูบท้องที่ป่องออกมา "ลูกจ่าดูสิ นั้นมังกรยักษ์สัตว์ในตำนานที่ผู้คนเล่าขานกัน"

    "นึกไม่ถึงจริงว่าฉันจะได้มาเจออะไรแบบนี้" มินาโตะพูดอย่างไม่เชื้อสายตา "นี้มันสุดยอดจริงๆเลย"

         ตอนนี้เด็กทั้งสองยังคงชมมังกรและนกยักษ์อย่างสอดรู้สอดเห็นและรู้สึกแปลกใหม่ที่พวกเขาทั้งคู่ได้มาเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ และไม่เคยมีในโลกนินจามาก่อน


         ผ่านมาได้ 6 วันแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะถึงนครเอลเดอร์เลยด้วยซ่ำการใช้ชีวิตอยู่บนเรือบินนั้นทำให้ทั้งสองรู้สึกเบื่ออย่างมาก ที่บนฟ้านี้มีแต่ท้องฟ้าหาได้มีสิ่งแปลกใหม่ไหม นอกจากมังกร นกอินทรีย์ยักษ์ หรือไม่ก็เหล่าบรรดาฮาร์พี ที่มีรูปลักษณ์เหมือนมุนย์ แต่มีปีกและข้าเป็นนก พวกมันมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเท่าที่อ่านเกี่ยวกับพวกมันมานั้น ตัวเมียจะออกลูกเป็นไข่ โดยไข่ของมันนั้นมักเป็นสีเงินที่แสนสวยงาม





    "นั้นมันอะไรนะ" มินาโตะชี้ไปที่เจ้าสิ่งนั้นทันที่ มันมีลักษณะเหมือนเรือที่มีรูปลักษณ์เหมือนวาฬ ไม่มีเส้ากระโดงเรือ มันเป็นเรือบินลำใหญ่มาก โดยที่ข้างหลังของมันนั้น มีแก่นพลังงานคอยหล่อเลี้ยง

    "นั้นมันคือเรือ แอตลิส" ฮารุกะมองไปที่เรือลำนั้น "มันคือเรือเดินทางที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยสร้างมาเลย"

    "จริงสิเรือพวกนี้ใช้พลังงานอะไรถึงบินได้ครับ" เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะเรือบินพวกนี้ถ้าจะบินได้จำต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อน แต่ไม่รู้ว่ามันใช้พลังงานอะไร

    "ใช้พลังคริสตัลไงละ " หญิงสาวอธิบาย "มันเป็นพลังงานที่สามารถหาได้จากการใช้เวทมนต์ตกผนึกกับคริสตัล จนเกิดเป็นก้อนพลังงานที่ทรงอำนาจมากไงละ"

    "อืม มันเป็นแบบนี้นี้เองมิน่าละเรือถึงบินได้ จริงสิแล้วนครเอลเดอร์นั้นมีลักษระเป็นอย่างไรหรือครับ"

         เด็กหนุ่มเปลี่ยนคำถามอย่างฉับพลันจนหญิงสาวแทบตามไม่ทัน

    "เดียวเธอก็เห็นเองและ ตอนนี้เราเข้าไปพักผ่อนกันดีกว่านะ" หญิงสาวชวนเข้าข้างใน

    "ท่านหญิงฮารุกะตอนนี้เราใกล้ถึงนครเอลเดอร์แล้วค่ะ" กัปตันสาวคนหนึ่งวิ่งมารายงานให้ท่านหญิงได้รับทราบฝั่ง

    "ดูท่าเราจะมาถึงแล้วละ ดูตรงนั้นสิ มินาโตะคุงนั้นแหละนครเอลเดอร์" หญิงสาวชี้ลงไปข้างล่างของเรือบิน เมื่อเด้กหนุ่มมองตามก็พบกับ




         มหานครเอลเดอร์เป็นนคราที่เมืองทั้งเมืองนั้นสร้างจากหินสีขาวบริสุทธิ์ มันเป็นมหานครที่มีกำแพง 3 ชั้น  ชั้นแรกเป็นที่ตั้งของ ปราสาทราชวัง ชั้นที่ 2 เป็นที่ตั้งของบ้านเรือนคนชั้นสูง ชั้นที่3 ถือได้ว่าเป็นชั้นที่ใหญ่สุดเป็นที่ตั้งของบ้านเลือนประชาชนทั้วไป บ้านเรือนของประชาชนนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างมีระเบียบมีการวางผังเมืองที่ดูมีความเรียบร้อยและไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อนยังไม่ร่วมถึงการเหล่าบรรดาต้นไม้ที่ปลูกขึ้นตามถนนหนทางต่าง ๆ ทำให้มีบรรยากาศร่มลื่น อาคารบ้านเรือนสร้างขึ้นจากศิลาขาวทั้งหลัง หอคอยสูงใหญ่ดุจอัญมณีที่ตั้งตระหง่า ประชาชนที่นี้เป็นผู้หญิงหมดแถบไม่มีผู้ชายเลยด้วยซ่ำ  เมืองนี้ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเอล ที่ไหล่ลงมาจากเทือกเขาอาราเดีย ซึ่งเป็นเทือกเขากึ่งกลางของทวีปแอตแลนติส

         เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นตะลึงอย่างมากที่ตนได้มาพบกับสิ่งมหัศจรรย์ของทวีปนี้ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยค้นพบมาก่อนเลย เขาอยากให้นี้เป็นเพียงแค่ฝันแต่นี้มันเป็นของจริงและมีจริงๆ ตอนนี้เรือได้แล่นเข้ามาจอกเทียบท่าบนหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่จอดเรือ ท่านหญิงฮารุกะ กับ มินาโตะและคุชินะเดินออกมาจากเรือ และลงลิฟท์ไปชั้นล้างที่มีรถม้าจอดรออยู่ เด็กสาวคุชินะถึงกับตกตะลึงกับความงามของมหานครแห่งนี้นึกไม่ถึงเลยว่าในชีวิตของเธอนั้นจะมีครั้งใดก็ตามที่ได้พบกับสิ่งที่วิเศษขนาดนี้ 

         จนกระทั้งเมื่อพวกเขาได้ขึ้นรถม้าไป รถม้านั้นได้แล่นไปตามถนนหนทางต่าง ๆ ของเมืองเด็กหนุ่มและเด็กสาวต่าง มองออกมานอกหน้าต่าง ก็พบกับบ้านเรือนสีขาวที่สวยงาม ผู้คนต่างออกมาเดินจับจ่างใช้ส่อยกัน ตามปกติ ผู้คนที่นี้แต่งกายกันหลากหลาย มีร้านค้าและตลาดมากมายที่สวยงาม ถนนปูด้วยอิฐสีขาว กลิ่นอาหารที่คนขายตามข้างทางนั้นลอยโชยหอมออกมาจนทำให้เด็กทั้งสองอยากให้หยุดรถแล้วลงไปซื้อมากิน ยังไม่ร่วมถึงร้านขายเสื้อผ้าที่ดูมีสีสันสวยงาม ร้านขนมที่มีเด็กเข้าไปซื่อขนมหวานมากิน ตามถนนหนทางนั้นเต็มไปด้วยเกวียนที่มีการใช้ม้า และนกยักษ์ที่บินไม้ได้มาเป็นพาหนะในการสัญจรไปมา

    "สุดยอกมาเลยหนูไม่เคยรู่มาก่อนเลยว่าจะมีเมืองที่สวยสง่าแบบนี้มาก่อนเลย" คุชินะรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเธออยากให้ลูก ๆ ในท้องของเธอออกมาเที่ยวเล่นในเมืองแห่งนี้

    "ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี้จะมีเมืองแบบนี้อยู่อีกโลกหนึ่งนี้มันสวรรค์สุดๆ ไปเลย " เด็กหนุ่มพูด "แต่เดียวนะท่านฮารุกะ คนที่นี้ปกครองกันอย่างไรทำไมถึงแทบไม่มีคนยากคนจนเลยด้วยซ่ำ"

         คำถามของมินาโตะเป็นเรืองที่หน้าสนใจมากๆ เพราะในสมัยที่ยังอยู่โลกนินจานั้นไม่ว่าจะไปปฎิบัติภารกิจที่ไหนก็ตามเด็กหนุ่มจะพบเห็นความยากจนและการเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ นานาจากผู้ปกครองท้องถื่น แต่กับที่นี้ ที่นี้นั้นแถบไม่พบเห็นความเหลื่อมล้ำเลยด้วยซ่ำผู้คนอยู่อย่างมีความสุข เป็นกันเองไม่ถือตัวกัน อย่างท่านหญิงฮารุกะเป็นถึงผู้ปกครองเมืองอุซึชิโอะแต่ไม่เคยถือยศตัวเองว่าเป็นผู้ปกครองหรือนายเหนือหัว 

    "ผู้ปกครองที่นี้ในพื้นทวีปนี้ ยึดหลัก การปกครองโดยธรรมะ" หญิงสาวอธิบายด้วยเสียงที่เรียบแต่ไพเราะ "และพวกเขาก่อนที่จะขึ้นมาเป็นนั้นพวกเขาจะถูกเลือกจากประชาชนของเมืองพวกเขาเอง และเมื่อขึ้นมาแล้วจะต้องสาบานต่อทวยเทพ ว่าจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม และทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และอีกอย่างคนที่นี้ยังมีสวัสดิการด้วยนะ"

    "แล้วไม่กลัวพวกเขาผิดคำสาบานหรือ" เด็กสาวถามขึ้นมาทันที่หลังจากที่มองวิวทิวทัศน์เสร็จแล้ว

    "ไม่หรอกคำสาบานนั้น มันศักดิ์สิทธ์มากใครผิดนิดเดียว จะต้องตายทันที่อย่างเรี่ยงไม่ได้" หญิงสาวพูดด้วยเสียงที่เย็นชาคำพูดนั้นมันเย็นเข้ามาถึงกระดูกของเด็กทั้งสอง

    "แล้วนี้เราจะไปไหนกันหรือ" เด้กสาวถาม

    "ไปพบเพื่อนเก่าของฉันก่อนไง"

         หญิงสาวพูด ตอนนี้รถม้าได้วิ่งเข้ามาถึงเขตตัวเมืองชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้าน และคฤหาสน์ชนชั้งสูง มันถูกสร้างอย่างรวยงามและประนีตอย่างมากจนไม่อาจหาช่างฝีมือคนไหนเทียบได้เลยบนโลกนี้ รถม้าแล่นผ่านไปตามถนนจนกระทั้งเข้าสู่ตัวเมืองชั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาปราสาทที่สวยงามที่สุด มันถูกสร้างขึ้นมาจากศิลาขาวทั้งหมด มีหอคอยที่สูงลิ่ว ถึง 10 หอคอย ประตูมหาปราสาทราชวังนั้นถูกแกะสลักเป็นรูปต้นไม้และหญิงสาวเปลือยกายอย่างประณีต

         ตอนนี้รถม้าได้มาจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวังเรียบร้อย ที่หน้าประตูวังนั้นมีทหารอัศวินหญิงสองคนยื่นทถือหอกคอยเฝ่าไว้อยู่ตลอดเวลา พวกเธอทั้งสองได้เดินไปเปิดประตูวัง และก็ได้มีอิสตรีนางหนึ่งเดินออกมา เธอเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวย ผมสีทองดวงตาสีเขียวมรกต ผิวกายขาว สวมใส่ผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ เธอเดินมาที่รถม้าอย่างรวดเร็ว เพื่อมาพบกับสหายเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน นับตั้งแต่เมื่อ 100 ปี ก่อน

    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฮารุกะ" หญิงสาวพูดทักทาย 

    "เธอเองก็เหมือนกัน เอลดาร์" 

    สองหญิงสาวกอดกันราวกับสหายที่ไม่ได้พบกันมาตั้งเนิดนาน 

    "ฉันไม่รู่เหมือนกันว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมาแต่ เด็กสองคนนั้นใครโดย เฉพาะเด็กคนนั้น" เอลดาร์ชี้ไปที่เด็กหนุ่มมินาโตะ

    "อ่อ นั้นพวกเขาเป็นคนที่มาติดอยู่บนทวีปนี้ พวกเขาเป็นมนุษย์นะ" ฮารุกะอธิบาย

    "มนุษย์หรือ!!"

         ราชินีเอลดาร์ถึงกับตาโตขึ้นมาทันที่เพราะในประวัติศาสตร์นั้นไม่เคยมีใครพบเด็กหนุ่มชาวมนุษย์มาก่อนเลยด้วยซ่ำ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่างหล่อเหลาดูราวกับเทพบุตรไม่ก็เด็กหนุ่มชาวเอลฟ์  มากว่า

    "โอ่พ่อหนุ่มน้อย" 

         หญิงสาวเอามือที่บอบบางมาสัมผัสใบหน้าของเด้หนุ่มอย่างเอ็นดู ราวกับลูกแมว

    "หน้าตาเธอหน้ารักดีนะเนีย อยากรู้จริงเลยว่าโตขึ้นไปจะหล่อขนาดไหนกันนะ อืม" เอลดาร์หอมแก้มเด็กหนุมจนเด็กหนุ่มถึงกับหน้าแดง (ผมไม่ไดหล่ออะไรขนาดนั้นหรอกครับ)

         แต่หารู้ไม่ว่าเด็กสาวคุชินะตอนนี้อยู่ในอาการหึ่งสุด ๆ เพราะมีหญิงใดกันแน่มาแตะ ผัวของหนู ( หน่อยแน่นี้คิดจะมางาบผัวของหนูหรือหนูไม่ยอมหรอก) เด็กสาวขุ่นเขืองในใจ อยากจะเข้าไปอัดราชินีให้หายงาบไปตามๆกัน

    "เอาระไหน ๆ พวกเธอก็มากันแล้วงั้นเข้ามาข้างในสิ ฉันเตรียมการต้อนรับไว้แล้ว"

         ราชินีชวนทั้งสามจึงเดินเข้าไปในข้างในพระราชวังที่สร้างขึ้นอย่างสวpงาม ภายในนั้นตกแต่งไปด้วยหินอ่อน พรมบนพื้นนั้นทำออกมาด้วยศิลปะแบบเปอร์เซีย มีรูปปั้นสัตว์ต่างๆมาก รวมทั้งรูปปั้นหญิงสาวอเมซอน ที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม พวกเราถูกพามาที่สวนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสวนที่มีดอกไม้นานา พันธ์ที่ไม่อาจหาที่ใดเทียบได้เลยรวมทั้งยังมีต้นดอกราเวนเดอร์ที่มีสีม่วง ออกดอกผลอย่างสวนงาม ทั้งสามถูกพามาที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งภายในศาลานั้นก็มีการจัดวางโต๊ะอาหารไว้พร้อมแล้ว บนโต๊ะอาหารนั้น จานและจอกทำจากเงินบริสุทธิ์ รวมทั้งช้อนซ่อม

         ทั้งหมดได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่แสนาสบาย เพื่อรออาหารมาเสริฟ ผ่านไปได้ 10 นาทีก็มีเหล่าเมดสาวนำอาหารมาเสริฟ 


    ซึ่งมีตั้งแต่เบค่อนพันมันฝรั่ง





    อาหารทะเลรวมมิตร ที่จิ้มกับน้ำพริก




    ราตาตูลยา



    ขาหมูทอดพร้อมมันบก




     กุ่งล็อบสเตอร์ย่าง

    และสุดท้ายของหวานปิดท้ายคือ



    เครปไอติม

         ของกินบนโต๊ะนี้ถือได้ว่ามีความอร่อยและรสจัดอย่างมาก ด้วยเครื่องเทศที่มาจากพื้นที่หลากหลายของทวีป ส่งสัยลูกในท้องของฉันคงกำลังจะอร่อยกับอาหารที่แม่กินอยู่แน่นอน ซึ่งขอบอกไว้ก่อนมันอร่อยมาก 

         หลังจากที่กินเสร็จแล้ว พวกเราทั้งสามก็ได้นั่งสนธนากันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างโดยเฉพาะเรื่องของเราสองคนที่มาจากโลกนินจา และเรือมาอัปปางลงจนมาติดที่ทวีปนี้ โดยที่เหล่าเมดได้นำผลไม้มาเสริฟด้วยซึ่งมีตั้งแต่ มังคุด กล้วย องุ่น ส้ม และลิ้นจี่

    "โลกนินจาไม่ยักรู้มาก่อนว่าพวกเธอใช้พลังจักระได้ด้วย เหมือนกันนะเนี้ย" เอลดาร์ถามอย่างสนอกสนใจ "ทางฝั่งเราก็มีพลังที่เรียกว่ามานาเหมือนกัน"

    "มานา มันคืออะไรหรือครับ" มินาโตะถาม 

    "มันคือพลังงานที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีอยู่ในตัวสิ่งมีชิวิตทุกชนิด บนทวีปนี้ พวกเราสามารถทำการแปลงพลังงานพวกนี้ออกมาแล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เหมือนกัน"

         เป็นอย่างนี้เอง พลังงานบนโลกใบนี้ไหล่เวียนอยู่ในสิงมีชีวิตต่างเหมือนกับจักระ  แต่ต่างกันตรงที่จักระนั้นพวกเรานั้นไม่สามารถรู้ที่มาเลยด้วยซ่ำว่ามันมาจากไหน แม้แต่ในหนังสือก็ไม่มีบอกเหมือนกัน

    "จริงสิแล้วทำไมพวกเราไม่เห็นคนแก่เลยด้วยซ่ำ" เด้กหนุ่มถามใช้ตั้งแต่เข้าเมืองมานี้เข้าแทบไม่เห็นคนชราเลยด้วยซ่ำจะเห็นก็แต่เด็กน้อยกับสาวๆ

    "นั้นก็เพราะเผ่าพันธ์บนโลกใบนี้นั้นไม่มีความแก่ชราไงล่ะ เว้นเสียแต่อายุที่เมื่อถึงเวลากำหนดเราก็ตายไปเองไม่มีอะไรมากหรอก"


    "แล้วนั้นเธอท้องอยู่หรือแม่สาวน้อย" เอลดาร์ถามเด็กสาวผมแดงขึ้นมาทันที่ เพราะเธอสังเกตุเห็นว่าท้องของเด็กสาวดูป่องออกมา

    "ค่ะหนูท้องค่ะ" คุชินะตอบ 

    "แล้วทำไมเธอถึงท้องละ" หญิงสาวถาม

    "เพราะหนูได้มีอะไรกับมินาโตะเป็นผลให้หนูท้องขึ้นมาเองเลยค่ะ"

         คำพูดของเด็กสาวทำให้ราชินีรูสึกผิดหวังอย่างมากเธอคิดอยากจะเอาเด็กหนุ่มมาเป็นคู่ชีวิตอยู่แล้วแต่เสียดายจังที่ไม่ได้งาบเสียแล้ว

    "โถ่แม่หนูเอ่ยเธอเองยังเด็กยังเล็กไม่สมควรจะมีอะไรกันตอนนี้เลยด้วยซ่ำ และที่นี้พวกเธอสองคนจะทำอย่างไรกันต่อล่ะ"

    "........"

    เอลดาร์ถามเด็กทั้งสองกลับมา โดยที่เด็กทั้งสองนั้นแน่นิ่งไปสักพัก

    "เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเลี้ยงลูกของพวกเราต่อไปจนโต" เด็กสาวตอบขณะก้มหน้าโดยไม่อาจจะสบตาราชินีได้

    "แล้วพวกเธอจะเลี้ยงลูกอย่างไรละไม่ให้ก่อความผิดพลาดแบบพวกเธออีก" ราชินียิงคำถามกลับมาหาเดกทั้งสอง ตอนนี้เด้กทั้งสองอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว

    "พวกเราก็จะปลูกฝั่งลูกของเราให้เข้าใจในเรื่องพวกนี้และบอกผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากมีอะไรกัน" เด้กหนุ่มตอบอบ่างคล่องแคล่ว

    "ดีมากเลยทั้งสองคน ฮารุกะนึกไม่ถึงจริงเลยว่าเธอจะสอนเด็กสองคนนี้ได้อย่างดีเยี่ยมจริงเลยนะ" เอลดาร์ชม

    "ไม่ขนาดนั้นหรอก"  ฮารุกะถึงกับยิ้มอย่างขำๆ 

         ตอนนี้พวกเราต่างพากันพูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ นานาไม่ว่าจะเป็นภาษา ศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งการเลี้ยงลูกด้วย ซึ่งพวกเราคงจะอยู่ที่นครนี้อีกนานหน่อยแล้วคงค่อยเดินทางกลับไปยังเมืองของเรา แต่ก็นั้นแหละการเดินทางมาที่นี้นั้นถือได้ว่าสนุกมากๆ เลยก็ว่าได้ ได้พบกับผู้คนใหม่ ๆ เมืองแปลกๆ และสัตว์ยักษ์ที่บินได้ แค่นี้สามารถนำไปเขียนเป็นหนังสือได้อยู่แล้ว


           




    ***********








































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×