ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Naruto ) Naruto The paradise of Atlantis ผจนภัยดินแดนแอตเลนติส

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 โบราณสถานลึกลับ ปริศนาอาณาจักรบนดินแดนแห่งนี้

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 63






         สิ่งที่ได้พบนั้นมันทำให้ทั้งสองหยุดหายใจในทันที่ สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคือโบราณสถานขนาดใหญ่มหึมาดูราวกับเป็นพีระมิด มีบันไดหินขนาดใหญ่เป็นขั้นๆ และข้างบันไดทางขึ้นนั้น ประดับไปด้วยเส้าศิลาขนาดใหญ่สองข้างที่บนสุด เกาะสลักหน้าคนเอาไว้ รอบๆมีซากปรักหักฟังอยู่ตามบันไดทางขึ้นบ้าง โบราณสถานแห่งนี้มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมตามส่วนต่างๆ 

         มินาโตะและคุชินะยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ เพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มาก่อนในชีวิต  นึกไม่ถึงว่าบนเกาะแห่งนี้จะเคยมีอารยธรรมมาก่อน บรรยายกาศรอบ ๆ ช่างวังเวงและดูชวนขนหัวลุกโดยเฉพาะใบหน้าโบราณ ที่ประดับอยู่บนเส้าทั้งสองข้าง ที่ดูใหญ่และมีมนต์ขลัง

    "มัน มัน" คุชินะปากสั่นระริก อย่างตื่นตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

    "มันเป็นไปไม่ได้" มินาโตะถึงกับกลั้นหายใจ อย่างไม่เชื้อสายตา

    "นี้ อย่าบอกนะว่าที่นี้เคยมีคนมาก่อน" เด็กสาวเริ่มหายตกใจและหันมาถามเด็กหนุ่ม

    "ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่า ที่เกาะแห่งนี้จะมีสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่ที่นี้" มินาโตะหันมาพูดกับคุชินะ

    "งั้นเราเขาไปสำรวจข้างในกันดีกว่าไหม " เด็กสาวชวนเด็กหนุ่มเข้าไปสำรวจโบราณสถานแห่งนี้ "เพื่อเราอาจได้คำตอบก็ได้"

    "อืม งั้น เราเข้าไปสำรวจกันเลยดีกว่า แต่อย่าลืมที่นี้อาจมีกับดัก" เด็กหนุ่มเตือนเด็กสาวเพราะเขาไม่รู้เลยว่าข้างในมหาวิหารโบราณแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่

         ทั้งคู่ไม่รอช้า ต่างรีบวิ่งขึ้นไปบนบันไดหินของวิหาร จนมาถึงประตูศิลาขนาดใหญ่ทั้งคู่หยุดอยู่ที่หน้าประตูศิลา ลมพัดจากข้างในได้พัดเศษฝุ่นออกมาจนทั้งคู่ตั้งเอามือกำบังตา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ย่างเท้าเข้าไปในประตูนั้น

    "คาถาไฟ" มินาโตะประสานอินจนมีไฟจุดขึ้นมาจากมือ แล้วเอาไฟนั้นไปจุดกับไม้คบเพลิง เมื่อไฟติดคบเพลิงแล้ว ทั้งคู่ก็เดินไปตามทางที่มืนมนต์ ภายในนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นและยักไหย่เต็มไปหมด บรรยายกาศชวนวังเวงไม่ชอบกล และก็ข้าวของที่เป็นเครื่องสังคโลกกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นหิน แต่ก็มีบ้างอันที่ยังสมบูรณ์ตั้งอยู่ ทั้งสองหยิบขึ้นมาดูก็พบกับรวดราย เป็นปลาที่แวกว่ายอยู่ในน้ำทะเล พร้อมกับปลาหมึกยักข์และก็คนที่กำลังเหวียงแหหาปลาอยู่บนเรือ ทั้งคู่นับกลับไปวางไว้ที่เดิม แล้วจากนั้นก็เดินไปต่อ

    "กรี๊ด !!"

    "เป็นอะไรไปคุชินะ"

    เด็กสาวร้องออกมาทันที่และรีบกระโดนไปเกาะเด็กหนุ่มจนเกือบเซจนไปติดกับผนัง

    "โครงกระดูก
    โครงกระดูก

         เด็กสาวชี้ไปที่โครงกระดูกมนุษย์ผู้หนึ่งที่นอนอยู่ตรงข้างหน้า มินาโตะเดินเข้าไปสำรวจดูโดยมีคุชินะตามหลังด้วยความกลัว เด็กหนุ่มคุกเขาตรงข้ามโครงกระดูกและวางคบเพลิงไว้ข้างตัว

    "ดูจากสภาพแล้วน่าจะตายมาได้ซัก 3000 ปีแล้ว" มินาโตะสำรวจร่างโครงกระดูกซึ่งดูจากสภาพแล้วน่าจะตายจากอาการป่วยไม่ก็อดตาย และข้างโครงกระดูกนั้นก็มีดาบเล่มหนึ่งที่ดูใหม่แวบวับและไม่ขึ้นสนิม เด็กหนุ่มเอามือหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าดาบเล่มนี้ช่างแตกต่างจากอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะโลกนินจาจะใช้เพียงแค่ดาบซามูไรหรือคาตานะเท่านั้น แต่ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นดาบยาวที่ตรง และใหญ่กว่าดาบคาตานะ

    "ฉันว่าพวกที่อยู่ที่นี้น่าจะเป็นคนอารยธรรมอื่นที่ไม่ใช้คนจากโลกนินจาแน่นอน" มินาโตะถือดาบอย่างพิจารณาไปมา

    "งั้นเกาะ แห่งนี้อาจเป็นแหล่งที่เคยมีคนอยู่มาก่อนใช้ไหม" เด็กสาวถามออกไปอย่างสงสัย

    "ใช้ที่นี้อาจมีเมืองไม่ก็อารยธรรมมาก่อน แต่คำถามคือ พวกเขาไปไหน"

         เด็กหนุ่มมองดาบที่ถืออยู่ในมือไปมาและตั้งคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ภายในใจ คนที่นี้พวกเขาหายไปไหนกันหมด มันเกิดอะไรขึ้น

    "ฉันว่าเราไปสำรวจที่อื่นกันเถอะ" คุชินะพูดขึ้น

    "งั้นไปกันเถอะ"

         เด็กหนุ่มไม่รอช้า หยิบถือคบเพลิงขึ้นมาจากพื้นแล้วก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเด็กสาว โดยในมือของเด็กหนุ่มก็ถือดาบที่ไปเอามาจากโครงกระดูกติดตัวไปด้วย ทั้งสองเดินสำรวจต่อไปในวิหาร สิ่งที่พวกเขาพบนั้นมันช่างมหัศจรรย์มาก โดยเฉพาะภาพแกะสลักที่บอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยที่ยังรุ่งเรื่อง เช่น มีภาพการนับถือบูชาเทพเจ้า ที่เป็นดวงอาทิตย์หรือไม่ก็เทพแห่งท้องทะเล, การแต่งกายนั้นในภาพได้แสดงให้เห็นผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมและกางเกง ส่วนผู้หญิงนั้นก็ใส่ผ้าที่ปิดหน้าอกและนุ่งสโร่ง  , มีการทำเกษตรกรรม,การปกครอง ,การประมง การปกครองและการกีฬา

          ทั้งสองรู้สึกประดับใจในศิลปะของคนที่นี้มากราวกับคนรุ่นก่อนได้พยายามจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้คนรุ่นหลังได้ฟัง คุชินะเอามือสัมผัสกับภาพแกะสลักราวกับพยายามสัมผัสถึงอดีตของผู้คน ที่เคยอาศัยและอยู่ที่นี้มาก่อน จนกระทั้งทั้งสองได้มาถึงห้อง 
    ๆ  หนึ่งเข้า ทั้งสองเดินเข้าไปก็พบกับโถงขนาดใหญ่ที่มีบันไดเดินลงไปข้างล่าง

        ทั้งสองก้าวเดินลงไปอย่างระมัดระวัง โดยที่เด็กหนุ่มถือคบเพลิงนำทางไปข้างล่าง เมื่อลงมาถึงก็พบกับ แท่นบูชาทรงสีเหลี่ยมจัตุรัสอยู่ตรงกลางห้อง ทั้งสองเดินไปที่แท่นบูชาแต่ก็พบว่าไม่มีอะไรเลย

    "มินาโตะดูนั้น" เด็กสาวชี้ไปที่ผนั่งที่อยู่ตรงข้าม ทั้งสองรีบเดินเข้าไปดู ก็พบว่ามันคือแผนที่ ที่แกะสลักอยู่บนผนัง พร้อมกับภาษาโบราณที่ไม่อาจอ่านได้ ตัวแผ่นที่ของเกาะนั้น ได้ทีการแกะสลักบอกเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ ของเกาะ มีทั้งบอกตำแหน่ง อ่าวต่าง ๆ แม่น้ำ เกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่รอบๆเกาะแห่งนี้ และภูเขา ต่างๆที่เป็นแหล่งต้นน้ำ ฯลฯ



    แผ่นที่นี้เมื่อทั้งสองได้ดู มันทำให้มินาโตะเริ่มพิจารณาขึ้นมาทันที่ว่า นี้อาจเป็นเกาะ ที่พวกเขามาติดอยู่ที่นี้

    "ฉันว่าเรามาติดเกาะที่อยู่ ในแผ่นที่นี้แน่นอน" เด็กหนุ่มพิจารณาแผนที่อย่างระเอียด

    "งั้นก็หมายความว่าที่เกาะนี้น่าจะมีผู้คนอยู่อีกใช้ไหม" เด็กสาวตั้งหน้าตั้งตาคำตอบจากเด็กหนุ่ม

    "ฉันไม่รูแต่ฉันคิดว่า"

    "มินาโตะดูนั้นสิ "

          ยังไม่ทั้นที่เด็กหนุ่มจะพูดเด็กสาวก็ขัดขึ้นมาแล้วชี้ไปที่แผนที่อีกอันหนึ่ง ทั้งสองเดินไปดูก็พบว่า แผ่นที่อันนี้ได้วาดทวีปขนาดใหญ่สองทวีปที่มีมหาสมุทรแยกออกจากกัน ส่วนบริเวณรอบ
    ๆของแผนที่นั้นได้มีการแกะสลักเป็นรูปหมู่เมฆมากมายแล้วก็น้ำทะเลจากทุกทิศไหล่ลงไปยังข้างล่างราวกับจะบอกว่าโลกใบนี้รอบ ๆ เป็นสุดขอบโลกนั้นก็หมายความว่าโลกนี้แบน  ภาพแผ่นที่เกาะที่พวกเขาอยู่ใสไว้ในกรอบแล้วก็มีเข็มชี้ไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่เกือบใกล่กับทวีปแรก






     "นี้อย่าบอกนะว่า เราหลุดมาอยู่ ในโลกอื่น " เด็กหนุ่มถึงกับตาโตขึ้นมาเข้าไม่เคยคิดหรือเชื้อเลยว่าจะยังมีทวีปและดินแดนอีกมากมายในแผ่นที่โลกที่พวกเขาดูอยู่ 

    "งั้นนายคิดว่าโลกที่เราเห็นในแผ่นที่นี้จะเป็นโลกแบนไหม" เด็กสาวถามด้วยความสงสัย เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแผ่นที่นี้กำลังจะบอกว่าโลกที่พวกเรามาอยู่นี้เป็นโลกแบนหรือไม่

    "อย่าพึ่งเชื่อแผ่นที่นี้เลย เรายังไม่ได้เห็นกับตาว่าโลกนี้เป็นแบนไหมกันแน่" เด็กหนุ่มใช้เหตุผลในการตอบ

    "งั้นหมายความว่าเราไม่อาจกลับไปโลกเดิมได้อีกแล้วใช้ไหม" คุชินะเริ่มรู้สึกได้ทันที่เลยว่าทั้งมินาโตะและเธอจะต้องติดอยู่ที่โลกนี้ไปจนวันตาย เพราะในแผ่นที่นี้บงบอกได้เลยว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในโลกนินจาแต่เป็นโลกอื่น

    "ฉันไม่รู้และ อาจจะใช้"

         เด็กหนุ่มพูดอย่างสิ้นหวังแล้วเดินคอตกไปหนังพิงอยู่ตรงแท่นบูชา แล้ววางดาบกับคบเพลิงลงบนพื้น และกอดเขาอย่างสิ้นหวัง เด็กสาวเดินไปนั้งข้างเด็กหนุ่มที่กำลังสิ้นหวัง

    "เราคงอาจไม่ได้เจอเพื่อน
    ของเราอีกต่อไปแล้วใช้ไหม" เด็กสาวพูดด้วยเสียงที่เศร้า นี้ต่อไปฉันอาจจะไม่ได้เจอ มิโกโตะและ เพื่อนคนอื่นของฉันอีกเลยเพราะพวกเรามาอยู่ที่โลกอื่นแล้ว

    " ฮือ...ฮือ.....ฮือ..... "

         เด็กสาวหันไปตามเสียงที่ร้องไห้มาจากข้าง
    ๆ น้ำตาของเด็กหนุ่มไหล่ลงมาอาบแก้ม เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอย่างสินหวังที่ต้องมาติดอยู่ที่โลกในบี้

    "นายร้องไห้ ทำไม" เด็กสาวถามเด็กหนุ่มที่กำลังกอดเข่าและร้องไห้ต่อไป

    "ฉันคิดถึงแม่....ฮือ.... แม่ที่ต้องอยู่คนเดียว อย่างโศกเศร้าเสียใจ ที่จะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีกต่อไป และ.... และ....และใครจะดูแลแม่ล่ะในเมื่อแม่เชื่อว่าฉันจากโลกนี้ไปแล้วด้วยอุบัติเหตุเรืออับปาง โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเรามาติดอยู่ที่เกาะแห่งนี้  "

         เด็กหนุ่มระบายความในใจที่อัดอั่นออกมาพร้อมกับน้ำตา สำหรับเด็กสาวแล้วเธอเองก็เข้าใจในความรู้สึดของมินาโตะที่ต้องจากแม่อันเป็นที่รักมา เธอเคยไปบ้านของมินาโตะมาแล้วก็พบเจอแต่แม่ของเขา แต่เธอไม่เคยถามถึงพ่อของเขาเลยว่าหายไปไหน ซึ่งเธอไม่เคยถามมินาโตะหรือแม่ของเขาเพราะไม่อยากจะทำลายจิตใจของมินาโตะ บ้างที่เขาอาจจะตายในสงครามหรือไม่ก็ตอนไปทำภารกิจก็เป็นได้

         เด็กสาวกระเถิบเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มแล่วนำมือบาง
    มาสัมผัสที่ไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

    "นายอย่าร้องไห้ไปเลย" เด็กสาวพูดปลอบใจ "จริงอยู่ที่ว่าเราไม่อาจกลับไปยังโลกเดิมของพวกเราได้อีกแล้ว แต่เราต้องเข็มแข็งต่อไป อยู่บนโลกที่เราไม่รู้จักนี้ให้ได้ นายเคยพูดนี้ว่าเราเป็นนินจาอย่าได้ถอถอยต่อปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ถึงนายจะอยู่หางจากแม่ของนายไปนานเท่าไร แต่นายก็ยังลระลึกถึงเธอได้อยู่เสมอนี้"

         คำพูดของคุชินะทำให้เด้กหนุ่มเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที่ เขารู้แล้วว่าถึงไม่อาจกลับไปพบแม่ได้อีกต่อไปแต่ก็ยังสามารถระลึกถึงคำสอนต่างๆที่แม่ของเขาเคยสอนเอาไว้

    "เธอพูดถูก" เด็กหนุ่มปาดน้ำตา "เราต้องอยู่ต่อไปให้ได้"

    "สัญญานะว่านายจะไม่ร้องไห้อีก"

    "ฉันสัญญา เราจะอยู่และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"

    เด็กหนุ่มและเด็กสาวกอดกันแน่นราวกับจะไม่หางกันถึงอุปสรรคใด
    ๆ จะมาขวางเราสองจะต้องฝ่าไปให้ได้

    "ฉันว่าเรากลับกันเถอะ" เด็กสาวเอ่ยขึ้น

    "ใช้ฉันว่าเรากลับไปที่พักกันเถอะ"

         ทั้งสองเดินขึ้นบันไดทางเดิมและผ่านโถงทางเดินเส้นเดิมที่มืดมนต์และวังเวง จนกระทั้งเมื่อมาถึงที่ประตูทางออก

    " หลบก่อน!!"

         เด็กหนุ่มรีบดึงร่างบางมาหลบหลังกำแพงแล้วแอบมองช่องประตู ผ่านลงไปข้างล่าง ก็พบกับหมาป่าตัวใหญ่เท่าม้าหรืออาจะใหญ่กว่าซัก 5 ตัวกำลังหยุดอยู่ข้างล่าง พวกมันมีขนสีดำเทา ดวงตาสีแดงฉานและฟันเขียวที่คมราวกับมีด แต่ที่หน้ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งที่ขี่อยู่บนหลังของพวกมันทั้งห้าตัว มันคือมนุษย์หมาป่าที่มีรูปร่างเหมือนคน แต่หัวเป็นหมาป่า  และยังมีหางขนฟูที่ยาวเท่ากับหางของหมาป่า พวกมันมีขนดกสีดำเทาทั้งตัว ดวงตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่า ฟันที่แหลมคม รวมทั้งพวกมันยังถืออาวุธจำพวกดาบ หอก ธนู และหนึ่งในกลุ่มของพวกมันก็มีตัวเมียอยู่ด้วย มนุษย์หมาป่าตัวเมียนั้น มีหุ่นที่ดูทวดทรงงดงาม หน้าอกดูนูนสวย ผมสีขาวยาวสลวนจนปิดหลัง ขนของเธอนั้นเป็นคนสีขาว หน้าตาดูราวกับไม่ดุร้ายเหมือนตัวผู้อีก 4 ตัว

    "พวกมนุษย์หมาป่า" มินาโตะพูดอย่างเบา โดยที่ในมือข้างหนึ่งกุมดาบไว้แน่น สำหรับมนุษย์หมาป่าแล้วเขาคิดว่าคงเป็นเพียงตำนานที่เล่าให้เด็กกลัวเท่านั้น แต่นี้มันมีอยู่จริง บนโลกนี้

    "จะทำยังไงดี ถ้ามันเจอเรามันฉีกเราแน่" คุชินะพูดขึ้นมาด้วยกลัว

    "เงียบหน้า พวกมันอาจฟังเราอยู่"

         มินาโตะรีบเอามืออีกข้างมาปิดปากเด็กสาวและมองออกไป พวกมันสนธนาด้วยภาษาที่ฟังไม่ออกแต่ดูแล้ว สำเนียงกาารพูดของพวกมัน ดูหยาบคายนิดหนึ่ง แต่ตัวเมียนั้นฟังการพูดดูแล้วเธอพูดอย่างสุภาพมาก ถึงฟังไม่ออกก็ตาม

         พวกมันสนธนากันขณะอยู่บนหลังหมาป่า ซัก 20 นาที พวกมันก็ควบหมาป่าออกไปจากวิหาร เมื่อพวกมันไปแล้ว เด้กทั้งสองรีบลงมาจากวิหารทันที่

    "คุณพระคุณเจ้า" มินาโตะพูดออกมาอย่างไม่เชื้อสายตา "นึกไม่ถึงจริงๆว่า มันมีจริง"

    "เกาะนี้ชัก สยองขึ้นมาแล้วและ" คุชินะรู้สึกโล่งใจที่พวกมันไปได้ "เราต้องรีบกลับไปที่ถ้ำแล้วละ"

    "ใช้เราต้องไปกันได้แล้วขืนรออยู่ที่นี้พวกมันได้กลับมาทักทายพวกเราทั้งคู่แน่ "

         มินาโตะและคุชินะรีบกระโดดไปตามต้นไม้ต่างอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ปริศนาบนเกาะนี้เริ่มกระจ่างขึ้นมานิดหนึ่งแล้วว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่มีเผ่าพันธ์บนเกาะแห่งนี้อยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งสองกระโดดเดินกลับไปทางเดิมที่พวกเขาเคยเดินผ่านมา

    "ฉันว่าทางมันแปลกๆ นะ" มินาโตะรีบหยุดทันที่ และหันมองไปรอบๆ ป่า "ที่นี้ฉันไม่เคยผ่านหรือพบมาก่อนเลย"

    "จริงอย่างที่นายว่า " คุชินะพูดขึ้นและมองป่าที่หน้าทึบไปรอบๆ อย่างชวนฉงน " ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในทางที่เราจะกลับเลยด้วยซ่ำ " 

    "สงสัยเราคงหลงแล้วละ" 

    "งั้นเรากลับไปทางเดิมดีไหม" เด็กสาวออกความเห็น 

    "ฉันก็ว่าอย่างนั้น เอะนั้นอะไรนะ" มินาโตะพูดขึ้นมาทันที่ เมื่อเขาพบว่าทางข้างหน้า เข้าเห็นอะไรบางอย่างอยู่หลังต้นไม้ที่ขึ้นหน้าทึบ ทั้งสองรีบก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และเมื่อเดินเข้าไปถึง ทางนั้นมันก็โล่งขึ้นมา 


     
         ทั้งสองได้พบกับธารน้ำตกที่ไหล่ลงมาจาดหน้าผา และไหล่ลงมาเป็นสายน้ำ และสิ่งที่ตั้งอยู่บนเกาะหินขนาดใหญ่นั้นคือ เทวรูปที่สูง 10 เมตร ถือดาบพาดไว้บนไหล่ บนหัวของเทวรูปเป็นหมวกที่มีลักษณะคลายหน้าเสือ ตอนนี้บรรยากาศและตวามรู้สึกของทั้งสองเริ่มสั่นไปทั้งตัวราวกับว่า ที่นี้มพลังงานลึกลับบางอย่างที่ไม่อาจหาคำตอบได้

    "รู้สึกแปลกมากใครกันน่ะมาสร้างรูปปั้นสูงใหญ่น่ากลัวพวกนี้เอาไว้กันแน่" มินาโตะ แถบอยากไม่เชื้อสายตากับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านี้

    "นั้นปากถ้ำนี้" เด็กสาวชี้ไปยังปากถ้ำที่อยู่หลังเทวรูปมีแสงลอดออกมา

    "งั้นเราเดินไปดูกันเถอะ" 

         ทั้งสองก้าวเดินไปตามทางเรียบน้ำตกและอ้อมหลังเทวรูปเมื่อก้าวเดินไปในถ้ำเพียงไม่กี่ก้าว




         ทั้งสองต้องตกตะลึงเมื่อได้พบกับ ดินแดนที่กว้างโล่งและใหญ่ไพศาล  เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน ตรงกลางของเมืองเป็นมหาพีระมิด 5 ชั้น ที่หน้าจะสูง 150 เมตร และฐานแต่ละด้านกว้าง 200 เมตร และรอบๆพีระมิดยังมีคูน้ำ และสะพานข้ามที่สร้างจากศิลาแดง นอกจากนี้ยังมีเส้าหินสูง 90 เมตร และกว้าง 50 เมตรทั้งหมด 3 ต้น บ้างเส้าสลักเป็นรูปเสื้อที่มีน้ำตกไหล่ออกมาจากปาก แต่ที่นี้นั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

    "สุดยอดจริงๆ เลย" คุชินะพูดด้วยความตื่นเต้นเพราะนี้คือสิงมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน

    "มันเยี่ยมมาก นี้นะหรืออาณาจักรโบราณ ของเกาะแห่งนี้" มินาโตะแทบจะพูดไม่ออกเมื่อได้เจอกับสิ่งที่เข้าไม่เคยเจอมาก่อน ที่นี้มันใหญ่กว่ามหาวิหารที่เคยเจอซะอีก

    "เราจะเข้าไปสำรวจกันดีไหม" เด้กสาวถาม

    "ฉันว่า " มินาโตะมองไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่านี้เป็นช่วงเวลาใกล้จะเย็นแล้ว "เรารีบกลับไปถ้ำก่อนดีกว่า เพราะอีกไม่นานจะเย็นแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ่ำว่าที่นี้เป็นรั้งของมนุษยหมาป่าพวกนั้นที่เราเจอหรือเปร่า"

    "ก็ได้ตามใจนายก็แล้วกัน" เด้กสาวทำหน้าผิดหวังอย่างกับคนไม่ได้ของขวัญ แต่ไม่อาจคัดค้านใดๆได้เลย

    ทั้งสองเดินกลับออกมาทางเดินและกระโดดไปตามต้นไม่น้อยใหญ่เหมือนเดิม

    ช่วงเย็น

    ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเย็นดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วทั้งสองกลับมาถึงถ้ำได้ทันเวลาก่อนอาทิตย์ตกดินพอดีทั้งหมดต่างอยู่ในอาการเหน็ดเหนื่อยจากการสำรวจเกาะแห่งนี้

    "เหนื่อยเป็นบ้าจริง" มินาโตะถอนหายใจด้วยความเหนื่อย แล้วนำดาบไปวางฟิงกับหิน 

    "ตกลงที่นี้เคยมีคนอยู่มาก่อนใช้ไหม" คุชินะถามขึ้นขณะนั้งลงพักผ่อน "แล้วพวกเขาไปไหนกันแน่"

    "ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ดูโบราณสถานและเสาหินนั้นมามันก็บอกได้เลยว่าคนที่นี้ไม่ธรรมดาจริงสร้างของพรรณนั้นได้นี้ถือว่าสุดยอดจริง" 

         มินาโตะก่อกองไฟขึ้นมาแล้วหันไปหยิบอาหารกระป็องออกมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้คุชินะ เด็กหนุ่มแกะฝ่ากระป๋องออกมาแล้วใช้ช้อนตักเนื้อไก่ออกมากิน

    "เราจะกลับไปที่เมืองนั้นอีกไหม" คุชินะถามขึ้นคณะตักไก่เข้าปาก

    "ไว้พรุ่งนี้เราค่อยตั้ดสินใจกันอีกที่" เด็กหนุ่ม ตักเนื้อไก่อันสุดท้ายเข้าปาก อย่างไม่สนใจ


    ปุ ปุ ปุ ปุ


    เสียงร้องบ้างอย่างดังขึ้นมาจากหลังถ้ำทำให้ทั้งสองตื่นตัวขึ้นมาทันที่ 

    "นั้นเสียงอะไรนะ" เด็กสาวพูดขึ้นทันที่ 

    "เงียบก่อน ไปหยิบอาวุธขึ้นมา" เด็กหนุ่มรีบหยิบดาบขึ้นมาส่วนคุชินะหยิบคุไนถือขึ้นมา ทั้งสองค่อยๆ เดินไปตามเสียงนั้น ที่อยู่หลังถ้ำโดยมินาโตะถือคบเพลิงนำหน้าไปตอนนี้ทั้งสองค่อยๆ ย่องไปช้า 

    ปุ ปุ ปุ ปุ ปุ ปุ ปุ ปุ

    เสียงนั้นมันดังขึ้นมาจากข้างหลังหินนั้น ตอนนี้ทั้งสองต่างเดินเข้าไปใกล้หินนั้น  และคุกเขาลงอยู่ข้างหลังหิน

    "เตรียมพร้อมนะ"

    "อืม"

    ย้าก ย้าก 

    ทั้งสองไม่รอช้ากระโดดออกมาจากหลังหิน เมื่อกระโดดออกมาแล้วก็พบกับ 

    "นี้มัน เอ่อ" มินาโตะถึงกับอาปากค้าง และลดดาบที่ถืออยู่ลง


    สิ่งที่ทั้งสองพบมันคือ สุนัขที่มีขนาดเล็กเท่าหมาปอมเมอเรเนียน จมูกสีดำเล็กหน้าหยิก ขนสีขาวสะอาด ดวงตาสีดำ หูเล็กที่ผับหน้ารัก หางสีขาวเล็กๆกระดิกไปมาเท้าของมันมีขนาดที่เล็ก  

    "หน้ารักจังเลยเจ้าหมาน้อย" คุชินะร้องด้วยความดีใจนึกไม่ถึงว่าเธอจะได้เจอสัตว์ที่หน้ารักบนเกาะแห่งนี้

    "นึกไม่ถึงว่าที่นี้จะมีสัตว์แบบนี้อยู่ด้วยนะเนี้ย" มินาโตะรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่เจอหมาป่ายักษ์ที่เคยพบ

    "มา มา มาให้แม่กอดหน่อยนะ" คุชินะยื่นมือออกมาหมายจะอุ่มเจ้าหมาน้อย

    ปุ ปุ ปุ ปุ


    เจ้าหมาน้อยรีบหันหลังวิ่งหนีไปในทันที่

    "จะไปไหนกันกลับมาก่อน มาหาแม่มาฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก" เด็กสาวไม่รอช้ารีบวิ่งตามเจ้าหมาน้อยไปทันที่

    "เดียวก่อนสิคุชินะ ระวังตัวด้วย"

    เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปทันที่ ทั้งสองรีบวิ่งตามเจ้าหมาน้อยไป มันวิ่งจนมาถึงทางสามแยก มันวิงไปทางซ้ายมือสุด ซึ่งตรงนั้นจะนำทางออกไปสู่สวนศิลาซากุระ 

    "นี้เดี่ยวสิ รอก่อนเจ้าหมาน้อย" เด็กสาวผมแดงร้องเรียกเจ้าหมาตัวน้อย แตามันก็ยังไม่หยุดวิ่ง ทั้งสองวิ่งออกมาจนพ้นปากถ้ำ เมื่อออกมาก็พบว่า

    "คุณพระคุณเจ้า" มินาโตะพูดขึ้นมาอย่างไม่เชื้อสายตา

         สิ่งที่ทั้งสองได้พบนั้นมันมันมหัศจรรย์มาก มีเหล่าบรรดาหญิงสาวที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ทั้ง 50 คนเต็มไปทั้วสวนไปหมด พวกนางมีหน้าตาที่สวยงามดูวัยเยาวร์ เหมือนวัยรุ่น จนไม่อาจหาใครเทียบได้ พวกเธอแต่ระคนมีผมสัแดงบ้าง สีเขียว สีทอง สีดำ และสีขาว พวกนางมีดวงตาสีฟ้าบ้าง สีเขียวและดำบาง ทรวงทรงของพวกเธอนั้นดูหุ่นดี เอว ขา และแขนนั้นบางหมด หน้าอกดูนูนและเล็ก ซึ่งมินาโตะคิดว่าพวกเธอนั้นน่าจะเป็นพรายน้ำไม่ก็นางไม้ เพราะเด็กหนุ่มเห็นบางพวกนางนั้นเดินออกมาจากต้นไม้และก็ขึ้นมาจากน้ำ แต่เหล่าพรายน้ำและนางไม้ก็มีบ้างตนเหมือนกำลังอุ่มท้องอยู่ซึ่งนับได้ตัวที่ท้องอยู่นั้นน่าจะมีซัก 20 ตน  นอกจากวพวกเธอแล้วก็ยังมีเหล่าบรรดาเด็กที่อยู่ข้างๆ พวกเธอซึ่งอาจจะเป็นลูกของพวกเธอ สวนใหญ่จะเป็นผู้หญิง แต่ก็มีเด็กบ้างคนไม่ใช้เด็กผู้หญิงแต่เป็นเด็กผู้ชายที่เกิดมามีลักษณะไม่เหมือนมนุษย์ บางตนมีหน้าตาเหมือนมนุษย์หมาป่า บางตนเหมือนมนุษย์แต่ดูงดงามและมีหูแหลม  บางตัวนั้นมีหูแหลมแต่ดูหน้าเกลียดหน้ากลัวมาก บางตนนั้นเกิดมามีรูปร่างค่อนข้างเล็กและมีจมูกโด่งยาวกับหูแหลม 

         เหล่าเด็ก ต่างพากันสนุกสนานเล่นหยอกล้อแกล้งกันโดยอยู่รอบ แม่ของพวกเขา บ้างตนก็กำลังเล่นกับมหาน้อยขนปุยสีขาว ซึ่งไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแต่มันมีเป็นฝูงเลยที่เดียว และพวกมันยังมีเหล้าบรรดาลูกตัวเล็ก ๆ ตามติดมาด้วย บางตนก็กระโดดแวกว่ายในสระน้ำ อย่างสนุกสนาน

    "ไม่อยากจะเชื้อเลยจริง " คุชินะรู้สึกประทับใจมากๆ "พวกนางเป็นมนุษย์หรือเปร่า"

    "ไม่ฉันดูแล้วน่าจะเป็นพวกนางไม้และพรายน้ำ" มินาโตะดึงคุชินะมาซุ่มอยุ่หลังพุ่มไม้

    "นายรู้ได้ไง" เด็กสาวถามด้วยความสงสัย

    "ก็ดูสิ พวกเธอออกมาจากต้นไม้ บางตนเดินขึ้นมาจากน้ำ" เด็กหนุ่มพูด และชี้ไปข้างหน้า

         เป็นอย่างที่มินาโตะพูดไว้พวกเธอคือนางไม้และพรายน้ำ แต่พวกมันนั้นสนธนาสื่อสารกันโดยภาษาที่ไม่มีทางฟังออกได้เลย

    "เราจะเข้าไปหาพวกเธอไหม" คุชินะเสนอความคิดนี้ขึ้นมาทันที่

    "อยู่ห่างไว้ซักแปบหนึ่งก่อน ฉันว่าวันนี้เรากลับไปนอนพักในถ้ำก่อนดีกว่า ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาทักทายพวกเธอ " 

    เด็กหนุ่มรีบพาเด็กสาวกลับเข้าไปในถ้ำ โดยไม่หันมามองเหล่านางไม้และพรายน้ำที่เล่นกันอยู่ ทั้งสองกลับเข้าไปในถ้ำและนอนพักผ่อนอย่างเหน็ดเหนื่อย



    ********




















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×