คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : พี่ชายที่แสนดี
3
ในขณะเดียวกันนั้นเองที่ไชนชวนปุ้มไปกินไอศกรีมต่อ ณ ร้านประจำอย่างเช่นทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้อิงไม่ได้มาด้วย ทั้งสองต่างสั่งไอศกรีมรสที่ตัวเองชอบ นั่งในมุมสุดโปรด ก่อนที่ปุ้มจะเอ่ยขึ้น
“วันนี้พี่ริวเป็นแปลกๆยังไงไม่รู้”
ไชนนึกไว้อยู่แล้วว่าปุ้มจะต้องพูดถึงเรื่องนี้ เธอวางนิตยสารเล่มใหม่ที่ถืออยู่ลง ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะตั้งใจฟัง
“เธอว่างั้นเหรอ โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่อย่างนี้เหรอ” ไชนเริ่มเกริ่นถาม
“ก็ปกติแล้วไม่ใช่ วันนี้เป็นแปลกๆ” ปุ้มพึมพำ ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟไอศกรีม
“ขอบคุณค่ะ” ไชนเอ่ยกับพนักงานอย่างเช่นทุกครั้ง ก่อนจะหันมาสนใจกับสิ่งยั่วใจตรงหน้า
“เสียดายจัง อิงไม่ได้มากับพวกเราเหมือนครั้งก่อนๆ” ปุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะเริ่มตักไอศกรีม “พนันได้เลยว่าเธอต้องรีบกลับไปสอบสวนพี่ชายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อืม...วิปปิ้งครีมอร่อยจังเลย” ไชนพึมพำขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจฟังปุ้ม
“นี่...ไชน เธอตั้งใจฟังฉันพูดอยู่เปล่าเนี่ย” ปุ้มเริ่มวีน
“ฟังอยู่...” ไชนพูดลากเสียงแก้ตัว “เรื่องพี่ริวใช่ไหม”
“นึกว่าจะไม่ฟัง”
“ทำไมล่ะ แปลกไปยังไง” เธอถามเพื่อกลบเกลื่อ
“ก็มันแปลกๆน่ะ เธอไม่รู้สึกบ้างเหรอ”
“รู้สึก... เขาเกร็งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอะไรบางอย่างอยู่”
“เธอคิดว่างั้นเหรอ”
“อืม ฉันก็ไม่รู้สิ ฉันพึ่งรู้จักเขานี่ ปุ้มคงรู้จักนานแล้วล่ะสิ”
“ใช่...ฉันรู้จักพี่น้องคู่นี่ตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว”
“แล้วปกติเขาเป็นคนยังไงล่ะ”
“เป็นคนสุภาพ และก็ไม่ค่อยจะขัดใจใครเท่าไหร่ โดยปกติแล้วจะตามใจด้วยซ้ำไป” ปุ้มเริ่มอธิบายพลางตักไอศกรีมเข้าปาก เธอรู้จักกับอิงมาตั้งแต่เรียนมัธยม รู้เรื่องแทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอิง จนมาเรียนมหา’ลัย ทั้งสองก็ยังสนิทกันไม่เคยเปลี่ยนถึงแม้ว่าจะเรียนคนละคณะก็ตาม
“ตามใจเหรอ...เผด็จการชัดๆเลย ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกันเลย ฉันเพิ่งเข้าใจว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นเมื่อแรกเจอก็วันนี้แหละ”
“นี่เคยเจอกันมาก่อนแล้วเหรอ”
“ก็ใช่ เมื่อคืนนี้เอง”
“งั้นเหรอ เจอกันที่ไหน แล้วรู้จักกันได้ยังไงล่ะ”
“นี่เธอเล่นถามยังกับฉันเป็นผู้ร้ายแน่ะ”
“แล้วเจอกันที่ไหนล่ะ”
“เจอบนรถไฟฟ้า ได้คุยกันนิดหน่อย”
“แล้วตอนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ” ปุ้มถามอย่างกระตือรือร้นจนไชนตั้งตัวไม่ทัน
“เป็นยังไงอะไรล่ะ”
“ก็...พี่ริวดูเป็นยังไงในสายตาของเธอตอนนั้น”
“ตอนนั้นเหรอ เขามีน้ำใจ เป็นสุภาพบุรุษ ออกจะขี้อายหน่อยๆด้วย ต่างกับเมื่อกี้ ที่ทั้งพูดไม่รู้เรื่องแล้วก็เผด็จการอีกต่างหาก”
“นั่นแหละที่ฉันยังบอกไงว่า วันนี้พี่แกแปลกๆไป”
“หรือบางที พี่ริวอะไรอ่ะอาจจะสร้างภาพมาโดยตลอดก็ได้ วันนี้ธาตุแท้ก็เลยออก”
“นี่ น้อยๆหน่อย ฉันรู้จักพี่ริวมาตั้งกี่ปี พี่ริวจะสร้างภาพมาโดยตลอดได้ไง” ปุ้มรีบแย้งทันที เธอคิดว่าเธอรู้จักคนนี้ดีพอ เขาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ “หรือว่า...”
“หรือว่า...อะไร”
“หรือว่าเป็นเพราะแกรึเปล่าไชน”
“เพราะฉันเหรอ...ฉันคงเป็นคนทีโชคดีมากเลยล่ะสิที่ได้รับเกียตรินี้” เธอเริ่มพูดประชด
“ต้องเป็นเพราะแกแน่เลย”
“อ้าว พูดงี้ได้ไงล่ะ ฉันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” ไชนพูดอย่างลำบากเพราะไอศกรีมก้อนใหญ่ที่อยู่ในปาก
ปุ้มหัวเราะออกเพราะเห็นแก้มป่องๆที่เต็มไปด้วยไอศกรีมของไชน ในขณะที่ฝักพยายามเขมือบไอศกรีมนั้นให้ลงคอ
“นี่ ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ” ไชนเอะเพื่อนเล็กน้อย ใบหน้านั้นกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้เพราะนึกตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน
“รู้ไหม ตอนพี่ริวเป็นเด็กนี่เขาลำบากมากแค่ไหน...เธอลองนึกถึงเด็กอายุ 15 ที่แม่ตายพ่อทิ้งแล้วต้องเลี้ยงน้องอีกคนออกไหม”
“อะไรนะ แม่ตายพ่อทิ้ง ! “ ไชนอุทานเสียงดัง มือที่ถือช้อนอยู่นั้นปล่อยช้อนออกด้วยความตกใจ เสียงจากช้อนกระทบแก้วนั้นทำให้คนรอบข้างต่างหันมามอง
“ใช่ แถมไม่มีบ้านอยู่อีกต่างหาก”
“ไม่มีบ้านอยู่ นี่อย่ามาอำกันเล่นดีกว่าน่า”
“ฉันไม่ได้อำอะไรเธอเลยนะ เนี่ยยิ่งกว่าละครซะอีก ตอนนั้นพี่ริวอายุ 15 อิงเองก็คงประมาณ 12-13 นี่แหละพ่อกับแม่ทั้งคู่ก็เลิกกัน พ่อย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดไม่เคยส่งข่าวคราวหรือค่าเลี้ยงดูอะไรมาให้เลย ต่อมาไม่นานแม่ก็มาเสียอีก ตอนนั้นฉันเพิ่งรู้จักอิงก็เลยไม่ได้ไปงานศพหรือรู้เรื่องอะไรด้วยเลย...” ปุ้มพูดเสียงเบาพลางคนไอศกรีมที่ละลายไปมา ลึกๆในใจยังคงรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้ไปช่วยงานศพแม่เพื่อนหรือรู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แล้วยังไงต่อล่ะ ฉันรู้ว่าตอนเรียนมัธยม อิงค่อนข้างลำบากแต่ไม่รู้ว่าจะถึงขนาดนี้”
“เธอคิดว่าเด็กอายุ 15 จะจักการชีวิตตัวเองและน้องสาวต่อไปยังไงล่ะ”
คำถามของปุ้มทำให้ฝักนิ่งเงียบ เป็นเธอ...เธอก็คงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี เธอได้แต่มองแววตาที่จริงจังของเพื่อนอย่างไร้คำตอบ
“อิงกลายมาเป็นนักเรียนประจำ”
“แล้วเรื่องค่าใช่จ่ายล่ะ” ไชนเริ่มถามถึงปัญหาอันดับแรกขึ้นมาทันที
“เรื่องค่าใช้จ่ายน่ะเหรอ ความจริงแล้วทั้งคู่มีญาติห่างๆอยู่ที่ต่างจังหวัด ป้าคนนั้นเดิมจะรับเลี้ยงทั้งสองคน แต่พี่ริวดันไม่ถูกกับลูกชายของป้าที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันซะงั้น พี่ริวจึงขอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ”
“และอิงก็ขอมาอยู่ด้วย” ไชนพูดเสริมด้วยรู้ใจเพื่อนดี
“ใช่...ป้าก็เลยจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พี่ริวกลับขอให้ป้าช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนและอยู่หอของอิงเท่านั้น ป้าคนนั้นคงไม่อยากเรื่องมาด้วยล่ะมั้งก็เลยยอมรับ”
“แล้วพี่ริวล่ะ”
“นั่นแหละประเด็น พี่ชายให้น้องสาวได้อยู่ในหอพักของโรงเรียนอย่างสุขสบายโดยที่ตัวเองลำบากอยู่ข้างนอก เขาไม่ต้องการให้น้องมาลำบากและอยู่ในสังคมที่มีแต่อันตรายกับเขาด้วย เธอว่า พี่ชายคนนี่เจ๋งไหมล่ะ”
“แล้วเขาอยู่ยังไง”
“แต่เขาดันโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอย่างพี่ไผ่ จะว่าไปแล้วทั้งคู่น่ะเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดดันเลยนะ”
“อืม...ไชนได้ยินอิงพูดถึงชื่อไผ่บ่อยอยู่เหมือนกัน” ไชนพูดพลางนึกถึงทุกครั้งที่อิงเอ่ยถึงชื่อนั้น “แล้วคนที่ชื่อไผ่เนี่ย เขาเกี่ยวข้องอะไรด้วยเหรอ”
“พี่ไผ่นี่แหละคนที่คอยชวยเหลือพี่ริวมาโดยตลอด ตอนที่พี่ริวไม่มีที่อยู่ พี่ไผ่ก็ให้พี่ริวไปอยู่ด้วยแถมยังช่วยฝากงานให้พี่ริวอีก พอมีเงิน พี่ริวก็เลยย้ายไปอยู่หอพักถูกๆเพราะไม่อยากรบกวนพี่ไผ่แล้วก็ยังหางานทำเพิ่มอีกจะได้มีเงินเป็นค่ากินค่าอยู่ แกคิดดูสิว่ามันจะลำบากแค่ไหน พี่ริวน่ะเล่นกีตาร์เก่ง มีรายการแข่งที่ไหนเนี่ยพี่แกไปแข่งหมดเพื่อหาเงินมาใช้ ยามว่างๆพี่แกก็จะไปเล่นกีตาร์ที่สวนสาธารณะ คงจะรู้นะว่าไปทำอะไร ไปครั้งไหนเนี่ยได้เศษตังจากพวกคนรวยที่มาออกกำลังกายแล้วก็สาวๆมาเยอะเลยนะแก อย่างว่าล่ะก็พี่แกออกจะหน้าตาดีขนาดนั้น แต่ส่วนใหญ่พี่แกไม่ค่อยได้ไปหรอกเพราะมีงานทำตลอกเวลา ถ้าไม่ไปทำงานก็จะไม่มีเงินใช้”
ไชนได้แต่นั่งนิ่งฟังเรื่องที่ปุ้มเล่าให้ฟังอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนๆนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบเขาก็ตาม แต่เรื่องราวของเขามันช่างแตกต่างอะไรจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆเหลือเกิน เขาต้องหาที่อยู่เองในขณะที่คนอื่นๆมีบ้านอยู่อย่างสุขสบาย เขาต้องทำงานแทบทั้งวันเพื่อหาเงินในขณะที่คนอื่นๆหาเงินได้โดยแบบมือขอจากพ่อแม่ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและอดทนในขณะที่คนอื่นๆมีพ่อแม่คอยปลอบโยนและให้กำลังใจเสมอ
“นี่แกไม่เชื่อฉันใช่ไหมที่ฉันพูดให้แกฟังเนี่ย” ปุ้มถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นหน้าเหม่อลอยของไชน
“เชื่อสิ เพียงแต่...ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย อิงเคยบอกว่า พี่ของเขาคือคนที่วิเศษที่สุด แต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาวิเศษยังไงจนมารู้กับแกวันนี้แหละ มิน่าล่ะ อิงถึงมักจะเอ่ยถึงพี่ชายให้ฉันฟังบ่อยๆ เธอคงชื่นชมพี่ชายคนนี้มากเลยล่ะสิ”
“ก็ใช่สิ ก็เป็นคนๆเดียวที่เธอเหลืออยู่นี่ พี่ริวเองก็ใช่ย่อย หวงน้องยิ่งกว่าไข่ในหินอีกนะแก”
“แหม ก็มีน้องอยู่คนเดียวแถมยังน่ารักอีกต่างหาก เป็นฉัน ฉันก็หวงเหมือนกันแหละย่ะ”
“ตอนม.ปลายนะ มีเด็กโรงเรียนอื่นมาตามจีบอิงด้วย แต่พี่ริวไม่อนุมัติ พี่ริวบอกกับอิงว่า อิงจะมีแฟนได้ก็ต่อเมื่อพี่ริวมีแฟนแล้วเท่านั้น”
“อย่าว่า...อิงบอกฉันว่าไม่เคยมีแฟน นั้นคงไม่ได้หมายความว่าพี่ริวอะไรน่ะยังไม่เคยมีแฟนงั้นเหรอ”
“เยส...” ปุ้มตอบอย่างมั่นใจด้วยภาษาอังกฤษ “ไม่เชื่อล่ะสิ”
“หน้าตา...” ไชนพยายามหาคำพูด เพราะลึกๆแล้วเธอก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจริวเท่าไหร่นัก “เออ...พอไปวัดไปวาได้อย่างนั้นนะ...ไม่เคยมีแฟน”
“ไม่ใช่พอไปวักไปวาได้นะย่ะ หล่อลากดินเลยล่ะ” ปุ้มแย้งทันที แม้ฝักจะมีอคติเล็กๆกับคนๆนี้ แต่เธอก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาคนนี้ก็น่าตาดีเหมือนกัน
“นี่ อย่ามาอำกันเล่นเลยดีกว่าน่า”
“อำเล่นอะไรเล่า”
“ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ฉันบอกว่าพี่ริวยังไม่เคยมีแฟนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เคยปิ๊งใครหรือไม่มีคนเข้ามาจีบซะหน่อย จะว่าไปแล้ว ตอนม.ต้อน ฉันก็แอบปลื้มพี่เขาเหมือนกันนะ”
“นั่นแน่แอบชอบพี่เพื่อนล่ะสิ” ไชนเริ่มล้อเมื่อได้โอกาส
“ก็แค่อดีตเฉยๆย่ะ ตอนนั้นมันไม่ได้เห็นใครมากมาย อยู่โรงเรียนหญิงล้วนนะย่ะ จะมีใครให้มองบ้างล่ะ” ปุ้มแก้ตัวมองหน้าไชนอย่างจริงจัง ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่องเดิม “แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่า พี่ริวจะสนิทกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพิเศษนะ เป็นลูกครึ่งน่ารักเลยแหละแก ฉันไม่รู้นะว่าพวกเขาแอบคบกันรึเปล่า รู้แต่ว่าตอนนี้พี่คนนั้นย้ายไปเรียนอยู่อเมริกาแล้ว นอกจากนี้แล้ว ฉันก็ไม่เห็นว่าพี่ริวจะสนิทกับใครอีกเลยนะ แต่วันนี้นะ ฉันสังเกตเห็นพี่ริวมองแกแปลกๆนะ มองอย่างไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนมาก่อน หรือว่า...พี่ริวจะชอบแกว่ะ...” ปุ้มได้ทีพูดล้อไชนคืนบ้าง
“บ้า มองอะไร”
“ไม่ต้องมาทำเป็นเขินเลย กิ้วๆ”
“เดี๋ยวเหอะปุ้มแกนี่ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย”
“เออๆ ฉันพูดเล่น แล้วแกล่ะคิดจริงทำไม”
“แกนี่ แล้วอีกอย่างนะ ฉันชอบคนที่นิสัยไม่ใช่หน้าตา โดยเฉพราะคนเผด็จการอย่างนั้นนะ ใครเป็นแฟนนี่แย่เลย”
“แกน่ะอย่าเพิ่งด่วนสรุปตัดสินพี่ริวสิ บางทีสิ่งที่เราเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไปก็ได้ แล้วที่ว่าเขาอย่านั้นน่ะ ระวังเหอะ...จะเจอกับตัว”
...........................................................
ในขณะเดียวกันนั้นเอง อิงผู้เคยพูดถึงคุณงามความดีของพี่ชายต่อหน้าเพื่อนๆเอาไว้มากกลับรู้สึกผิดหวังในตัวพี่ชายอย่างเป็นที่สุด เธอเดินเข้ามาในบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนหันไปค้อนหน้าใส่พี่ชาย
“อะไรอีกล่ะ พี่ทำอะไรให้อีกล่ะ” ริวถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นอาการนั้น แต่เขายังคงวางท่านิ่งก่อนเดินไปหาน้ำเย็นๆมาดื่มดับกระหาย
“วันนี้พี่ชายทำอิงผิดหวังในตัวพี่ชายมากเลยรู้ไหม” เธอพูดเสียงขึ้นจมูก สายตานั้นยังคงจับจ้องไปที่ท่าทีนิ่งเฉยนั้น
“ผิดหวังยังไง” เขาถามอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั้นยิ่งทำให้อิงรู้สึกเคืองใจ
“ก็...พี่ชายรู้ไหม อิงไปพูดกับไชนเรื่องของพี่ชายไว้ยังไงบ้าง”
ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะก้มลงหาของกินในตู้เย็นอย่างสบายใจ
“พี่ชาย...”
“อะไรล่ะ...”
“นี่พี่ชายไม่ได้สนใจอิงเลยเหรอ”
“สนอยู่...” เขาลากเสียง “แต่เอ๊ะ! ขนมที่เราซื้อมาวันนั้นน่ะหมดแล้วเหรอ”
“เอ๊ะ! พี่ชายนี้ยังไงเนี่ย” เธอถอนหายใจเสียงดังอย่าไม่พอใจ
“อ้อ อยู่นี่เอง” เขาร้องขึ้นอย่างดีใจแล้วหยิบขนมและน้ำออกมานั่งกินที่โซฟา ในขณะที่อิงยืนกอดอกอยู่ข้างๆ
“อ้าว ยืนให้ปวดขาอยู่ทำไมล่ะ ทำไมไม่นั่ง”
หญิงสาวมองหน้าพี่ชายอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็ยอมนั่งลงตามที่เขาบอก
“ไหนลองบอกสิ พี่ทำให้เราผิดหวังยังไงบ้าง” เขาเริ่มถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าบูดๆนั้น
“พี่ชาย อิงไม่เข้าใจ ทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมดูหนังเรื่องนั้นทั้งๆที่คนอื่นเขาอยากดูกันหมด นี่มันไม่ยุติธรรมเลย”
“แค่เรื่องหนังเรื่องนั้นเอง ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรหนิ เพื่อนอิงก็ไม่มีใครแย้งพี่สักคน อิงเองก็ไม่พูดอะไร แล้วจะมาว่าพี่อย่านี้ได้ยังไง” ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาแย้งบ้าง
“ก็ปกติพี่ชายไม่ใช่คนแบบนี้หนิ ถ้าอิงอยากดูเรื่องไหนพี่ชายก็จะให้อิงดู แล้วนี่ยิ่งไชนเขาไปด้วยอีก”
“ไชนเขาไปด้วยแล้วมันเป็นยังไงล่ะ พี่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะคัดค้านอะไร”
“เป็นเพราะเขาไม่กล้าล่ะมั้ง”
“แล้วทำไมเหรอ ไชนไปด้วยแล้วเขาทำไมเหรอ”
“พี่รู้ไหม ไชนเขาเกลียดคนเผด็จการแบบนี้ที่สุดเลย”
“ก็ช่างเขาสิ” ริวพึมพำอยู่คนเดียวแต่ผู้เป็นน้องกลับได้ยิน
“เอ๊ะ พี่ชายนี่”
“ก็พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ ในเมื่อพี่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”
“ป่านนี้ พวกเธอคงจะพูดถึงพี่กันอยู่แน่เลย...อิงถามพี่ตรงๆเถอะนะ ทำไมอยู่ดีๆพี่ถึงอยากขัดใจอิงขึ้นมา เป็นเพราะไชนรึเปล่า”
“เฮ้ย เกี่ยวอะไรกับไชนด้วยล่ะ”
“ก็...ไม่ใช่เพราะไชนหรอกเหรอ”
“ก็พี่อยากดูเรื่องนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไชนด้วยล่ะ หรือว่าอิงอยากให้เกี่ยว...”
หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นพี่อย่างไม่ค่อยเชื่อใจนัก “จริงนะ”
“เอ๊ะเรานี่ยังไงเนี่ย พี่พูดแล้วไม่ยอมเชื่อ”
“พี่รู้ไหมว่าอิงรู้สึกเสียหน้าแค่ไหนที่พี่ทำอย่างนี้”
“เสียหน้ายังไง...”
“พี่รู้ไหมว่าอิงคุยให้ไชนฟังยังไงบ้าง”
”คุยอะไร”
“อิงน่ะอุตส่าห์ไปพูดเอาไว้ว่าพี่ชายน่ะใจดีแค่ไหน แต่วันนี้พี่ชายกลับทำให้ฝักเขาคิดว่าพี่ชายเป็นพวกเผด็จการซะงั้น ต่อไปฝักเขาคงจะมีอคติกับพี่แน่เลย”
ผู้เป็นพี่ฟังคำน้องพูดแล้วยิ่งเกิดข้อสงสัย ทำไมน้องเขาถึงได้เป็นห่วงความรู้สึกของคนแค่คนเดียวขนาดนี้ ทำไมเธอต้องมาคอยเป็นห่วงด้วยว่าเธอคนนี้จะคิดยังไง
ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่สร้างความร่มรื่นให้กับเรือนไม้หลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไชนกับปุ้มต่างวุ่นวายอยู่กับการถอนหญ้าที่ขึ้นจนรกดูน่ากลัว ด้วยบ้านนี้ไม่ได้มีผู้อยู่อาศัยมานานเกือบปีแล้วจึงขาดการดูแลรักษาไป พวกเธอใช้เวลาเกือบทั้งวันในการทำความสะอาดบ้าน และการถอนหญ้าและจัดสวนนี้ก็ถือว่าเป็นงานสุดท้ายแล้ว ทันทีที่พวกเธอถอนหญ้าเสร็จ บ้านหลังนี้ก็จะพร้อมอยู่ทันที
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเธอบอกว่าจะมาอยู่ด้วยเนี่ย จ้างให้ฉันก็ไม่มีวันมาอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวหรอกนะ” ปุ้มพูดอย่างหวาดๆพลางเงยหน้าขึ้นไปมองบ้านไม้เก่าแก่ จินตนาการถึงหญิงชราเจ้าของบ้านที่เฝ้ามองดูพวกเธออยู่
“นี่ คิดอะไรอยู่”
ปุ้มสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบก้มหน้าทำงานต่อไปทันที “เธอรู้ไหม บ้านหลังนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยไหน”
“ไม่รู้สิ แต่ดูๆแล้ว น่าจะนานมากเลย”
“สร้างก่อนสมัยสงครามโลกอีก เคยถูกระเบิดลงด้วย น่ากลัวซะมัดเลย”
“กลัวอะไร ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ฉันว่าร่มรื่นน่าอยู่มากกว่า”
“โอ๊ย น่าอยู่ไปคนเถอะ เออ...คืนนี้ฉันขอนอนห้องเธอด้วยได้ไหม”
“ห้องตัวเองก็มีทำไมไม่ไปนอน จะมานอนเบียดกันไปทำไม”
“ก็ฉันกลัวนี่นา นะ...คืนแรกคืนเดียวเท่านั้นแหละ...นะ”
“ก็ได้ๆ แกนี่จริงๆเลย บ้านตัวเองแท้ๆยังกลัว”
“ก็ไม่มีคนอยู่นานแล้วหนิ ตั้งแต่คุณยายเสียแม่ก็ย้ายไปอยู่หัวหินแล้ว ฉันก็ย้ายไปอยู่หอที่ม. บ้านหลังนี้ก็เลยไม่มีคนดูแล ว่าแต่แกเถอะฝัก คิดยังไงถึงอยากย้ายมาอยู่ที่นี่”
“ก็ที่นี่ดูร่มรื่นสบายดี แล้วอีกอย่าง ฉันต้องแต่งเพลงด้วยนะ แต่งอยู่ในหอมันไม่ค่อยสะดวกนัก อยู่นี่ล่ะดีกว่าได้บรรยากาศด้วย”
“บรรยากาศหนังผีล่ะสิ” ปุ้มพึมพำขึ้น
“เออนี่แก...” ไชนพูดขึ้นเสียงดังทำให้ปุ้มสะดุ้งโหยง
“ไอ้นี่...ตกใจหมด”
“ทำเป็นขวัญอ่อนไปได้ ฉันต้องเอาแผ่นเดโม่ไปให้พี่เมธี ลืมไปซะสนิทเลย ต้องไปแล้ว ที่เหลือแกทำเองได้ไหม ฉันต้องรีบไปก่อน”
”เฮ้ย ได้ไง แกจะให้ฉันอยู่บ้านคนเดียวเหรอ”
“ฉันต้องรีบเอางานไปส่ง นะ...ไม่มีอะไรหรอก บ้านแกเองแท้ๆ ไปล่ะ” ไชนพูดพลางรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบกระเป๋าและงานที่ต้องเอาไปส่ง ก่อนวิ่งกลับออกมาโดยฟังเสียงคัดค้านของปุ้ม
เธอรีบอย่างที่สุดเพื่อจะเอาแผ่นเพลงไปส่ง เธอไม่ชอบที่จะทำงานล้าช้า ไม่ชอบให้คนอื่นมาติเตียนเอาได้ เธอทำความสะอาดบ้านจนเพลินลืมเวลาเอางานมาส่ง ตอนนี้เธอเลทเวลาที่นัดพี่เมธีเอาไว้มากแล้ว เธอสาวเท้าเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่เธอเดินไปถึงห้องทำงานของพี่เมธี เธอหยุดพักหายใจแล้วค่อยเปิดประตูเข้าไป แต่...ในนั้นกลับไม่มีใครอยู่ ไชนค่อยเดินเข้าในห้องพลางพิจารณาว่าจะวางงานไว้ที่ไหนดี เพราะดูเหมือนโต๊ะนั้นจะไม่มีที่วางพอสำหรับงานของเธอเลย ทุกพื้นที่ถูกผิดคลุมไปด้วยกระดาษและโน้ตเพลง แต่แล้ว ประตูก็ถูกเปิดออก หากแต่คนที่เดินเข้ามาก็คือริว
ไชนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าเขา ริวเองก็ดูเหมือนจะนิ่งไป
“สวัสดีคะ” ไชนกล่าวทักอย่างคนรู้จักกัน
ริวพยักหน้ารับก่อนถามขึ้น “พี่เมธีไม่ได้อยู่นี่เหรอ”
“ค่ะ ไชนก็เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ ยังไม่เห็นพี่เมธีเหมือนกัน”
“เธอเอางานมาส่งเหรอ”
“ค่ะ...แต่ไม่รู้ว่าจะวางไว้ที่ไหนดี โต๊ะมันลกไปหมดเลย” เธอพูดพลางพยายามเคลียร์โต๊ะนั่น ริวจึงนั่งลงคอยที่โซฟาในห้องแต่ดันเกิดเสียงประหลาดขึ้น ไชนหันหน้ามามองเขาทันที
“ฉัน...ฉันไม่ได้ตดนะ” เขารีบแก้ตัว “ถ้าเธอนั่งลงอย่างนี้มันจะเกิดเสียง ดูนะ” เขาลองนั่งให้เธอดูใหม่อีกครั้งแต่มันก็ไม่เกิดเสียงอย่างเมื่อกี้ เขาเริ่มทำหน้าไม่ถูกและกระสับกระส่ายไปมา
“ลองดูใหม่นะ” เขาพูดอย่างรีบร้อนแล้วลองนั่งลงใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่เกิดเสียงขึ้นเช่นเดิม
“ไชนว่า...”
“นี่ฉันไม่ได้ตดจริงๆนะ” เขาโวยวายขึ้น
“ไชนก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย”
“แต่เธอยิ้มน่ะ”
“ก็...ไม่เห็นเป็นไรเลย ตดมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ”
“แต่เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตดนะ”
“โอ เค ๆ คุณไม่ได้ตด”
“แต่เธอไม่เชื่อ ลองมานั่งดูเองก็ได้”
“ฉันเชื่อ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่บอกใครหรอก”
“นี่ ฉันมาได้ตดจริงๆนะ”
“โอ เค ฉันต้องไปแล้ว ฉันไม่บอกใครหรอก” เธอพูดพลางแกล้งเอามือปิดจมูกแล้วเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะหัวเราะออกมาในความเปิ่นของเขา
ความคิดเห็น