ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : นักประดิษฐ์ช่างฝัน
บทที่ 6
นักประดิษฐ์ช่างฝัน
นักประดิษฐ์ช่างฝัน
ทรงพลจึงเข้าไปนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมทั้งดื่มเหล้า ดีดกีต้าร์ ด้วยความสบายใจ หยิบปากกามาเขียนแบบสิ่งประดิษฐ์ต่อ หลังจากนั้นทรงพลย้อนถึงเรื่องเก่า ๆ สมัยเรียนนิติศาสตร์ปีสอง ทรงพลตั้งใจอย่างมากที่จะประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือ พัฒนาประเทศ ตลอดเวลาที่เรียนนิติศาสตร์ เวลาเข้าห้องสมุดทรงพลไม่เคยหยิบตำรากฎหมายมาอ่าน แต่จะไปหยิบหมวดวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในเรื่องของฟิสิกส์ที่เค้าชื่นชอบ ที่สุดในชีวิต การเรียนฟิสิกส์ในสมัยนั้นยังเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับประเทศไทย ทรงพลได้เรียนรู้จากการศึกษาและอ่านด้วยตนเอง เมื่อเค้าพูดถึงวิชาฟิสิกส์ การสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทุกคนจะบอกว่าเค้าบ้า เพ้อฝันทรงพลไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชื่นชอบ ด้วยการต้องตามใจคุณหญิงแม่ทุกอย่าง แม้ว่าทรงพลจะไม่ค่อยชอบคุณหญิงทับทิม แต่ด้วยความรักทรงพลก็ไม่เคย ขัดใจ ถึงแม้ทุกครั้งจะมีปากเสียงกับคุณหญิง แต่สุดท้ายแล้วทรงพลคิดว่า คุณหญิงก็คงรัก และเป็นห่วงตนเอง
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ตอกย้ำชีวิตของเขามาโดยตลอด ที่ทรงพลไม่เคยลืม และคิดว่าสักวันหนึ่งทรงพลจะต้องฝัน และไปให้ถึงคือ การส่งสิ่งประดิษฐ์เข้าประกวดแข่งขัน ทรงพลยังจดจำเมื่อครั้งที่เคยเข้าไปนำเสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์ เขาจึงไม่คิด ไม่กล้าจะนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่ใด ๆ อีกเลย เนื่องจากว่าทรงพลเคยเข้าไปนำเสนอสิ่งประดิษฐ์แล้วโดนไล่ตะเพิดออกมาไม่มีชิ้นดี วันนั้นทรงพลตื่นแต่เช้า ไปยืนรอส่งผลงานเข้าประกวด เมื่อเขาตัดสินใจเดินก้าวเข้าไป เขาโดนจ้องมองเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ ผู้คนมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า คงไม่แปลกเท่าไหร่ จากสภาพคนที่ยังไม่ค่อยจะส่างเมา เข้าไปส่งสิ่งประดิษฐ์ เดินเข้าไปหาหน่วยรับรับสมัครผลงานสิ่งประดิษฐ์ พนักงานมอง ตั้งแต่เดินเข้าไปในออฟฟิตเพราะทรงพล แต่งตัวตามสบาย ๆ ตามหลัก 5 ยอ ผมยาว ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ายาง และสะพายย่าม ครบเซ็ต พอทรงพลล้วงย่าม กำลังจะยกชุดทดลองให้หัวหน้าฝ่ายวิจัยดู หัวหน้าฝ่ายตกใจสภาพของทรงพลก็ร้องเสียงดัง
“เฮ้ยคุณเข้ามาได้ยังไง”
“กำลังจะทำอะไรน่ะ”
เขาร้องด้วยความตกใจ นึกว่าทรงพลจะเข้ามาทำมิดีมิร้าย
“เอ่อไม่มีอะไรครับ”
“ผมเอาสิ่งประดิษฐ์มาส่งเข้าประกวด”
ทรงพลค่อย ๆ ยกสิ่งประดิษฐ์ออกมาตั้งไว้บนโต๊ะ คุณ ๆ มาทางไป ไปทางนั้นเลย แต่งตัวแบบนี้ยามให้เข้ามาได้ยังไง
“ก็ผมเอาสิ่งประดิษฐ์มาส่ง”
“สภาพแบบนี้น่ะเหรอ เอาสิ่งประดิษฐ์มาส่ง”
“คุณหลุดออกมาจากโรงพยาบาลไหนเนี่ย”
“ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันล่วง”
“อยากหัวเราะก็หัวเราะสิครับ”
“ผมไม่ได้ห้ามคุณหัวเราะ ซะหน่อย”
หัวหน้าฝ่ายจึงนิ่งเงียบ
“โอเค เพื่อไม่ให้เป็นการเสียกำลังใจ แล้วเราเรียนจบอะไรมา”
“เรียนไม่จบครับ”
“จบเกม” หัวหน้าฝ่ายพูด
แต่ผมมีสิ่งประดิษฐ์หลายชิ้นที่จะนำมาประกวด
“เฮ้ยเรียนก็ไม่จบ”
“สติดีรึเปล่าเนี่ยคุณ”
“ลูกเต้าเหล่าใคร แหมน่าสงสารจริง”
“ผมว่าคุณไปหาหมอดีกว่ามั๊ย คุณเพ้อเจ้อมากกว่า”
“คุณรู้มั๊ยการส่งสิ่งประดิษฐ์น่ะมันไม่ใช่จะมาส่งกันง่าย ๆ แบบคุณเดินเข้ามานี่”
“คุณดูรายละเอียดชัดเจนรึยัง”
“มันต้องมีผลงาน หรือหนังสือประกอบเป็นเล่ม ๆ”
“จะต้องมีผู้รับรองผลงานด้วย”
“ผมว่าน่าจะต้องจบระดับปริญญาเอกด้วยซ้ำไป”
“คิดง่าย ๆ แบบคุณ”
“คนก็เป็นนักประดิษฐ์เต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้วสิ”
“ที่สำคัญดูการแต่งตัวสิเนี่ยไม่อยากจะพูด”
“แต่งให้มันดูดีมีการศึกษาหน่อย จะมาส่งผลงานทั้งที”
“มันต้องแต่งตัวสุภาพ”
“ถ้าไม่บอก”
“ผมนึกว่าคุณจะมาปล้นนะเนี่ย”
“คุณเลิกพูดเถอะ ผมขี้เกียจฟังแล้ว”
“ผมรู้แล้วผมอ่านรายละเอียดมาบ้างแล้วด้วย”
“ผมก็แค่อยากมานำเสนอ และขอคำแนะนำจากคุณ”
“เท่านั้นเอง ทรงพลพูดใส่อารมณ์”
“ที่สำคัญในใบประกาศไม่ได้บ่งบอกว่าต้องแต่งกายยังไง”
“ก็เพราะก็ไม่สนใจเรียนน่ะสิ คุณถึงไม่รู้”
“ว่าไอ้การมาติดต่อราชการ จะต้องแต่งตัวให้สุภาพ”
“สุภาพชนรู้จักมั๊ยครับคุณ”
“ผมขอโทษด้วยก็แล้วกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมาะสม”
“ผมว่าคุณคงไม่ต้องส่งหรอก”
“เพราะคงไม่มีใครยอมรับรองงานให้คุณหรอก”
“ดูจากสภาพคุณแล้ว ผมต้องขอโทษด้วยนะ”
“ไอ้สิ่งประดิษฐ์คุณนี่ก็เอาไปทิ้งเถอะคุณ”
“ผมเห็นเป็นโครงเหล็ก อะไรก็ไม่รู้”
“ขอโทษด้วยนะ แล้วคุณไม่ต้องส่งมาเลยนะ”
“ถ้าผมเห็นชื่อคุณส่งมา ผมก็คงให้คุณตกคนแรก”
หัวหน้าฝ่ายจ้องหน้าทรงพล ทรงพลรู้สึกโกรธมากที่หัวหน้าฝ่ายพูดแบบนั้น แต่เขาก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ เพราะไม่อยากแสดงอาการที่ไม่เหมาะสมออกมา หัวหน้าฝ่ายจึงเปิดประตูเรียกยาม
“เฮ้ยให้ใครเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“เดี๋ยวโดนไล่ออกหรอก”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
“ไม่ต้องไล่ แล้วสักวันนึงเราคงได้เจอกันแน่”
ทรงพลส่งสายตามุ่งมั่นจ้องตาเขม็งไปที่หัวหน้า เมื่อทรงพลออกไปหัวหน้าฝ่ายนั่งบ่นอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวนี้อากาศร้อน ปัญหาสังคมเยอะจริง”
“สงสัยคนมันเริ่มเป็นบ้ากันเยอะ”
“ประเทศไทยเราเนี่ย คนบ้าไม่แพ้อเมริกาเลยนะ”
“คนเราเนี่ยไม่น่าจะคิดมากเล๊ย”
“หนังสือหนังหาไม่รู้จักเรียน”
“แถมดูสภาพเหมือนคนเมา”
“น่าเบื่อจริง ๆ ไอ้พวกไม่สร้างสรรค์สังคม”
ทรงพลรู้สึกเสียใจมากกลับความมุ่งหวังตั้งใจที่เค้ายอมทุ่มเทมาโดยตลอด
“โธ่เอ๊ยก็แค่ไอ้พวกบ้าปริญญา”
“พวกเสือกระดาษ”
“ไม่เห็นได้สร้างสิ่งประดิษฐ์อะไรให้มันยิ่งใหญ่ได้เลย”
“ได้แต่เขียนงานอะไรก็ไม่รู้ขึ้นหิ้ง”
“ใช้งานก็ไม่ได้”
“เขียนงานขึ้นมางี้ไม่รู้จะให้ใครอ่านบ้าง”
“เขียนงงๆ ไม่ให้ประชาชนรับรู้”
“แบบนี้สินะถึง ไม่เห็นมีสิ่งประดิษฐ์อะไรใหม่ ๆ สักที”
“ยั่งงี้ซิประเทศชาติมันถึงไม่เจริญ”
ทรงพลบ่นอยู่คนเดียวด้วยความมึนเมา
เมื่อถึงวันอาทิตย์ชมพู่ก็ได้ขึ้นไปตึกใหญ่เพื่อจะไปเรียน เรื่อง กาพย์ กลอน และอ่านทำนองเสนาะ ตามเคย พอดีเมื่อชมพู่เดินผ่านห้องโถงใหญ่ก็ต้องตกใจ เมื่อได้เจอกับหญิงพิมพ์
“นี่หล่อนหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“จะไปไหน”
“ขึ้นมาตึกนี้ได้อย่างไร”
“หญิงพิมพ์แสดงอาการไม่พอใจมาก”
“ดิฉันมาเรียนรู้ศิลปะ วัฒนธรรมไทยเจ้าค่ะ”
“พอดีคุณหญิงย่าทับทิมอนุญาตให้ขึ้นมาเรียน”
“หนอยอยากตีตนเสมอท่านหละสิไม่ว่า”
“ไม่รู้รึไงว่าเค้าให้แต่ผู้ดีมาเรียนกัน”
“ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่คุณย่าอนุญาตแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเอาคุณแม่มาอ้าง”
“คุณแม่เนี่ยก็เหลือเกิน”
“ไม่รู้หลงเสน่ห์อะไรแกนักนะ”
“ดิฉันไม่มีเสน่ห์อะไรทั้งนั้น”
“ทำไมต้องเสียงดังใส่ฉันด้วย”
“นังเด็กแก่แดด หญิงพิมพ์ผลักชมพู่”
“ชมพู่ล้มลงเพราะไม่ทันระวังตัว”
“จำไว้ อย่ามาต่อปากต่อคำกับฉันนะ”
“นังแป้นอยู่ไหน”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ”
“ไปเอาน้ำแดงเย็น ๆ มาให้ฉันหน่อยสิ”
“เห็นหน้าคนบางคน แล้วอากาศมันร้อนขึ้นมาทันที”
“ฉันหิวน้ำ เร็ว ๆ ได้ยินมั๊ย”
“นังชมพู่แกนั่งลงตรงนี้ก่อน” หญิงพิมพ์วางอำนาจกับชมพู่
ชมพู่นั่งลงคิดฉงนใจ
“นวดเท้าให้ฉันหน่อยสิ”
ชมพู่มองหน้าหญิงพิมพ์
“มองหน้าทำไม”
“หาเรื่องฉันเหรอ ฉันตบหน้าหงายเลย”
ชมพู่ก็นวดให้ตามที่คุณหญิงพิมพ์สั่ง
“ถ้าแกจะมาเรียนที่นี่จริง ๆ น่ะนะ”
“แกจะต้องรับใช้คนในบ้านนี้เข้าใจมั๊ย”
“หญิงพิมพ์เอานิ้วชี้ที่หน้าชมพู่ จำใส่กะโหลกแกไว้เลย”
“แกต้องรู้จักบุญคุณ รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“อย่ามาสะเออะ ฉันหละเกลียดขี้หน้าแกจริง ๆ”
“นังแป้นได้น้ำมารึยัง เร็ว ๆ”
“ฉันหิวน้ำ คอแห้งจะแย่อยู่แล้ว”
“นังแป้น หญิงพิมพ์ตะเบ็งเสียงดัง”
“อุ๊ย มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้วเจ้าค่ะ”
“น้ำแดงเย็น ๆ”
เมื่อหญิงพิมพ์ได้แก้วน้ำแดง
“จับน้ำราดลงไปบนหัวชมพู่”
“คุณพิมพ์ค่ะ”
“อุ๊ย ชมพู่ขอโทษด้วยนะ”
“พอดีฉันไม่ทันระวัง”
“หญิงพิมพ์ หัวเราะชอบใจ”
“นังแป้นโยนผ้าขี้ริ้วให้มัน แกต้องทำความสะอาดเช็ดถูกให้หมดเข้าใจมั๊ย”
“คนรับใช้ ต่างแอบดูขณะที่ชมพู่ถูกหญิงพิมพ์แกล้ง”
“นี่ฉันว่าคุณพิมพ์ทำเกินไปนะ น่าสงสารคุณชมพู่จริง ๆ”
“ยังเด็กอยู่แท้ ๆ”
“กลับบ้านไปอย่าลืมตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองด้วยหละ”
“เข้าใจมั๊ย”
“แล้วหญิงพิมพ์ก็เดินเหยียบมือชมพู่ ขณะที่ชมพู่กำลังเช็ดทำความสะอาดพื้น”
ชมพู่ก้มหน้าร้องไห้ไม่กล้าต่อปากต่อคำ เพราะกลัวจะเป็นเรื่อง และไม่ได้ขึ้นมาเรียนอีก น้ำแดงกระเด็นลงเต็มพื้น ทำให้น้ำแดงนั้นกระเด็นใส่ชุดของชมพู่ให้แม่มอบให้ เปื้อนหมดชมพู่ก้มดูที่ชุดน้ำตาไหล
ก่อนที่หญิงพิมพ์จะเดินจากไป ยังหันกลับมาบอกให้ชมพู่เช็ดถูกให้เรียบร้อย
“มองทำไม” หญิงพิมพ์ด่าคนรับใช้ในบ้าน
“ห้ามใครช่วยมันเข้าใจมั๊ย”
“และอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณแม่”
“ถ้าใครบอกฉันจะไล่ออก”
“เข้าใจมั๊ย”
“เข้าใจครับ เข้าใจค่ะ คุณพิมพ์”
“ไปทำงานได้แล้ว”
“นี่แกนังชมพู่ แกต้องเช็ดน้ำที่พื้นออกให้หมดก่อนไปเข้าเรียนเข้าใจมั๊ย”
“เจ้าค่ะ” ชมพู่ตอบหญิงพิมพ์
แป้นกับหญิงพิมพ์มองหน้ากันพร้อมกับอมยิ้มพอใจที่ได้แกล้งชมพู่ แป้นรีบเดินเติมหลังเจ้านาย เพื่อเอาหน้า
“แป้นว่าสะใจดีค่ะคุณพิมพ์”
“สมน้ำหน้ามัน ไอ้พวกไม่รู้จักเจียมตัว”
ชมพู่รีบจัดการเช็ดน้ำที่พื้น และเข้าห้องน้ำไปทำความสะอาดเอาน้ำล้างคราบที่ติดที่ชุด และกำลังจะเดินไปที่ห้องรักษ์วัฒนธรรม แต่ก็ต้องเจอกับทรงพล ทรงพลเดินลงมาจากข้างบน เห็นชมพู่ตัวเปียก หน้าตาไม่สดชื่น
“จ๊ะเอ๋ ปลาดาว”
ทรงพลจับแขนชมพู่
“ เฮ้ย เธอไปทำอะไรมาเนี่ย”
“ทำไมอยู่ในสภาพนี้ เหมือนลูกนกตกน้ำเลย”
ชมพู่น้ำตาไหล พร้อมกับสะบัดมือออกจากทรงพล
“ไปถามคุณหญิงพิมพ์น้องสาวสุดที่รักของคุณดูสิค่ะ” ชมพู่จึงเดินเลี่ยงไป ทรงพลแสดงหน้าตาไม่พอใจ ที่รู้ว่าหญิงพิมพ์แกล้งชมพู่
“อะไรกันเนี่ยหญิงพิมพ์ ร้ายจริง ๆ แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น”
“ แกล้งเด็กได้ลงคอ”
ทรงพลจึงเดินไปหาหญิงพิมพ์เพื่อต่อว่า หญิงพิมพ์รีบเดินออกไป เพราะคิดว่าทรงพลคงรู้ข่าวที่ตนเองไปแกล้งชมพู่เป็นแน่
“เดี๋ยวหญิงพิมพ์หยุดก่อน อะไรกันค่ะพี่พล”
“นี่ทำไมไปแกล้งเด็กอย่างนั้นไม่ดีเลยนะ”
“แกล้งที่ไหนค่ะ”
“มันไปฟ้องอะไรพี่พลเหรอ”
“เค้าไม่ต้องฟ้องพี่ พี่ก็รู้”
“ใครจะกล้าหาเรื่องเด็กแบบนี้”
“ถ้าไม่ใช่เธอ”
“แม่ไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีนะหญิงพิมพ์”
“ก็แค่หญิงทำน้ำหก”
“แล้วให้นังชมพู่ช่วยเช็ดพื้นก็แค่นั้นเอง”
“ขอให้เป็นแค่นั้นนะ”
“แล้วพี่พลจะเดือดร้อนแทนมันทำไมค่ะ”
“หญิงไม่เข้าใจ ชักสงสัยแล้วสิ”
“เอหญิงไม่เคยเห็นพี่พลสนใจผู้หญิงคนไหน”
“ทำไมต้องใส่ใจกับแค่ไอ้เด็กบ้านนอกคนนี้ด้วยนะ”
“น้องรู้นะว่าพี่พลแอบไปเล่นกับมันบ่อยๆ”
“มันมีอะไรดีรึค่ะ พี่พลถึงติดอกติดใจ”
“หยุดนะหญิงพิมพ์ เธอกำลังดูถูกพี่รู้มั๊ย” ทรงพลเสียงแข็ง
“หญิงไม่หยุด”
“พี่พลคิดเอ็นดูมันขึ้นมาหรือค่ะ”
“รึว่าพี่พลหลงเสน่ห์พวกแม่มดคู่นั้น”
“นี่หญิงพิมพ์!”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ” ทรงพลเสียงดัง
“คนรับใช้ต่างแอบดู เจ้านายทะเลาะกัน”
“ฉันว่าบ้านแตกแน่ทีนี้”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ”
“คอยดูนะหญิงจะฟ้องท่านหญิงแม่”
“พี่พลคอยดู”
“หญิงจะบอกคุณว่าพี่พลไปคลุกคลีกับนังเด็กชมพู่นั่น”
“หญิงก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ถ้าท่านแม่ทราบ”
“ว่าลูกชายสุดรักสุดหวงของท่าน ไปหลงรักนังเด็ดแก่แดดบ้านนอกนั่น”
“ท่านแม่จะว่าอย่างไร”
หญิงไม่ว่ามีเวลาต่อปากต่อคำกับพี่พลแล้ว ไปก่อนนะพี่ชายสุดที่รัก
แล้วหญิงพิมพ์ก็รีบเดินไปขึ้นรถเบนซ์คันสวย” ที่เพื่อนชาย คือ คุณชายศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยมารับเป็นประจำ ทรงพลรู้สึกโกรธหญิงพิมพ์มาก แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะว่าอะไรมากนัก เพราะกลัวหญิงพิมพ์จะไปพูดให้ร้ายชมพู่กับคุณหญิงทับทิม เพราะทรงพลรู้ดี ว่าน้องสาวคนนี้ของทรงพล เป็นคนที่เอาแต่ใจ อารมณ์ร้อน วู่วาม
ชมพู่เดินเข้าไปเรียนในห้อง ด้วยหน้าตาที่ไม่สบายนัก ก็ไปเจอหญิงกานต์ กับหญิงส้ม เพื่อนสนิท พร้อม ๆ กับ เพื่อน ๆ ในห้องที่จ้องดูสภาพของชมพู่
“ชมพู่เป็นอะไร” เพื่อนต่างวิ่งมารุมล้อมชมพู่
“ทำไมชุดสวย ๆ เปื้อนแบบนี้” หญิงกานต์ถาม
“พอดีชมพู่ซุ่มซ่ามทำน้ำหกใส่เสื้อเจ้าค่ะ”
เพื่อน ๆ จึงหัวเราะ
“จริงเหรอปกติหญิงกานต์เห็นชมพู่เรียบร้อยจะตาย”
“ไม่ยักรู้ว่าชมพู่จะเป็นคนซุ่มซ่ามเนอะ”
“หญิงส้ม” หญิงส้มอมยิ้มพยักหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกนะ”
ถ้าชุดนี้ชมพู่เปื้อน เดี๋ยวเรามีชุดสวย ๆ เยอะแยะ เราจะแบ่งมาให้ชมพู่ พี่ชายกริช
พี่ชายของเราใจดี ชอบซื้อของให้เราหลาย ๆ อย่าง เดี๋ยวเราจะขอให้พี่ชายกริชซื้อชุดให้ชมพู่เพื่อนรักของเราด้วยนะ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหญิงกานต์”
วันนั้นหลังจากเลิกเรียนชมพู่กลับบ้านด้วยสภาพที่เปรอะเปื้อน
“ชมพู่ไปเล่นซนอะไรมาลูกอีกลูก”
แม่จันทร์หอมเอ่ยถาม
“ชมก็แค่ซุ่มซ่ามทำน้ำหกใส่นิดหน่อย”
“ไม่ทันระวังน่ะแม่”
“แม่ว่ามันไม่นิดเลยนะลูก”
“เอ..ลูกคิดอะไรมากรึเปล่า ทำไมให้ชุดนี้มันเลอะได้หละ”
“ไม่ได้คิดค่ะแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อย จริงๆ ค่ะ”
ชมพู่ไม่ยอมเล่าเรื่องที่โดนคุณหญิงพิมพ์แกล้งให้แม่ฟัง เพราะกลัวว่าแม่จะคิดมาก
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ฎ
“เดี๋ยวชมจะซักเก็บไว้ไม่ใส่แล้วแหละชุดนี้”
“เผื่อชมพู่ซุ่มซ่าม ชมพู่ไปซื้อชุดอื่นมาใส่ดีกว่า”
“ช่วงนี้เราก็พอมีเงินแล้วด้วย”
“อืมเดี๋ยวแม่ซื้อชุดสวย ๆ ให้ใหม่”
“ไม่ต้องเอาสวยหรอกค่ะ เผื่อมันเปื้อนอีก”
“ชมพู่พูดหน้าเจื่อน”
“มันจะเปื้อนได้อีกยังไงกัน ไหนชมบอกว่าแค่ซุ่มซ่าม”
“แม่จันทร์หอมรู้ทันชมพู่”
“เพราะคิดว่าถ้าชมพู่ขึ้นไปตึกใหญ่ต้องโดนแกล้งมาแน่ ๆ”
“เดี๋ยวชมไปอาบน้ำกินข้าวก่อนนะค่ะ”
“วันนี้ซ้อมหนักชมเหนื่อยมากเลย”
ชมพู่รีบเข้าห้อง ล้มตัวลงบนที่นอน นอนร้องไห้คิดถึงเรื่องที่ถูกแกล้ง หลังจากนั้นก็เอาชุดของแม่ไปซักเก็บไว้ในตู้ เพราะกลัวว่ามันจะเปื้อนอีก
อาทิตย์ถัดมาชมพู่เดินกลับมาจากตลาด เพื่อจะเข้าบ้าน แต่อยู่ ๆ
หญิงกานต์ก็นั่งรถเบนซ์คันงามมากับพี่ชาย พี่ชาย ๆ
หญิงกานต์ก็นั่งรถเบนซ์คันงามมากับพี่ชาย พี่ชาย ๆ
“หยุดก่อนค่ะ หยุดรถก่อนค่ะพี่ชาย”
“ นี่ไงชมพู่เพื่อนหญิงกานต์” หญิงกานต์พูดกับพี่ชาย
“น่ารักมั๊ยค่ะ”
“คนที่หญิงกานต์ฝากให้พี่ชายซื้อชุดมาฝากไงค่ะ”
“ชายกริชก้มหน้ามองผ่านกระจก จ้องมองดูชมพู่”
“รู้สึกถูกใจชอบกล อืมน่ารักดีนะหญิงกานต์”
“ใช่ค่ะ นิสัย ดีด้วย เรียนก็เก่ง”
“หญิงกานต์ชอบชมพู่มากเลย”
“พี่ชายก็ชอบเหมือนกัน” ชายกริชหลุดปาก
“อะไรนะค่ะพี่ชาย”
“เมื่อกี้พี่ชายพูดอะไรนะ หญิงกานต์ฟังไม่ถนัด”
อ๋อก็ชอบที่มีน้องสาวน่ารักเพิ่มอีกคนไงหละ ชายกริชเอามือจับที่หัวน้องสาวแกมหยอกล้อ
“พี่ชายจอดรถเลยค่ะ”
“เดี๋ยวหญิงกานต์จะเอาชุดให้ชมพู่ก่อน”
“บ้านชมพู่เค้าลำบากไม่ค่อยมีเงิน”
“แล้วหญิงกานต์ก็ร้องเรียกชมพู่” เพราะชมพู่กำลังจะเดินเข้าบ้าน
“ชมพู่ ชมพู่ หยุดก่อน”
“ค่ะหญิงกานต์”
“ทำไมวันนี้มาเร็วหละค่ะ”
“รีบเอาชุดสวยมาให้ชมพู่น่ะสิ”
“เนี่ยพี่ชายเราเอง”
หญิงกานต์แนะนำชมพู่ให้ชายกริชรู้จัก
“ชมพู่ยกมือไหว้ชายกริช ด้วยความนอบน้อม”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะท่านชาย”
“ไม่ต้องไหว้ก็ได้นะชมพู่”
“หญิงกานต์พูดถึงเรื่องชมพู่ให้เราฟังเสมอเลย”
“เหรอค่ะ ว้าหญิงกานต์เนี่ยเอาเราไปนินทาอะไรให้ท่านชายฟัง”
“ไม่ได้นินทาก็พูดเรื่องที่เราเล่นสนุกกันเท่านั้นแหละชมพู่ หญิงกานต์รีบออกตัว”
“อืมชมพู่เรียกพี่ชายหมือนหญิงกานต์ก็ได้นะ”
“วัยเราก็ไล่เลี่ยกัน”
“ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าจะให้ดีเรียกพี่กริชก็ได้”
“ดูสนิทสนมกว่า”
“อะหึ่ม”
“แน๊ จะจีบเพื่อนหญิงกานต์รึไง
“ค่ะพี่กริช” ชมพู่เรียกชายกริชตามที่บอกทันที
“คนนี้หญิงกานต์หวง ไม่ให้จีบ”
ชายกริชดีใจที่ได้ยินชมพู่เรียกเช่นนั้น
“แล้วเดี๋ยวเราค่อยเจอกันใหม่นะชมพู่” ชายกริชกล่าวลา พร้อมทั้งส่งสายตาหวานซึ้ง
“ชมพู่เดี๋ยวฉันไปรอที่ห้องนะ”
หญิงกานต์บอกลาชมพู่
“ค่ะเดี๋ยวชมพู่จะแวะเข้าบ้านก่อน”
“เดี๋ยวจะตามไปนะค่ะ”
พอดีออกมาซื้อของให้แม่
“พี่พึ่งรู้นะเนี่ยว่าเรามีเพื่อนน่ารักขนาดนี้”
“ยั่งงี้ให้พี่มาส่งทุกอาทิตย์ก็ดีนะ
“พี่ชายหลงเสน่ห์ชมพู่เข้าแล้ว”
“อ้าวทำไมว่างั้นหละ”
“หญิงเห็นใคร ใครเจอชมพู่ ก็ต้องหลงรักทุกคนแหละ”
“แหมรวมถึงพี่ชายตัวดีของหญิงกานต์ด้วยนะ”
“ไม่รู้ชมพู่มีดีอะไร”
“หญิงไม่เข้าใจ”
“หญิงกานต์เนี่ยก็ชอบน้อยใจอยู่เรื่อยเลย”
“เห็นน้องหญิงบอกว่าเค้าเก่ง นิสัยดี น่ารัก ก็มีคนชอบทั้งนั้นแหละ”
“แม้แต่น้องหญิงยังชอบเลยไม่ใช่เหรอ ใช่ค่ะพี่ชาย”
“แต่ที่หญิงรู้อีกอย่างก็คือ หญิงพึ่งรู้ว่าเวลาพี่ชายจีบสาว พูดจา ทำตาหวานซึ้งเชียวนะ”
หญิงกานต์พูดแซวพี่ชายหญิงกานต์หัวเราะ เมื่อชายกริชส่งหญิงกานต์เสร็จแล้ว ก็ขับรถกลับบ้าน พร้อมกับคิดถึงชมพู่ หญิงสาวที่น่ารัก ดูดี มีเสน่ห์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น