ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์รักเสน่ห์จันทร์

    ลำดับตอนที่ #2 : ชมพู่แก้มแหม่ม

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 53


    ตอนที่ 2
     
    ชมพู่แก้มแหม่ม

                    พอชมพู่เข้ามาอยู่บ้าน “หัสดีดิลก” ไม่นาน    คุณหญิงทับทิมก็เริ่มจัดแจงเรื่องการฝากเข้าโรงเรียนของชมพู่ คุณหญิงทับทิมได้เข้าไปคุยเรื่อง  การเข้าเรียนของชมพู่กับผู้อำนวยการ โดยเป็นการฝากพิเศษ เพราะชมพู่ได้ย้ายเข้ามาอย่างเร่งด่วน โดยคุณหญิงบอกผู้อำนวยการว่า ชมพู่เป็นเด็กที่บ้าน “หัสดีดิลก” รับอุปการะไว้ ผู้อำนวยการจึงตอบตกลงรับทันที
                    “ยังไงฉันก็ฝากช่วยดูแลแกเป็นกรณีพิเศษด้วยละกันนะท่านผู้อำนวยการ”
                    “แกเป็นเด็กบ้านนอก เข้ามาเรียนในเมืองใหม่ๆ อาจจะยังปรับตัวลำบาก”
                    “ไม่ต้องห่วงครับ ถ้ายังไงผมจะฝากให้คุณประกายดาวเข้าเรียนห้อง ม. 4/1”
                  “เป็นห้องของคุณครูแววมยุรี น่ะขอรับ คุณครูแววมยุรีใจดี ดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิดด้วยขอรับ” ถ้าเป็นลูกเป็นหลานคุณหญิง”
                    “ยังไงทางโรงเรียนก็ต้องดูแลให้อย่างดีอยู่แล้ว”
                    “เพราะคุณหญิงก็เท่ากับเป็นเจ้าของโรงเรียน”
                    “พื้นที่ทุกตารางนิ้วนี่ก็เป็นที่ดินที่คุณหญิงบริจาคให้ทางโรงเรียนทั้งนั้น”
                    “ทางโรงเรียนซะอีกที่ต้องขอบคุณคุณหญิงที่ไว้วางใจให้หลานสาวมาเรียนที่นี่”
    จันทร์หอมนั่งปั้นบัวลอยกับชมพู่สองคน อยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูบ้าน
                               "จันทรห์หอม จันทร์หอม อยู่มั๊ย"
                    “อยู่เจ้าค่ะ มาแล้วค่ะ”
                    พอจันทร์หอม เปิดประตูมาก็พบกับนมกลิ่น
                 “คุณหญิงฝากบอกว่า ให้ชมพู่ไปเตรียมตัวโรงเรียนได้เลย”
                 “คุณหญิงจัดการเรื่องเรียนให้เรียบร้อยแล้ว” ตามที่รับปากกับเธอไว้
                 “ขอบคุณมากนะค่ะนมกลิ่น”
                 “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันมาตามคำสั่ง”
                 “โน่นไปขอบคุณคุณหญิงท่านโน่น ที่ท่านเป็นธุระให้”
                 “อย่าลืมเตรียมตัวหละ จัดแจงของให้ลูกด้วย โรงเรียนอยู่ไม่ไกลนัก
                เธอก็ว่าจ้างให้สามล้อไปรับไปส่งก็ได้นะ ถ้าเป็นห่วงลูก
                 “ค่ะนมกลิ่น”
              เมื่อชมพู่รู้ข่าวว่าจะได้ไปโรงเรียน ก็ตื่นเต้นบอกไม่ถูก
              “แม่ค่ะ ชมพู่อยากรู้จังว่าเพื่อน ๆ จะเป็นยังไง”
               “คุณครูจะใจดีมั๊ยน๊า”
              “เดี๋ยวพรุ่งนี้ลูกก็รู้เองแหละ”
              “จันทร์หอมเอ่ยกับชมพู่”
            
    วันนี้ชมพู่แก้มแหม่มตื่นแต่เช้าตรู่ 
    “แม่ค่ะหนูไปโรงเรียนก่อนนะ”
    “สามล้อมารับแล้วเหรอลูก”
    “หะ” ชมพู่ตอบ
    “ไม่เอานะลูกชมไม่พูดแบบนี้”
    “แม่ไม่ชอบเลย ไอ้นิสัยที่ลูกชอบทำตัวเหมือนผู้ชายนี่”
    “แม่ก็พยายามสอน และบอกกล่าวมารยาทหญิงไทยให้ลูกแล้ว” 
    “ลูกนี่ไม่รู้จักจำเลย”
    “คุณตาสอนแม่เสมอเป็นผู้หญิงต้องสุภาพ เรียบร้อย  พูดจาอ่อนหวาน เป็นกุลสตรีนะลูก”
    “โอ๊ยแม่ค่ะ ชมพู่คงทำไม่ได้หรอกค่ะ พูดแล้วมันกระดากปากยังไงไม่รู้”
    “ไม่ได้ก็ต้องหัดต้องฝึกนะลูก ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอกลูก”
    “การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน นี่แหละคือ เสน่ห์ เข้าใจมั๊ยค่ะ”
    “ค่ะคุณแม่ ขอโทษนะค่ะ”
    “ก็ชมว่า พูดเหมือนผู้ชายมันเท่ห์ดีนะแม่” 
    “ถ้าแม่ไม่ชอบชมจะไม่พูดนี้กับคุณแม่อีกนะค่ะ”
     ชมพู่พูดพลางอมยิ้มกุ้มกริ่ม 
    “แต่ชมจะพูดกับคนอื่น”
    “เอะชมเนี่ยชอบเจ้าเล่ห์อีกแล้วนะเราเนี่ย”
    “ ชมพู่วิ่งเข้าไปอ้อนกอดแม่ พร้อมทั้งหอมแก้มเอาใจ”
    “ไม่พูดก็ไม่พูดค่ะ”
    “คุณแม่ขา”
    “เอาหละทานข้าวรึยังเดี๋ยวสายนะลูก”
    “ทานแล้วค่ะ”
    “แต่งตัวเรียบร้อยรึยัง”
    “เรียบร้อยแล้วค่ะ”
    “ตั้งใจเรียนนะลูกนะ”
    “ความรู้คือสมบัติที่ดีที่สุดของลูกผู้หญิง”
    “ความรู้จะเป็นทรัพย์สมบัติที่ติดกับตัวลูกตลอดไป”
    “ลูกต้องเรียนให้เก่งเหมือนกับคุณพ่อของลูก”
    “เพราะการศึกษาเป็นอนาคตของลูกเอง เข้าใจมั๊ย”
    “แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนแม่ ที่ไม่มีโอกาสเรียนต่อในชั้นสูง”
    “จบแค่ป. 4 เพราะความยากจน”
    “แต่ตอนนี้ลูกมีโอกาส ลูกจงตั้งใจศึกษาให้ดีที่สุด”
    “ค่ะเข้าใจค่ะคุณแม่”
    “ไปแล้วนะค่ะ สวัสดีค่ะ”
    ชมพู่รีบวิ่งไปทางสวนหลังบ้าน เพราะตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนครั้งแรก พอเหนื่อยก็เดินไปพลาง ๆ เพื่อไปขึ้นสามล้อที่แม่จันทร์หอมได้จ้างไว้มารับลูกสาวเป็นรายเดือนที่ปากซอยด้านหน้า 
    ชมพู่เดินร้องเพลงเพราะตื่นเต้นกับการเปิดเรียนใหม่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สักพักชมพู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีอะไรลอยมาจากบนฟ้า
    “เฮ้ยอะไรวะเนี่ย”
    ชมพู่หยุดเดิน พลางหันหน้าหันหลัง เมื่อศรีษะโดนของแข็งกระทบเข้าอย่างจัง
    เป็นกระป๋องน้ำลอยตกลงมาบนหัวโป๊ง
    “โอ๊ย!! ชมพู่ร้องเสียงดัง
    “ซวยแต่เช้าเลยฉัน”
    “หมาหรือคนวะเนี่ย”
    “แกล้งกันชัด ๆ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
    “ทันใดนั้นทรงพลด้วยอาการมึนเมาก็ส่างเมาทันที”
    รีบวิ่งมาหาชมพู่โดยเร็ว แต่ก็ต้องสะดุดกับหน้าตาคมขำ น่ารักของชมพู่
    “เด็กนี่มาจากไหนหวะ ไม่เคยเห็นหน้า มาเดินแถวนี้ได้ไง”
     ก่อนจะกล่าวขอโทษด้วยคำสุภาพ เพราะด้วยนิสัยส่วนลึกนั้นเป็นผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน
    “ขอโทษนะน้องสาวคนสวย”
    “น้องเนิ้งที่ไหน เราไม่รู้จักกัน”
    “โหพี่นี่มันเช้าแล้วนะ”
    “เมาหรือแกล้งวะเนี่ย”
    “ดูซิชุดสวย ๆ เปื้อนหมดเลย”
    “ทำร้ายเด็ก”
    “ติดคุกนะ เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับเลย”
    “เฮ้ยเอาขนาดนั้นเลยเหรอน้อง”
     ทรงพลรีบเดินเข้ามาหาชมพู่ทันที  
    “พี่เรียนกฎหมายมาไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
     “พูดคุย ยอมความกันได้”
     “เป็นเด็กเป็นเล็ก ร้ายนะเรา”
    “อะ พี่ขอโทษก็แล้วกันนะน้อง”
    “ไม่ยกโทษเด็ดขาดชมพู่ตอบ” พรางกอดอกแล้วเมินหน้าหนี 
    “แล้วตอนนี้ก็ไปโรงเรียนไม่ทันแล้วด้วย”
    “นายจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ที่ทำให้ฉันไปโรงเรียนสาย”
    “เด็กอะไรหวะ ดุชะมัด”
    “ไปกันใหญ่แล้ว แค่ไปโรงเรียนไม่ทันคิดค่าเสียหาย”
    “ค่าไปโรงเรียนมันแพงนักเหรอ”
    “ใช่ เวลาเรียนของฉันมันมีค่า เป็นเงินเป็นทอง”
    “ไม่เหมือนคนไร้สาระแบบคุณหรอก”
    “ดื่มเหล้า เมาสุรา  ไร้สาระไปวัน ๆ”
    “อ้าวแล้วเธอรู้จักฉันได้ไง”
    “5555 ชมพู่หัวเราะ คนเค้ามีสมอง แค่มองก็รู้แล้วพี่”
    “ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอกเจ้าค่ะ”
    “รู้แล้วครับว่าเก่ง”
    “แล้วตกลงน้องสาวคนสวยบ้านอยู่ไหน”
    “ชื่ออะไร”
    “ให้พี่ไปส่งโรงเรียนมั๊ยคนดี”
    “เฮ้ยไอ้พี่เนี่ยบ้าจริง”
    “บอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้อง”
    “มาทางไหนไปทางนั้นเลยไป”
    “น่ารำคาญที่สุด”
    “หน้าตาก็หล่อดีอ่ะนะ”
    “แต่ทำไมเมาไม่เป็นท่า”
    “ตะวันโด่งยังเมาได้”
    “เนี่ยคงจะเมาเช้าสายบ่ายเย็นเลยสิท่า”
    “เอ้าน้องรู้ได้ไง ท่าจะเป็นแม่หมอนะ”
    “หมออะไร”
    “หมอดูไง 5555555 ทรงพลขำ”
     “ก็ใช่แล้วดูจากสภาพคิดว่าคงทายไม่ผิดน่ะ”
    “พึ่งรู้ว่าน้องนี่หน้าตาดีแล้วฉลาดด้วยนะ”
    ทรงพลเดินเข้ามาเบียดใกล้ ๆ ชมพู่
    “ออกไปห่าง ๆ หน่อยได้มั๊ยเหม็นกลิ่นเหล้า”
    “ไม่ต้องเดินเข้ามาใกล้เลย”
    “ให้พี่ไปส่งเถอะนะน้องสาว”
    “พี่ไม่เคยรู้สึกผิดอย่างนี้มาก่อนเลย”
     “พอดีเซ็ง ๆ น่ะ”
    “โทษทีนะ ไม่รู้มาก่อนว่าแถวนี้มีคนอยู่ด้วย”
    “พูดกวนเหรอ หรือว่าหาเรื่อง” ชมพู่ตอบ
    “เอ๊ยไม่ได้กวนพูดจริง ๆ”
    “งั้นมาทางไหนไปทางนั้นเลย”
    “จะให้พี่ไปไหนก็อาณาเขตบริเวณนี้มันเป็นอาณาเขตของพี่”
    “ห๊า” ชมพู่ร้องเสียงดัง
    “เอ๊ย อะไร ทำไมต้องร้องเสียงดังด้วย”
    “เอ่อ แบบว่า ไม่มีอะไรๆ ค่ะ”
     ชมพู่อึ้งไปพักหนึ่งจ้องมองดูทรงพลด้วยความฉงนใจ พร้อมกับคิดในใจว่า
    “อย่าบอกนะว่าอีตาบ้าเนี่ยเป็นคุณชายทรงพล” 
    “ชายใหญ่ของบ้านหัสดีดิลก”
    “โอ๊ยซวยเป็นบ้าเลย” ชมพู่เอามือกุมหัว
     แต่ชมพู่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ทำเป็นไก๋ พร้อมทั้งแกล้งพูดว่า 
    “เหรอไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย”
    “โกหกรึเปล่า”
    “แก่ปูนนี้จะโกหกเด็กทำไม”
            "แก่อะไร  หน้าเด็กจะตาย"
            "ฉันแก่กว่าเธอหลายปีก็แล้วกัน"
    “คนแก่โกหกเด็กเยอะแยะไปชมพู่ตอบ”
    “โห้ยไม่พูดด้วยแล้วกลับบ้านดีกว่า”
    “จะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
    “ไปโรงเรียน สามล้อรออยู่”
    “อ้าวไม่ให้พี่ไปส่งจริง ๆ เหรอ”
    “โอ๊ยพี่คงนอนไม่หลับแน่ ๆ เลยถ้าไม่ได้ไปส่งน้องไปโรงเรียน”
    “ทำยังไงจะอภัยให้พี่”
            "ทรงพลแกล้งพูดเย้าหยอกชมพู่"
     ชมพู่พูดทิ้งท้าย
    “ ไม่มีวันหรอก ไม่อภัยให้เด็ดขาด”
    “คุณทรงพล! คุณทรงพล! ค่ะ”
    เสียงแม่บ้านเรียกชื่อทรงพล มาแต่ไกล 
    “ท่านหญิงมีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ”
     เมื่อชมพู่ได้ยินดังนั้นรู้ในใจแล้วว่านี่คือทรงพล สะดุ้งยืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์
            “ อุ๊ยพี่ชายไปก่อนนะบ๊าย บาย”
    “เดี๋ยว! เดี๋ยว! อย่าพึ่งไปคุยกันก่อน”
    “ชมพู่ไม่ฟังรีบวิ่งหนีกลับไป”
    “คุณทรงพลค่ะ ท่านหญิงเรียกพบค่ะ”
    “รู้แล้ว ๆ พูดอยู่ได้ น่ารำคาญจริง”
    ทรงพลรู้สึกหงุดหงิดที่แม่บ้านมาตาม เพราะในใจนั้นกำลังจดจ้องกับเด็กหญิงที่น่าตาน่ารัก ดูห้าว ฉลาด แสนซน เป็นอะไรที่ถูกใจบอกไม่ถูก 
    “เออว่าแต่เด็กเนี่ยเป็นใครเหรอแป้ง”
    “ที่แป้งทราบมาเห็นเค้าว่าเป็นคนที่คุณหญิงไปรับมาเมื่อสองสามวันนี่ค่ะ”
    “พอดีคุณทรงพลไม่อยู่น่ะเจ้าค่ะ”
    “เห็นว่าไปรับมาจากบ้านนอกค่ะ”
    “แถวชายแดนเขมรน่ะเจ้าค่ะ”
    “มีเด็กเขมรน่ารักยั่งงี้ด้วยเหรอ ทรงพลบ่นพรึมพรัม”
    “เอออ้าวฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
    “ก็เห็นคุณหญิงท่านว่าให้แม่ลูกคู่นี้มาอยู่เรือนไทยท่านตาท่านยายเจ้าค่ะ”
     “อ๋อเหรอ คุณทรงพล มีอะไรจะถามอีกมั๊ยเจ้าค่ะ”
    “ไม่มี ไม่มีอะไรหรอก”
    “ก็ถามลองถามดูจะได้รู้”
     แต่คุณหญิงกำชับว่าไม่อยากให้คุณชายมาวุ่นวายแถวนี้แล้วนะเจ้าค่ะ ถ้าคุณชายมาแถวนี้ระวังโดนดุนะเจ้าค่ะ ทำไมต้องดุด้วยหละ ไม่ทราบเจ้าค่ะ เห็นคุณหญิงบอกทุกคนไว้       ไม่อยากให้ใครไปยุ่งกับแม่ลูกนั่นน่ะ โดยเฉพาะคุณทรงพลน่ะเจ้าค่ะ ทำไมก็พื้นที่บ้านฉันก็น่าจะไปไหนก็ได้นี่นา ท่านแม่นี่จริง ๆ เลย เมื่อไหร่จะหยุดตั้งกรอบให้คนโน้นคนนี้ซะทีนะ โดยเฉพาะพวกลูกๆ 
    “อันนี้บ่าวก็ไม่ทราบนะเจ้าค่ะ”
    “ฉันไม่ได้ถาม”
    “บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ”
     “แบบว่าคุณหญิงสั่งมา”
     “เออรู้แล้ว เบื่อจริงวุ้ย”
     “อย่าพูดมากได้มั๊ยฉันรำคาญ”
    “ได้เจ้าค่ะ ๆๆ”
    “ซวยแล้วฉันอยู่ดี ๆ ก็โดนด่าแต่เช้าเลยนังแป้งนะนังแป้ง”
    “ เพราะไอ้เด็กจอมซนนี่เอง”
    “บอกแล้วอย่ามาในเขตหวงห้าม” คุณหญิงพิมพ์ยิ่งห้ามอยู่ด้วย 
    “อ้าวลูกพลมาก็ดีแล้ว”
    “นั่งลงคุยกันก่อนนะ”
    “คุณแม่มีธุระอะไรครับคุณหญิงแม่”
    “พอดีเมื่อวานแม่ให้คนเข้ามาอยู่ในบ้านท่านตาไปพลางก่อนนะ”
    “ทรงพลคงไม่ว่าอะไรนะ” 
    คุณหญิงทับทิมมีอาการร้อนรนเพราะกลัวทรงพลจะไม่พอใจ ทรงพลเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย เพราะช่วงหลังมานี่เจอหน้าคุณหญิงทับทิมทีไร ทรงพลมักจะโดนบังคับให้แต่งงานเสมอ
     “เอ่อแบบว่าเป็นการอยู่อาศัยชั่วคราวน่ะลูก”
     “ถ้าเค้าสามารถตั้งตัวได้ หรือช่วยเหลือตนเองได้แล้วเค้าก็คงออกไปจากพื้นที่ของเราน่ะ”
    “ตามใจคุณแม่เถอะครับ คุณแม่คิดถูกเสมอแหละ ลูกไม่อยากคิดอะไรหรอก”
    “ตาพลพูดใส่แม่อีกแล้ว”
    “ลูกไม่ได้พูดใส่”
    “ลูก ก็ไม่เห็นมีอะไรนิครับ”
    “มีอะไรเหรอ ทำไมคราวนี้ไม่ขัดแม่หละ”
    “ปกติเห็นขัดแม่ประจำ”
    “ก็ถ้าไม่ใช่เรื่องแต่งงาน กับเรื่องเรียน” ทรงพลตอบ
                   “ ลูกก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร”
    “แม่เห็นว่ามันเป็นบ้าน และเป็นที่ที่คุณตายกให้ลูกน่ะ”
     “ผมไม่เกี่ยวแล้วแต่คุณแม่ตัดสินใจเถอะ”
    “คุณแม่ตัดสินใจทุกอย่างอยู่แล้วนิครับ”
    “แม้แต่ชีวิตของผม”
    “ทรงพลนี่พูดประชดแม่เหรอ”
    “ไม่ครับ”
    “ผมแค่พูดความจริงก็เท่านั้น”
    “แล้วถ้าทรงพลไม่ฟังแม่”
    “แล้วใครจะฟังแม่”
    “น้องพลแต่ละคน”
    “ก็ไปกันคนละทาง”
    “ครับพลขอโทษจริงๆ”
    “พอดีปวดหัวอยู่ครับคุณแม่”
    “ปวดหัวอีกแล้ว เมาเหล้าอย่างนี้ทุกวัน”
    “ไม่ปวดหัวได้ไง”
    “จริง ๆ เลย ลูกคนนี้”
     “แล้วเมื่อไหร่จะเรียนจบปริญญาตรีสักทีหละลูก”
    “เรียนมาห้าหกปีแล้ว”
    “แก่กว่าเพื่อนไม่อายเค้าเหรอ”
    “ทำไมต้องอายครับ”
    “อยู่กับเพื่อน ๆ ก็สนุกดี”
    “แค่ไปเรียนตามหน้าที่”
    “เรียนในสิ่งที่ลูกไม่ต้องการ”
    “แล้วลูกต้องการอะไรหละลูก”
    “ให้ไปเรียนกฎหมายเพื่อเป็นผู้พิพากษาเหมือนท่านพ่อ ก็ดีแล้วหนิ”
    “คุณแม่เอาแต่ความคิดคุณแม่ เอ้าถ้าว่าเอาแต่ความคิดคุณแม่เนี่ย”
    “แล้วลูกจะเรียนอะไร อยากเรียนเป็นนักประดิษฐ์”
    “แม่ว่ามันเป็นอะไรที่อยู่ในจินตนาการนะลูก”
    “มันเป็นความฝันนะพล ไม่ใช่ความจริง”
    “ลูกจะต้องตื่นจากฝัน แล้วก็ยอมรับความเป็นจริงได้แล้ว”
    “ไม่รู้ว่าจะสร้างได้จริงมั๊ยไอ้สิ่งประดิษฐ์อะไรก็ไม่รู้”
    “จบมาแล้วจะทำงานอะไร”
    “ถ้าไปเป็นวิศวกรรมลูกก็คงไม่ไปเป็นอีก”
    “ลูกน่ะเป็นคนมีความเป็นอิสระสูง”
    “แม่รู้ดี แม่จึงต้องตีกรอบไว้ให้ ลูกไง”
    “อย่างน้อยลูกเรียนกฎหมายก็ได้เป็นผู้พิพากษาดีจะตาย”
    “มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม”
    “ผมเบื่อไอ้เกียติยศ ศักดิ์ศรีเต็มทนแล้วครับ”
    “มีแต่พวกตีสองหน้า ไม่จริงใจ”
    “เอ๊ะลูกคนนี้ คิดอะไรของเขานะ”
    “ครับแล้วแต่คุณแม่แล้วกัน”
    “ผมก็จะใช้ชีวิตของผมอยู่อย่างนี้”
    “เมื่อความคิดเราสวนทางกัน”
    “พลก็จะพยายามพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นว่านักประดิษฐ์เป็นจริงได้”
    “ไม่ใช่ความฝันแน่ ๆ และนักประดิษฐ์ก็สามารถสร้างรายได้ เป็นอาชีพ   ที่มั่นคง  เลี้ยงตัวเองได้ก็แล้วกัน  พลจะต้องพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นสักวันหนึ่ง”
    “ถึงพูดกันอย่างนี้ยังไง ก็คงไม่ลงเอย
    “เพราะพลพูดเรื่องนี้กับคุณแม่นานแล้ว”
    “ช่างเถอะเรื่องเรียนน่ะตามใจ”
    “ว่าแต่ถ้าเร่งให้จบได้ก็ดีนะลูก”
    “เวลาเข้าสมาคม พบปะผู้คนแม่อายเค้า”
    “ทำไมต้องอายครับ”
    “คุณแม่อายที่คุณแม่จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”
    “แต่ลูกชายอย่างพลไม่เอาถ่าน เรียนไม่จบใช่มั๊ยครับ”
    “คุณแม่จะคิดมากทำไมครับ”
     “ลูกคนอื่นก็ไม่ได้สำเร็จกันทุกคน”
    “ แต่ส่วนใหญ่เค้าก็สำเร็จกันนะลูก”
    “ที่สำคัญน่ะแม่ก็เป็นหัวหน้าสมาคมด้วย”
    “เจอหน้าทีไรเค้าก็ถามหาแต่พลแหละ”
    “พวกนี้ทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับพลด้วยนะ”
    “เค้าก็หวังจะเอาลูกสาวมาฝากเป็นลูกสะใภ้แม่น่ะสิ”
    “ ยิ่งเรื่องคู่ครองนี่คุณแม่เลิกพูดที่ได้มั๊ยครับ”
    “เพราะชาตินี้พลจะไม่แต่งงานเด็ดขาด”
    “แค่เรื่องเรียนพลก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”
    “ในหัวพลมีแต่สิ่งประดิษฐ์ และวิทยาศาสตร์”
    “งั้นเอาเป็นว่าจนกว่าพลจะสร้างสิ่งประดิษฐ์”
    “หรือเจอกับคนที่ใช่ เข้าใจพลอย่างแท้จริง”
    “ซึ่งก็คงหายากมาก และคงไม่มีใครมาสนใจคนขี้เมา เรียนก็ไม่จบ     อย่างพลหรอกครับ” “อืมเลิกพูดเถอะพล”
    “แม่ก็เบื่อฟังเหมือนกัน”
    “ถ้าพูดถึงเรื่องสิ่งประดิษฐ์บ้า ๆ บอๆ ของพลน่ะ”
    “ว่าแต่เรื่องของคนที่มาอยู่ก็ให้คุณแม่จัดการเลยนะครับ”
    “แต่เรื่องจะห้ามไม่ให้พลเข้าไปในพื้นที่นั้นไม่ขอรับปาก”
    “เพราะพลชอบเข้าไปนั่งคิด ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ของพลในกระท่อม   ท้ายสวนเพื่อนอนคิดเรื่องสิ่งประดิษฐ์แถวนั้น”
    “มันเงียบ สงบดี”
    “แม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรหรอกนะลูก”
    “แต่อย่าไปคลุกคลีกับคนพวกนั้นมากนักก็พอ”
    “เรามันคนละชั้นกับพวกเค้านะจำไว้”
    “เค้าเป็นคนอื่นไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา”
    “ก็แค่คนอาศัย แค่นี้ใช่มั๊ยครับ”
    “ พลไปก่อนหละกัน”
    “เดี๋ยวสิพล พล”
    “ลูกแต่ละคนช่างเป็นลูกเทวดาจริง ๆ 
    “ฉันหละปวดหัวจริง แต่ละคนก็มีปัญหาไปแต่ละอย่าง”
    “คุณหญิงเอายาดมมั๊ยเจ้าค่ะ”
    “ไม่เป็นไรนมกลิ่น ขอบใจมาก”
    “สงสัยฉันจะเลี้ยงดี และตามใจเกินไป”
    “พอโตขึ้นมาก็ไม่ฟังกันเลยแหละนมกลิ่น”
     “ฉันหละเหนื่อยหน่ายหัวใจน่ะนมกลิ่น”
    “นมว่าเดี๋ยวคุณพลก็ดีเองหละค่ะคุณหญิง”
    “นมกลิ่นก็เอาใจปกป้องกันอย่างนี้แหละ”
    “ตาพลถึงได้เป็นคนหัวแข็งเอาแต่ใจแบบนี้”
    “ฉันก็เฝ้ารอมานานแล้วนมกลิ่น”
    “รอมาสี่ห้าปีก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
    “มีแต่เลวลง ไม่หรอกค่ะคุณหญิง”
    “เดี๋ยวคุณพลก็เรียนรู้ และเข้าใจเองหละค่ะในสิ่งที่คุณหญิงทำลงไป”
    “ฉันก็ยังดีนะมีนมกลิ่นคอยให้กำลังใจ”
    “มีลูกก็เหมือนไม่มี”
    “มีสามีก็ปรึกษาอะไรไม่ได้”
    “เออแล้วเสียงอะไรเอะอะน่ะ”
    “คงคุณพลตามเดิมแหละค่ะคุณหญิง”
    “เรียกหา สมชายคนรถ เจ้าค่ะ”
    “คงจะออกไปสังสรรค์กินเหล้ากับเพื่อนตามเคยน่ะเจ้าค่ะ”
    “สมชาย สมชายโว้ย”
    “หายหัวไปไหนวะ ไอ้สมชาย”
    “ไม่ออกมาโดนเตะก้นแน่”
    “มาแล้วครับ มาแล้วครับเจ้านาย”
    “เสร็จธุระแล้ว”
    “ไปไหนครับเจ้านาย”
    “ไปไหนถามได้”
    “ไปที่เดิมโว้ย”
    “ร้านแห่งความสุข”
    “รู้จักมั๊ย ทราบคร๊าบเจ้านาย เบื่อบ้านที่สุดเลย!
             ทรงพลไปพบปะกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่เรียนกฎหมายด้วยกันที่มหาวิทยาลัย
    “อ้าววันนี้พี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจครับ” เต้ยรุ่นน้องที่เรียนด้วยกันกับทรงพลถาม
    “เรื่องเดิม ๆ กับเรื่องใหม่ซวยแต่เช้าเลยหวะ” ว่าไงครับพี่
            “ก็ไปเตะกระป๋องโดนเด็กสาวคนนึงสิวะ”
    “รู้สึกผิดมากเลยโดนหัวเค้าเข้าอย่างจัง”
    “ชุดนักเรียนเปื้อนหมดเลย”
    “โหพี่ยั่งงี้เรียกว่าโชคดีสิพี่เจอเด็กสาวแต่เช้า”
    “เพื่อน ๆ หัวเราะ”
    “ก็หน้าตาน่ารักดีอ่ะนะ”
    “แต่เอาเรื่องน่าดู”
    “แน่  พี่แบบนี้ไม่ยากครับจีบเลย”
    “จีบได้ที่ไหนวะเด็กพึงอายสัก 15 – 16 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย
    “ไอ้เราก็แก่ปากว่าเค้าตั้งสิบปี”
    “เฮ้ยพี่พล สิบปีไม่เห็นแก่เลย”
    “เดี๋ยวนี้เค้าก็นิยมมีแฟนเด็กกันทั้งนั้นแหละ”
    “ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่หลอกเด็กหวะ”
     “ แล้วพี่พลจะคิดมากอะไรแค่เด็กคนนึง”
    “ถ้าไม่สนใจเค้า ก็ไม่เห็นต้องสนใจเลย”
    “กินเหล้ากับสาว ๆ ดีกว่าสนุกจะตาย”
    “ใช่มั๊ยพวกเรา”
    “ใช่ค่ะ ๆ ๆ พี่เต้ยพูดถูก สาว ๆ รุมเข้าหาทรงพล
    “เฮ้ยแต่ว่า  มันก็มีอะไรน่าสนใจอยู่นั่นแหละ”
    “คือ คุณหญิงแม่ รับแม่ของเด็กคนนี้เข้ามาอยู่อาศัยในบ้าน”
    “พร้อมทั้งอุปการะเด็กคนนี้ด้วย”
    “แต่ไม่ให้ฉันเข้าไปในพื้นที่ที่เค้าอยู่”
    “ไม่ให้ไปเกี่ยวข้อง”
    “หรือว่าเค้าเป็นผีรึเปล่าพี่ ผมเคยเห็นที่เค้าบอกว่ามีผีสิงในร่างคน”
    “เฮ้ยไอ้เต้ยพูดบ้า ๆ นี่มันยุคไหนหวะ”
    “พี่มันนักประดิษฐ์ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องพวกนี้หวะ”
    “แบบว่าพี่เคยไปของพี่เป็นประจำอยู่แล้ว” 
    “พี่ว่ามันมีอะไรที่คุณแม่ยังไม่บอกพี่”
    “พี่ก็ถามคุณแม่พี่ดีกว่า เต้ยว่า ชัวร์ที่สุด”
    “คิดว่าถามแล้วคุณแม่คงจะไม่บอกอะไร”
    “งั้นก็ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่ กินเหล้าดีกว่า สบายใจที่สุด สนุก
    และมีสาว ๆ เพียบ”
    “มาเร็วน้องสาวชนแก้ว มาให้ความสุขพี่พลเค้าหน่อย”
     “พี่เค้าชอบฟังเพลงซึ้ง ๆ ใครเสียงหวาน หน้าหวาน มาเร็ว”
    “เดี๋ยวจ่ายไม่อั้น ได้เลยค่ะพี่ ๆ”
    “สวัสดีค่ะพี่พล ชื่อน้ำหวานนะค่ะ จะฟังเพลงอะไรค่ะ”
    “เดี๋ยวน้ำหวานร้องให้ฟังค่ะ”
    “เอาเพลงที่น้ำหวานชอบก็แล้วกัน พี่ฟังได้หมดหละ”
                   
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×