คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Part VIII
Part VIII
หลังจากวันเวลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตานั้นผ่านไปแล้ว... ความสัมพันธ์ของฉันและเขาก็ดูเหมือนจะใกล้ชิดกันขึ้นมาเป็นทวีคูณ เราสองคนแทบจะไม่เคยห่างกัน เวลาเดียวที่ฉันจะอยู่ห่างจากเขาคือเวลาเช้า เวลาก่อนเข้านอน และเวลานอนเท่านั้น จนแม้แต่เพื่อนร่วมห้องของฉันยังอดที่จะวิจารณ์ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนไม่ได้
“คนอะไร้... ไม่ได้เป็นแฟนกันแต่หวานยิ่งกว่าคนที่เขาเป็นแฟนกันจริงๆเสียอีก”
ฉันทำท่าเหมือนไม่ได้ยินคำวิจารณ์นั้นทั้งๆที่ในหัวใจวับไหวไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง... ความรู้สึกที่เป็นสิ่งเดียวกับที่ฉันรู้สึกในค่ำคืนที่เขาเอ่ยถ้อยคำแสนหวานบนภัตตาคารหรูนั้น
“ผมไม่เคยบอกอะไรคุณทางอ้อมเลย... ผมบอกความรู้สึกของผมให้คุณรู้ตรงๆเสมอ”
ฉันไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าเหตุใดคำพูดเรียบๆกับประกายวิบวับในดวงตาของเขาทำให้ยามค่ำคืนกินเวลานานแสนนาน ฉันแทบจะทนรอให้เวลาเช้ามาถึงไม่ไหว... เวลาเช้าที่ฉันเคยเกลียดหนักหนา เพราะมันคือสัญญาณแห่งความเหนื่อยยากที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่ในขณะนี้สิ่งเดียวที่เวลาเช้าส่งสัญญาณบอกฉันคือ มันถึงเวลาที่ฉันจะได้พบเขาแล้ว
และเวลากลางวัน ฉันกับเขาได้พบกันและพูดคุยกันในเรื่องที่ทำให้เราทั้งสองคนพอใจ มันช่างต่างกับเวลาที่เคยเป็นเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อยในอดีตที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นเวลาที่แสนสุข
เวลาค่ำและเวลากลางคืนกลายเป็นช่วงเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ทั้งที่มันเคยเป็นช่วงเวลาที่ฉันโปรดปราน เพราะแทนที่ฉันจะมองว่ามันเป็นเวลาที่จะได้พักผ่อน ฉันกลับมองว่ามันเป็นเวลาที่ฉันจะต้องอยู่ห่างจากเขา... เวลาที่ฉันต้องเดินจากเขากลับมายังที่พักของตัวเอง
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน
“คุณถอนหายใจเหมือนคนแก่เลยนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังขึ้น และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานก็พบว่าเขายืนอยู่ข้างหน้า “ผมใช้งานคุณหนักมากขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
ฉันยิ้มแหยๆ ส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ แต่ไมได้พูดอะไรออกมาเพราะหากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เขาคงมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและน่าขันเต็มที
เราทั้งสองคนออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันตามปกติ และหนึ่งวันที่แสนสุขก็จบลงด้วยการที่เขาเดินไปส่งฉันถึงหน้าหอพัก
ฉันเดินขึ้นบันไดของหอพัก ไม่ลืมที่จะเหลียวมามองเขาที่ยืนโบกมือส่งอยู่ด้านล่าง ยิ้มให้เขาก่อนจะหันกลับและพาตัวเองไปที่ห้องพัก ส่ายหน้าเมื่อเห็นเพื่อนสาวร่วมห้องที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอนส่งสายตาล้อเลียนมาให้ และถามถึงความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเขา
“หน้าบานมาเชียวนะยัยจิต เป็นยังไงจ๊ะความสัมพันธ์หวานแหววของเธอกับนายจ้างหนุ่มรูปหล่อ พ่อรวย?"
“ก็ไม่เป็นยังไง” ฉันตอบเรียบๆพร้อมกับที่วางกระเป๋าถือลงบนเตียง พยายามจะทำเหมือนว่าคำถามที่เพื่อนสาวถามนั้นฟังดูไร้สาระสิ้นดีทั้งที่คำพูดของเขาก่อนที่จะจากกันยังคงดังก้องอยู่ในจิตใจ และขับความร้อนขึ้นไปที่ใบหน้าของฉัน และแม้จะไม่ได้ส่องกระจก ฉันก็รู้ว่าหน้าของฉันคงจะแต้มไปด้วยสีแดงจนเจ้าหล่อนสังเกตเห็น
“ไม่ต้องมาพูดเลยนะว่าไม่เป็นยังไง... ดูหน้าตัวเองซักก่อน แดงอย่างกับลูกตำลึงสุก อย่างกับสาวน้อยผู้แสนซื่อบริสุทธิ์เพิ่งถูกสารภาพรักมาอย่างนั้นแหละ” เจ้าหล่อนว่าเสียงดัง ก่อนจะทำตาโต และท่าทีตื่นเต้นเหลือแสนเมื่อหลุดคำเปรียบเปรยประโยคสุดท้ายออกมา “นี่นายประกาศิตเขาสารภาพรักกับเธอแล้วใช่ไหม?”
อาการส่ายศีรษะของฉันทำให้เจ้าหล่อนดูผิดหวังราวกับว่าเป็นตัวของหล่อนเองที่ไม่ได้รับการบอกรัก และฉันเป็นเพียงใครคนหนึ่งที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มของหล่อนให้หล่อนฟัง
“โกหกกันหรือเปล่ายัยจิต” เพื่อนสาวร่วมห้องเอียงคอถาม “แล้วไอ้ที่ถามคำ หน้าแดงคำเนี่ยมันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะยะ?”
ฉันปล่อยให้คำถามนั้นผ่านไปโดยไม่คิดที่จะตอบ เลี่ยงการถามเซ้าซี้ของเพื่อนสาวด้วยการไปอาบน้ำและกลับมาซุกตัวอยู่บนที่นอนของตนเองเงียบๆ จนเพื่อนสาวปิดไฟเข้านอนและเปลี่ยนเสียงพูดเจื้อยแจ้วเป็นเสียงหายใจสม่ำเสมอ
ทุกอย่างเงียบสงบ... มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง และเสียงที่ดังจนกลบเสียงอื่นใดทั้งสิ้น... เสียงหัวใจของฉัน
***
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องของฉันผ่านทางหน้าต่างหอพักเป็นสัญญาณว่ารุ่งอรุณของวันใหม่เดินทางมาถึงแล้ว มันช่างรวดเร็วนักสำหรับเวลาไม่ถึงสิบชั่วโมงแห่งการพักผ่อน หากแต่มันเป็นเวลานานแสนนานสำรับฉันฉัน ที่แทบจะนับวินาทีรอเวลาที่จะได้พบเขาอีกครั้งในเวลายามเช้า
ทั้งที่พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นลงอีกสักนิด และบอกตัวเองว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่นั้นมันช่างน่าขัน และทั้งๆที่ห้ามใจตัวเองไม่ให้หยิบเสื้อผ้าชุดสวยที่บรรจงรีดเป็นพิเศษตั้งแต่เมื่อคืน กับรองเท้าส้นสูงที่โดยปรกติแล้วแทบไม่เคยแลมาสวมใส่ แตะน้ำในขวดน้ำหอมกลิ่นดอกไม้หอมหวานที่ปรกติแล้วเป็นเพียงของประดับห้องมาแตะที่ซอกคอ แต่ฉันก็ทำทุกอย่างนั้น และเริ่มออกเดิน
คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจของฉัน... คำถามที่ตัวฉันเองไม่สามารถให้คำตอบกับเพื่อนสาวร่วมห้องได้ในวันก่อน
“ฉันถามจริงๆเถอะนะจิต ว่าเธอน่ะเริ่มชอบตาประกาศิตนั่นบ้างรึยัง?”
หลังจากพยายามค้นหาคำตอบให้กับคำถามที่เพียรถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว... คำตอบที่ฉันได้รับก็ทำให้เวลาในวันนี้เดินไปอย่างช้าแสนช้า ผิดกับหัวใจของฉันที่โลดลิ่วไปถึงตัวเขาแล้วอย่างรวดเร็ว
คำตอบของคำถามนั้นอาจไม่ใช่คำว่ารัก เช่นเดียวกับคำตอบของเขาซึ่งไม่เคยมีคำว่ารักรวมอยู่ หากแต่มันคือความรู้สึกที่แสนสวยงาม ความคิดถึง ความห่วงใย ความเอาใจใส่ และความรู้สึกหวานล้ำที่แทรกซึมไปทุกอณูของหัวใจเมื่อยามที่เราอยู่ด้วยกัน
... เวลานับได้ 1 ปีนับตั้งแต่เราพบกัน ...
ช่างน่าแปลกใจนักที่ฉันแทบไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านพ้นไป ทั้งที่ที่ผ่านมาเวลาหนึ่งปีเคยเป็นเวลาอันแสนยาวนานสำหรับฉัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคำว่า ‘วันปีใหม่’ นั้นเดินทางมาถึงด้วยความเชื่องช้า แต่หนึ่งปีที่ผ่านมานั้นกลับกลายเป็นหนึ่งปีที่แสนสั้นจนน่าตกใจ
คำพูดที่ว่า ‘เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว’ ช่างเป็นคำพูดที่จริงแสนจริง และฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เวลาหนึ่งปีนับตั้งแต่ที่ฉันและเขาได้พบกันนั้น มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับหนึ่งวัน... หนึ่งวันที่มีทั้งรอยยิ้มและรอยน้ำตา ความสุขและความเศร้า ความสมหวังและความผิดหวัง และไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันก็ได้แต่หวังว่าหนึ่งวันนี้จะเป็นหนึ่งวันยาวนานตราบนิรันดร์...
คำถามที่ฉันพยายามผลักออกจากห้วงความคิดก็ผุดขึ้นมา ‘เขาจะรู้สึกเช่นเดียวกับฉันไหมหนอ?’
เขาจะรู้สึกถึงความลึกซึ้งและความรู้สึกอันแสนหวานเช่นเดียวกับฉันไหม? หรือเป็นเพียงฉันที่คิดไปคนเดียว? มีเพียงฉันที่มีความรู้สึก ‘รัก’ อยู่เต็มหัวใจ
ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าสำนักงาน ทุกสิ่งยังคงเงียบสงัด แสงไฟจากภายในสำนักงานมืดมิด บอกให้รู้ว่าคงยังไม่มีใครเดินทางมาถึงที่นี่...
ฉันยิ้มน้อยๆให้กับความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ... ความรู้สึก ‘ใจหาย’ ที่เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ จริงอยู่ที่เกือบทุกวัน ‘เขา’ จะนั่งอยู่ในสำนักงานก่อนที่ฉันจะมาถึงที่นี่ และทักทายฉันด้วยน้ำเสียงร่าเริงเบิกบานอันเป็นเอกลักษณ์ แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องเป็นคนปิดสำนักงานและนั่งรอ ‘เขา’
มันเป็นความรู้สึกใจหายแบบแปลกๆที่ฉันอยากจะใช้คำว่า ‘สังหรณ์’ เป็นคำอธิบาย
แต่ฉันก็ผลักความรู้สึกแปลกๆนั้นออกจากหัวใจ สูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความสดชื่นกลับคืนมา ไขกุญแจสำนักงาน และตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง
กองเอกสารตั้งสูงตรงหน้าลบความรู้สึกต่างๆออกไปจากห้วงความคิด ฉันเริ่มมองดูตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาวด้วยความตั้งอกตั้งใจมากกว่าปกติเพราะจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
เข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางอย่างช้าๆไปจนถึงเลข 12 กองเอกสารตั้งสูงเริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ แต่ยังไร้วี่แววของเขา...
เกิดอะไรขึ้นกับชายที่ไม่เคยหยุดงานเลยตั้งแต่วันที่ฉันได้พบกับเขา?
ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจเป็นริ้วๆ เขาอาจป่วย อาจจะประสบอุบัติเหตุ อาจจะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเงียบหายไปโดยไม่มีการบอกกล่าวเช่นนี้ ความคิดต่างๆนานาที่เกิดขึ้นทำให้สมาธิของฉันหมดไปอย่างสิ้นเชิงจนต้องวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะและเปลี่ยนไปนั่งจ้องนาฬิกาสลับกับประตูสำนักงาน
เข็มนาฬิกาเดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆสวนทางกับความหวังของฉันที่จะได้พบกับเขาในวันนี้... และในที่สุดเวลาเลิกงานก็เดินทางมาถึง โดยที่ไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์จากเขา ไม่ว่าจะโทรเข้ามาที่สำนักงาน หรือโทรเข้าโทรศัพท์ส่วนตัวของฉัน และเมื่อฉันตัดสินใจโทรไปหาเขา สิ่งที่ได้ยินก็เป็นเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้เปิดโทรศัพท์ไว้
ความผิดหวังแล่นขึ้นอย่างรวดเร็วสู่หัวใจ แต่ถึงกระนั้นความหวังก็ยังไม่หมดสิ้นไปจากหัวใจ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ และฉันก็หวังเหลือเกินว่าสิ่งที่คิดนั้นจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เขาอาจจงใจที่จะให้ฉันคิดว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ เพื่อทำให้ฉันแปลกใจเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสิ่งที่ได้ตระเตรียมไว้สำหรับวันครบรอบหนึ่งปีที่เราได้พบกัน... ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ทั้งหมด ในเมื่อนับจากวันแรกที่ฉันได้พบกับเขา ความแปลกประหลาดทั้งหลายก็เกิดขึ้นมากมายจนฉันแทบนับไม่ไหว
แล้ววันนี้จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่เขาจะจัดฉากหยุดงานและปล่อยให้ฉันนั่งรออยู่จนครึ่งค่อนวันเช่นนี้ เพียงเพื่อให้ฉันประหลาดใจ?
ความหวังอันเรืองรองนั้นทำให้ฉันยังคงนั่งอยู่ที่สำนักงานจนกระทั่งเลยเวลาเลิกงานไปแล้วเป็นเวลานาน ฉันนั่งอยู่ที่เดิม มองดูนาฬิกาสลับกับประตูจนกระทั่งฟ้ามืด
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาใกล้ทุ่มฉันก็ตัดสินใจที่จะยอมแพ้ และยอมจำนนต่อความคิดที่ว่าเขาจะไม่มาในวันนี้ และฉันจะต้องกลับบ้านเสียที หมดเวลาแล้วสำหรับความหวังที่ตั้งไว้ตลอดทั้งวัน!
ฉันวางแฟ้มงานที่ยังทำไม่เสร็จทั้งที่มีเวลาทำอยู่ทั้งวันไว้บนโต๊ะ ปิดไฟในสำนักงาน มองไปรอบๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดประตูโลหะและล็อกมันไว้
ฉันสะบัดหัวไล่ความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาออกไป... ความรู้สึกโศกเศร้า... ฉันคิดถึงเขา... อยากพบใบหน้าของเขา... อยากจะรู้ว่าเขาจะจำวันครบรอบหนึ่งปีที่เราได้พบกันได้หรือเปล่า หรือมีเพียงฉันเพียงผู้เดียวที่ความสำคัญของมัน?
และเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ความรู้สึกกังวลก็เข้าเกาะกุมจิตใจจนหมดสิ้น... เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง? เขาบาดเจ็บหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่สบายจนถึงขนาดที่ไม่สามารถจะติดต่อมาบอกให้ฉันรู้ได้?
และแล้วเหตุการณ์ในวันที่เราทั้งสองทะเลาะกันก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำของฉันอีกครั้ง... ในครั้งนั้นเราทะเลาะกันเพราะ ‘ปัญหา’ บางอย่างที่เขาไม่ต้องการจะเปิดเผยให้ฉันได้รู้ และมันจะต้องเป็นปัญหาที่หนักหนาพอสมควรเพราะมันสามารถทำให้คนอารมณ์ดีอย่างเขา ‘เสียศูนย์’ ไปได้เป็นวันๆ เริ่มจากการทำตัวเงียบขรึมในวันแรก และการขึ้นเสียงอย่างไม่มีเหตุผลใส่ฉันในวันต่อมา
ผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังจะทำอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้?
ความกังวลทำให้ฉันไม่นึกอยากกลับไปที่หอพักในตอนนี้ ความคิดของฉันคงสับสนปนเปหากได้ยินเสียงของแม่เพื่อนสาวร่วมห้องที่มักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเพื่อนๆในที่ทำงานของหล่อนมาเล่าให้ฉันฟังเสมอ เรื่องเล่าซึ่งในวันนี้ ฉันคงไม่อาจทนฟังด้วยอารมณ์ที่ปกติได้
ฉันเลือกที่จะเดินไปยังร้านไอศกรีมที่เราเคยไปด้วยกันเป็นประจำ อย่างน้อยสถานที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เข้าไปนั่ง... ทุกๆครั้งที่ไปนั่งกับเขา
ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในจิตใจเมื่อฉันกำลังเดินไปยังสถานที่แห่งนั้นเพียงลำพัง ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันไม่เคยคิดถึงวันที่ต้องอยู่คนเดียวเลยนับตั้งแต่วันที่ได้พบกับเขา คล้ายกับเวลาเพียงแค่หนึ่งปีทำให้ฉันลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตทุกๆอย่าง
ลืมแม้กระทั่งชีวิตที่โดดเดี่ยวของตนเองในวันก่อนๆ
น่าแปลกที่ในวินาทีนี้คำพูดของเพื่อนร่วมห้องดังขึ้นในห้วงความคิดของฉัน
“คนเป็นแฟนกันใหม่ๆก็อย่างนี้แหละนะเธอ ตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋ แทบจะชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกได้ อะไรๆก็ดูดีไปหมด... ระวังไว้ให้ดีเถอะ ตาประกาศิตนี่ออกลายเมื่อไหร่จะน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
ฉันพยายามสลัดคำพูดเหล่านั้นทิ้งไป... ความเชื่อมันและความเชื่อใจที่มีให้กับเขาทำให้ฉันปฏิเสธที่จะเชื่อสัญชาตญานว่าเขาจะทำให้ฉันเสียใจ
ร้านไอศกรีมขนาดเล็กประกอบไปด้วยโต๊ะเล็กๆที่จัดไว้อย่างน่ารักเพียงสองสามโต๊ะ ฉันมองไปยังโต๊ะประจำของฉันและเขา เดินตรงไปยังที่นั่งประจำเพื่อผ่อนคลายความคิด แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าก็เปลี่ยนความคิดของฉัน... ภาพๆนั้นทำให้ฉันตัดสินใจหันหลังและเดินกลับบ้าน
‘เขา’ คนนั้นที่โต๊ะเดิมที่เราเคยนั่ง ที่นั่งที่มีแสงแดดอ่อนๆส่องตลอดวัน เมนูเดิมๆที่เราชอบสั่ง ไอศกรีมสำหรับ 2 คน หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านตรงข้ามกับเขา หากแต่... หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่ฉัน!
หญิงสาวแสนสวย เจ้าของใบหน้าหวานแฉล้มคนนั้น หล่อนหันมาและมองตรงมาสบตากับฉัน... หล่อนยิ้ม
รอยยิ้มนั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนหวาน หากแต่... มันช่างดูคล้ายรอยยิ้มเยาะและเหยียดหยาม ฉันแทบจะได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความสมเพชลอยมาตามลม ซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของผู้หญิงแสนสวยคนนั้น หรือเป็นเสียงจากจิตใจของฉันเอง
ทุกย่างก้าวที่เดินดูจะยาวนานยิ่งนัก... มันช่างปวดและร้าวจนน่าแปลกใจว่า ฉันยังพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงไปร้องไห้คร่ำครวญได้อย่างไร?
ฉันทอดตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า... ความผิดหวังที่จางลงเมื่อครู่กลับวิ่งกลับมาปะทะหัวใจของฉันอีกครั้ง... และคราวนี้ความผิดหวังนั้นปะทะหัวใจของฉันจนแทบสลาย!
ความคิดเห็น