ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #8 : Part VII

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 53


    Part VII

     

    ในท้ายที่สุดฉันก็ไม่ได้เล่าให้เพื่อนสาวร่วมห้องฟังอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในมื้ออาหารของฉันและเขาที่เจ้าหล่อนสรุปเรียกว่า “เดต”

    แต่แม้จะไม่ได้บอกให้ใครฟัง และไม่ได้แสดงออกให้ใครได้รับรู้ ฉันก็จดจำทุกวินาทีของมื้ออาหารนั้นได้... เขาทำตามคำพูดที่ให้ไว้กับฉัน แม้จะเป็นเพียงคำพูดเล็กน้อยของฉันที่เขาไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ เพราะมันเป็นแค่คำพูดติดตลกที่ฉันใช้ปลอบใจเขาในวันที่เขาท้อแท้ แต่เขาก็จดจำมันได้ และทำให้มันเป็นความจริง

    การกระทำของเขาคล้ายจะบอกฉันเป็นนัยว่าเขาใส่ใจทุกรายละเอียดเกี่ยวกับฉัน... เขาเห็นความสำคัญของฉัน...

    ในวันนั้น เขาพาฉันออกมาจากที่ทำงานในตอนกลางวัน เราสองคนเดินทางไปที่สวนแสนสวยของเขาด้วยกันอีกครั้ง เรารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่ มันเป็นมื้อกลางวันที่แสนหวาน แต่กระนั้นก็เงียบเหงาและหงอยผิดจากครั้งก่อนที่เรามาที่นี่ด้วยกัน เขาไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่เราทั้งสองคนมาที่นี่ เพียงแค่จับมือฉันไว้และมองเหม่อไปยังท้องฟ้ากว้าง

    แม้จะมีความสงสัยอยู่เต็มหัวใจแต่ฉันก็สู้เก็บคำถามเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาขุ่นเคืองใจเหมือนอย่างเมื่อเช้านี้อีก

    เขานั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น บางครั้งก็หันมามองหน้าฉันเหมือนต้องการจะบอกอะไรซักอย่างแต่แล้วก็กลับถอนหายใจ และมองเหม่อไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังวลอีกครั้ง

    เมื่อแสงสีทองสว่างไสวของดวงอาทิตย์เริ่มจางแสงลง เขาก็ทำลายความเงียบขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายใจมากขึ้นว่า “ไปกันเถอะครับ”

    “ไปไหนคะ?”

    “ไปลองดูไงครับว่า ถ้าเราเปลี่ยนบะหมี่เป็นสปาเกตตี แล้วก็ลองเปลี่ยนห้องทำงานของผมเป็นภัตตาคารบนตึกสูงระฟ้า มื้อเย็นของเราสองคนจะเป็นยังไงบ้าง”

    ฉันหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเดินตามเขาขึ้นรถไป

    ***

    หากถามความรู้สึกตามจริง... ฉันไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างสปาเกตตีกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือภัตตาคารบนตึกสูงระฟ้ากับห้องทำงานของเขาเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความสำคัญต่อฉันสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน... สิ่งที่ทำให้โลกสดใสและสวยงามคือเขา เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น!

    เรานั่งคุยกันในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องรสชาติของอาหารไปจนถึงเรื่องการเมือง... ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหม่นหมองลง ฉันพยายามจนสุดความสามารถที่จะเก็บความสงสัยของตนเองเอาไว้ และพยายามหาหัวข้อสนทนาที่จะทำให้เราทั้งสองคนได้หัวเราะและยิ้มได้มาพูด

    บทสนทนาของเราดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาถามขึ้นว่า

    “คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?”

    ฉันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

    “พรหมลิขิตหรือคะ? ฉันเชื่อในการลิขิตชีวิตของตัวเองมากกว่าค่ะ ชีวิตของเราจะเป็นยังไง เราก็ควรจะเป็นคนเลือกเอง และลิขิตเองสิคะ”

    “คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรอ?”

    “จริงสิคะ”

    “ถ้าอย่างนั้นถ้าผมจะบอกคุณว่าการที่เราสองคนมาเจอกันเป็นเพราะมีใครบางคนบนฟ้าลิขิตเอาไว้ คุณก็คงไม่เชื่อผม?” เขาหยั่งเสียง คำพูดนั้นทำให้ฉันอมยิ้ม

    “ก็ฉันอยากจะเชื่อว่าคุณมาเจอฉันเพราะความต้องการของคุณ มากกว่าความต้องการของคนบนฟ้านี่คะ หรือว่าคุณไม่ได้ต้องการให้เราสองคนมาเจอกัน?”

    เขายิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ห่างหายไปจากใบหน้าของเขามาเป็นเวลาหลายวัน

    “การได้มาเจอกับคุณเป็นสิ่งที่ผมต้องการมาตลอดทั้งชีวิต และถึงชีวิตผมจะจบลงการได้มาเจอกับคุณก็จะยังเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่เสมอ”

    รอยยิ้มของเขาหม่นหมองลงเมื่อพูดประโยคต่อไป

    “ผมแค่สงสัยเท่านั้นว่า มันเป็นความต้องการของผมเพียงคนเดียว หรือเป็นความต้องการของคนบนฟ้าด้วยเท่านั้น”

    “เราไม่มีวันรู้ใจคนบนฟ้าหรอกค่ะ”

    สีหน้าของเขาหม่นหมองลงไปยิ่งกว่าเดิม ดวงตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    “ผมกลัวว่าถ้าการที่เรามาเจอกันไม่ใช่ความต้องการของคนบนฟ้า สักวันหนึ่งเขาจะพรากคุณไปจากผม”

    ฉันส่งยิ้มที่ตัวเองคิดว่าอ่อนหวานที่สุดออกไป เอื้อมมือไปสัมผัสมือของเขาอย่างอ่อนโยน และตอบไปว่า “ฉันไม่แคร์หรอกค่ะว่าคนบนฟ้าจะต้องการให้เรามาเจอกันหรือเปล่า ถ้าคุณต้องการจะเจอฉัน ต้องการจะอยู่กับฉัน และถ้าฉันต้องการจะเจอคุณ ต้องการจะอยู่กับคุณ ใครก็ไม่สามารถที่จะมาพรากเราจากกันได้หรอกค่ะ”

    สีหน้าของเขาดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อตอบฉันว่า “ผมดีใจที่คุณเชื่ออย่างนั้น”

    “และฉันก็ดีใจที่ได้มาเจอคุณค่ะ”

    “ผมหวังว่าเราทั้งสองคนจะดีใจกับการที่ได้เจอกันแบบนี้ตลอดไป... หวังว่าความรู้สึกของคุณ... ของเราสองคนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา”

    “อย่ากังวลไปเลยค่ะ เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ขอให้รู้ไว้นะคะว่าฉันมีความสุขกับอดีตที่เราได้เจอกัน และปัจจุบันที่เราได้อยู่ด้วยกันมากที่สุด”

    เขายิ้มให้กับคำพูดของฉัน แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนระโหยเหลือเกิน

    “นั่นสินะครับ... อดีต... ปัจจุบัน...” เขารำพึงเบาๆ แต่ก็ดังพอที่ฉันจะได้ยิน

    บางครั้งฉันก็คิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา...

    ตั้งแต่ที่ฉันพบกับเขา หลายอย่างในชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป... โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของฉันเอง... หัวใจของฉันเอง

    หลายต่อหลายครั้งที่เพื่อนสาวของฉันพยายามจะถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา...

    แหม... ไม่ห่างกันซักนาทีเลยนะยัยจิต ถามจริงๆเถอะนะ นายประกาศิตนั่นน่ะกลัวว่าเธอจะหายตัวได้รึไงกัน?”

    ฉันส่งรอยยิ้มอันเก้อเขินให้หล่อนเป็นคำตอบ และถึงแม้เจ้าหล่อนดูจะไม่ได้สนใจในคำตอบนั้นเท่าใดนักเพราะมัวแต่สนใจเล็บเคลือบสีสันสดใสที่ยังไม่แห้ง แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงพูดต่อ

    คนเป็นแฟนกันใหม่ๆก็อย่างนี้แหละนะเธอ ตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋ แทบจะชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกได้ อะไรๆก็ดูดีไปหมด... ระวังไว้ให้ดีเถอะ ตาประกาศิตนี่ออกลายเมื่อไหร่จะน้ำตาเช็ดหัวเข่า

    แฟนอะไรกัน? ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับเขาซักหน่อย ฉันแย้ง รู้ตัวดีเสียงที่พูดออกไปจะฟังดู กร่อย กว่าปกติ ฉันจึงพูดต่อไปว่า อีกอย่างเธอก็เป็นคนยุให้ฉันไปคบกับเขาเองไม่ใช่หรือไง?”

    ผู้ชายน่ะนะยัยจิต ถึงจะดีแค่ไหนมันก็ทำให้ผู้หญิงเสียใจได้ทั้งนั้นแหละ ไม่เจ้าชู้ ก็บ้างาน ไม่ก็ชอบตามจนเราไม่เป็นตัวของตัวเอง... แล้วตอนนี้ส่อเค้าบ้างรึยังว่านายประกาศิตนั่นน่ะเข้าทำนองไหน

    ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน จะไปรู้ได้ยังไง

    รอยยิ้มบนหน้าเจ้าหล่อนคล้ายจะยิ้มเยาะ เสียงหัวเราะก็คล้ายกับว่าหล่อนไม่เชื่อถือในคำพูดของฉันแม้ว่าหล่อนจะไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาเลยก็ตาม

    ฉันนึกย้อนไปถึงวันที่เขาตามง้องอนให้ฉันไปสมัครงานที่สำนักงาน... ในวันนั้นเพื่อนสาวคนนี้เองที่ยุยงส่งเสริมราวกับแม่สื่อแม่ชักให้ฉันสานสัมพันธ์กับเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าหล่อนกลับกลายเป็นคนที่เตือนฉันให้ระวังภัยจากความรัก เมื่อไหร่กันนะที่เพื่อนของฉันเปลี่ยนความคิดไปราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้?

    หัวเราะอะไร ไม่เชื่อหรือไงว่าฉันกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน

    ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ ก็ฉันเห็นเธอกับเขาหวานกันซะขนาดนั้น

    ฉันส่ายศีรษะในอาการปฏิเสธ  จะเป็นแฟนกันได้ยังไงล่ะ? เขายังไม่ได้บอกว่าชอบฉันซักหน่อย

    เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิกด้วยสายตาไม่เชื่อถือเอาจริงๆจังๆ ฉันจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟังตั้งแต่วันแรกที่ฉันพบกับเขา สวนแสนสวยของเขา ทุกคำพูดของเขา... คำแสนหวานที่ไม่ใช่คำว่ารัก!

    เพื่อนสาวร่วมห้องส่ายศีรษะ พร้อมทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างไม่พอใจ แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงแสดงความสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉันต่อไป

    นี่แน่ใจหรอจิตว่าเขาไม่ได้มาหลอกบริหารเสน่ห์กับเธอ เธออย่าไปยอมนะยัยจิต ต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องไปเลยนะว่าสรุปแล้วเนี่ยเขาจีบเธอจริงๆ หรือว่ายังไงกันแน่

    ฉันจะไปว่าอะไรได้ล่ะ ก็เขาไม่ได้บอกว่าชอบฉันซักคำนี่

     อะไร้... แม่เพื่อนสาวลากเสียงยาวและแหลมสูงราวกับตัวหล่อนเป็นบุคคลที่ไม่ได้ถูกบอกชอบเสียเอง จนป่านนี้แล้วตานั่นยังไม่บอกชอบเธอเลยหรือยัยจิต? ว่าที่เพื่อนเขยฉันนี่ใช่ไม่ได้จริงๆเลย

    ฉันหัวเราะคิกคักกับสำนวน ว่าที่เพื่อนเขย ที่แม่เพื่อนตัวดียกมาใช้ ก่อนที่จะหยุดหัวเราะแทบไม่ทันเมื่อเจ้าหล่อนถามคำถามต่อไป

    ฉันถามจริงๆเถอะนะจิต ว่าเธอน่ะเริ่มชอบตาประกาศิตนั่นบ้างรึยัง?”

    ฉันไม่ได้ตอบคำถามนั้นกับเจ้าหล่อน และในขณะเดียวกันฉันก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นกับตัวเองได้ด้วย...

    คำถามของเพื่อนสาวร่วมห้องกยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของฉัน น่าแปลกที่ฉันยังหาคำตอบให้คำถามง่ายๆนั้นไม่ได้ ทั้งๆที่คำตอบนั้นก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของฉันเอง

    และน่าแปลกที่ในขณะที่ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกในใจของตัวเอง... ฉันกลับมั่นใจในสิ่งที่เขารู้สึกเสียเหลือเกิน... มั่นใจยิ่งกว่าที่ฉันมั่นใจในความรู้สึกของฉันเอง

     ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกรักฉัน... แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้ในสายตา และในการกระทำทุกๆอย่างของเขา... ความเข้าใจ... ความห่วงหาอาทร... ความลึกซึ้งบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ และฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้คือองค์ประกอบของความ รัก’ 

    ช่วงเวลาอันแสนสุขของเราสองคนดำเนินไปอย่างสุดวิเศษ ฉันและเขาไม่เคยทะเลาะกัน ความคิดเห็นของเราแทบจะตรงกันในทุกๆเรื่อง... หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่เคยขัดใจ หรือทำให้ฉันต้องเสียใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    เขาทำให้ฉันเชื่อมั่น และมั่นใจว่าเขาคนนี้แหละ คือคนที่จะสามารถจะอยู่เคียงข้างฉันทุกเวลา ทั้งในเวลาที่ทุกข์หรือสุข และในขณะเดียวกันฉันก็สามารถจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาด้วยเช่นเดียวกัน...

    และเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่สวนแสนสวยในวันนั้นก็กลับมาล้นปรี่อยู่ในหัวใจของฉัน...คำพูดของเขาที่ว่า... เขามีฉัน และ ฉันมีเขา เรามีกันและกัน...

    คงเป็นความรู้สึกนี้กระมังที่เขาพยายามบอกให้ฉันได้รับรู้มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าคำพูดทั้งหมดที่เขาสรรหามาบอกฉันนั้นมันจะไม่ใช่คำว่ารักแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อฉันนั้นมันมากมายมหาศาลจนคำว่ารักคำเดียวนั้นไม่สามารถจะบรรจุเอาความรู้สึกของเขาไว้ได้ 

    และถึงแม้จะรู้ตัวว่าสิ่งที่คิดเป็นการเข้าข้างตัวเองอย่างมหันต์ และที่แท้จริงแล้วอาจมีเพียงฉันที่คิดไปเอง แต่กระนั้นฉันก็เลือกที่จะเชื่อ...

    คำพูดบางคำนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ารัก และฉันเชื่อว่าเขาเลือกที่จะใช้คำพูดเหล่านั้นแทนความรู้สึกในใจที่มีต่อฉัน

    ในชีวิตของผมไม่เคยมีใครเลย จนกระทั่งผมมาเจอคุณ เขาบอกกับฉันด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และมัน... ไม่ใช่คำว่ารัก 

    ความสงสัยก็ทำให้ฉันถามออกไปว่า 

    คุณพยายามจะบอกรักฉันทางอ้อมรึเปล่าคะ?”

    เขาสั่นศีรษะในท่าทีของการปฏิเสธ... ริมฝีปากของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่แสนสดใส ดวงตาของเขาเป็นประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ และน้ำเสียงของเขาที่ตอบฉันก็ไพเราะยิ่งกว่าเสียงดนตรีชิ้นใดทั้งสิ้น

    ผมไม่เคยบอกอะไรคุณทางอ้อมเลย... ผมบอกความรู้สึกของผมให้คุณรู้ตรงๆเสมอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×