คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Part VI
Part VI
เขาไม่ได้บอกฉันถึงสาเหตุของความทุกข์ใจแม้ในวันต่อมา... เขาเดินเข้ามาในสำนักงาน กล่าวทักทายฉันด้วยท่าทีสดใสที่ฉันดูออกว่าเสแสร้ง
“วันนี้ผมมาสายกว่าคุณจนได้เลยนะครับ”
ฉันยิ้มรับคำทักทายนั้น และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใสพอๆกัน
“ค่ะ วันนี้ฉันต้องมาเปิดสำนักงานเองเป็นวันแรก เปิ่นซะไม่มีเลย ไขกุญแจไม่ออก แถมยังทำข้าวของตกตอนคุ้ยกระเป๋าหากุญแจ... คุณเป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง หรือว่ามีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”
เขาหุบยิ้มลงฉับพลัน กัดฟันแน่นจนมีเสียงกรอดๆดังออกมา และจ้องหน้าฉันเขม็งราวกับฉันได้พูดบางอย่างที่แทงใจดำเขาอย่างจัง
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าไปสนใจเลย”
ฉันหรี่ตา ท่าทางของเขาไม่ใช่ท่าทางของคนที่ ‘ไม่เป็นไร’ เลยสักนิด
“ฉันยินดีช่วยคุณทุกเรื่องนะคะ และถ้าช่วยไม่ได้จริงๆก็ยินดีรับฟังปัญหา บางทีการได้เล่าสิ่งที่ตัวเองไม่สบายใจออกมาก็ช่วยได้นะคะ”
เขาตวัดสายตาดุดันมามองฉันคล้ายจะบอกให้ฉันเลิกยุ่งกับปัญหานั้นของเขาเสียที แต่ท่าทีนั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับน้ำเสียงที่เขาใช้เมื่อปฏิเสธความปรารถนาดีของฉัน
“ลืมเรื่องนั้นซะเถอะ ปัญหาไร้สาระ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกือบจะคำราม “เรื่องแบบนั้นคุณจะเก็บมาให้รกสมองทำไมกันจิตรา?”
ปฏิกิริยานั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำ และถึงแม้จะเป็นคนที่ไร้มารยาทที่สุดฉันยังไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้
“เอ๊ะ! ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณ ไม่เห็นจะต้องตะคอกกันเลยนี่คะ” ฉันแหวกลับไปเสียงดัง เมื่อคิดว่าความห่วงใยของฉันไม่สมควรจะได้รับผลตอบแทนเป็นสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันเช่นนี้
“ผมไม่ได้ตะคอกคุณ” เขาขึ้นเสียง แต่แล้วก็ถอนหายใจ พูดขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “เอาเถอะ ผมขอโทษก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าฉันยังคงทำสีหน้าเอาเรื่องอยู่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงฟังสบายที่ฉันเคยชอบหนักหนาอีกครั้ง และคราวนี้ยังมีสำเนียงออดอ้อนเอาใจแทรกอยู่ด้วย
“เราไม่ควรมาทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย... ผมขอโทษที่ขึ้นเสียงกับคุณ ให้อภัยผมได้ไหมครับ” เขายื่นนิ้วก้อยมาข้างหน้าเป็นเชิงง้องอน
“ฉันก็ไม่โกรธคุณ แค่ตกใจเพราะตั้งแต่รู้จักคุณมาเกือบปีคุณไม่เคยทำตัวแบบนี้... ขึ้นเสียงกับฉันแบบไม่มีเหตุผล” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่ยังคงไว้ด้วยความไม่พอใจ
เขาถอนหายใจยาวเมื่อได้ยินคำตอบของฉัน
“ผมเองก็เป็นคนธรรมดา เวลามีปัญหาก็สติแตกได้เหมือนกัน ไม่ได้แก้ตัวนะครับ แต่อยากให้คุณเข้าใจว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียงกับคุณเลย” เขายื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าฉันอีกครั้ง พร้อมกับส่งสายตาเชื่อมหวานและสำนึกผิด “ให้อภัยผมนะครับ... นะครับ"
น่าแปลก... ณ วินาทีที่เขาขอร้องฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างที่จู่โจมห้วงความคิดของฉัน ฉันไม่ได้หันหน้าไปค้อนเขาวงใหญ่อย่างที่อยากทำ แต่กลับยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานและยอมเกี่ยวก้อยกับเขาแต่โดยดี มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะถึงอย่างไรฉันก็ต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว
“ทีนี้เราก็ไม่โกรธกันแล้วใช่ไหมครับ”
ฉันพยักหน้าเงียบๆ
“ตอนนี้คุณอารมณ์ดีแล้ว ผมว่าเรามาดูงานชิ้นใหม่กันดีกว่า”
คำว่างานชิ้นใหม่ทำให้ฉันปรับสีหน้าจากสงสัยในพฤติกรรมของเขามาเป็นสีหน้าพร้อมที่จะทำงาน และเมื่อเขาเล่าให้ฟังถึงนายจ้างที่ต้องการให้ออกแบบห้องนอนของลูกสาวที่เพิ่งเกิดใหม่ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องละเรื่องราวที่กวนใจไว้เบื้องหลัง
เขาเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เขาต้องการทำและเริ่มร่างภาพงานต่างๆ ก่อนจะส่งให้ฉันดูและวิจารณ์ดังเช่นที่ทำในทุกๆวันจนเป็นกิจวัตร มันน่าขำที่มัณฑนากรมืออาชีพของเขารับฟังความคิดเห็นของพนักงานที่เพิ่งรับปริญญามาหมาดๆด้วยท่าทีสนใจ และยอมปรับปรุงงานตามที่ฉันต้องการเสมอ
เมื่อช่วยเขาออกแบบห้องจนเป็นที่พอใจแล้ว ฉันก็กลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้งและเริ่มทำงานเอกสาร รับโทรศัพท์ ก่อนจะถึงเวลากลางวันที่ฉันจะต้องรับประทานอาหารกลางวันกับเขา ทำงานอีกครั้งจนถึงตอนเย็น และจบหน้าที่ประจำวันลงด้วยการไปรับประทานอาหารเย็นกับเขา
ทุกวันของฉันดำเนินไปเช่นนี้จนเป็นกิจวัตรประจำวัน... กิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซากแต่ไม่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย
น่าแปลกใจที่คนรักอิสระอย่างฉันยอมที่จะทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ ยอมตัวตามกิจวัตรที่เขาเป็นคนกำหนด และน่าแปลกใจยิ่งกว่าที่ฉันมีความสุขกับมัน
น่าตลกที่ฉันใช้คำว่า ‘แปลกใจ’ มากมายเหลือเกินในแต่ละวันนับตั้งแต่วันที่ฉันได้พบเขา สิ่งที่น่าแปลกประหลาดใจดูจะปรากฏขึ้นมากมายในแต่ละวัน และบางครั้งฉันก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่แปลกไปมากที่สุดคงจะเป็นตัวของฉันเอง
และคำๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางใจของฉันเอง
เปลี่ยนเพราะรัก...?
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องถามตัวเองว่า ความรู้สึกที่ฉันมีเหล่านี้สามารถรวบรวมเป็นคำว่า ‘รัก’ ได้ไหม?
ความรู้สึกแสนหวานทุกครั้งที่ฉันอยู่กับเขา... ความรู้สึกสั่นสะท้านทุกครั้งที่ได้สบตากัน... ความห่วงใยและความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นเขามีความทุกข์
แม้อยากจะคิดว่าความรู้สึกเหล่านั้นคือความรู้สึก ‘รัก’ มากแค่ไหน แต่ทว่าส่วนลึกในจิตใจของฉันกลับตอกย้ำความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปเลยนับตั้งแต่วันที่ฉันได้พบกับเขา... ความหวาดหวั่นในเบื้องลึก... ความหวาดหวั่นที่ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
อะไรบางอย่างในท่าทีของเขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเขายังปิดบังอะไรบางอย่างจากฉันอยู่ ทำให้ฉันรู้สึกว่าผู้ชายที่ฉันเห็นตรงหน้ายังมีแง่มุมที่ฉันยังไม่ได้เห็น... แง่มุมที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขากลับปิดบังไว้จากฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง
ความรู้สึกที่ฉันมีในวันที่ “บังเอิญ” เจอเขาที่สวนสาธารณะยังคงอยู่... ความไม่ไว้วางใจ ความหวาดหวั่น ความรู้สึกที่ว่า... ฉันยังไม่รู้จักเขา
และแม้ว่าเขาจะแสดงออกในสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อจนเกือบหมดหัวใจว่าเขารักฉัน ฉันก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
‘เขารักฉันจริงหรือ?’
หากคำตอบของคำถามนั้นคือ ‘จริง’ ฉันก็สงสัยนักว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยเอ่ยคำนั้นออกมาตรงๆ หรืออย่างน้อยบอกเป็นนัยให้ฉันได้รับรู้บ้าง บอกให้ฉันกระจ่างใจสักหน่อยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉันเป็นอย่างไรกันแน่เพื่อว่าฉันจะได้ไม่สำคัญตัวผิดไปเองว่ามีความสำคัญกับเขาจนถึงขนาดที่เขาจะสามารถไว้ใจให้ฉันรับรู้ปัญหาส่วนตัวของเขาได้
และหากคำตอบของคำถามนั้นคือ ‘ไม่จริง’ ฉันก็สงสัยนักว่าฉันจะสามารถยืนอยู่ตรงนี้กับเขาต่อไปได้อีกหรือไม่ ฉันจะทนเผชิญหน้าความจริงที่ว่าฉันไม่มีความสำคัญต่อเขาเลยแม้สักนิดได้หรือไม่...
คำถามที่ฉันไม่สามารถหาคำตอบได้นั้นทำให้ฉันปวดหัว ฉันจึงวางมันลงจากความคิดและหันมาสนใจกับงานตรงหน้าแทน
เอกสารตรงหน้ามีอยู่เพียงไม่มาก และแทบจะไม่มีอะไรที่ฉันต้องทำเช่นเดียวกับที่เป็นมาเป็นเวลากว่าปี ฉันเพียงแต่กวาดสายตาผ่านๆเอกสารเหล่านั้นและวางมันลงเมื่ออ่านจบ หยิบเอกสารฉบับใหม่ขึ้นมาและทำสิ่งเดียวกันนั้นไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาพักกลางวันมาถึง เขาคนนั้นของฉันก็เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยสีหน้าที่ดูปรกติกว่าเมื่อเช้า
“ไปกินข้าวกันไหมครับ?”
ฉันละสายตาจากแฟ้มเอกสารและหันไปส่งยิ้มให้เขา “เอาสิคะ”
เพียงแค่เขาส่งยิ้มสว่างสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขามาให้ ฉันก็พร้อมจะลืมความรู้สึกในส่วนลึก และคำถามอันน่าปวดหัวทั้งหลายไปจนหมด
... เมื่ออยู่ตรงหน้าคนที่แต่งเติมชีวิตเรียบๆของฉันให้มีสีสัน และเติมเต็มชีวิตที่ว่างเปล่าของฉันจนเต็มคนนี้ ยังมีอะไรที่น่ารู้สึกไปมากยิ่งกว่า ยินดีและกตัญญูต่อโชคชะตาที่ส่งเขาคนนี้มาให้ฉันอีกเล่า?
เขาเปิดประตูสำนักงานและผายมือให้ฉันด้วยท่าทีราวกับพนักงานโรงแรมที่เปิดประตูให้แขกที่เข้าพัก ฉันจึงย่อเข่าลงถอนสายบัวเขาด้วยท่าทีล้อเลียน
เมื่อเดินออกมาจากสำนักงานแล้วเขาก็เดินนำฉันไปที่รถโฟร์วีลไดรฟ์ของเขา... หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเบิกบาน คำถามเดียวที่มีอยู่ในใจตอนนี้คือ ‘เขาจะพาฉันไปที่ไหนกันนะในวันนี้’ ฉันไม่แม้แต่จะถามตัวเองว่าฉันจะมีความสุขมากแค่ไหนหลังจากได้รู้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว เพราะฉันมั่นใจว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร ฉันก็จะมีความสุขที่สุดขอแค่เพียงได้อยู่ข้างๆเขาก็พอ
***
สิ่งแรกที่ฉันได้พบเมื่อเปิดประตูห้องพักคือสายตารู้ทันของเพื่อนสาวร่วมห้อง หล่อนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงหลังเล็กที่หล่อนเป็นเจ้าของ
“อะแฮ่ม! ไปไหนมาจ๊ะคุณเลขาคนสวย กลับบ้านซะมืดค่ำ” เจ้าหล่อนถามด้วยท่าทีจริงจังราวกับเป็นตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ร้าย
“ฉันก็ไปกินข้าวของฉันน่ะสิ”
“ไปกับใคร”
“ไปกับ...”
“นายประกาศิตคนนั้นล่ะสิ ใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับเอาข้าวของสัมภาระที่ถือมาไปวางไว้บนเตียง
“แล้วไปที่ไหนกันมาล่ะ?”
ฉันบอกชื่อสถานที่ที่เป็นภัตตาคารหรูหราบนตึกสูงระฟ้ากลางกรุงออกไป เจ้าหล่อนทำตาโตด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“แล้วเดตของเธอเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ยัยจิต?”
ฉันทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนั้น นึกโมโหตัวเองอยู่ครามครันที่มีอาการร้อนผะผ่าวที่แก้มทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่แสดงอาการอะไรให้เพื่อนสาวร่วมห้องคนนี้เก็บมาล้อได้
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบคำถาม เจ้าหล่อนก็เดินมาใกล้ตัวพร้อมทั้งถามย้ำอีกครั้ง “เป็นยังไงบ้าง ไปเดตกับนายประกาศิตน่ะ เขาพูดว่าไงบ้าง แล้วแกกับเขาไปทำอะไรกันบ้าง เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ฉันอยากรู้”
เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้าหล่อนจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจ ฉันจึงตอบไปอย่างส่งๆ
“ทำอะไรล่ะ ฉันก็ไปกินข้าวกับเขาน่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ”
คำตอบที่ได้รับดูจะไม่เป็นที่พอใจของเจ้าหล่อน เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันส่งเสียงจึ๊กจั๊กอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งส่งค้อนวงใหญ่ให้ฉัน
“รู้แล้วจ้ะว่าไปกินข้าวกัน เอ้อ! แล้วเขาไม่ได้พูดอะไรหวานๆกับแกบ้างหรอ? เหมือนตอนที่เจอกันที่ร้านบะหมี่วันนั้นน่ะ?”
“พูดอะไรล่ะ ฉันกับเขาก็พูดกันปรกตินั่นแหละ”
“ก็แล้วไอ้พูดปรกติของแกน่ะ มันเป็นยังไงล่ะ เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ นะๆๆ” เจ้าหล่อนพูดพร้อมกับเดินเข้ามาเขย่าแขนฉันเบาๆอย่างอยากรู้เป็นหนักหนา ฉันทั้งโกรธทั้งขำท่าทีของเจ้าหล่อนจนพูดออกไปว่า
“ก็พูดกันเหมือนคนทั่วๆไปนี่แหละ เธอนี่ยังไงนะมิ จะรู้ไปทำไมกัน”
“เอาล่ะๆ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า แหม... ตั้งแต่คบหากับนายประกาศิตเนี่ย รู้สึกว่าเพื่อนของฉันจะมีลับลมคมในมากมายเหลือเกินนะ... เอ... นายประกาศิตเนี่ยเขามาเสกคาถาป้องกันความลับอะไรใส่เธอหรือเปล่านะ? ฉันชักจะสงสัยแล้วสิ” เมื่อพูดจบเจ้าหล่อนก็หัวเราะเสียงดัง และเดินออกจากห้องไป
ความคิดเห็น