คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Part V
Part V
“จำไว้นะครับว่าความสุขของผม คือการได้เห็นคุณมีความสุข”
คำพูดของเขาในวันนั้นยังคงตราตรึงแนบสนิทอยู่ในใจของฉัน... และแม้ว่ามันจะไม่ใช่คำบอกรักอย่างที่คนทั่วไปสารภาพรักกัน แต่ฉันก็แน่ใจว่าคำพูดของเขาคือคำพูดที่บอกความรู้สึกในใจของเขาทั้งหมด คำพูดที่บอกให้ฉันได้รู้ว่า ฉันคือคนที่มีค่า... ฉันคือความสุขของของเขา... ฉันคือหัวใจของเขา
น่าแปลกนักที่ไม่ว่าฉันขยับตัวไปที่ใด หรือทำอะไร คำพูดคำนี้ก็ดูเหมือนจะดังก้องอยู่ในหูของฉันอยู่ตลอดเวลา คำบอกรักซึ้งๆที่ฉันเคยวาดฝันไว้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย เพียงประโยคเดียวของชายคนนี้มีค่ามากกว่าคำว่ารักมากมาย
คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้โลกของฉันกลายเป็นสีชมพูดังเช่นคำบอกรักของคนอื่นๆ หากมันทำให้โลกของฉันสว่างเจิดจ้า ดวงดาวที่มองเห็นจากหน้าต่างช่างดูระยิบระยับ ดวงจันทร์ทอแสงสว่างเจิดจ้า ท้องฟ้าสวยงามราวกับจะยิ้มแย้มให้ฉันกับ จนฉันนึกสงสัยว่าเหตุใดฉันจึงไม่เคยที่จะสังเกตเห็นมัน
ฉันนึกสงสัยว่าความรู้สึกเหล่านี้สามารถรวบรวมเป็นคำว่า ‘รัก’ ได้ไหม?
ฉันกอดหมอนข้างไว้แนบกาย ผ้านวมผืนหนาที่ห่มอยู่นี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อความรู้สึกอุ่นซ่านนั้นแล่นไปทั่วร่างของฉันอยู่เสมอทุกเวลาที่ฉันนึกถึงเขา... ภาพวาดที่ผนังด้านปลายเตียง ภาพที่ฉันเคยมองจนหลับไปทุกวันนั่นก็เช่นเดียวกัน ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว เพราะฉันพร้อมที่จะปิดตาลงเสมอ และหลับฝันถึงเขา...
ฉันปิดตาลง และรู้ว่าในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนี้ ฉันจะเห็นภาพเขาและฉัน... ภาพของเราสองคน ยืนอยู่ในทุ่งหญ้าแสนสวย ท่ามกลางทิวเขาที่ตั้งตระหง่าน ดอกไม้นานาชนิดแข่งกันแบ่งบานและส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นชื่นใจพัดผ่าน พาให้ใบไม้ไหวน้อยๆ แสงพระอาทิตย์จับต้องน้ำค้างยอดหญ้าจนเป็นประกาย มีดวงตาและรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของเขาแลตรงมาที่ฉัน...
***
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนมาแล้วที่การทำกิจกรรมยามเช้าร่วมกับเขาซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของฉันยังคงดำเนินไปอย่างปรกติ เรากล่าวอรุณสวัสดิ์และเริ่มลงมือรับประทานอาหารเช้าที่เขาเตรียมไว้ กลิ่นของขนมปังปิ้งและกาแฟหอมฉุยเตะจมูกเป็นสัญญานของการเริ่มต้นวันใหม่ที่แสนสดใส
แต่วันนี้มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป...
บางสิ่งทำให้บรรยากาศแสนสบายในห้องทำงานของเขาเปลี่ยนไป... ทุกๆสิ่งในสำนักงานดูคล้ายจะเปลี่ยนสีไปเป็นสีเทา อากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศก็ดูไร้ชีวิตชีวาและเย็นชืด แม้แต่แสงแดดที่ส่องผ่านม่านบังตาก็ยังดูอึมครึม
และบางสิ่งนั้นก็ยังทำให้รอยยิ้มสดใสพร้อมทั้งประกายวิบวับในดวงตาของเขาหายไปด้วย... สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าฉันคือชายหนุ่มผู้เคร่งเครียดและเหม่อลอย ความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเขา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” ฉันถามเมื่อวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะของเขา สังเกตว่างานสร้างสรรค์ของเขายังไม่ได้เริ่มเลยในวันนี้
เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ แม้ท่าทางจะฟ้องชัดว่าคำตอบที่ให้มานั้นไม่เป็นความจริง ดวงตาของเขาหม่นหมองและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล และเมื่อเห็นว่าฉันยังคงมองเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ เขาก็คลี่ยิ้มอันอ่อนแรง และบอกฉัน
“ผมไม่เป็นไรหรอก คุณกลับไปทำงานของคุณเถอะ”
หลังตอบรับสั้นๆแล้ว ฉันก็เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานอีกครั้ง พยายามที่จะมุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังงานตรงหน้า และละความสนใจทั้งหมดไปจากเขา...
ฉันนั่งครุ่นคิดและทำงานไปจนเกือบถึงเวลาหกโมงเย็น อันเป็นเวลาเลิกงาน เป็นครั้งแรกที่ฉันสงสัยว่าเขาจะเดินไปส่งฉันที่หน้าหอพักไหมหนอ?
แม้เวลาจะผ่านจนเกือบถึงเวลาเลิกงาน หากบรรยากาศในสำนักงานยังคงดูหม่นหมองและแทบจะหนาวเหน็บมากขึ้นในทุกๆนาทีที่ผ่านพ้นไป และเขาก็ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงานเช่นเดิม...
และก่อนที่ฉันจะได้รู้คำตอบ เสียงฟ้าคำรามและเสียงเม็ดฝนตกลงกระทบพื้นดินก็ดังไปทั่วบริเวณ เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังเป็นระยะ บอกให้รู้ว่าฝนคงตกไปอีกนานและฉันซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกลียดการพกร่มเป็นที่สุดก็คงต้องติดอยู่ในสำนักงานนี้จนกว่าฝนจะหยุดตกแน่ๆ
น่าตลกนักที่ฝนกลางฤดูร้อนดูจะเจาะจงตกลงมาในวันที่สำนักงานแห่งนี้เงียบเหงา ไร้ชีวิตชีวา และทำให้บรรยากาศอันอึมครึมอยู่แล้วเปลี่ยนแปลงเป็นเยียบเย็น... เย็นจนทำให้ไรผมที่ท้ายทอยลุกชัน!
หลังจากที่ฟ้าผ่าอย่างหนักติดกันสองสามครั้ง ไฟฟ้าทุกดวงก็ดับลง... น่าขำอีกเช่นเคยที่ฝนเลือกตกในวันที่แสนอึมครึม และไฟฟ้าเลือกดับในวันที่คนกลัวความมืดอย่างฉันนั่งอยู่คนเดียวในห้อง
ฉันคลำทางไปยังประตูห้องทำงานของเขา... ในความมืดอันหนาวเหน็บนี้ คล้ายจะมีกลิ่นอายแห่งความน่าสะพรึงกลัวแห่งความแฝงตัวอยู่ในอากาศ ความรู้สึกหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในใจของฉัน และถึงแม้ว่าจะบอกตัวเองให้สงบจิตใจ และเรียกหาตัวตนอันเข้มแข็งของตัวเอง แต่ฉันก็รีบที่จะไปหาเขาให้เร็วที่สุด ด้วยเหตุผลที่สำคัญที่สุด ฉันกลัว!
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาสิครับ” เสียงที่ฉันแทบไม่ได้ยินมาทั้งวันตอบกลับมา และน่าแปลกที่มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยอย่างน่าประหลาด ถึงแม้น้ำเสียงนั้นจะยังฟังดูคร่ำเคร่งและกังวล แต่มันก็ทำให้ฉันสบายใจที่อย่างน้อย ยังมีเขาที่ยังอยู่กับฉันอีกคนหนึ่ง ไม่หายไปไหน
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องอันมืดมิดนั้น... ลมเย็นที่ฉันไม่แน่ใจว่ามีที่มาจากที่ไหนพัดเข้ามาปะทะใบหน้าฉันจนผมที่ระหน้าอยู่ปลิว อุณหภูมิในห้องต่ำเสียจนฉันนึกสงสัยว่าเขาทนนั่งอยู่ในห้องที่หนาวเหน็บอย่างนี้ได้อย่างไร
“คุณยังไม่กลับบ้านอีกหรือครับ? ผมนึกว่าถึงเวลาเลิกงานแล้วเสียอีก?”
ฉันส่ายหน้าเงียบๆในความมืด ก่อนจะอธิบาย
“ข้างนอกฝนตกหนักอยู่น่ะค่ะ ฉันไม่ได้พกร่มมาก็เลยถูกขังอยู่ที่นี่... อีกอย่างถ้าฉันจะกลับ ฉันก็ต้องมาบอกคุณก่อนทุกครั้งอยู่แล้วนี่คะ”
“อยู่ข้างนอกน่าจะอากาศดีกว่านี้” เขาเปรยขึ้น “เวลาฝนตกห้องนี้จะหนาวมากๆ”
ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการเชิญฉันกลับออกไปข้างนอกหรือไม่ และเมื่อใคร่ครวญดูแล้วว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้น ฉันก็แข็งใจบอกเขาไปตามความจริง
“ขอโทษจริงๆนะคะที่รบกวน เผอิญฉันเป็นคนกลัวความมืดน่ะค่ะ ลองหาเทียนไขดูแล้วก็ไม่เจอ เลยจะขออนุญาตมานั่งอยู่กับคุณ เอ่อ ถ้าคุณทำงานอยู่ไม่สะดวกให้ฉันอยู่ด้วย ฉันออกไปก็ได้นะคะ” ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มแหยๆไปให้เขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาพูดขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อย “คุณนั่งอยู่นี่ก็ดีแล้ว เพราะยังไงตอนนี้ผมก็ทำงานไม่ได้แล้วเหมือนกัน... อ้อ ช่วยปิดประตูด้วยก็จะดีมาก”
ฉันเดินไปปิดประตูและนั่งลงที่เก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ขณะนี้สายตาของฉันเริ่มจะชินกับความมืดจนสามารถมองเห็นไอน้ำที่เกิดจากการหายใจแต่ละครั้งของตัวเองได้แล้ว... ความเงียบที่น่าอึดอัดก่อตัวขึ้นเมื่อฉันนั่งลงเงียบๆและเขาก็ไม่คิดที่จะหาบทสนทนามาชวนคุยอย่างเคย
“เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเก็บเทียนไว้ที่ไหนหรือคะ? ฉันจะไปเอามาจุดให้” ฉันทำลายความเงียบขึ้น
“อยู่ในครัวน่ะครับ แต่เดี๋ยวผมไปเอามาให้คุณเองดีกว่า แล้วจะได้หาอะไรมาให้คุณทานด้วย เพราะนี่ก็เย็นแล้ว”
เขาหายไปจากห้องชั่วอึดใจและกลับมาพร้อมเชิงเทียนหรูหราสีทองที่ล้อกันกับแสงจากเปลวเทียนเป็นประกายวิบวับ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองชามในถาดทองเหลืองฉลุลาย ฉันจึงเก็บข้าวของรกรุงรังบนโต๊ะทำงานของเขาเพื่อให้เขาวางข้าวของเหล่านั้นลงบนโต๊ะได้
เชิงเทียนแสนสวยถูกวางไว้ที่กลางโต๊ะ ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองชามถูกวางไว้ตรงข้ามกัน และฉันก็อดสังเกตไม่ได้ว่าชามที่วางอยู่ด้านหน้าของเขาไม่ได้ใส่กระเทียมเจียว...
แม้เขาจะก้มหน้าก้มตากินบะหมี่และจะมีเพียงแสงรางเลือนจากเทียนเล่มเล็ก แต่ฉันยังสังเกตแววกังวลที่ฉาบไล้อยู่ในดวงตาของเขา บางสิ่งทำให้เขาดูร้อนรนเหลือเกิน และฉันได้แต่หวังว่าเขาจะอนุญาตให้ฉันเป็นผู้แบ่งเบาความทุกข์นั้นของเขาได้... หวังอย่างสุดใจว่าฉันจะเป็นผู้ที่นำรอยยิ้มของเขากลับมาได้...
“คุณไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกฉันได้ไหมคะ?” ฉันเริ่มประโยคที่ตรงและกระชับที่สุด และเมื่อเห็นว่าเขายังคงอยู่ในอาการเงียบ ฉันก็มองตรงไปยังดวงตาที่แสนอ่อนล้าคู่นั้น... “บอกฉันเถอะนะคะ ฉันยินดีฟังคุณทุกอย่าง”
“คุณไม่อยากรู้หรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบจนแทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงครางกระหึ่มของเครื่องปรับอากาศ และเว้นช่วงไปราวกับจะหาคำพูดมาอธิบาย “ผม...”
คำตอบที่ฉันได้รับไม่ใช่คำอธิบายยาวยืด หรือคำพูดใดๆทั้งนั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจอย่างหนักใจ และแสนกังวล
“เรื่องงานหรือคะ... ถ้ามีปัญหาอะไรคุณบอกฉันได้นะคะ หรือถ้าจะหักเงินเดือนฉันก็ได้ถ้าสมมติว่าบริษัทมีปัญหา”
“ไม่ใช่หรอก คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ผมไม่หักเงินเดือนคุณหรอก” เขาตอบเรียบๆ และนั่นทำให้ฉันหน้าชา เขากล้าดีอย่างไรที่จะกล่าวหาว่าฉันกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนที่ได้รับ แต่เมื่อมองสีหน้าอมทุกข์ของเขาแล้ว ฉันก็คลายความโกรธลง และถามด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
“ฉันไม่กังวลเรื่องเงินเดือนหรอกค่ะ ที่พูดก็เพราะอยากช่วยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องเล่าให้ฉันฟังก็ได้ค่ะ แต่อยากให้ทราบว่าถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้เลย ฉันยินดีช่วยคุณ”
“ผมอยากหาคำอธิบายดีๆมาให้คุณฟังเหลือเกิน แต่เรื่องนี้... เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมบอกคุณไม่ได้ และหวังว่าคุณจะไม่มีวันรู้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกังวล หวาดหวั่น ทุกข์ใจ และไม่แน่ใจ และท้ายที่สุดก็ฝ่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าราวกับจะคลายความกังวล
วินาทีนี้ ความสนใจของฉันไม่ได้อยู่ที่ว่า อะไรที่ทำให้เขาทุกข์ใจ? แต่ทว่าเป็น อะไรที่จะทำให้เขาหายทุกข์ใจ? และฉันหวังว่าฉันจะเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่...
ฉันลดฝ่ามือของเขาลงจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกังวล และส่งยิ้มที่แสนหวานให้กับเขา ด้วยความหวังที่ว่าความหวานของรอยยิ้มนั้นจะช่วยชโลมใจที่โศกเศร้าของเขาได้
“ฉันไม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... แต่ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ไม่ใช่แค่คุณที่จะมีความสุขเวลาที่ฉันมีความสุข ฉันเองก็จะมีความสุขเวลาที่เห็นคุณมีความสุขเหมือนกัน และถ้าคุณยังมีความทุกข์อยู่อย่างนี้ จะให้ฉันมีความสุขได้ยังไงล่ะคะ?”
แววงุนงงในดวงตาของเขาเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที แต่แล้วรอยยิ้มที่ฉันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้น... น้ำเสียงที่พูดกับฉันกลับมาเป็นเขาคนเดิม
“คุณพูดจริงๆหรือครับ”
“ก็จริงน่ะสิคะ หรือว่าคุณหาว่าฉันโกหก” ฉันปั้นเสียงดุขึ้นมา หวังว่ามันจะทำให้บรรยากาศอึมครึมนี้ดูสดใสขึ้นได้
“ผมนี่แย่จริงๆเลย อุตส่าห์ได้ดินเนอร์ได้แสงเทียนกับคุณแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับทำเสียบรรยากาศหมด”
“ดินเนอร์ใต้แสงเทียนของคุณไม่ลงทุนเลยนะคะ” ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงหยอกเย้า และพูดต่อไปด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน “ฉันสงสัยจังเลยว่าถ้าเปลี่ยนบะหมี่เป็นสปาเก็ตตี้ แล้วเปลี่ยนห้องทำงานคุณเป็นภัตตาคารอาหารอิตาเลี่ยนบนยอดตึกระฟ้า แล้วมันจะเป็นยังไง?”
คำตอบของเขาทำให้ความสงสัยเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น และทำให้ความรู้สึกแสนหวานชนิดอื่นแทรกซึมเข้าไปทุกอณูของหัวใจ
“ถ้าคุณอยากรู้ เราลองไปกันสักวันไหมล่ะครับ? แต่สำหรับผม ไม่ว่าจะกินอะไร จะอยู่ที่ไหน แค่ผมได้อยู่กับคุณก็เพียงพอแล้วล่ะครับ”
ความคิดเห็น